เยว่ชิงยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เมื่อชาติที่แล้วก็เอ่ยกับนางเช่นนี้ เพื่อให้นางวุ่นวายอยู่กับการดูแลมารดาของเขา
“เห็นทีจะไม่ได้ เจ้าไม่ได้ยินที่นางพูดรึ ให้พามารดาเจ้ามาที่โรงหมอ” เว่ยอ๋องเอ่ยเสียงเย็นออกมา
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านกระมังท่านอ๋อง มารดาของข้ามิอาจลุกขึ้นจากเตียงได้ จะพานางมาได้อย่างไรเล่า”
เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ ที่เว่ยอ๋องมาขัดขวางเขาเช่นนี้
“ช่างเถิด ข้าจะไปดูนางเสียหน่อย” เยว่ชิงไม่อยากฟังพวกเขาทะเลาะกัน และนางก็เหนื่อยมากแล้วด้วยวันนี้ นางไม่อยากให้ตระกูลกงหาเรื่องปล่อยข่าวว่านางใจแคบไม่ยอมไปตรวจให้ตู้ซื่อที่จวน
“เช่นนั้นเปิ่นหวางจะไปกับเจ้าด้วย” เยว่ชิงโบกมือแล้วแต่เขาเลย นางเดินกลับเข้าไปเตรียมของ ก่อนจะพาอาอิงไปที่รถม้าเพื่อไปที่จวนตระกูลกง
นางก็อยากจะเห็นว่าตู้ซื่อล้มป่วยจริงหรือนางเพียงแต่แสดงงิ้วเช่นเมื่อชาติที่แล้ว
เว่ยอ๋องกระโดดขึ้นมานั่งรถม้าของเยว่ชิง เขาหันไปยิ้มเยาะให้กงหลี่เฉียงที่ในตอนแรกเขาจะขึ้นมานั่งคันของนาง
“คุณชายกง หากท่านจะนั่งคันนี้เห็นทีจะไม่ได้ เปิ่นหวางไม่ชอบนั่งเบียดกับผู้ใด”
เยว่ชิงที่นั่งกุมขมับอยู่ในรถม้า ปรายตามองเว่ยอ๋องอย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านไม่ชอบนั่งเบียดกับผู้ใด แล้วจะมานั่งรถม้าหม่อมฉันเพื่ออันใดเล่า”
“นั่งเบียดกับเจ้าได้” เขานั่งลงข้างนางโดยไม่สนสายตาที่มองมาอย่างไม่พอใจของเยว่ชิง
“ท่านชอบให้ถูกเนื้อต้องตัวสตรีเช่นนี้รึ” นางอดจะถากถางเขาไม่ได้ เมื่อเขามานั่งชิดกับนาง
“เหอะ ชิงชิง นางคณิกาพวกนั้น เพียงต้องการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าสนิทสนมกับเปิ่นหวาง แต่แท้จริงแล้วเปิ่นหวางไม่เคยเรียกพวกนางมานั่งข้างกายเลยสักครั้ง” เขาเอ่ยออกมาอย่างน่าสงสาร ราวกับว่าตนเองเป็นผู้ถูกกระทำ
“ท่านจะแสดงให้ผู้ใดดู” นางผลักตัวเขาให้ออกห่างจากนาง
“ชิงชิง เจ้าไปถามอาซีได้ เรื่องนี้เปิ่นหวางถูกใส่ร้าย” เว่ยอ๋องวางศีรษะของเขาที่ไหล่มนของนาง
“ท่านอ๋อง มันจะมากไปแล้วเพคะ” นางเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา
“เจ้าคิดเช่นไร ถึงได้ยอมมาตรวจให้ตู้ซื่อ” เขารีบเปลี่ยนเรื่องทันที แต่ศีรษะก็ยังวางอยู่เช่นเดิม
“หม่อมฉันอยากจะเห็นด้วยตาของตนเอง ว่านางล้มป่วยจริงหรือเพียงแค่เล่นงิ้ว”
เยว่ชิงที่เริ่มจะเหนื่อยล้าก็พิงหัวกับผนังรถม้า พร้อมทั้งหลับตาลง เว่ยอ๋องที่เห็นเช่นนั้น ก็ประคองนางให้หลับอยู่ในอ้อมอกของเขาแทน
“คุณหนูถึงแล้วเจ้าค่ะ” เสียงของอาอิงร้องบอกว่าถึงจวนตระกูลกงแล้ว
“อืม” เยว่ชิงตอบรับ ก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ นางจึงได้รู้ว่านางอยู่ในอ้อมกอดของเว่ยอ๋อง
“ท่านอ๋อง” นางเอ่ยตำหนิเขา
“ก็เจ้าหลับ จะให้เปิ่นหวางทำเช่นใด เปิ่นหวางรึอุตส่าห์หวังดีแต่กลับถูกเจ้าตำหนิได้”
“เอาเถิดเจ้าค่ะ เป็นหม่อมฉันที่ผิด” นางขี้เกียจจะเถียงกับเขาแล้ว
เมื่อลงมาจากรถม้าก็เห็นว่ากงหลี่เฉียงรอรับนางอยู่ที่ทางลงของรถม้า
“ไม่รบกวนคุณชายกง นางมากับเปิ่นหวาง เปิ่นหวางดูแลนางได้” เว่ยอ๋องยื่นมือไปรับเยว่ชิงเพื่อพาลงจากรถม้า
ครั้งนี้นางเอื้อมมือไปจับที่มือของเขา ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในจวนกับอาอิง โดยไม่รู้ว่าบุรุษสองคนข้างหลังนางกำลังส่งสายตาสังหารกันอยู่
กงหลี่เฉียงมองเว่ยอ๋องอย่างโกรธแค้น ยิ่งเว่ยอ๋องกำลังยิ้มเยาะเขาอยู่ ก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะพุ่งเข้าไปทำร้ายเสียให้สาสม แต่หากทำเช่นที่ใจคิด โทษทำร้ายเชื้อพระวงศ์เขาคงมิอาจรับไว้ได้
เยว่ชิง นางดินเข้าไปที่เรือนของตู้ซื่อ โดยไม่ต้องมีผู้ใดมานำทาง จนอาอิงก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ ว่าคุณหนูของนางรู้ได้อย่างไรว่าเรือนของตู้ซื่ออยู่ที่ใดในจวน
“คุณหนู ท่านรู้หรือยังเจ้าคะ ว่าเรือนพักของฮูหยินกงอยู่ที่ใด” เยว่ชิงชะงักฝ่าเท้าทันที
นางลืมไปได้อย่างไรว่า ในชาตินี้ตัวนางยังมิเคยมาเยือนที่เรือนหลังของตระกูลกง เมื่อก่อนที่เคยมาก็เพียงอยู่ที่ห้องโถงเรือนหลักเท่านั้น
“จริงด้วย ข้าจะรู้ได้อย่างไร” นางยิ้มเยาะตนเองออกมา ที่ยังไม่ลืมทุกส่วนที่อยู่ในจวนตระกูลกง
ระหว่างที่สองนายบ่าวกำลังสนทนาและหยุดรอให้กงหลี่เฉียงมานำทาง ด้านหน้าก็มีเสียงใสของสตรีเอ่ยขึ้น
“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร” ซิงเยียนเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาอย่างไม่พอใจ
เยว่ชิงเพียงปรายตามอง แล้วเก็บสายตากลับมาทันที นางไม่คิดอยากจะสนทนากับซิงเยียนให้มากความ
“ข้าถามเจ้า เหตุใดไม่พูด” ซิงเยียนเดินเข้ามาใกล้ อาอิงจึงได้ไปขวางอยู่ตรงหน้าเยว่ชิงเพราะกลัวว่านางจะทำร้ายคุณหนูของตน
“หึ ถามสามีเจ้าดีหรือไม่ ว่าเหตุใดถึงต้องไปตามข้ามาอย่างร้อนใจเช่นนี้” นางยิ้มเยาะซิงเยียน
ในชาติที่แล้วเป็นนางที่ถูกทำให้ขาดสติ โวยวายกลายเป็นสตรีใจแคบ ส่วนซิงเยียนนางเป็นดั่งแม่ดอกบัวขาวที่ควรค่าแก่การทะนุถนอม นางก็อยากจะรู้ว่าชาติน้ำซิงเยียนยังจะรักษาหน้ากากของนางไว้ได้หรือไม่
“เจ้า ข้าไม่เชื่อ คงเป็นเจ้าที่วิ่งโร่เข้ามาที่จวนเช่นนี้” นางเดินเข้ามาผลักตัวอาอิงออกให้สาวใช้ของนางจับตัวไว้ ก่อนที่จะเข้ามาทำร้ายเยว่ชิง
เยว่ชิงเบิกตากว้างอย่างตกใจ นางไม่คิดว่าซิงเยียนจะกล้าทำร้ายนาง แต่คนเช่นนางหรือจะยอมให้ผู้ใดมารังแกได้
ตำราการแพทย์ของท่านพ่อ มิได้มีเพียงความแค่ให้ศึกษาวิธีการรักษาและประโยชน์ของสมุนไพร ยังบอกจุดชีพจร ทั้งยังตำแหน่งที่ถูกทำร้ายแล้วจะเจ็บปวดที่สุดและยังไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้คนรู้อีกด้วย
แต่นางไม่คิดจะทำร้ายซิงเยียนจนถึงเจ็บหนักเช่นนั้น เมื่อซิงเยียนกระชากตัวเยว่ชิงเข้ามาเพื่อตบตีนาง เยว่ชิงใช้สันมือกระแทกเข้าไปที่ลิ้นปี่ของนาง เป็นจังหวะเดียวกันที่ฝ่ามือของซิงเยียนตบลงมาที่ใบหน้าของเยว่ชิง
แม้จะไม่เต็มแรงของนาง แต่ก็ทำให้ผิวหน้าที่ขาวผ่องของเยว่ชิงเกิดรอยแดงขึ้นมาทันที กงหลี่เฉียงและเว่ยอ๋องเดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดพอดี
จากสายตาของทั้งคู่ทำให้เห็นว่าซิงเยียนกำลังทำร้ายเยว่ชิง โดยที่เยว่ชิงเพียงแค่ผลักตัวซิงเยียนออกไป
“ชิงชิง/ชิงชิง” ทั้งสองร้องเรียกนางออกมาพร้อมกัน
เว่ยอ๋องถึงตัวเยว่ชิงก่อน เมื่อเห็นรอยแดงบนใบหน้าของนาง เขาก็มองไปที่ซิงเยียนอย่างโกรธแค้น กงหลี่เฉียงทรุดตัวนั่งลงข้างเยว่ชิงเช่นกัน
“คุณชายกง เจ้าควรจะไปดูภรรยาของเจ้า” เขามองกงหลี่เฉียงอย่างตำหนิ
“โอ๊ยยย ท่านพี่ ข้าปวดท้องเจ้าค่ะ” ซิงเยียนร้องโอดครวญ นางจุกท้องไปหมด
“ลุกขึ้นเสีย เหตุใดเจ้าถึงทำร้ายคุณหนูหลิวเช่นนี้!!!” กงหลี่เฉียงมองซิงเยียนอย่างไม่พอใจ
เสิ้นเจิ้งซี เขาน่าจะหายดีแล้ว แต่กลับบาดเจ็บจนนอนซมเช่นเขา เพียงเท่านี้เว่ยอ๋องก็รู้แล้วว่าสหายของตนคิดเช่นใดกับแม่นางน้อยที่เพิ่งเจอเพราะเรื่องของเยว่ชิงทำให้ซูหนี่นางตกกระไดพลอยโจร ติดตามเว่ยอ๋องและเสิ้นเจิ้งซีเข้าเมืองหลวง หลังจากที่นางรู้ว่าทั้งสองมาสืบเรื่องชนเผ่านอกด่านก็ไม่คิดไล่พวกเขาอีกหลังจากที่เดินทางกลับมาพร้อมพวกเขาทั้งสอง นางได้ติดตามไปหาเยว่ชิงที่อยู่เมืองเจียงซาน จนภายหลังนางได้มาเป็นบุตรสาวบุญธรรมของหมอหลิว ซูหนี่นางมาอยู่ที่โรงหมอฮุ่ยซิว ตรวจคนไข้แทนเยว่ชิงที่กำลังตั้งครรภ์นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเสิ่นเจิ้งซีคิดเช่นใดกับนาง เพียงแต่นางอายุเพิ่งจะสิบเจ็ดหนาวเท่านั้น สำหรับผู้อื่นถือว่าออกเรือนช้า แต่สำหรับนางคิดว่าเร็วไปด้วยซ้ำแต่เมื่อถูกเยว่ชิงนางช่วยพูดให้เสิ่นเจิ้งซีทุกคน จิตใจของนางก็เริ่มสั่นคลอน“หนี่เออร์ เจ้ารู้เรื่องที่ใต้เท้าเสิ่นต้องเดินทางไปประจำการที่เมืองเหอตงแล้วหรือไม่” เยว่ชิงเอ่ยถามซูหนี่เมื่อนางมาเล่นกับหลานชาย“ไม่เจ้าค่ะ” ซูหนี่นางตกใจไม่น้อย เพราะว่านางไม่ได้พบเสิ่นเจิ้งซีมาหลายวันแล้ว“เห็นว่าจะออกเดินทางเร็วๆ นี้” เยว่ชิงลอบสังเกตอาการของซ
“ดูท่าแล้วสหายของเจ้าคงจะตายในไม่ช้า” นางเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากอกของเขาไม่น้อย ทั้งยังลูกธนูที่ฝังอยู่ในอกของเขาด้วย“แม่นาง เจ้าไปตามหมอมาให้ข้าได้หรือไม่” น้ำเสียงที่เขาเอ่ยกับนางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด“ข้าเป็นหมอ ยังจะต้องไปตามผู้ใดอีก หากไม่อยากให้สหายของเจ้าตายก็เอาดาบออกไปจากคอข้าเสีย” นางไม่รู้ว่าพวกเขาใช่คนร้ายหรือไม่ แต่ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะตัวนางมิอาจสู้พวกเขาได้“อย่าได้คิดเล่นเล่ห์กับข้า” เขาเอ่ยเตือนนางอีกครั้ง“เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ท่านี้กับข้าทั้งคืนก็ได้ ข้าไม่ได้เดือดร้อน” นางเอ่ยออกมาอย่างใจเย็นหากเขาจะฆ่านางคงไม่ต่อปากต่อคำกับนางนานเพียงนี้บุรุษด้านหลังของซูหนี่วางดาบลง แล้วเข้าไปดูสหายของเขาทันทีซูหนี่ยืนกอดอกมองอย่างใจเย็น เขาหันมาทางนาง พร้อมทั้งขอร้องให้ช่วย“เจ้าก็พาเขาเข้าไปในเรือนของข้าสิ หรือต้องให้ข้าเข้าไปช่วยอุ้มด้วยอีกคน” นางเลิกคิ้วถามอย่างยียวน เมื่อครู่เอาดาบจ่อคอนางได้ ก็คงจะมีแรงเหลือแบกเพื่อเข้าไปด้านในเมื่อเห็นว่านางคงไม่ช่วย บุรุษผู้นั้นก็แบกร่างของสหายเข้าไปด้านในเรือน ซูหนี่นางจึงเดินตามเขาไป เพื่อช่วยดูอาการของเขา“ถอดเสื้อของเขาออก แล้วเจ้
ซูหนี่นำออกมาอีกครั้ง แต่นางไม่ยื่นไปต่อหน้าเขา เปิดออกให้ดูบนมือของนางแทน โสมหัวใหญ่ถูกเปิดออกให้ดูเพียงชั่วครู่เดียวก็ทำให้หลงจู๊ตกตะลึงได้แล้ว“เชิญพวกเจ้าเข้าไปรอในห้องรับรองก่อน ข้าจะไปตามท่านหมอมาประเมินราคาให้” หลงจู๊เรียกเสี่ยวเอ้อให้พาทั้งสามเข้าไปนั่งรอให้ห้องรับรอง“ท่านป้า พี่หลาง อีกครู่พวกท่านเพียงนั่งนิ่งๆ ก็พอเจ้าค่ะ ข้าจะต่อรองเรื่องราคาเอง อย่าได้แสดงสีหน้าอันใดออกมาเด็ดขาด หากพวกท่านไม่อยากได้ราคาที่น้อยลง” ทั้งสองรีบพยักหน้ารับอบย่างเชื่อฟังป้าชงอดมองเด็กสาวตรงหน้าของเขาไม่ได้ นางใจกล้าถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ตอนที่ต่อรองกับหลงจู๊นางไม่มีท่าทางที่ตื่นกลัวเลยสักนิดทั้งสามนั่งรอเพียงไม่นาน หลงจู๊ก็เดินนำท่านหมอเข้ามาด้านใน“ไหนเจ้าเอามาให้ข้าดูเสียหน่อย” เขาร้องถามอย่างตื่นเต้น หากหลงจู๊ไม่ได้มองผิดไปโสมหัวใหญ่เพียงนั้นย่อมมีราคาไม่น้อยกว่าห้าร้อยปีเป็นแน่ครั้งนี้ซูหนี่นางไม่ได้เล่นตัวแต่อย่างใด นางนำโสมขึ้นมาวางตรงหน้าของท่านหมอ เมื่อเขาได้เห็นก็อุทานออกมาทันที“สวรรค์ โสมพันปี เจ้า เจ้าไปเจอได้อย่างไร”“ท่านจะรับซื้อหรือไม่เจ้าคะ” นางไม่เอ่ยตอบเพราะไม่อยากเ
เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น บิดาของซูหนี่ได้เข้าขวางกลุ่มชนเผ่านอกด่านไว้ เพื่อให้ทุกคนได้หลบหนี แต่มารดาของนางไม่ยอมทิ้งบิดาแล้วหนีไปเพียงลำพังจึงได้จบชีวิตลงไปด้วยอีกคน“ท่านป้าข้ามีอะไรจะให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูหนี่ส่งห่อผ้าที่นางนำมาด้วยให้ป้าชง“สวรรค์ ของดีเช่นนี้ เจ้ามิเก็บไว้เอง” นางร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าด้านในคือสิ่งใด“ข้ามีสองหัวเจ้าค่ะ แบ่งให้ท่านหนึ่งหัว เพื่อขอบคุณท่านที่ดูแลข้ามาเป็นอย่างดี” ซูหนี่นางจึงเล่าเรื่องว่านางพบโสมได้อย่างไรให้ป้าชงฟัง“เด็กดี อย่างน้อยสวรรค์ก็เมตตาเจ้าแล้ว” ซูหนี่ยิ้มไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าที่นางมาที่นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายสำหรับนางกันแน่“ข้าจะเข้าไปขายโสมที่เมืองพรุ่งนี้ ท่านป้าจะไปพร้อมข้าหรือไม่”“ไปๆ” เพราะอาหารที่เรือนของนางก็เริ่มจะหมดแล้ว อย่างไรก็ต้องเดินทางเข้าเมืองอยู่ดี“ท่านป้า ทางที่ดีเรื่องโสม ท่านอย่าเพิ่งบอกผู้ใดนะเจ้าคะ” ซูหนี่นางกลัวว่าหากผู้อื่นรู้จะเข้ามาขโมยไปเสีย“ข้าเข้าใจแล้ว”เมื่อพูดคุยกันอีกเพียงไม่กี่ประโยคซูหนี่นางก็ขอตัวกลับเรือน เมื่อมาถึงเรือนนางก็เข้าไปพักในมิติทันทีรุ่งเช้าซูหนี่เก็บข้าวของที
ด้านหน้าของนาง ที่ใกล้ปากถ้ำ มีต้นโสมอยู่หลายหัว ในตอนแรกนางกลัวว่าตาจะฝาดไป จึงได้เดินเข้ามาดูใกล้ๆ“แล้วจะเก็บยังไง อะไรก็ไม่มีให้ขุด” เมื่อซูหนี่ยื่นมือออกไปที่โสมตรงหน้า ระหว่างที่นางใช้ความคิดว่าจะเอาสิ่งใดมาขุดโสม จึงไม่ได้ทันเห็นว่าโสมนับสิบหัวที่อยู่ในดินเมื่อครู่หายไปหมดแล้ว“เฮ้ยยย” นางร้องออกมาอย่างตกใจ พร้อมทั้งลุกขึ้น แล้วเดินหาว่าโสมหายไปได้อย่างไร นางขยี้ตาอยู่หลายหน พื้นดินตรงหน้าก็ยังว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม“โสมของข้า” นางทรุดตัวลง แล้วร้องออกมาเสียงดังอย่างเสียใจแต่แล้วก็มีโสมโผล่ขึ้นมาอยู่ในมือของนางทันที เมื่อนางร้องเรียกโสมเสร็จ“เฮ้ยย” ซูหนี่โยนโสมทิ้งอย่างตกใจ นางก้มลงมองมือของนาง ก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นแหวนหยกแบบเดียวกับที่นางได้มาจากร้านขายยาอยู่ที่นิ้วของนาง“คงไม่ใช่มั้ง” นางครุ่นคิด ก่อนจะคลานไปหยิบโสมที่นางโยนทิ้งไปกลับมาอีกครั้งในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และอยากรู้ว่าสิ่งที่คิดไว้มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ซูหนี่จึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เก็บ” นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อโสมในมือหายไปทันทีที่นางพูดจบนางทำเช่นเดิมอยู่หลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้
ซูหนี่แพทย์สาว เธอทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อดังในกรุงปักกิ่ง เพราะชื่อเสียงเรื่องการผ่าตัดของเธอทำให้มีคนไข้มากมายต้องการจะรักษากับเธอ แม้จะต้องรอคิวนับเดือนก็ตาม“หมอไป๋คะ วันนี้มีคิวผ่าตัดสามคิว คุณจะให้ฉันเตรียมห้องผ่าตัดเลยไหม” พยาบาลเดินเข้ามาหาไป๋ซูหนี่ที่ห้องทำงานของเธอเธอยกยิ้มที่มุมปาก เพราะเธอเพิ่งจะเดินทางมาถึง กาแฟสักแก้วก็ยังไม่ได้กิน จะตามให้เธอไปผ่าตัดเลยหรือไง แต่เธอก็ต้องตอบไปว่า“ได้ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว”ในแต่ละวันของเธอไม่มีสิ่งใด มากไปกว่าอยู่ที่ห้องผ่าตัดและกลับไปพักที่ห้องพักข้างโรงพยาบาล เหตุผลที่เธอเลือกเรียนหมอ คงเป็นเพราะแม่ของเธอป่วยหนัก เธอที่ได้แต่ยืนมองพยาบาลเข็นแม่เธอเข้าห้องผ่าตัดไปโดยทำอะไรไม่ได้ครั้งนั้นแม่ของเธอไม่ได้ออกมาจากห้องแบบมีลมหายใจ เธอเสียชีวิตเพราะช็อกจากการผ่าตัด ทำให้ซูหนี่ตั้งมั่นไว้แล้วว่าเธอจะต้องเรียนหมอ เพื่อช่วยคนที่ป่วยเหมือนแม่ของเธอนอกจากที่เธอจะเลือกเรียนแพทย์ปัจจุบันแล้ว เธอยังสนใจเรื่องสมุนไพรของแพทย์แผนจีนไม่น้อย หลังจากที่มีเวลาว่างจากเรื่องเรียน เธอจะไปช่วยงานที่ร้านขายยาแผนจีน เพื่อหาความรู้และหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่