เรื่องข่าวลือที่กระจายไปทั่ว ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลกง ไม่มีสิ่งใดที่ส่งผลกระทบมาถึงเยว่ชิงที่นั่งจัดเตรียมสมุนไพรอยู่ใน
ทั้งบ่าวในจวนก็ไม่คิดจะเรื่องที่ได้ยินมา มาเล่าให้คุณหนูได้ฟัง เพราะไม่มีผู้ใดอยากจะเห็นคุณหนูของตนเจ็บปวดใจได้
พอกงป๋อเหวินและกงหลี่เฉียงกลับมาถึงจวน ตู้ซื่อจึงเล่าเรื่องที่น้องชายของนางมาโวยวายที่จวนให้พวกเขาฟัง
“เพ้ย เช่นนั้นเจ้าก็หาสินสอดกันเองเถิด” กงป๋อเหวินสะบัดชายเสื้อจากไปอย่างไม่ไยดี
“ท่านแม่ แล้วเรื่องนี้จะทำอย่างไรกันดี” กงหลี่เฉียงยามนี้ก็ทำตัวเป็นบัณฑิตให้คนภายนอกดู
แต่ความจริงแล้วเขายังไม่อาจสอบเข้าทำงานในราชสำนักได้ ถึงแม้จะสอบผ่านจิ้นซื่อหน้าพระพักตร์ได้แล้ว แต่ด้วยอันดับที่ไม่ดี ทั้งยังมิอาจสอบชิงเข้ากรมใดได้สักกรม จึงยังมิได้ทำงานเสียที
การแต่งงานกับเยว่ชิงก็หวังว่าตนจะได้อาศัยบารมีของหมอหลิวที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และไทเฮา เพื่อได้เข้าทำงานในตำแหน่งที่ดีในราชสำนัก
แต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะหมดหวังไปเสียทุกทาง แล้วยังมาถูกจวนตระกูลตู้เร่งรัดให้รีบส่งแม่สื่อไปที่จวนในเวลาเพียงสามวันเท่านั้น
“จะทำอย่างไรได้ แม่คงต้องนำสินเดิมที่เก็บซ่อนพ่อเจ้าไปออกไปขาย หรือเจ้าจะยอมเข้าคุกเล่า” ตู้ซื่อกุมขมับอย่างสิ้นหนทาง
สินเดิมของนางถูกนำออกมาจนหมด ทั้งยังให้สาวใช้นำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงิน เพื่อตบแต่งซิงเยียนเข้ามาในจวน
สามวันต่อมาตระกูลกงได้ส่งแม่สื่อไปที่จวนตระกูลตู้ ยิ่งทำให้ข่าวเรื่องที่พวกเขาลอบพบกันกลายเป็นที่ขบขันของคนในเมืองหลวง และอดที่จะเห็นในเยว่ชิงไม่ได้ที่ถูกกระทำเช่นนี้
เยว่ชิงได้ข่าวเรื่องที่กงหลี่เฉียงส่งแม่สื่อไปสู่ขอซิงเยียน นางก็ออกจากจวน เพื่อไปดูร้านที่จะสร้างเป็นโรงหมอของนาง
“คุณหนู มีสิ่งใดที่ต้องแก้ไขหรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยถามออกมา
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านทำออกมาได้อย่างดีแล้วเจ้าค่ะ” นางยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณ
“ขอรับ” พ่อบ้านหลิว ยิ้มอย่างดีใจ เขาเห็นคุณหนูมาตั้งแต่เล็ก หากนางเสียใจพวกเขาย่อมต้องปวดใจไปด้วย
เยว่ชิงเริ่มให้บ่าวนำสมุนไพร ลำเลียงเข้ามาเก็บภายในโรงหมอแล้ว และนางก็เป็นผู้ที่ควบคุมด้วยตนเอง เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องผิดพลาด
โรงหมอของนางก็นับว่าแปลกตา เพราะเปิดรักษาแต่สตรี ทั้งยังมีห้องแยกอย่างชัดเจน สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนให้ผู้อื่นรู้
โดยโรงหมอทั่วไปจะนั่งตรวจอยู่ด้านนอก หากมีคนเจ็บหนักถึงจะพาเข้าไปในห้องด้านใน
ที่นางทำเช่นนี้ เพราะสตรีที่มาตรวจโรค คงไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่านางเป็นโรคอันใด ส่วนมากสตรีในเมืองหลวงที่นางพบมักจะตามหมอไปตรวจที่เรือน ยิ่งเป็นชาวบ้านยิ่งแล้วใหญ่ พวกนางเพียงมาซื้อยาไปกินเท่านั้น
หมอที่ถูกเชิญไปตรวจที่จวนก็เป็นบุรุษ บางเรื่องพวกนางอาจจะเขินอายไม่ต้องการที่จะเปิดเผย อีกสิ่งที่โรงหมอของเยว่ชิงเขียนติดด้านหน้าอย่างชัดเจน จนสร้างความแปลกใจให้ผู้คน
เห็นจะเป็นเรื่องที่นางยอมให้หญิงคณิกา เข้ามาตรวจรักษาที่โรงหมอของนางได้ ผู้ใดจะไม่รู้กัน หมอในเมืองหลวงหรือแม้แต่ในแคว้นต้าฉีน้อยนักที่จะยอมไปรักษาให้หญิงคณิกา
เรื่องนี้หมอหลิวได้เอ่ยทัดทานนางไว้แล้ว เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะมองนางไม่ดี
“ท่านพ่อ หญิงคณิกาก็คนเจ้าค่ะ พวกนางก็เจ็บป่วยเป็น และควรได้รับการรักษาเช่นพวกเรา หากผู้อื่นจะมองข้าไม่ดี เรื่องนี้ข้าไม่สนใจเจ้าค่ะ” นางจับมือบิดาไว้แน่น แล้วเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง
“แล้วต่อไปผู้ใดจะกล้าแต่งเจ้าเข้าตระกูล”
“หึหึ ลูกไม่คิดจะออกเรือนเจ้าค่ะ ดีเสียอีกที่ไม่มีผู้ใดอยากแต่งลูกเข้าจวน ลูกจะได้อยู่ดูแลท่านพ่ออย่างไรเล่าเจ้าคะ” นางเอียงคอมองบิดาอย่างน่าเอ็นดู
“เอาเถิดเมื่อเจ้าดึงดันเช่นนี้ พ่อจะพูดสิ่งใดได้” เขาลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่
“ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ ที่เข้าใจลูก”
เยว่ชิงจัดเตรียมเรื่องโรงหมอของนาง จนไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่น เมื่อรู้ตัวอีกที อาอิงก็นำข่าวเรื่องการแต่งงานของกงหลี่เฉียงและซิงเยียนมาเล่าให้ฟังอย่างสนุกปาก
“เจ้าว่าอย่างไรนะ แม่นางตู้ไม่นำสินเดิมติดตัวมาด้วยเลยรึ” นางเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“เจ้าค่ะ ชาวเมืองพูดกันอย่างสนุกปาก แม้แต่สินสอดที่ไปตบแต่งก็มีเพียงแค่สองหีบเท่านั้น เป็นผ้าพับไปเอาหนึ่งหีบ อีกหีบปิดเอาไว้คนอื่นยังคิดว่าใส่ก้อนหินไว้เลยเจ้าค่ะ”
“หึ ข้าอยากจะรู้ตู้ซื่อนางจะทำหน้าเช่นไร” เยว่ชิงยิ้มมุมปาก
เมื่อชาติที่แล้ว นางแต่งเข้าไปเพียงวันเดียวก็ให้นางนำสินเดิมออกมาชดใช้หนี้แล้ว แต่นี่ซิงเยียนนางไม่แม้แต่จะนำสินเดิมติดตัวมาด้วย ไม่รู้ว่าตระกูลกงจะผ่านเรื่องหนี้สินไปได้อย่างไร
“คุณหนู หากท่านอยากจะรู้ บ่าวจะให้คนไปสืบเรื่องให้เจ้าค่ะ” อาอิงเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“ไม่ต้องแล้ว เรื่องจวนตระกูลกง เกี่ยวอันใดกับข้าเล่า เจ้าก็ไปพักเสียเถิด พรุ่งนี้จะเปิดโรงหมอวันแรกคงจะวุ่นวายไม่น้อย” นางบีบจมูกของอาอิงอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะไล่ให้นางไปนอนพัก
เมื่อเห็นว่าอาอิงเดินออกไปจากห้องแล้ว เยว่ชิงก็ไปหยุดยืนที่หน้าต่าง
“ท่านมาอีกทำไมเพคะ” นางกอดอกพิงกำแพงห้องเอ่ยถามอย่างสงสัย
เว่ยอ๋องค่อยๆ เปิดหน้าต่างเข้ามา ก่อนจะกระโดดเข้ามาด้านใน แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ เขาทำราวกับว่าเป็นห้องของเขาเสียอย่างนั้น
“เปิ่นหวางว่าจะนำเรื่องสนุกมาเล่าให้เจ้าฟังเสียหน่อย หากไม่อยากรู้เปิ่นหวางกลับก็ได้” เขาเอ่ยออกมาอย่างน้อยใจ
“เช่นนั้นหม่อมฉันไม่ส่งนะเพคะ” เยว่ชิงหมุนตัวเดินไปที่ที่นอนของนาง
“ชิงชิง เจ้าทำกับเปิ่นหวางเช่นนี้ได้อย่างไร เปิ่นหวางรึอุตส่าห์นำข่าวดีมาบอกเจ้า”
เมื่อได้ยินเสียงตัดพ้อของเขา เยว่ชิงจำต้องเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามเขาอย่างเอาใจ
“เช่นนั้นท่านก็พูดเถิด ข้าจะนั่งฟังอย่างดี” นางอมยิ้มหยอกล้อเขา ที่ทำตัวราวกับเด็กน้อย
“มานั่งตรงนี้” เขาตบลงที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างตัวของเขา
เยว่ชิงเลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม เหตุใดนางต้องไปนั่งใกล้เขาขนาดนั้นด้วย เมื่อเห็นว่านางไม่ยอมมานั่งข้างตน เว่ยอ๋องจึงเสนอตัวไปนั่งข้างนางแทน
“เรื่องที่เปิ่นหวางจะเล่า ต้องพูดเสียงเบากลัวเจ้าจะไม่ได้ยิน” เขากระซิบข้างหูของนาง จนเยว่ชิงต้องกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย คนเจ้าเล่ห์ก็คือคนเจ้าเล่ห์
“จะเล่าได้หรือยังเพคะ” นางเอ่ยถามอย่างหงุดหงิดที่เขาเอาแต่นั่งมองหน้านาง ไม่ยอมเอ่ยเสียที
“กงป๋อเหวินยักยอกเงินในกรมพิธีการไปไม่น้อย อาซีตรวจพบเรื่องนี้ เห็นทีคงจะถูกจับในไม่ช้า” เยว่ชิงหันไปมองที่เว่ยอ๋องอย่างไม่อยากเชื่อว่านายท่านกงจะใจกล้าถึงเพียงนี้
เสิ้นเจิ้งซี เขาน่าจะหายดีแล้ว แต่กลับบาดเจ็บจนนอนซมเช่นเขา เพียงเท่านี้เว่ยอ๋องก็รู้แล้วว่าสหายของตนคิดเช่นใดกับแม่นางน้อยที่เพิ่งเจอเพราะเรื่องของเยว่ชิงทำให้ซูหนี่นางตกกระไดพลอยโจร ติดตามเว่ยอ๋องและเสิ้นเจิ้งซีเข้าเมืองหลวง หลังจากที่นางรู้ว่าทั้งสองมาสืบเรื่องชนเผ่านอกด่านก็ไม่คิดไล่พวกเขาอีกหลังจากที่เดินทางกลับมาพร้อมพวกเขาทั้งสอง นางได้ติดตามไปหาเยว่ชิงที่อยู่เมืองเจียงซาน จนภายหลังนางได้มาเป็นบุตรสาวบุญธรรมของหมอหลิว ซูหนี่นางมาอยู่ที่โรงหมอฮุ่ยซิว ตรวจคนไข้แทนเยว่ชิงที่กำลังตั้งครรภ์นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเสิ่นเจิ้งซีคิดเช่นใดกับนาง เพียงแต่นางอายุเพิ่งจะสิบเจ็ดหนาวเท่านั้น สำหรับผู้อื่นถือว่าออกเรือนช้า แต่สำหรับนางคิดว่าเร็วไปด้วยซ้ำแต่เมื่อถูกเยว่ชิงนางช่วยพูดให้เสิ่นเจิ้งซีทุกคน จิตใจของนางก็เริ่มสั่นคลอน“หนี่เออร์ เจ้ารู้เรื่องที่ใต้เท้าเสิ่นต้องเดินทางไปประจำการที่เมืองเหอตงแล้วหรือไม่” เยว่ชิงเอ่ยถามซูหนี่เมื่อนางมาเล่นกับหลานชาย“ไม่เจ้าค่ะ” ซูหนี่นางตกใจไม่น้อย เพราะว่านางไม่ได้พบเสิ่นเจิ้งซีมาหลายวันแล้ว“เห็นว่าจะออกเดินทางเร็วๆ นี้” เยว่ชิงลอบสังเกตอาการของซ
“ดูท่าแล้วสหายของเจ้าคงจะตายในไม่ช้า” นางเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากอกของเขาไม่น้อย ทั้งยังลูกธนูที่ฝังอยู่ในอกของเขาด้วย“แม่นาง เจ้าไปตามหมอมาให้ข้าได้หรือไม่” น้ำเสียงที่เขาเอ่ยกับนางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด“ข้าเป็นหมอ ยังจะต้องไปตามผู้ใดอีก หากไม่อยากให้สหายของเจ้าตายก็เอาดาบออกไปจากคอข้าเสีย” นางไม่รู้ว่าพวกเขาใช่คนร้ายหรือไม่ แต่ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะตัวนางมิอาจสู้พวกเขาได้“อย่าได้คิดเล่นเล่ห์กับข้า” เขาเอ่ยเตือนนางอีกครั้ง“เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ท่านี้กับข้าทั้งคืนก็ได้ ข้าไม่ได้เดือดร้อน” นางเอ่ยออกมาอย่างใจเย็นหากเขาจะฆ่านางคงไม่ต่อปากต่อคำกับนางนานเพียงนี้บุรุษด้านหลังของซูหนี่วางดาบลง แล้วเข้าไปดูสหายของเขาทันทีซูหนี่ยืนกอดอกมองอย่างใจเย็น เขาหันมาทางนาง พร้อมทั้งขอร้องให้ช่วย“เจ้าก็พาเขาเข้าไปในเรือนของข้าสิ หรือต้องให้ข้าเข้าไปช่วยอุ้มด้วยอีกคน” นางเลิกคิ้วถามอย่างยียวน เมื่อครู่เอาดาบจ่อคอนางได้ ก็คงจะมีแรงเหลือแบกเพื่อเข้าไปด้านในเมื่อเห็นว่านางคงไม่ช่วย บุรุษผู้นั้นก็แบกร่างของสหายเข้าไปด้านในเรือน ซูหนี่นางจึงเดินตามเขาไป เพื่อช่วยดูอาการของเขา“ถอดเสื้อของเขาออก แล้วเจ้
ซูหนี่นำออกมาอีกครั้ง แต่นางไม่ยื่นไปต่อหน้าเขา เปิดออกให้ดูบนมือของนางแทน โสมหัวใหญ่ถูกเปิดออกให้ดูเพียงชั่วครู่เดียวก็ทำให้หลงจู๊ตกตะลึงได้แล้ว“เชิญพวกเจ้าเข้าไปรอในห้องรับรองก่อน ข้าจะไปตามท่านหมอมาประเมินราคาให้” หลงจู๊เรียกเสี่ยวเอ้อให้พาทั้งสามเข้าไปนั่งรอให้ห้องรับรอง“ท่านป้า พี่หลาง อีกครู่พวกท่านเพียงนั่งนิ่งๆ ก็พอเจ้าค่ะ ข้าจะต่อรองเรื่องราคาเอง อย่าได้แสดงสีหน้าอันใดออกมาเด็ดขาด หากพวกท่านไม่อยากได้ราคาที่น้อยลง” ทั้งสองรีบพยักหน้ารับอบย่างเชื่อฟังป้าชงอดมองเด็กสาวตรงหน้าของเขาไม่ได้ นางใจกล้าถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ตอนที่ต่อรองกับหลงจู๊นางไม่มีท่าทางที่ตื่นกลัวเลยสักนิดทั้งสามนั่งรอเพียงไม่นาน หลงจู๊ก็เดินนำท่านหมอเข้ามาด้านใน“ไหนเจ้าเอามาให้ข้าดูเสียหน่อย” เขาร้องถามอย่างตื่นเต้น หากหลงจู๊ไม่ได้มองผิดไปโสมหัวใหญ่เพียงนั้นย่อมมีราคาไม่น้อยกว่าห้าร้อยปีเป็นแน่ครั้งนี้ซูหนี่นางไม่ได้เล่นตัวแต่อย่างใด นางนำโสมขึ้นมาวางตรงหน้าของท่านหมอ เมื่อเขาได้เห็นก็อุทานออกมาทันที“สวรรค์ โสมพันปี เจ้า เจ้าไปเจอได้อย่างไร”“ท่านจะรับซื้อหรือไม่เจ้าคะ” นางไม่เอ่ยตอบเพราะไม่อยากเ
เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น บิดาของซูหนี่ได้เข้าขวางกลุ่มชนเผ่านอกด่านไว้ เพื่อให้ทุกคนได้หลบหนี แต่มารดาของนางไม่ยอมทิ้งบิดาแล้วหนีไปเพียงลำพังจึงได้จบชีวิตลงไปด้วยอีกคน“ท่านป้าข้ามีอะไรจะให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูหนี่ส่งห่อผ้าที่นางนำมาด้วยให้ป้าชง“สวรรค์ ของดีเช่นนี้ เจ้ามิเก็บไว้เอง” นางร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าด้านในคือสิ่งใด“ข้ามีสองหัวเจ้าค่ะ แบ่งให้ท่านหนึ่งหัว เพื่อขอบคุณท่านที่ดูแลข้ามาเป็นอย่างดี” ซูหนี่นางจึงเล่าเรื่องว่านางพบโสมได้อย่างไรให้ป้าชงฟัง“เด็กดี อย่างน้อยสวรรค์ก็เมตตาเจ้าแล้ว” ซูหนี่ยิ้มไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าที่นางมาที่นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายสำหรับนางกันแน่“ข้าจะเข้าไปขายโสมที่เมืองพรุ่งนี้ ท่านป้าจะไปพร้อมข้าหรือไม่”“ไปๆ” เพราะอาหารที่เรือนของนางก็เริ่มจะหมดแล้ว อย่างไรก็ต้องเดินทางเข้าเมืองอยู่ดี“ท่านป้า ทางที่ดีเรื่องโสม ท่านอย่าเพิ่งบอกผู้ใดนะเจ้าคะ” ซูหนี่นางกลัวว่าหากผู้อื่นรู้จะเข้ามาขโมยไปเสีย“ข้าเข้าใจแล้ว”เมื่อพูดคุยกันอีกเพียงไม่กี่ประโยคซูหนี่นางก็ขอตัวกลับเรือน เมื่อมาถึงเรือนนางก็เข้าไปพักในมิติทันทีรุ่งเช้าซูหนี่เก็บข้าวของที
ด้านหน้าของนาง ที่ใกล้ปากถ้ำ มีต้นโสมอยู่หลายหัว ในตอนแรกนางกลัวว่าตาจะฝาดไป จึงได้เดินเข้ามาดูใกล้ๆ“แล้วจะเก็บยังไง อะไรก็ไม่มีให้ขุด” เมื่อซูหนี่ยื่นมือออกไปที่โสมตรงหน้า ระหว่างที่นางใช้ความคิดว่าจะเอาสิ่งใดมาขุดโสม จึงไม่ได้ทันเห็นว่าโสมนับสิบหัวที่อยู่ในดินเมื่อครู่หายไปหมดแล้ว“เฮ้ยยย” นางร้องออกมาอย่างตกใจ พร้อมทั้งลุกขึ้น แล้วเดินหาว่าโสมหายไปได้อย่างไร นางขยี้ตาอยู่หลายหน พื้นดินตรงหน้าก็ยังว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม“โสมของข้า” นางทรุดตัวลง แล้วร้องออกมาเสียงดังอย่างเสียใจแต่แล้วก็มีโสมโผล่ขึ้นมาอยู่ในมือของนางทันที เมื่อนางร้องเรียกโสมเสร็จ“เฮ้ยย” ซูหนี่โยนโสมทิ้งอย่างตกใจ นางก้มลงมองมือของนาง ก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นแหวนหยกแบบเดียวกับที่นางได้มาจากร้านขายยาอยู่ที่นิ้วของนาง“คงไม่ใช่มั้ง” นางครุ่นคิด ก่อนจะคลานไปหยิบโสมที่นางโยนทิ้งไปกลับมาอีกครั้งในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และอยากรู้ว่าสิ่งที่คิดไว้มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ซูหนี่จึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เก็บ” นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อโสมในมือหายไปทันทีที่นางพูดจบนางทำเช่นเดิมอยู่หลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้
ซูหนี่แพทย์สาว เธอทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อดังในกรุงปักกิ่ง เพราะชื่อเสียงเรื่องการผ่าตัดของเธอทำให้มีคนไข้มากมายต้องการจะรักษากับเธอ แม้จะต้องรอคิวนับเดือนก็ตาม“หมอไป๋คะ วันนี้มีคิวผ่าตัดสามคิว คุณจะให้ฉันเตรียมห้องผ่าตัดเลยไหม” พยาบาลเดินเข้ามาหาไป๋ซูหนี่ที่ห้องทำงานของเธอเธอยกยิ้มที่มุมปาก เพราะเธอเพิ่งจะเดินทางมาถึง กาแฟสักแก้วก็ยังไม่ได้กิน จะตามให้เธอไปผ่าตัดเลยหรือไง แต่เธอก็ต้องตอบไปว่า“ได้ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว”ในแต่ละวันของเธอไม่มีสิ่งใด มากไปกว่าอยู่ที่ห้องผ่าตัดและกลับไปพักที่ห้องพักข้างโรงพยาบาล เหตุผลที่เธอเลือกเรียนหมอ คงเป็นเพราะแม่ของเธอป่วยหนัก เธอที่ได้แต่ยืนมองพยาบาลเข็นแม่เธอเข้าห้องผ่าตัดไปโดยทำอะไรไม่ได้ครั้งนั้นแม่ของเธอไม่ได้ออกมาจากห้องแบบมีลมหายใจ เธอเสียชีวิตเพราะช็อกจากการผ่าตัด ทำให้ซูหนี่ตั้งมั่นไว้แล้วว่าเธอจะต้องเรียนหมอ เพื่อช่วยคนที่ป่วยเหมือนแม่ของเธอนอกจากที่เธอจะเลือกเรียนแพทย์ปัจจุบันแล้ว เธอยังสนใจเรื่องสมุนไพรของแพทย์แผนจีนไม่น้อย หลังจากที่มีเวลาว่างจากเรื่องเรียน เธอจะไปช่วยงานที่ร้านขายยาแผนจีน เพื่อหาความรู้และหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่