จินเฟยหลงขี่ม้านำทุกคนไปยังบริเวณข้างลำธาร เพื่อแวะรับเสบียงและพักเอาแรงกันสักหนึ่งชั่วยาม โดยหากนับเวลาตั้งแต่ที่พวกเขาเดินทางออกมาจากจวนแม่ทัพ ตอนนี้ก็ได้ผ่านล่วงเลยมาแล้วถึงหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวัน
แล้วหลังจากที่จินเฟยหลงรับเสบียงอาหารและยาที่ผู้เป็นพี่ชายจัดเตรียมไว้ให้เสร็จ เขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองยังพระจันทร์ที่ลอยเด่นกลางท้องฟ้าอยู่ในตอนนี้
‘เหยียนชิง ยามนี้เจ้าก็คงแวะพักระหว่างทางอยู่เช่นกันสินะ’
แม้จินเฟยหลงจะรู้ดีว่ายามนี้เขาไม่ควรวอกแวก และไม่ควรจะเผลอใจไปคิดถึงเรื่องของตนเองหรือเรื่องอื่น นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับงาน แต่มันก็ทำได้ยากยิ่งกับการที่ต้องหักห้ามใจ!
แต่ด้วยเพราะชีวิตของคนอีกกว่าร้อยชีวิตที่ติดตามมาพร้อมกับเขา ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีครอบครัวและคนให้คิดถึงไม่ต่างไปจากตัวเขาเลย ดังนั้นตอนนี้เขาควรกลับมามุ่งมั่นและตั้งใจจัดการกับงานในครั้งนี้ให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อที่ตัวเขาและคนอื
เมื่อเห็นสีหน้าของบุตรชายดูแล้วอีกฝ่ายจะยังไม่เข้าใจความรักในรูปแบบของ ‘คนรัก’ จริง ๆ และดูเหมือนว่าเหรินเหยียนชิงจะยังไม่รู้ใจตัวเองเสียด้วยซ้ำ เฉิงเจียวจินจึงเริ่มกล่าวต่อ “เหยียนชิง อย่างนั้นเจ้าลองเอาคำถามสามข้อนี้ไปคิดทบทวนดูนะ ข้อแรก...เจ้าเคยหึง เคยหวง หรือเคยไม่ชอบใจยามเห็นเฟยหลงอยู่ใกล้กับสตรีหรือบุรุษอื่นบ้างหรือไม่? ข้อสอง...ยามที่มีบุรุษหรือสตรีเข้ามาเกี้ยวเจ้า เข้ามาใกล้ชิดเจ้า หรือเข้ามาสัมผัสโดนตัวเจ้า เจ้ารู้สึกเหมือนหรือแตกต่างกับยามที่เจ้าอยู่กับเฟยหลง? ข้อสาม...หากเจ้าได้คำตอบในสองข้อแรกแล้ว ให้เจ้าลองกลับไปคิดทบทวนเรื่องราวระหว่างเจ้ากับเฟยหลงดูอีกครั้ง แล้วเจ้าจะรู้ว่าที่ผ่านมาในใจของเจ้า...เจ้าได้วางเฟยหลงไว้ในสถานะไหน? จากนั้นหากคำตอบที่เจ้าได้ คือสถานะของ ‘คนรัก’ เจ้าก็ลองถามใจตัวเองดูอีกครั้งแล้วกันว่า ยามนี้เจ้าพร้อมที่จะมอบโอกาสให้เฟยหลงกลับเข้า
“ท่านแม่...” เหรินเหยียนชิงแม้จะตกใจในสิ่งที่มารดาพูด แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าแม้แต่น้องสาวต่างบิดาของเขาก็ยังสังเกตเห็น แล้วเหตุใดผู้เป็นมารดาถึงจะดูพวกเขาไม่ออก “แต่ข้ากับเฟยหลงเป็นบุรุษทั้งคู่นะขอรับ ท่านแม่ไม่ เออ...” “บุรุษทั้งคู่แล้วอย่างไร? ไม่ว่าลูกของแม่จะเป็นเช่นไร...หรือรักใคร อย่างไรแม่ก็ยังรักเจ้าและยินดีกับการตัดสินใจของเจ้าเสมอ เหยียนชิง” “ขอบคุณขอรับท่านแม่” เหรินเหยียนชิงมองสีหน้าของผู้เป็นมารดาอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องที่กำลังกวนใจเขาอยู่ในยามนี้ออกมา “ท่านแม่ขอรับ เมื่อไม่กี่วันมานี้เฟยหลงได้บอกรักข้า ซึ่งเป็นรักในรูปแบบของ ‘คนรัก’ แล้วได้สารภาพกับข้าว่า คิดกับข้าเกินกว่าคำว่า ‘สหาย’ ตั้งแต่ตอนที่ข้าใช้ชีวิตร่วมกับเฟยหลงอยู่ในสำนักศึกษาแล้วขอรับ และเฟยหลงก็ยังได้เล่าถึงเหตุผลที่ต้องเลือกปล่อยมือไปจากข้าในอดีตให้ข้าฟังด้วย ซึ่งหลังจากที
เหรินเหยียนชิงกับจิงเสี่ยวจางเมื่อเดินเข้าไปในเรือนพักของพวกเฉิงเจียวจิน พวกเขาก็เห็นจิงเสี่ยวเจี้ยนกำลังช่วยเยว่ซือซือสอนเยว่ซือเค่อท่องบทกวีอยู่ในห้องโถง จิงเสี่ยวจางจึงเดินเข้าไปหาเย่วซือเค่อทันที ส่วนเหรินเหยียนชิงแยกออกไปเดินตามหาผู้เป็นมารดา ไม่นานเขาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่แถวกระถางต้นไม้ในสวนด้านหลังเรือน “ท่านแม่ทำอะไรอยู่หรือขอรับ?” เหรินเหยียนชิงเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้าไปถึงตัวผู้เป็นมารดา “แม่กำลังจะเอาต้นไม้พวกนี้ลงดินน่ะ ว่าแต่เจ้ามาถึงนานแล้วหรือเหยียนชิง?” “ข้าเพิ่งมาถึงขอรับ อาจางก็มากับข้าด้วยนะขอรับท่านแม่ แต่แยกเข้าไปเล่นกับอาเค่อในห้องโถง” “แล้วเหตุใดท่านแม่ต้องมาทำเอง...” เหรินเหยียนชิงพูดพร้อมกับมองหาบ่าวชายหญิงที่ถูกส่งมาดูแลมารดากับน้อง ๆ ของเขาที่เรือนนี้ “แม่ไล่ไปหมดแล้ว เพราะแม่อยากเป็นคนลงมือปลูกต้นไม้พวกนี้ด้วยตัวเอง” เฉิงเจียวจินกล่าวตอบ เมื่อเห็นสีหน้
เช้าวันถัดมาจินเฟยเทียนก็ได้เข้าไปตรวจร่างกายของจินเฟยหลงอีกครั้ง ก่อนออกเดินทาง...แล้วเมื่อเขาได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขาจึงขอให้หยางหมิงเซียนกับชิงหลวนคุนออกไปลาเจ้าของจวน และรอเขาอยู่ที่รถม้า... และเมื่อเห็นว่าคนทั้งสองเดินออกจากห้องไปแล้ว จินเฟยเทียนจึงเริ่มเล่าเรื่องบิดากับน้องสาวให้จินเฟยหลงฟัง เนื่องจากคนทั้งคู่ต้องการมาเยี่ยมดูอาการของอีกฝ่ายที่นี่ แต่เมื่อได้รับรู้เรื่องอาการบาดเจ็บรวมไปถึงสถานการณ์ระหว่างผู้เป็นน้องชายกับเหรินเหยียนชิงจากจดหมายที่เขาส่งไปแล้ว คนทั้งคู่จึงยอมยกเลิกการเดินทางและได้ส่งสารฝากมาบอกกับจินเฟยหลงว่าจะรอฟังข่าวอยู่ที่จวน จากนั้นจินเฟยเทียนจึงเริ่มเอ่ยถามผู้เป็นน้องชาย “เมื่อคืน...เจ้าได้พูดกับเหยียนชิงหรือไม่?” “ขอรับ ข้าได้บอกความรู้สึก ข้าได้ขออภัย และข้าก็ได้ขอโอกาสแล้วขอรับ แต่เหยียนชิงดูเหมือนจะยังสับสน ข้าก็เลยบอกกับเหยียนชิงว่าข้าพร้อมจะรอขอรับ” “ดี
จินเฟยหลงมองเหรินเหยียนชิงเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง พร้อมกับหนังสือที่เจ้าตัวหยิบออกมาเปิดอ่านเมื่อครู่ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตอบคำถามโดยที่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา “ข้าไม่ได้รังเกียจ เพียงแต่ข้า...” เพียงได้ฟังเสียงพูดของคนตรงหน้า จินเฟยหลงก็รู้ว่ายามนี้เหรินเหยียนชิงคงรู้สึกลำบากใจเรื่องเขาอยู่ไม่น้อย เขาจึงเลือกที่จะกล่าวต่อ “เหยียนชิง ข้าไม่รู้หรอกนะว่าการที่ข้ารู้สึกแบบนี้กับเจ้า มันแปลว่าข้าเป็น ‘บุรุษตัดแขนเสื้อ’ หรือไม่? แต่ข้าอยากบอกให้เจ้ารู้ว่าความรู้สึกนี้ของข้า มันไม่เคยเกิดขึ้นกับบุรุษผู้ใดหรือกับสตรีนางใดมาก่อนเลยสักครั้ง เพราะมันเกิดขึ้นแค่กับเจ้าผู้เดียว” กล่าวจบ จินเฟยหลงก็เห็นว่าเหรินเหยียนชิงยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาแล้ว ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นไปรินชาที่หัวเตียงกลับมายื่นให้กับเขา จินเฟยหลงจึงรับชาจอกนั้นมาจิบ แล้วในขณะนั้นจินเฟยหลงที่เคยคิดเอาไว้
เช้าวันรุ่งขึ้น จินเฟยหลงตื่นมาก็พบว่าคนที่มานอนเฝ้าเขาได้กลับออกไปแล้ว และวันนี้ทั้งวันก็มีคนในจวนตระกูลเหรินแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียนเขา ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเหรินเหยียนชิง จะยกเว้นก็เพียงแค่...คนตัวเล็กของเขาเท่านั้น จินเฟยหลงเฝ้ารอที่จะเจอกับเหรินเหยียนชิง จนผ่านล่วงเลยเข้าสู่เช้าวันถัดมา เขาก็ได้รู้แต่เพียงว่า...เมื่อคืนเหรินเหยียนชิงได้พาเยว่ซือเค่อมานอนเฝ้าเขาที่นี่ แล้วพอเช้าอีกฝ่ายก็รีบพาน้องชายของตนเองกลับออกไปทันที แล้วทุกอย่างก็ได้ผ่านเลยไปแบบนี้จนเข้าสู่วันที่สี่ จินเฟยหลงแม้จะรู้สึกว้าวุ่นใจมากแค่ไหน แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่เฝ้ารอ เพราะด้วยสภาพร่างกายของเขา ซึ่งตัวเหรินเหยียนชิงเองก็ไม่คิดจะเปิดโอกาสให้จินเฟยหลงได้พูดคุย เพราะถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมานอนเฝ้าเขาที่นี่ทุกคืน แต่เจ้าตัวก็จะเข้ามาในตอนที่เขาหลับไปแล้วทุกครั้ง หรือถ้าเหรินเหยียนชิงเข้ามาเยี่ยมเขาในช่วงกลางวัน อีกฝ่ายก็จะมาพร้อมกับคนในครอบครัวของตัวเองหรือไม่ก็จะ