บทที่ 7 จูบแรก
จรัสรักเดินตามเจ้าของร่างสูงเข้ามาในเพนต์เฮาส์สุดโอ่อ่า ภายในกว้างขวาง ตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น คุมโทนสีขาว ดำ เทา ดูเรียบง่าย หากก็ดูลึกลับน่าค้นหา บ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี
หญิงสาวมองสำรวจได้เพียงคร่าว ๆ ก็ต้องดึงสายตากลับมา เมื่อคนตัวสูงเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานหนึ่ง ก่อนจะเปิดและเดินนำเข้าไป
“คุณอาบน้ำในห้องนี้” จิณณ์เปิดตู้และหยิบผ้าขนหนูออกมาวางลงบนเตียง “นี่ผ้าขนหนู ส่วนห้องน้ำอยู่ตรงนั้น”
“ค่ะ”
“อาบเสร็จแล้วรอในนี้ เดี๋ยวผมมา”
เมื่อประตูห้องปิดลง จรัสรักก็ไม่มัวโอ้เอ้ให้เสียเวลา หยิบผ้าขนหนูแล้วเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำตามที่เขาบอก ดวงตากลมโตไล่มองอุปกรณ์อาบน้ำแต่ละชิ้น ห้องนี้เหมือนไม่มีใครอยู่ประจำ แต่กลับมีของใช้ที่จำเป็นแบบครบครัน
ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีเธอก็สวมชุดคลุมอาบน้ำเดินออกมา หญิงสาวโล่งอกที่ภายในห้องยังไร้เงาคนเป็นเจ้าของ ร่างบางไล่เปิดลิ้นชักเพื่อหาไดร์เป่าผม เนื่องจากตอนอาบน้ำเธอไม่ได้ใส่หมวกคลุม ทำให้น้ำกระเซ็นไปโดนผมจนเกือบเปียกชุ่ม เธอจึงตัดสินใจสระผมไปด้วยเลย
ทว่าหาเท่าไรก็หาไม่เจอ จรัสรักยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่แน่ใจว่าควรออกไปถามเจ้าของห้องดีหรือไม่ เพราะเขาบอกให้รออยู่ในนี้ อีกทั้งน้ำเสียงยังฟังดูเหมือนไม่อยากให้เธอออกไปเพ่นพ่านข้างนอก เดาว่าเขาคงเป็นคนที่หวงพื้นที่ส่วนตัวมาก ๆ
แล้วจะพาเธอมาที่นี่ทำไม ?
นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ แต่คิดไปก็คงไร้คำตอบเช่นเคย เพราะจิณณ์เป็นคนที่คาดเดาอะไรไม่ได้จริง ๆ
จรัสรักรออยู่ในห้องต่ออีกประมาณสิบนาที ทว่าก็ยังไร้วี่แววว่าเจ้าของร่างสูงจะกลับเข้ามา ลองเอาหูไปแนบกับประตูเพื่อฟังความเคลื่อนไหวภายนอก แต่ทุกอย่างกลับเงียบกริบ
ร่างบางตัดสินใจแง้มประตูออกไปส่องดู แต่ก็ไม่เห็นเขาอยู่ในระยะสายตา จรัสรักค่อย ๆ ขยับเดินออกไปอย่างช้า ๆ ชะโงกหน้ามองไปอีกฟากของเพนต์เฮาส์ขนาดสองชั้น หญิงสาวเดาว่าห้องนอนของเขาคงอยู่ชั้นบนแต่เธอไม่กล้าถึงขนาดเดินขึ้นไปเคาะห้องถามเขาหรอก
เจ้าของร่างบางกำลังจะหมุนตัวกลับไปรอในห้องตามเดิม ทว่าในจังหวะที่เธอหันหลัง หูก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงเข้ม ๆ ที่ฟังดูห้วนจัด
“ทำอะไร”
จรัสรักสะดุ้งเล็กน้อย รีบหมุนตัวกลับไปมองคนที่กำลังเดินลงมาจากชั้นสอง หญิงสาวยังไม่ทันได้แก้ตัว เสียงทุ้มเข้มก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ถามว่าทำอะไร บอกให้รออยู่ในห้อง”
“เอ่อ...คือรัก เอ่อ...ลีฟหาไดร์เป่าผมไม่เจอ”
ดวงตาคมกริบมองไปยังเรือนผมยาวที่เปียกหมาดของหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ได้ห้วนเหมือนก่อนหน้านี้ “เข้าไปรอในห้อง เดี๋ยวหยิบไปให้”
“ค่ะ” ร่างบางรับคำแล้วรีบทำตามคำสั่งของเจ้าของห้อง
รอไม่ถึงสิบนาทีจรัสรักก็ได้สิ่งที่ต้องการ หญิงสาวไม่รอช้ารีบนำไปเสียบปลั๊กและใช้งานมันทันที ส่วนคนที่เอามาให้เดินออกไปข้างนอก คาดว่าอีกสักหน่อยคงกลับเข้ามา
จรัสรักใช้เครื่องเป่าผมอย่างระมัดระวัง เพราะเห็นอินฟลูเอนเซอร์หลายคนรีวิวผ่านโซเชียล จึงรู้ว่ายี่ห้อนี้มีราคาสูงมาก เธอทำงานที่ร้านกาแฟทั้งเดือนยังซื้อไม่ได้เลย หากเผลอทำพังขึ้นมาเธอคงไม่มีปัญญาซื้อชดใช้แน่นอน
กระทั่งผมแห้งสนิททุกเส้น หญิงสาวม้วนสายเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา เธอหันไปมองก่อนจะรีบเอ่ยบอกเขา
“อีกแป๊บนึงค่ะ ใกล้เสร็จแล้ว”
จิณณ์พยักหน้ารับรู้ วางถุงช็อปปิงบางอย่างลงบนโต๊ะเครื่องแป้งตรงหน้าหญิงสาวแต่ไม่พูดอะไร จากนั้นก็เดินไปนั่งรอที่หัวเตียง
จรัสรักที่คิดว่าเขาละความสนใจไปแล้วจึงรีบหยิบหวีขึ้นมาสางผมให้เข้าที่ กำลังจะยื่นมือไปหยิบโลชันมาชโลมใบหน้าเพื่อไม่ให้มันแห้งกร้านมากเกินไป ทว่าเสียงทุ้มของคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงกลับดังแทรกขึ้นมา
“ใช้ที่อยู่ในถุง”
“คะ ?” เธอมองคนพูดผ่านกระจกด้วยสีหน้างุนงง เขาจ้องกลับมาหากไม่ยอมเอ่ยอะไร หญิงสาวจึงคลี่ดูสิ่งที่อยู่ในถุง พบว่ามันคือสกินแคร์ราคาแพงยี่ห้อหนึ่ง เธอหยิบมันขึ้นมาแล้วถามเขาอีกครั้ง “ให้ลีฟเหรอคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ลองใช้ดูว่าเข้ากับผิวหรือเปล่า”
“ขอบคุณค่ะ” แม้จะเกิดความสงสัยว่าเขาให้เธอทำไม หากก็เลือกที่จะไม่ถาม ด้วยรู้ดีว่าคนอย่างเขาไม่ชอบอธิบาย ไม่ว่าเขาจะให้ด้วยเหตุผลใด เธอจึงยอมรับของมาด้วยความยินดี
จรัสรักม้วนผมขึ้นและติดกิ๊ฟต์ไว้กลางศีรษะ จากนั้นก็หยิบกระปุกสกินแคร์ที่เพิ่งได้รับมาหมาด ๆ ขึ้นมาอ่านวิธีใช้ ก่อนจะใช้นิ้วปาดขึ้นมาแต้มบนใบหน้าตามจุดและเกลี่ยทาแบบบางเบา
หญิงสาวเปิดถุงดูอีกรอบ เมื่อครู่เธอสังเกตเห็นว่าไม่ได้มีแค่ครีมกระปุกนี้อย่างเดียว แต่มันมีขวดโลชันและน้ำหอมอยู่ในนั้นด้วย เธอวางโลชันยี่ห้อเดียวกับสกินแคร์ลงบนโต๊ะ แล้วพลิกดูกล่องน้ำหอม ยี่ห้อนี้เธอไม่รู้จัก แต่ดูจากดีไซน์ของกล่องแล้วคิดว่าน่าจะเป็นของแพง
“อุ๊ย!” จรัสรักที่กำลังให้ความสนใจกับสิ่งของตรงหน้าสะดุ้งตัวเล็กน้อยด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ ก็ถูกสวมกอดจากด้านหลัง ใจเธอสั่นระรัว รีบวางของลงบนโต๊ะแล้วมองเขาผ่านกระจก “ละ...ลีฟยังไม่เสร็จเลยนะคะ”
“ทำต่อไปสิ” จิณณ์ไม่ยอมผละออก หากใช้สันจมูกซุกไซ้ไปตามซอกคอขาวสะอาดที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ชายหนุ่มมั่นใจว่าสบู่ที่เขาใช้มันคนละกลิ่นกับสบู่ที่โรงแรม แต่ไม่รู้ทำไมพอผสมกับกลิ่นกายของผู้หญิงคนนี้ มันถึงได้หอมมากกว่าเดิม เขารู้สึกข้องใจจึงถามออกไป “ปกติใช้น้ำหอมกลิ่นอะไร”
“ปกติไม่ได้ใช้น้ำหอมเลยค่ะ” จรัสรักตอบพร้อมพยายามดึงสมาธิให้กลับมาอยู่ที่การทาโลชัน พลันนั้นก็เอะใจเรื่องกลิ่นตัวขึ้นมา ที่เขาให้น้ำหอมเธอวันนี้ อาจเป็นเพราะว่า...“ลีฟมีกลิ่นตัวหรือเปล่าคะ”
“เปล่า”
“แต่คุณเพิ่งให้น้ำหอม...”
“ให้เฉย ๆ ไม่มีอะไร” เมื่อสัปดาห์ก่อนเขาไปทำธุระที่ห้าง จึงแวะไปซื้อของใช้ส่วนตัว พอดีกับ SA เข้ามานำเสนอสินค้า ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิง ตอนแรกจิณณ์ไม่ได้สนใจ ออกจะรำคาญพนักงานคนนั้นด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้เทสต์กลิ่นจู่ ๆ ใบหน้าของจรัสรักก็ผุดขึ้นมาในหัว ชายหนุ่มจึงตัดความรำคาญด้วยการซื้อให้มันจบ ๆ รวมถึงสกินแคร์กับโลชันทาผิวด้วย
จรัสรักยังคงมองเจ้าของร่างสูงผ่านกระจก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาพอดี และไม่กี่วินาทีต่อมาก้อนเนื้อในอกก็เกิดอาการสั่นไหว ใบหน้าของหญิงสาวร้อนผะผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้ เธอถูกดวงตาคู่คมตรึงเอาไว้ราวกับต้องมนตร์สะกด สมองสั่งให้ดึงสายตาหลบ หากหัวใจกลับไม่ยอมทำตาม
กระทั่งรู้สึกว่าต้านทานไม่ไหว หญิงสาวจึงรีบเสไปมองทางอื่น หลุบตามองกล่องน้ำหอมแล้วถามเสียงกระตุกกระตัก
“หะ...ให้ฉีดตอนนี้ไหมคะ” เผื่อกลิ่นน้ำหอมจะทำให้เขาพอใจกับการแนบชิดมากขึ้น
“ไม่ต้อง ผมชอบกลิ่นนี้” บอกพร้อมก้มสูดดมบริเวณซอกคออีกครั้ง เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาหมายถึงกลิ่นไหน ครั้งนี้จิณณ์ไม่ได้แค่พูดเปล่า เขาสอดมือเข้าไปในรอยแยกของเสื้อคลุมเพื่อสัมผัสผิวกายนวลเนียนของหญิงสาว เลื่อนขึ้นกอบกุมอกอวบแล้วบีบขยำทั้งสองข้าง
ตอนพิเศษ 3“เกรซซี่!”เจ้าของชื่อซึ่งกำลังนอนคว่ำกระดิกปลายเท้าระบายสีอยู่กลางห้องนั่งเล่นชั้นล่าง เงยหน้าขึ้นไปมองน้าสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้าน ในมือมีกระดาษอะไรสักอย่างติดมาด้วยฟังจากน้ำเสียงที่เรียกเมื่อกี้เกรซซี่รู้สึกเสียวสันหลังแปลก ๆ เพราะปกติเวลาน้ากิ๊ฟต์กลับบ้าน น้ากิ๊ฟต์จะเรียกหาเกรซซี่ด้วยเสียงที่นุ่มนวลหรือไม่ก็ร่าเริงกว่านี้ แต่วันนี้แค่เรียกเสียงเข้มไม่พอ ยังทำสีหน้ายุ่งใส่กันอีกเกรซซี่ไปทำอะไรของน้ากิ๊ฟต์พังหรือเปล่านะ...ก็ไม่นี่นา ไม่ได้เข้าไปในห้องของน้ากิ๊ฟต์เลยด้วยซ้ำใจจริงอยากวิ่งเข้าไปรับอย่างที่เคยทำ ทว่าวันนี้เกรซซี่สังหรณ์ใจไม่ดียังไงก็ไม่รู้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังขานรับน้าสาวเสียงหวาน “...ขาน้ากิ๊ฟต์”จารวีหันหน้าไปไหว้แม่และยายของตนที่นั่งเอนกายบนตั่งไม้อีกฝั่งของบ้าน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างแรง จากนั้นก็ยื่นเอกสารรายงานผลการเรียนชั้นอนุบาลไปตรงหน้าหลานสาวสุดที่รัก “อันนี้คืออะไรเนี่ย ทำไมเป็นแบบนี้”กนกนุชขยับนั่งขัดสมาธิ มองน้ากิ๊ฟต์กับกระดาษเอสี่ที่ถูกยื่นออกมาตรงหน้าด้วยความงุนงง ก่อนจะหันไปมองผู้เป็นแม่ซึ่งเดินตามหลังน้องสาวตัวเองเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
ตอนพิเศษ 2โชคดีที่จิณณ์ฝึกลูกให้นอนคนเดียวตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ช่วงแรกที่ยังไม่เปิดเทอมอาจจะมีร้องไห้โยเยบ้าง เพราะตื่นมาแล้วไม่เจอใครอยู่ในระยะสายตา แต่พอค่อย ๆ บอกค่อย ๆ สอนว่าตื่นแล้วไปหาพ่อหรือหายายกับทวดได้ที่ไหน แกก็เริ่มเรียนรู้และเข้าใจ จากนั้นมาก็ไม่มีเสียงร้องไห้ตอนเช้าอีกเลยฉะนั้นหลังเล่านิทานส่งลูกเข้านอนเสร็จ คนเป็นพ่อเป็นแม่จึงได้มีเวลาสวีตหวานในห้องส่วนตัวกันบ้าง“เรียนทำขนมวันนี้เป็นไงบ้าง” จิณณ์เอ่ยถามภรรยาที่กำลังใช้สำลีลบเครื่องสำอางซึ่งแต่งแต้มเพียงบางเบา เตรียมตัวเข้าไปอาบน้ำ ส่วนเขาก็กำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองเพื่อจะเข้าไปอาบพร้อมกันจรัสรักมองเรือนร่างของสามีผ่านกระจก ใบหน้าสวยร้อนผะผ่าวพร้อมกับหัวใจที่จู่ ๆ ก็สั่นรัวขึ้นมา หญิงสาวรีบเลื่อนสายตาไปโฟกัสจุดอื่น แม้จะเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าเธอก็ไม่เคยทำใจให้ชินได้เสียที“กะ...ก็ดีค่ะ พี่ฟางใจเย็นและสอนดีมาก” เธอตอบเสียงกะตุกกะตัก เกร็งตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขาเดินเข้ามายืนใกล้ ๆ จิณณ์ดึงชุดคลุมอาบน้ำช่วงไหล่ของภรรยาลง ก่อนจะประทับจูบร้อน ๆ ลงบนไหล่เปลือย จากนั้นก็พูดต่อ“คุณอยากได้สูตรไหนหรือ
ตอนพิเศษ 1หลังจากงานแต่งงานและทำบุญขึ้นบ้านใหม่ซึ่งถูกจัดขึ้นเป็นงานเล็ก ๆ แต่อบอุ่นเสร็จสิ้นไป จิณณ์ก็ขอให้ทุกคนย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด หญิงมากวัยทั้งสองคนมีอาการงอแงเล็กน้อย ด้วยไม่อยากละทิ้งบ้านของตนที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมายจรัสรักพยายามเกลี้ยกล่อมพร้อมทั้งอธิบายให้แม่และยายของตนเข้าใจ เธอเองก็ไม่ได้จะทิ้งบ้านหลังนั้น แต่ด้วยสภาพที่เก่าและทรุดโทรมตามกาลเวลา อีกทั้งยังมีข้าวของเก็บไว้มากมาย ซึ่งบางอย่างก็เป็นของที่ไม่ได้ใช้แล้ว หญิงสาวจึงถือโอกาสนี้เคลียร์ของและจะทำการรีโนเวตบ้านใหม่ จากนั้นจะยกให้เป็นชื่อของจารวีจิณณ์ถามน้องสาวภรรยาว่าอยากรื้อแล้วสร้างใหม่เลยหรือไม่ จะได้บ้านในแบบที่ต้องการ ทว่าจารวีปฏิเสธพร้อมบอกว่าเอาไว้ก่อน เพราะล่าสุดพี่เขยก็เพิ่งจะถอยรถมินิคูเปอร์คันละสามล้านให้เป็นของขวัญเรียนจบแบบสด ๆ ร้อน ๆ โดยให้เหตุผลว่าระบบเซฟตีมันดีมากกว่ารถอีโคคาร์ทั่วไป ยังไม่นับคอนโดมิเนียมที่กำลังเลือกดูเพื่อจะซื้อให้พักอาศัยระหว่างที่เรียนต่อเนื่องจากสองพี่น้องมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นหมอ แต่ขาดแรงสนับสนุนจึงไม่ได้ไปต่อ ทำให้ต้องเลือกเดินในเส้นทางอ
บทที่ 32 รัก (ตอนจบ)“แต่งงานกับผมนะครับ”ในเมื่อเขาดีและทำเพื่อเธอขนาดนี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่เธอต้องปฏิเสธ ถึงจะเป็นการขอครั้งที่สอง แต่เธอก็อดตื่นเต้นไม่ได้ จรัสรักพยักหน้า ตอบรับคำขอของเขาด้วยรอยยิ้มยินดี“ค่ะ รักจะแต่งงานกับคุณ”จบประโยคนั้นร่างบางก็สะดุ้งขึ้นเล็กน้อย เมื่อไฟที่ประดับประดาอยู่รอบ ๆ ตัวบ้านสว่างขึ้นพร้อมกันทุกดวง พร้อมกับเสียงโห่ร้องจากผู้คนมากมายดังขึ้นด้วยความยินดีใบหน้าสวยมองไปตามเสียงก็เจอกับเด็กหญิงกนกนุชในชุดสวยถือช่อดอกไม้วิ่งเข้ามาหา เลื่อนสายตาไปข้างหลังอีกก็เจอแม่และยายที่นั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีปรานกับกฤษณ์เข็นให้ พร้อมทั้งพีรัช ภริตา จารวี และคุณหญิงพรรษา ยืนอยู่ข้าง ๆ กันทุกคนกำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มจรัสรักรู้ว่าวันนี้มีนัดรับประทานอาหารร่วมกัน แต่ไม่รู้ว่าทุกคนจะมารวมตัวกันที่บ้านของเธอก่อน พวกเขามาตั้งแต่เมื่อไรกัน ทำไมเธอไม่ได้ยินเสียงรถเลย“ป้อจิน เอาให้แม่” เสียงของลูกสาวดึงสายตาเธอให้กลับมาสนใจคนตรงหน้าอีกครั้ง เด็กหญิงกนกนุชยื่นช่อดอกทานตะวันให้คุณพ่อตามที่พ่อปรานบอก“ขอบคุณครับ” จิณณ์รับดอกไม้มาถือ ก่อนจะคว้าตัวลูกสาวเข้ามากอดและกดจมูกหอมแก้มแ
บทที่ 32 รัก (ตอนจบ)หลังจากหมูกระทะมื้อค่ำสิ้นสุดลง ทุกคนก็ช่วยกันเก็บจานไปล้างและทำความสะอาดสถานที่ จิณณ์รับหน้าที่พาเด็กหญิงกนกนุชไปอาบน้ำ เนื่องจากหนูน้อยเริ่มตาปรือเพราะใกล้ถึงเวลาเข้านอนเมื่อบรรยากาศภายในบ้านเริ่มเงียบสงบ จารวีนั่งเล่นกับหลาน พูดคุยกับแม่และยายสักพักก็เข้าห้องส่วนตัวของตัวเอง ส่วนอ้อมใจก็จัดที่นอนเตรียมพักผ่อน หน้าที่พยาบาลพิเศษในบ้านหลังนี้ไม่ได้หนัก และคนป่วยก็ไม่ได้จู้จี้จุกจิก พอทำหน้าที่หลักเสร็จก็สามารถนอนพักผ่อนได้ แต่ข้อเสียคือไม่มีห้องนอนส่วนตัวให้ ต้องนอนรวมกันที่ห้องโถงจรัสรักเดินมาเช็กความเรียบร้อยที่ครัวหลังร้าน เพราะพรุ่งนี้ต้องเปิดร้านขายของตามปกติหลังจากหยุดไปทำธุระหนึ่งวัน“อุ๊ย!” ทว่ายังไม่ทันได้หยิบจับสิ่งใด ร่างบางก็ถูกสวมกอดจากคนที่เดินตามเข้ามาติด ๆ หญิงสาวยิ้มและเอ่ยถามกลั้วขำ “อะไรคะเนี่ย”“อยากกอด” จิณณ์คลายวงแขนแล้วหมุนตัวเธอให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน จากนั้นก็โน้มใบหน้าลงไปจูบหน้าผากเธอแผ่วเบา “เมื่อไหร่บ้านจะเสร็จ”จรัสรักหลุดขำ นึกเอ็นดูคนตัวโตที่เริ่มงอแง นับวันก็ยิ่งเหมือนลูกมากขึ้นทุกที “คงอีกนานค่ะ ยังไม่ได้ลงเสาเลย”“รู้งี้ผมให้
บทที่ 31 คนพิเศษ“แม่แค่เป็นห่วงครับ ไม่ได้ดุ”“ดุ” ใบหน้าน้อย ๆ เอียงซบไหล่แกร่ง พยายามหลบสายตาแม่ แต่กระนั้นก็ยังแอบเหล่มอง“รับปากแม่ได้ไหมว่าครั้งหน้าเกรซซี่จะใส่รองเท้าก่อนออกบ้านทุกครั้ง” จรัสรักยังคงเสียงแข็งแต่ก็ยังฟังดูอ่อนโยนอยู่ในที เธอไม่ได้อยากเป็นแม่ใจร้ายหรอก แต่บางทีก็ต้องบอกต้องสอนกันบ้าง“รับปากแม่เร็ว คนเก่งของพ่อทำได้อยู่แล้ว” จิณณ์ให้กำลังใจ พร้อมเบี่ยงร่างเล็กในอ้อมแขนให้หันไปหาคนเป็นแม่“ต่อไปนี้เกรซซี่จะใส่รองเท้าก่อนทุกครั้งค่ะ” หนูน้อยยอมพูดแต่โดยดี ซึ่งผู้เป็นแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก ส่งยิ้มให้พร้อมยกมือขึ้นมาลูบศีรษะอย่างชื่นชม“เก่งมากค่ะ”กลายเป็นคุณพ่อที่ทวนความจำให้ลูกแทน “จำได้ไหมครับ ที่คุณแม่บอกว่าถ้าไม่ใส่รองเท้าจะเกิดอะไรขึ้น”“จะเหยียบปะตู เลือดไหล ต้องไปหาหมอ แล้วก็ร้องไห้แง ๆ” จิณณ์ไม่แก้ไขที่ลูกพูดผิด รู้ดีว่าความเข้าใจของแกก็คือตะปูนั่นแหละ“ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เกรซซี่ต้องใส่รองเท้าทุกครั้งนะ โอเคไหม”“โอเคค่า” เมื่อเคลียร์กันลงตัว หนูน้อยก็กลับมายิ้มแย้มแจ่มใส“หาแม่ไหม พ่อจะขนของลงรถ” ชายหนุ่มบอกพร้อมส่งลูกให้คนเป็นแม่อุ้ม ซึ่งมือเล็ก ๆ