เข้าสู่ระบบ“ท่านแม่ทัพกำลังรอผู้ใดอยู่หรือขอรับ?” หยงหมินเอ่ยถามผู้เป็นนายเพราะอีกฝ่ายพาเขาควบม้าออกมาจากจวน เพื่อเดินทางไปตรวจงานที่ค่ายทหารในเมืองหลิ่งจู แต่พอมาถึงประตูเมืองหลวงผู้เป็นนายกลับไม่ยอมเดินทางต่อ ทำเพียงเดินไปดูรายชื่อของผู้ผ่านทาง จากนั้นก็กลับมายืนอยู่ที่เดิม
“อ้าว! เฟยหลง อาหมินพวกเจ้ากำลังจะเดินทางไปที่ใดกันหรือ?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยทักพร้อมกับขี่ม้าเข้าไปหาจินเฟยหลงกับหยงหมิน หลังจากที่เขาเห็นคนทั้งคู่ยืนอยู่หน้าประตูเมือง
“พวกข้ากำลังจะไปตรวจงานที่ค่ายทหารในเมืองหลิ่งจูน่ะ” จินเฟยหลงตอบกลับสหายพร้อมกับมองหาคนที่เขากำลังรออยู่
“แล้วคุณชายรองจิงกำลังจะเดินทางไปที่ใดหรือขอรับ?”
“ข้ากำลังจะเดินทางไปตรวจโรงเตี๊ยมที่ไปเปิดในเมืองซือโฉวน่ะ” เมื่อตอบคำถามของหยงหมินจบ จิงเสี่ยวจางก็หันไปมองทางเหรินเหยียนชิงที่กำลังขี่ม้าเข้ามาหาเขา พร้อมกับรถม้าอีกหนึ่งคันที่มีเพ่ยฉีเป็นผู้ขับ
จินเฟยหลงเมื่อเห็นเหรินเหยียนชิงที่กำลังขี่ม้าตรงมาทางพวกเขา มันก็ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกแปลกใจขึ้นมาไม่ได้ เพราะเมื่อก่อนอีกฝ่ายแทบจะไม่ยอมขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นสิ่งที่เห็นในยามนี้...สำหรับเขาแล้วมันจึงดูแปลกตาไปอีกแบบ
“แปลกใจใช่หรือไม่? ตอนแรกข้าก็รู้สึกแปลกใจไม่ต่างไปจากเจ้า ข้าก็เลยแอบไปถามอาฉีกับอาหยีมาแล้ว เป็นเพราะเหยียนชิงต้องออกเดินทางอยู่บ่อยครั้ง ท่านตาของเหยียนชิงก็เลยบังคับให้ฝึกขี่ม้าจนคล่อง แล้วนี่เจ้าตัวยังถูกฝึกการใช้มีดสั้นกับธนูด้วยนะ เห็นอาหยีบอกว่าเหยียนชิงยิงธนูกับปามีดสั้นแม่นมาก!” จิงเสี่ยวจางแอบกระซิบบอกจินเฟยหลง
“คุณชายรองจิงขอรับ ท่านแม่ทัพกับข้าน้อยก็ต้องผ่านไปทางเมืองซือโฉวเหมือนกันขอรับ” หยงหมินรีบหันไปกล่าวกับจิงเสี่ยวจาง ยามนี้เขารู้แล้วว่าผู้เป็นนายกำลังรอผู้ใด และเขาก็รู้ด้วยว่าตอนนี้ผู้เป็นนายต้องการอะไร
“อย่างนั้นพวกเราก็ร่วมเดินทางไปด้วยกันเลยดีหรือไม่?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยชวน แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าตัวเขากำลังร่วมเดินทางไปกับพวกเหรินเหยียนชิง เขาจึงหันไปถามอีกฝ่าย
“เจ้าเห็นว่าอย่างไรเหยียนชิง?”
“ข้าอย่างไรก็ได้”
จินเฟยหลงพยักหน้าตอบรับคำชวนของจิงเสี่ยวจางทันที เมื่อได้ยินคำตอบของเหรินเหยียนชิง ในใจของเขายามนี้รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ที่อีกฝ่ายยินดีให้พวกเขาร่วมเดินทางไปกับเจ้าตัวด้วย
จากนั้นพวกจินเฟยหลงก็พากันเดินทางออกจากเมืองหลวง โดยจินเฟยหลงได้ควบม้าขึ้นไปอยู่ข้างเหรินเหยียนชิง และระหว่างการเดินทางพวกเขาก็ได้พูดคุยกันเป็นระยะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นจิงเสี่ยวจางที่คอยพูดคุยและคอยซักถามสหายทั้งสองของเขา
แล้วในระหว่างนั้นจิงเสี่ยวจางที่นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงหันไปถามจินเฟยหลง
“เฟยหลง เรื่องที่เจ้าจะไปตรวจงานในค่ายทหารที่เมืองหลิ่งจู ความจริงแล้วเจ้าจะไปตรวจความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในเมืองนั้นใช่หรือไม่?”
จินเฟยหลงพยักหน้าตอบคำถามของจิงเสี่ยวจาง ซึ่งตอนนี้เขาก็คิดจะตอบคำถามของอีกฝ่ายเท่าที่พอจะตอบได้เท่านั้น
“พอดีคนของข้าที่ทำงานอยู่ในเมืองนั้น สังเกตเห็นคนแปลกหน้าจำนวนไม่น้อยทยอยกันเข้ามาพักในโรงเตี๊ยม ลักษณะของคนพวกนั้นดูเหมือนจะเป็นคนที่มีวรยุทธ แต่กลับทำตัวให้คล้ายกับว่าเป็นเพียงกลุ่มพ่อค้าต่างเมือง และการเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมของคนพวกนั้นก็ใช้เวลาพักยาวนานเกินไป จนถึงตอนนี้คนพวกนั้นก็ยังไม่มีท่าทีที่กลับออกไปจากเมืองนั้นเลย ซึ่งมันผิดนิสัยของการเป็นพ่อค้าที่จะเข้ามาหาคู่ค้าหรือเข้ามาหาทำเลเพื่อใช้ในการค้าขาย” จิงเสี่ยวจางพูดสิ่งที่เขารับรู้มาให้สหายฟังจนจบ
จินเฟยหลงเมื่อได้ฟังที่จิงเสี่ยวจางเล่า เขาก็เริ่มรู้สึกเอะใจด้วยเพราะข้อมูลที่เขาได้มาจากฮ่องเต้มีเพียงว่า...ได้เกิดมีการเคลื่อนไหวแปลก ๆ ภายในเมืองหลิ่งจูแต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ฮ่องเต้จึงอยากให้เขาใช้อำนาจทางการทหารเข้าไปตรวจสอบดู แต่เนื่องจากผู้ที่เป็นเจ้าเมืองของเมืองนี้มีศักดิ์เป็นอาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน พวกเขาจึงไม่อาจเข้าไปขอตรวจค้นแบบโจ่งแจ้งหรือทำการตรวจสอบอะไรในเมืองนี้ได้มากนัก
แล้วการที่จิงเสี่ยวจางเอ่ยปากเล่าให้เขาฟังแบบนี้แสดงว่าการเคลื่อนไหวแปลก ๆ ภายในเมืองหลิ่งจูคงหาใช่เพียงเล็กน้อยเสียแล้ว ด้วยเพราะจิงเสี่ยวจางค่อนข้างจะเป็นผู้กว้างขวางแหล่งข่าวของอีกฝ่ายจึงมีมากอยู่พอตัว
“ท่านแม่ทัพขอรับ มีคนเดินทางเข้าออกผิดปกติแถวบริเวณชายป่าเขตเมืองหลิ่งจูด้วยนะขอรับ คนของข้าที่ต้องเดินทางผ่านไปคุ้มกันการรับและส่งของบริเวณนั้นมักจะเจอกลุ่มคนแปลก ๆ เข้าออกแถวนั้นอยู่บ่อยครั้งเลยขอรับ” เพ่ยฉีกล่าวขึ้นหลังจากที่เขาฟังพวกจินเฟยหลงพูดคุยกันมาได้สักพัก แล้วก็คิดว่าข้อมูลที่เขามีอยู่อาจจะพอเป็นประโยชน์ให้กับอีกฝ่ายได้บ้าง
“อย่างไร...ในเมื่อเจ้าจะต้องเข้าไปทำงานในเมืองนั้น เจ้าก็ระวังตัวเพิ่มอีกสักหน่อยเถอะนะเฟยหลง” จิงเสี่ยวจางเอ่ยเตือนสหาย เพราะถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นตง แต่เมื่อต้องเข้าไปอยู่ในเมืองนั้น อำนาจที่อีกฝ่ายมีในมือก็อาจจะไม่เพียงพอ หากจะต้องไปต่อกรกับผู้มีอำนาจที่อยู่ในเมืองนั้น
“ขอบใจพวกเจ้ามาก” จินเฟยหลงเอ่ยขอบคุณทั้งจิงเสี่ยวจางและเพ่ยฉี เพราะด้วยข้อมูลที่คนทั้งคู่ให้มาถือว่ามีประโยชน์กับพวกเขาอยู่ไม่น้อย
จินเฟยหลงยืนมองเหรินเหยียนชิงสอนเรื่องการคัดเลือกสมุนไพรและการทำบัญชีให้กับจินเฟยฮวา เพราะยามนี้น้องสาวของเขาเริ่มสนใจสองเรื่องนี้เป็นพิเศษ หลังจากที่เจ้าตัวตกลงหมั้นหมายให้กับเกาเล่อ ซึ่งการหมั้นหมายระหว่างจินเฟยฮวากับเกาเล่อก็เพิ่งผ่านมาได้เพียงแค่สองเดือน เพราะด้วยเรื่องฐานะ รวมไปเรื่องในอดีตเกี่ยวกับคนในครอบครัวของเกาเล่อ จึงทำให้อีกฝ่ายดูไม่เหมาะสมกับจินเฟยฮวาไปเสียหมดทุกทาง แต่ก็ด้วยเพราะความรัก ความดีและความซื่อสัตย์ของเกาเล่อ จึงสามารถเอาชนะใจผู้เป็นน้องสาว รวมไปถึงบิดาและคนในครอบครัวของเขามาได้ แต่ความรักของคนทั้งคู่ก็ยังคงมีเงื่อนไขจากผู้เป็นบิดาอยู่อีกหนึ่งข้อ นั่นก็คือทั้งสองคนจะต้องทำการหมั้นหมายและคบหากันต่อจากนี้ไปอีกหนึ่งปี จากนั้นค่อยมาพูดคุยกันเรื่องงานมงคลสมรส ซึ่งหากจะพูดถึงเรื่องงานมงคลก็คงจะต้องพูดถึงคู่ของจิงเสี่ยวเจี้ยนกับเยว่ซือซือ เพราะสองคนนี้เพิ่งเข้าพิธีมงคลสมรสกันไปเมื่อสี่เดือนที่แล้ว ถึงแม้ว่าในอดีตคนทั้งสองอาจจะเคยเป็นอริกั
ช่วงค่ำเหรินเหยียนชิงหลังจากแยกเข้าไปจัดการดูแลตัวเองในกระโจมเสร็จ เมื่อเขากลับออกมา...เขาก็เห็นจินเฟยหลงยืนสั่งงานหยงหมินอยู่ที่ข้างกระโจมเพียงสองคน เขาจึงทำเป็นไม่สนใจ แล้วเดินเข้าไปนั่งกับพวกชิงหลวนคุนที่ข้างกองไฟ แต่สายตาของเขาก็ยังคงแอบมองไปที่นายบ่าวคู่นั้นเป็นระยะ ยามนี้เหรินเหยียนชิงเริ่มสงสัยแล้วว่าตอนที่จินเฟยหลงเข้าไปสำรวจภายในถ้ำ อีกฝ่ายเข้าไปเจอกับอะไร? หรือว่า...จินเฟยหลงจะเข้าไปเจอร่องรอยของศัตรูที่กำลังแอบซุ่มดูพวกเขาอยู่ในตอนนี้! จนเวลาผ่านล่วงเลยมาเกือบหนึ่งชั่วยาม ตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็เริ่มแยกย้ายกันไปนอนพัก จะเหลือก็เพียงแค่ทหารกลุ่มหนึ่งที่คอยผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าระวังความปลอดภัย “เจ้าจะไปไหน?” เหรินเหยียนชิงถามขึ้น เมื่อเห็นจินเฟยหลงกำลังจะเดินออกจากกระโจม หลังจากที่พวกเขาเข้ามานอนพักพร้อมกันได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม “เจ้ายังไม่หลับหรือเหยียนชิง พอดีข้ารู้สึกร้อน ๆ หนาว
วันนี้เป็นวันที่จินเฟยหลงต้องออกเดินทางไปตรวจงานที่ชายแดนฝั่งทางตอนใต้ของแคว้นตง ซึ่งแน่นอนครั้งนี้เขาได้พาเหรินเหยียนชิงผู้เป็นภรรยาของเขาไปด้วย แล้วเมื่อเขาฝากงานส่วนต่าง ๆ กับรองแม่ทัพแต่ละฝ่ายในช่วงที่เขาไม่อยู่เสร็จ จินเฟยหลงก็รีบเดินทางกลับจวนทันที “เหยียนชิง ข้ากลับมาแล้ว” จินเฟยหลงกล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปสวมกอดคนตัวเล็กจากทางด้านหลัง ก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มซ้ายของอีกฝ่าย แล้วมองลงไปยังห่อสัมภาระที่เจ้าตัวกำลังจัดเรียงไว้เป็นกอง ๆ บนโต๊ะกลมกลางห้อง “เจ้าเตรียมของเสร็จแล้วหรือ?” “อืม...เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเรียกให้พวกบ่าวเข้ามานำห่อสัมภาระพวกนี้ออกไปไว้ในรถม้าเท่านั้น” “อย่างนั้นพวกเราก็เหลือเวลาก่อนออกเดินทางเกือบหนึ่งชั่วยามเลยน่ะสิ ข้าว่า...พวกเราสองคนมาสานต่อเรื่องเมื่อ...” “เฟยหลง! คือข้า ยามนี้ข้า...ข้าควรออกไปตรวจดูพวกเสบียง ยาและสมุนไพรที่จะใช้
จินเฟยหลงเมื่อเห็นว่าเหรินเหยียนชิงกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับการปรนเปรอของเขาแล้ว เขาจึงค่อย ๆ แทรกตัวเข้าไปอยู่ระหว่างกลางลำตัวของอีกฝ่ายทันที ก่อนจะกดจุมพิตต่ำลงไปจนถึงหน้าท้องที่แบนราบ และเพียงไม่นานเขาก็ใช้ริมฝีปากครอบครองเครื่องแสดงความเป็นบุรุษโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัว “อ่ะ! เฟยหลง อย่า! อือ...” ริมฝีปากบางพยายามขบเม้มเพื่อเก็บเสียงครางหวานของตนเองเอาไว้ ก่อนที่คนตัวเล็กจะเผลอเลื่อนมือลงมากดที่ศีรษะของเขาอย่างลืมตัว ยามนี้เหรินเหยียนชิงรู้สึกเสียวซ่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วในขณะที่เขารู้สึกได้ว่าตัวเขาเหมือนกำลังจะปลดปล่อย... เขาจึงพยายามขยับเอาอาวุธประจำกายออกมาจากริมฝีปากของจินเฟยหลง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ต้องการให้เขาทำเช่นนั้น “เฟยหลง ข้า...อ่า...” “หวานยิ่งนัก น้ำวิสุทธิ์แรกของเจ้า” “เจ้า!” เหรินเหยียนชิงมองจินเฟยหลงที่กลืนกินและไล่เลียน้ำวิสุทธิ์แรกของเขาอย่างไม่รัง
หลังจากพิธีการต่าง ๆ ในงานมงคลสมรสจบลง เหรินเหยียนชิงก็ถูกพาตัวเข้าไปนั่งรอเขาอยู่ในห้องหอ ส่วนตัวจินเฟยหลงก็ทำได้เพียงนั่งอยู่ในห้องโถงแล้วยกสุราขึ้นดื่ม เนื่องจากยามนี้มีผู้คนตรงเข้ามาชนสุราเพื่อแสดงความยินดีกับเขาอย่างไม่ขาดสาย โดยคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก็เพียงต้องการกลั่นแกล้งเขาในคืนเข้าหอเท่านั้น ซึ่งตัวจินเฟยหลงเองได้กินยาแก้อาการเมาสุราที่ได้รับจากผู้เป็นพี่ชายมาแล้ว เขาจึงไม่เกรงกลัวต่อฤทธิ์สุราที่ต้องดื่มในตอนนี้มากนัก จินเฟยเทียนนั่งมองสีหน้าของจินเฟยหลงแล้วอดที่จะสงสารไม่ได้ แต่เพราะในวันส่งตัวของเขากับหยางหมิงเซียน ผู้เป็นน้องชายได้ร่วมมือกับชิงหลวนคุนทำกับเจ้าลูกกวางไว้แสบ โดยหยางหมิงเซียนมาเล่าให้เขาฟังว่า...จินเฟยหลงกับชิงหลวนคุนได้พาทหารในกองทัพแวะเวียนเข้ามาชนสุรากับเจ้าตัวก่อน วันนี้เจ้าลูกกวางก็เลยขอเอาคืนด้วยการชวนทั้งคู่ค้า คนที่เจ้าตัวรู้จัก หรือแม้แต่คนป่วยที่เขาเคยทำการรักษา เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับผู้เป็นน้องชายของเขาแบบจัดเต็ม
หลังจากผ่านเหตุการณ์การสูญเสีย จินเฟยหลงก็เริ่มใช้ชีวิตให้ผ่านไปเป็นวัน ๆ โดยแต่ละวันของเขาก็แทบจะไม่พูดคุยกับผู้ใดอีกเลย แม้แต่สหายร่วมเรือนอย่างเหรินเหยียนชิง ยามนี้จินเฟยหลงหมดกำลังใจที่จะก้าวเดินหรือใช้ชีวิตต่อไปอีกแล้ว ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาคิดจะจบชีวิตของตนเองลง แต่เหรินเหยียนชิงก็ดันเข้ามาเจอตอนที่เขากำลังจะลงมือทำเสียก่อน “เฟยหลงลุกขึ้น...ได้ยินหรือไม่! ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้น!!” จินเฟยหลงหันมามองเหรินเหยียนชิงที่เข้ามาตวาด และกระชากแขนของเขาให้ลุกขึ้นจากเตียงด้วยความแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้กับเขาเลยสักครั้ง“ไม่...ข้าจะนอน” “ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้นมา!!” จินเฟยหลงถูกเหรินเหยียนชิงกระชากแขนจนต้องลุกขึ้นนั่งบนเตียง ยามนี้เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าเข้ามาล้ำเส้นในชีวิตของเขามากจนเกินไปเสียแล้ว!&nb




![หวนคืนลิขิตรัก [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


