ซูหว่านหันหลังกลับเด็กๆ ยืนข้างๆ ด้วยท่าทางหวาดกลัว สายตาของซูหว่านมองไปที่จอบที่พิงผนัง เหมือนเป็นสิ่งเดียวที่พอจะใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้ ซูหว่านเอื้อมมือไปคว้าจอบนั้นมาอย่างรวดเร็ว ตายเป็นตายวะอย่างดีก็แค่ตายอีกที เสียงฝีเท้าของสาวใช้วิ่งเข้ามา ใจซูหว่านร้อนรนแต่ไม่มีเวลาคิดมากกว่านี้ ขณะที่สาวใช้พุ่งเข้ามาหา ซูหว่านคว้าจอบยกขึ้นทันที แล้วทุบลงไปที่แผ่นหลังของสาวใช้อย่างเต็มแรง
"โอ๊ยยย" เสียงร้องของสาวใช้ดังขึ้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ตัวจะงอไปข้างหน้า ใช้ลงไปกับพื้น หมดแรงที่จะขยับต่อไป
ฮูหยินซูที่อ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าซูหว่านที่ไม่เคยมีปากเสียงครั้งนี้กลับสู้คน
“พวกเจ้ามาเร็วๆ มาช่วยกันจับนาง”
เสียงแหลมและแข็งกร้าวสั่งการให้ทุกคนทำตาม แต่ยังไม่มีใครมาสักคันก็มันดึกแล้ว มีแต่ฮูหยินซูเท่านั้นที่อยู่คนจับผิดซูหว่าน
ซูหว่านรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะลังเลอีกแล้ว การเผชิญหน้ากับฮูหยินซูในตอนนี้หมายถึงการสู้ หากเอาแต่หนีทั้งยังพาเด็กๆ ไปด้วยคงถูกไล่ตามมาจับได้แน่ ไม่มีทางเลือกนอกจากสู้แล้ว จะต้องทำให้ฮูหยินซูไม่กล้ากับซูหว่านอีกต่อไป
ซูหว่านหันไปมองฮูหยินซูที่ยืนอยู่ไม่ไกล มือยังคงกำจอบแน่นอย่างมั่นคง ไม่มีความกลัวในแววตา
ซูหว่านรวบรวมกำลังทั้งหมดวิ่งเข้าหาฮูหยินซูที่ยืนชี้นิ้ว ก่อนที่จะเงื้อจอบขึ้นอีกครั้ง แล้วทุบไปที่ไหล่ของฮูหยินซูอย่างไม่ลังเล
" อั๊กก กรี๊ดดดดดดดด" ฮูหยินซูร้องออกมาก่อนที่จะเซถอยไปข้างหลังท่าทางเจ็บปวด สามีตัณหากลับของนางยักษ์ขมูขีรีบมาพยุงเมีย นี่ขนาดออมมือนะนางยังร้องขนาดนี้ ทีทำคนอื่นเขาไม่รู้สึกอะไรพอโดนเข้าบ้างจะตายให้ได้
ซูหว่านเงื้อจอบอีกครั้งคราวนี้ฮูหยินซูกลัวจนหัวหด
"เจ้า...เจ้า…"สามีตัณหากลับของนางยกมือชี้หน้าซูหว่าน
“หุบปากตาแก่ อยากโดนอีกใช่ไหม” ปู่ของเด็กรีบหดหัว ซูหว่านส่ายหน้าโยนจอบเข้าใส่สองคนผัวเมียไม่สนใจว่าโดนตรงไหน คว้ามือเด็กๆ แล้ววิ่งหนีไปทันที
“หนีเร็ว" ซูหว่านตะโกนลั่นมุ่งมั่นที่จะพาเด็กๆ หนีไปจากที่นี่ให้ได้
ซูหว่านดึงแขนเด็กทั้งสองถีบประตูรั้วที่ทำจากไม้เปิดออก เด็กๆ รีบวิ่งออกจากบ้านนั้น พวกเขาผ่านประตูไปอย่างรวดเร็ว ฝ่าความมืดมิดไปข้างหน้า
“พวกเจ้า ตามไปจับนางตัวดีมา” เสียงฮูหยินซูยังดังไล่หลัง
ขณะที่ซูหว่านวิ่งไปข้างหน้า ใจเต็มไปด้วยความหวัง ไม่รู้จะไปไหนแค่ไปให้พ้นจากตรงนี้
เงาของบ้านใหญ่หายไปเบื้องหลัง ขณะที่ซูหว่านฝ่าความมืดออกไป
“เร็วเข้า พวกเขาตามมาแล้ว” เด็กๆ เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์นี้
เสียงฝีเท้าวิ่งวุ่น
"ค้นให้ทั่ว" แต่ซูหว่านไม่หันกลับไปดู วิ่งต่อไปหายใจหอบเหนื่อยแต่ก็ไม่ยอมหยุด
เด็กๆ ยังวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพวกเขาจะเหนื่อยและบาดเจ็บ มันคือการวิ่งหนีเอาชีวิตรอดที่ไม่มีทางเลือกมีแต่ความหวังข้างหน้า
"ท่านแม่ เราจะไปไหน" อาอวี่ถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหอบหนัก
"ไปหาที่ปลอดภัย...เราจะไปจากที่นี่และไปหาที่อยู่ใหม่" ซูหว่านตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นคง
เช้าตรู่ในบ้านร้างที่เงียบสงัด
ผ้าม่านผืนบางๆ เก่าๆ ที่แขวนอยู่หน้าต่างเริ่มรับแสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องเข้ามาในห้อง บรรยากาศรอบๆ ไม่มีเสียงจากใครนอกจากเสียงลมที่พัดผ่านเบาๆ หยากไย่ไขว้กันไปมาบนเพดาน
ซูหว่านลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาปรับสภาพจากความมืดมิดของคืนที่ผ่านมา มองไปรอบๆ ห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นและข้าวของเก่าๆ ผุพัง แต่นั่นกลับทำให้รู้สึกสงบและปลอดภัยเมื่อเทียบกับความโหดร้ายที่เคยเผชิญในบ้านนั้น ทุกอย่างดูง่ายและสงบขึ้นมาก เมื่อคืนซูหว่านพาเด็กๆ เข้ามาในนี้อย่างไม่ลังเลแม้จะมืดแต่มีหลังคาคุ้มหัวและที่สำคัญไม่มีเจ้าของ
ซูหว่านหันไปมองเด็กๆ ที่นอนหลับอยู่ข้างๆ ตัว อาเยวี่ยนและอาอวี่นอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางบนฟูกเก่าๆ แต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเล็กๆ ของพวกเขาทำให้ซูหว่านรู้สึกถึงความอบอุ่นในใจ
อาอวี่ขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นและเห็นซูหว่านนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าที่โล่งใจ
"ท่านแม่...เราหนีรอดแล้วใช่ไหม" เสียงเบาและอ่อนหวาน
"ตื่นแล้วเหรอ" ซูหว่านยิ้มให้พร้อมกับลูบหัวอาอวี่เบาๆ ใบหน้าน้อยๆ ดวงตากลมโตที่แรกบอกไม่ชอบเด็กแต่พอพบตากลมๆ ของอาอวี่ก็อดเอ็นดูไม่ได้
“อือ ท่านแม่เราหนีออกมาได้แล้วเรารอดแล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องถูกตีอยู่ที่นั่นอีกแล้วใช่ไหม เย้ๆๆๆๆๆ"
อาเยวี่ยนที่นอนอยู่ข้างๆ พลิกตัวหันมามองก่อนจะยิ้มอย่างเหนื่อยๆ
"ท่านแม่...เราไม่ต้องกลัวใครแล้วใช่ไหม…"
คำถามของอาเยวี่ยนทำให้ซูหว่านหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
"ไม่ต้องกลัวแล้ว...เราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กันสามคนที่นี่" ยิ้มสดใส
อาเยวี่ยนยิ้มกว้างขึ้น ใบหน้าเล็กๆ ของเขาเปล่งประกายไปด้วยความหวังและความฝันที่ไม่เคยมีมาก่อน จะต้องใช้ชีวิตที่นี่ให้ได้แล้วจะต้องสบายและรวยด้วยฮ่าาาาาา
ซูหว่านลุกขึ้นจากฟูกและมองไปยังหน้าต่างที่เปิดอ้าให้แสงแดดผ่านเข้ามาเต็มห้อง ความอบอุ่นของแดดอ่อนๆ ที่ทอแสงลงมาสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นในห้อง ราวกับเป็นสัญญาณแห่งชีวิตใหม่
“โลกภายนอกที่ไม่มีการกดขี่ นี่มันดีแค่ไหนน้าาาา” ซูหว่านตะโกนดังๆ เอ้ออยู่ดีดีก็มีลูก อยู่ดีดีก็ต้องมาหาทางเอาตัวรอดอย่างน้อยก็ไม่ตายล่ะว่ะ ว่าแต่พอรอดจากนี่แล้วจะได้กลับไปโลกจริงๆ ไหมนะ
เสียงสัญญาณการประกวดการแข่งขันดังขึ้นจากทุกทิศทาง ผู้เข้าแข่งขันต่างเตรียมพร้อมและทำอาหารด้วยความมุ่งมั่น บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความคาดหวังจากทุกฝ่าย ท่ามกลางกลิ่นหอมของอาหารหลากหลายชนิดที่เต็มไปด้วยความพิเศษและรสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนท่านฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรไปยังเหล่าผู้เข้าแข่งขันแต่ละรายพร้อมกับขันทีข้างกายที่คอยรายงานข้อมูลและชี้ชวนให้ดูยังจุดต่างๆ ภายในบริเวณงาน การมองลึกๆ ของพระองค์สะท้อนถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียด และความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับการประกวดในครั้งนี้"นั่นใช่ไหม เปิ่นหลี่ของอ๋องแปด"ฮ่องเต้ถามพร้อมกับมองไปยังผู้เข้าแข่งขันในชุดประดับที่เด่นชัดขันทีข้างกายยิ้มและตอบอย่างนอบน้อม "พ่ะย่ะค่ะ ความจริงแล้วโรงเตี๊ยมที่ลงแข่งขันทั้งหมดล้วนมีจุดเด่น และเปิ่นหลี่ของอ๋องแปดก็เป็นหนึ่งในนั้น ข้าว่าท่านอ๋องแปดคงคิดหนักหน่อยเมื่อเห็นผู้เข้าแข่งขันเหล่านี้ ทุกคนล้วนมาเพื่อแข่งขัน"ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วทอดพระเนตรต่อไปที่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ก่อนจะเลื่อนสายตามาหยุดที่ซูหว่าน ที่กำลังก้มลงเติมฟืนในเตาอย่างมุ่งมั่นท่ามกลางเตาอาหารที่ยังคงคุกรุ่นไปด้วยความร้
ไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวแต่ก็ประมาทไม่ได้ โรงเตี๊ยมผิงจื้อมีชื่อด้านสุราหอมหวนอาหารที่ทำล้วนแต่เป้นกับแกล้มที่คยนกินรุ้สึกสึกปากเมื่อต้องกินคู่กับสุราฉะนั้นประมาทไม่ได้เรื่องรสชาติอาหารที่จัดจ้าน” ซูหว่านพยักหน้ายิ้มๆด้านข้างหอโอชารสที่เข้าแข่งขันครั้งนี้ด้วย ป้ายแผ่นไม่ด้านหลังงดงามด้วยตัวอักษรที่พลิ้วไหว“หอโอชารส”“หอโอชารส ส่วนมากจะปรุงอาหารที่นิยมในหมู่ขุนนางและคนในราชสำนักนับว่ายกระดับอาหารจากที่ชาวบ้านกิน ส่วนมากแล้วขุนนางในราชสำนัมักจะนัดพบปะพูดคุยหารือเรื่องต่างๆ หรือตกลงกันด้วยเรื่องการเมืองมักจะมากินอาหารที่นี่เสมอมีทั้งสุราดีและนารีที่งดงาม” ซูหว่านยิ้ม“แล้วนั่นล่ะค่ะ” ชี้มือไปที่ด้านนซ้ายนถัดจากโรงเตี๊ยมไห้ถัง“นั่นโรงเตี๊ยม จือฮวาที่แค่คงตั้งใจเข้ามาร่วมการแข่งขันเพื่อให้คนรู้จักมากขึ้นเพราะข้าเพิ่งเห้นว่าดรงเตี๊ยมแห่งนี้เพิ่งจะเปิดได้ไม่กี่วัน” ฟงหงเหวินชี้มือไปที่โรงเตี๊ยม เปิ่นหลี่“เปิ่นหลี่”“นั่นคือคู่แข่งคนสำคัญเพราะเป็นโรงเตี๊ยมที่ขายให้เฉพาะคนในราชสำนักีรุ้ใจเข้าใจคนในวังหลวงว่าชมชอบอาหารแบบไหนซึ่งคนในวังหลวงก็มีฝ่าบาทในนั้นด้วยเกรงวาสครึ่งใจของฝ่าบาทจะเทไปที่เ
ซูหว่านก้มมองตัวเองพร้อมกับรอยยิ้ม แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องเข้ามาทำให้ดูสง่างามอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ชุดกี่เพ้าแบบฟ้าขาวทำให้ดูสวยงามและสงบเยือกเย็น แต่ก็มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เข้ากับบุคลิกของซูหว่านอย่างลงตัวฉายหยาเลิกคิ้วขึ้น พลางมองไปที่ซูหว่านจากหัวจรดเท้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงใสซื่อ"อ่อ พี่เซิ่นหยี่ยนเข้าใจหาลูกค้านะคะ นางกำลังจะลงแข่งขันการปรุงอาหาร สวมอาภรณ์ที่มาจากผ้าเนื้อดีและตัดเย็บมาจากร้านหวงฝูเหอแบบนี้ เท่ากับช่วยโฆษณาสินค้าของร้านหวงฝูเหอสินะคะ เพราะว่านางเป็นหญิงเพียงคนเดียวที่ลงแข่งขันในครั้งนี้ ทุกสายตาในงานเทศกาลจะต้องจับจ้องมาที่นาง อาภรณ์ชุดนี้พออยู่บนตัวนางยิ่งทำให้นางดูงดงาม แบบนี้หญิงงามทั้งเมืองจะต้องอยากได้ชุดแบบนี้บ้างสินะคะแล้วร้านหวงฝูเหอก็จะ ทำยอดขายเป็นกอบเป็นกำสินะคะ พี่เซิ่นเหยี่ยนนี้สุดยอดจริงๆ"คำพูดของฉายหยาเหมือนมีแรงกดดันบางอย่าง และเมื่อพูดถึงร้านหวงฝูเหอ น้ำเสียงนั้นก็เหมือนจะตีความว่าเซิ่นเหยี่ยนกำลังใช้ซูหว่านเป็นเครื่องมือในการโฆษณา แม้ว่าคำพูดของฉายหยาออกจะดูเหมือนการชมเชย แต่ก็แฝงไปด้วยการวิจารณ์บางอย่างเซิ่นเหยี่ยนถอนหายใจ เขากลับรู้ส
เซิ่นเหยี่ยนก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ข้างๆ ฉายหยาที่เกาะแขนของเขาเดินไปติดๆ ในขณะที่ทั้งคู่เดินไปข้างหน้า หยางลู่ที่เดินอยู่ข้างหลังอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง ทั้งๆ ที่พยายามทำใจให้สงบ แต่ทว่าความรู้สึกบางอย่างกลับฉุดรั้งให้ไม่สามารถละสายตาจากแผ่นหลังของเซิ่นหยี่ยนได้เซิ่งเจี๋ยที่ยืนอยู่ข้างหน้าเห็นหยางลู่ที่เดินเข้ามาใกล้ก็ยกมือขึ้นมาโบกให้กับหยางลู่รอยยิ้มบนใบหน้า แม้จะเป็นเพียงการแสดงออกธรรมดา แต่ก็ไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกบางอย่างในเมื่อหยางลู่สวมชุดสีแดงเพลิงสะดุดตาขนาดนั้นฉายหยาที่เห็นเซิ้งเจี๋ยโบกมือก็พูดขึ้นยิ้มๆ"พี่จะไปหาพี่เซิ่งเจี๋ยก็ได้นะคะ ส่วนข้ากับพี่เซิ่นเหยี่ยนเราจะได้ใช้เวลาด้วยกันเพียงลำพัง พี่เองก็จะมาเดินตามเราทำไมกัน" เสียงของฉายหยาที่พูดด้วยท่าทางไร้เดียงสาแทรกเข้ามาในหูของหยางลู่ แม้รอยยิ้มใสใสที่ส่งมาเป็นเพียงแค่การแสดงออกภายนอก แต่หยางลู่กลับเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแววตาของฉายหยาความเย้ยหยันที่แฝงมาในท่าทีที่แสนสงบ ทำให้รู้สึกไม่พอใจ"อืม เข้าใจแล้ว ก็น่าเห็นใจเจ้านะฉายหยานานๆ ครั้งไม่สิคงไม่มีโอกาสได้เดินเคียงข้างคุณชายหวงสินะ วันนี้จึงอยากจะใช้โอกาสนี้ใ
รถม้าหลายคันเคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ล้อไม้ดังเสียงกรอบแกรบขณะที่พาหนะแต่ละคันวิ่งเข้ามาหยุดยังบริเวณงาน บริเวณนี้เต็มไปด้วยคนของโรงเตี๊ยมทั้งใหญ่และเล็ก ทุกคนต่างช่วยกันจัดเตรียมทั้งอุปกรณ์ทำอาหารและการก่อเตาฟืนกลางแจ้งเพื่อใช้ในการแข่งขันครั้งนี้"ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม" เสียงของเซิ่งเจี๋ยดังขึ้นในระหว่างที่เขากำลังเดินไปมาในพื้นที่ เขายืนอยู่ในชุดสูทที่ทันสมัย ดูสง่างามและนอบน้อม ในขณะที่ขุนนางที่มีตำแหน่งสูงต่างๆ เดินผ่านมา พวกเขาหยุดและกล่าวทักทายเขาด้วยท่าทางสุภาพ จนทำให้บรรยากาศรอบๆ ยิ่งดูเป็นทางการและยิ่งใหญ่“จอมปลอม” ซูหว่านเผลอพึมพำเบาๆรุ้สึกหนักอึ้งกับภาพตรงหน้าเซิ่งเจี่ยคนเดียว“เจ้าว่าอะไรนะ”“อ่อเปล่า…….ข้ากำลังรู้สึกว่าฮ่าาาๆๆๆๆบางอย่างมันดูยิ่งใหญ่ที่สุดเลยจริงๆไม่เคยเห้นอะไรแบบนี้มาก่อนงานปีใหม่นี่ดีจริงๆนะฮ่าาาาา”"หลังจากจบการแข่งขันการทำอาหารข้าจะพาเจ้าเดินชมงานเทศกาลรอบๆ ที่นี่มีของขายมากมายและยังมีการแสดงหุ่นกระบอกกับการร่ายรำกระบี่ที่หาดูยากแล้วในตอนนี้อีกด้วย" ซุหว่านพยักหน้ายิ้มๆ"ขอบคุณคุณชายมากๆเลยคะ ข้าคงใจจดจ่อที่การแข่งขันในตอนนี้ แต่พวกเด็กๆไม่รอแล้ว
ก่อนจะตอบออกไปอีกทีอย่างรวดเร็ว "ไม่ ไม่ยกเว้นใครทั้งนั้น!"หยางลู่ผุดลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองไปข้างนอกที่มีแสงจากพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า "เราจะต้องเหนือกว่าทุกคนที่นี่โดยเฉพาะซูหว่านนางขอทานนั่น ที่นี่เรามีเงิน มีอำนาจ ทุกอย่างที่คนธรรมดาไม่มี คุณจะกลัวทำไม ซูหว่านก็แค่ผู้หญิงไร้พิษสงคนหนึ่งเท่านั้น!"คำพูดของหยางลู่ยังดังก้องในห้อง แต่เซิ่งเจี๋ยกลับมองไปที่หยางลู่ด้วยแววตาที่ไม่อาจบอกได้ว่ากำลังคิดอะไร เขายังคงเงียบ และท่าทางนั้นทำให้หยางลู่หันกลับมามองเขาด้วยความสงสัย"คุณไม่เชื่อใช่ไหมคอยดูก็แล้วกัน ซูหว่านจะต้องไร้ที่ยืนที่นี่" หยางลู่ถามเสียงต่ำเซิ่งเจี๋ยพยักหน้าอย่างช้าๆ เขารู้ดีว่าไม่ใช่แค่ซูหว่านที่เขาต้องระวัง แต่ยังมีคนอื่นๆ ที่เขาต้องคิดถึงอีกมากมาย... " คุณเกลียดอะไรเขาหนักหนาผมไม่เข้าใจ ผมก็แค่ไม่อยากเห็นความผิดพลาดครั้งใหญ่" เขาพูดเบาๆหยางลู่ยิ้มหยัน"ไม่ต้องห่วง คุณชายเซิ่งเจี๋ย ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ที่นี่จะไม่มีคำว่าผิดหวังในเมื่อต้นทุนเรามาดีขนาดนี้ฉันถึงปฏิเสธระบบบ้าบอนั่นอย่างไรเล่า"หยางลู่พูดก่อนจะหันกลับไป และจากไปด้วยท่าทีที่มั่นใจ จะไม่ยอมให้ใ