LOGINสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความฝันแต่เป็นเรื่องจริง
เรื่องจริงที่ว่าจักรทัศน์แค่คนเดียวที่เห็นเธอ
“เดี๋ยว! ตาลไม่ใช่โจรนะคะ ทุกคนอย่าเข้าใจผิด...” อัยยาลิณณ์คุกเข่ายกมือเหนือ แต่ทุกคนวิ่งไปมาราวกับเธอเป็นอากาศธาตุ ก่อนลุกขึ้นยืนแข้งขาสั่นเทา หันซ้ายหันขวาท่ามกลางความอลหม่านรอบตัว
นี่เธอตายแล้วงั้นหรือ
จักรทัศน์ไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่เห็นอย่างไรเลยได้แต่ยืนขาแข็งหน้าเหวอ ส่วนพี่สาวก็เอาแต่คาดคั้นไม่หยุด
“เฮ้! เจย์…เจคอป” น้องชายกระพริบตาถี่รัว ๆ หลังเจนีนดีดนิ้วเรียกสติ
“ห๊า…อะ อะไรนะ เมื่อกี้ยูว่าอะไรนะ”
“เห้อ! ยูโอเคมั้ยเนี่ย คนที่โรง’บาลบอกว่ายูขาดงานไปสองวันนะ นิติก็ไม่เห็นยูออกจากห้อง ไอมาเรียกยูตั้งนานก็เงียบแล้วนี่มาก็บอกมีคนบุกรุกอีก เกิดอะไรขึ้นกับยูวะเนี่ย” เพราะงั้นถึงได้ยกขโยงขึ้นมา
แล้วจักรทัศน์ควรตกใจอะไรก่อนระหว่างสลบไปสองวันกับผู้บุกรุกที่ไม่มีใครมองเห็น
“ยูมองอะไรตรงกลางห้องน่ะ มองตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ” เจนีนหันตามแต่ไม่มีอะไรนอกจากโซฟาโล่ง ๆ
“นี่…ทุก ทุก ทุกคนมองไม่เห็นจริง ๆ เหรอ” แพทย์หนุ่มเสียงสั่นขาดช่วง ชี้นิ้วย้ำ ๆ ไม่หยุด
“ฉิบหายล่ะหรือกูเห็นผีวะ!”
“เห้ย! ยูเพ้ออะไรน่ะเจย์ไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย ยูภาพหลอนแน่ ๆ” เจนีนออกคำสั่ง แต่จักรทัศน์ปฏิเสธเสียงแข็งเพราะคิดไปว่าตัวเองปกติดี
แต่แล้ว…
กร๊อบ!
“โอ๊ะ! โอ๊ย เจ็บคอ มันเสียงดังกรึ๊บเลย โอ๊ย! คอของไอ คอของไอหมุนกลับมาไม่ได้ อ๊ากกก” น่าจะเป็นอาการบาดเจ็บจากการตกบันไดแล้วพอหันเร็ว ๆ คอก็เคล็ดจนหันกลับมาไม่ได้
พ่อรูปหล่อคอเอียง
“เรียกรถพยาบาลให้ทีค่ะ ยูอย่าฝืนหันกลับมานะ เดี๋ยวไอจะพายูไปที่ลิฟต์” จักรทัศน์ทำตามแต่โดยดี ไม่นานเกินรอรถพยาบาลก็มาพาตัวหมอที่ผันตัวมาเป็นผู้ป่วยไป
ผลจากการเอ็กซ์เรย์และทำ CT สแกนสมองก็พบว่ากระดูกคอมีรอยร้าวเล็กน้อย แต่ร่างกายสามารถรักษาตัวได้เอง ส่วนกล้ามเนื้อและเอ็นอักเสบต้องพักรักษาตัวประมาณสัก 3 – 4 วัน นอกจากนี้ยังต้องให้แพทย์ด้านประสาทวิทยาวินิจฉัยอาการเห็นภาพหลอน
“ปกติมารับเวรกับตรวจคนไข้ งั้นถึงเสียว่ามาพักร้อนนะหมอเจย์ ขนาดใส่เฝือกคอยังหล่ออยู่เลยนะเนี่ย” อาจารย์หมอผู้เป็นผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้พูดติดตลก คนโดนชมยืดอกรับเต็มที่ ส่วนอีกคนก็เบะปากด้วยหมั่นไส้
“ไหนเล่าหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น” เจนีนถามหลังได้อยู่ตามลำพัง
“ก็อย่างที่ไอบอกไปไงก็แค่ตกบันไดแล้วเบลอ”
“เจย์จริงจังหน่อยสิ ถ้ายูเป็นอะไรไป ไอจะบอกแด๊ดกับมี้ยังไง แถมจะโดนลุงเอื้อมด่าด้วยสิว่าอยู่ใกล้กันแค่นี้ยังดูแลกันไม่ได้ ยูมันรั้นเหมือนใครวะเนี่ย”
คนเป็นพ่อเป็นแม่ยังไม่บ่นขนาดนี้
“มันไม่มีอะไรมากกว่านั้นไอสร่างเมาแล้วลื่นตกบันไดจริง ๆ จากนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกเลยแล้วก็ตื่นมาเจอยูนั่นแหละ”
“แล้วยูกลับมาห้องได้ ใครมาส่ง พอจะจำอะไรได้มั้ย”
“นง!” จักรทัศน์ตอบปฏิเสธด้วยภาษาฝรั่งเศส
“งั้นเดี๋ยวไอไปดูวงจรปิดในห้อง เผื่อมีอะไรหายไปด้วย”
“นง นง นง ไอปิดระบบมันไว้น่ะ ไปดูก็ไม่เจออะไรหรอก” รู้เลยว่าไม่เปิดระบบเพราะอะไร!??
“เจคอป!!! งี้เกิดยูตายห่าไปก็จับตัวคนร้ายไม่ได้น่ะสิ ไอ้เปรตนิ!” เจนีนแค่นเสียงด่าตามสำเนียงท้องถิ่น
“ระบบรักษาความปลอดภัยของโครงการมันดี ไอเลยไม่ห่วงต่างหาก” ปากก็เถียงฉอด ๆ แต่สายตายังหลุกหลิกไปมุมนั้นทีมุมนี้ทีไม่หยุด แฝดพี่เหลือบมองข้ามไหล่แล้วพ่นลมหายใจแรง
“ยูยังเห็นภาพหลอนอยู่สินะ ไอจะให้ยูพักผ่อนนะเจย์ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเองแหละ เห้อ!” จักรทัศน์มองตามร่างบางผิวแทนบ่มแดดแบบนักเซิร์ฟที่พกพาความสูงถึง 1.76 ซม. เดินหายไปหลังประตู
ความเงียบสงบและความเป็นส่วนตัวกลับคืนมาอีกครั้ง แพทย์หนุ่มสูดลมหายใจลึกและผ่อนยาว ๆ หันไปทางหน้าต่างห้องพัก
ผี…หรือสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่างกำลังยืนชมเมืองภูเก็ตจากชั้น 12 แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวใด ๆ เมื่อครู่ก็เดินไปตรงนั้นทีตรงนี้ทีจนน่าเวียนหัว
“ตามมาขนาดนี้ สิงกันเลยดีกว่ามั้ย”
“ฉันไม่ใช่ผีนะหรือว่าใช่ล่ะหว่า” อัยยาลิณณ์เถียงกลับแต่น้ำเสียงเจือความลังเลในช่วงท้าย
“อีกอย่างฉันไม่ได้นั่งรถหรือเดินตามคุณมานะ แต่ฉันโดนดึงให้ตามมาน่ะเหมือนมีพลังอะไรมาดึงดูด…”
“เพ้อเจ้อไปเรื่อยพลังแบบนั้นมีในโลกที่ไหน” จักรทัศน์พูดแทรกเพื่อตัดบทแล้วถามต่อ “แล้วทำไมทุกคนมองไม่เห็นคุณ นอกจากผมล่ะ”
เพราะอีกฝ่ายเคลื่อนไหวเหมือนคนปกติไม่ได้ลอยเหนือพื้นแบบผี
“เรื่องนี้คุณคงต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง เพราะฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน”
“เป็นผีแล้วยังจะกวนประสาทอีก”
“บอกว่าไม่ใช่ผีไงเล่า งั้นเอางี้เพื่อเป็นการพิสูจน์คุณลองโทร.ไปที่แผนกศูนย์วิจัยโรคทางประสาทที่เชียงรายดูสิ แล้วถามว่าฉันกำลังรักษาตัวอยู่หรือเปล่า”
“ทำไมผมต้องทำงั้นล่ะ” จักรทัศน์หรี่เปลือกมองอย่างไม่เชื่อใจ
“จะได้รู้ไงว่าฉันหรือคุณที่หลอนไปเอง” แขกไม่ได้รับเชิญกอดอก เชิดคางขึ้นด้วยความมั่นใจ
“หึ เดี๋ยวรู้กัน”
ถึงจะเคลือบแคลงใจแต่แพทย์หนุ่มก็ไม่รีรอรับคำท้า คำตอบที่ได้รับน่าจะเปลี่ยนมุมมองและความเชื่อที่ว่าไม่มีอะไรที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้
จักรทัศน์ค้างเติ่งไปหลายนาที อัยยาลิณณ์นอนไม่ได้สติบนเตียงผู้ป่วยที่เชียงรายจริง…แล้วที่นั่งกระดิกเท้ากวนประสาทอยู่นี่คือใคร
“ฉันไม่ได้เกิดอุบัติเหตุหรืออะไรนะ แต่เป็นโรคหลับลึกน่ะ อาการกำเริบทีจะหลับไปอย่างต่ำสามวันสามคืนเลย รอบนี้ก็ผ่านมาเกือบสามวันแล้ว” ไม่ผิดคาดพอได้ยินว่าเป็นโรคแปลก ๆ คนเป็นหมอย่อมเกิดความสนใจ
“แล้วถอดจิตย้ายร่างแบบนี้ประจำเหรอ”
“ไม่ใช่สักหน่อย นี่เป็นครั้งแรกเลย ฉันก็นึกว่าตัวเองฝันไปน่ะ”
“แล้ว…คุณเอ่อ เริ่มมีภาวะหลับลึกตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฉันชื่อขนมตาลค่ะ ฉันเริ่มมีอาการแบบนี้ตอนขึ้นมัธยมต้น” เธอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
“อย่างงั้นเองเหรอ ว่าแต่ชื่อเล่นยาวเกือบเท่าชื่อจริงเลยนะ” จักรทัศน์ยกนิ้วขึ้นมานับเทียบพยางค์ชื่อจริงกับชื่อเล่น “แต่หมอว่ามันก็เก๋ดีนะ ไม่เคยได้ยินคนชื่อขนมต้ม ยกเว้นนักมวยในตำนาน”
“ขนมตาลย่ะ! ฉันชื่อขนมตาล อะไรว้า! ไปไหนมีแต่คนล้อว่าขนมต้มตลอดเลย”
“ช่วยไม่ได้มันพ้องเสียงขนาดนี้ เรากลับเข้าเรื่องดีกว่าแล้วภาวะหลับลึกมันเป็นไงเล่าให้หมอฟังหน่อยซิ” ขนาดตัวเองเป็นคนป่วยพอเจอคนป่วยก็มันก็อดซักอาการไม่ได้อยู่ดี
……………..
‘แองจี้ที่รัก คุณคือภรรยา คุณคือนางฟ้าและคุณคือสตรีที่ผมรัก’ คำจารึกบนป้ายหลุมศพของอังศุมารินอดีตนักธุรกิจสาวข้ามเพศของเจมีไนน์
อังศุมารินจากไปได้สามปีแล้ว แต่เจมีไนน์ไม่เคยถอดแหวนแต่งงานจึงไม่ค่อยมีใครเฉียดเข้าใกล้แต่ถ้ามีมาก็ถูกปฏิเสธไป แม้อดีตภรรยาเคยสั่งเสียให้ตัดใจแล้วเดินหน้าใช้ชีวิตก็ตาม
คำสั่งเสียมีนัยยะว่าเจมีไนน์มีความรักครั้งใหม่ได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด ทว่าความรักความผูกพันธ์ที่มีให้กันยาวนานทำให้หัวใจที่มีแต่รักแท้ยากที่จะก้าวต่อไป
กระทั่งเจอกับแพทย์หนุ่มหน้าตาหล่อเหลา
ผู้ที่จะทำให้เจมีไนน์รู้สึกถึงความหมายของชีวิตที่เหลือนับจากนี้
“นายแพทย์จักรทัศน์ ประทานชัยหรือ…เจคอป ประทานชัย…” เขาท่องชื่อนี้จนขึ้นใจ ขณะจัดดอกลิลลี่ใส่แจกันอย่างอารมณ์ดีและนำไปวางประดับหน้ารูปภาพขนาดใหญ่ของอังศุมาริน
ห่างไปกว่า 50 กิโลเมตรจากคฤหาสน์บนเนินเขาจนถึงคอนโดมิเนียมในย่านเศรษฐกิจที่ ๆ ตัวตนของเจมีไนน์กำลังถูกพูดถึงเพราะเหตุการณ์คืนนั้น
“ถ้าจำไม่ผิดเขาตัวสูงแล้วหุ่นดีมากเลยค่ะ แต่เราเห็นหน้าเขาไม่ชัดเพราะใส่หมวกปิดไปครึ่งหน้าเลย แต่เห็นแค่คาง จมูก ปากก็รู้ว่าหล่อมากแน่ ๆ ค่ะคุณเจนีน” นิติบุคคลเล่าไปก็เขินไป แต่ถ้าจะบอกแค่นี้กับเปิดภาพวงจรปิดดูคงไม่ต่างกัน
“อ๋อเหรอคะแล้วไงต่อคะ”
“เสียงเขาเซ็กซี่มากเลยค่ะ พวกหนูฟังแล้วเคลิ้มตามเลย แถมตัวก็หอมมากด้วย หนูล่ะอยากไปซุกซอกคอแล้วหอมฟอดใหญ่ ๆ หลาย ๆ ฟอดเลยค่ะ”
“อ๋อเหรอคะ…! แล้ว อายุประมาณเท่าไหร่ เป็นคนที่ไหน อะไรยังไงจำได้บ้างมั้ยคะ” ไม่มีใครสังเกตุว่าเจนีนกำลังท้าวเอวด้วยท่าทีที่ไม่พอใจอยู่
“อายุน่าจะ…เอ สามสิบห้าค่ะไม่น่าถึงสามสิบแปด” คนหนึ่งว่างี้
“ไม่น่าใช่นะคะ หนูว่าไม่ถึงสามห้าหรอก ยังดูหนุ่ม ๆ อยู่เลย” อีกคนว่างี้
“บ่แม่นเลยครับ ผมว่าน่าจะสามสิบปลาย ๆ แล้ว เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากเลยเด้อครับ” รปภ. ที่ช่วยหิ้วปีกจักรทัศน์ขึ้นห้องขอออกความคิดเห็นบ้าง
ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวสักเท่าไหร่เห็นทีต้องจริงจังแล้ว
“ทุกคนฟังนะคะ คอนโดโครงการนี้มีทั้งความเป็นส่วนตัวและมาตรฐานความปลอดภัยสูงกว่าที่อื่น ๆ แต่…การที่พวกคุณปล่อยให้คนแปลกหน้าขึ้นไปบนห้องได้ง่าย ๆ แล้วบอกว่าจำอะไรไม่ค่อยได้เลยก็น่าติติงแล้ว นี่ยังมากระดี๊กระด๊าเห็นเป็นเรื่องตลกอีกเหรอคะ นี่มันเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของลูกบ้านเลยนะ เจนีนจริงจังนะคะ”
ความเงียบงันเข้าปกคลุมวงสนทนาในบัดดลแปลว่าทุกคนบกพร่องในหน้าที่ไปเต็ม ๆ
“ยังไงพวกเราก็ขออภัยด้วยนะคะ ครั้งหน้าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีกแน่นอนค่ะ”
ก่อนแยกย้ายเจนีนได้ข้อมูลน่าสนใจจากนิติบุคคลที่เพิ่งเปลี่ยนกะมาเข้างาน เธออยู่ในเหตุการณ์และจำข้อมูลบนหนังสือเดินทางของชายคนนั้น
“ไม่แปลกหรอกค่ะที่น้อง ๆ จะจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ ผู้ชายคนนั้นพยายามเบนความสนใจและเหมือนไม่อยากให้เห็นหน้าด้วย เขาพูดภาษาอังกฤษสำเนียงบิชติสแบบเดียวกันในทีวีเลยค่ะ แล้วก็…ถือพาสปอร์ตออสเตรเลียแต่หน้าเป็นเอเชียชัดเจนฟังธงค่ะ ส่วนชื่อ เอ่อ…ราศีมิถุนในภาษาอังกฤษ”
“สรุปว่าเขาชื่อเจมีไนน์เป็นออสซี่ แต่อายุน่าจะประมาณสี่สิบต้น ๆ ใช่มั้ยคะ” เจนีนทบทวนอีกครั้ง
“แต่ถ้าเขาแค่มาส่งก็ไม่น่ามีอะไรนะคะหรือในห้องมีของหายคะ”
“อันนี้คงต้องรอถามเจย์ค่ะ แต่ไม่รู้ว่านายคนนั้นจะมีส่วนทำให้เจย์เห็นภาพหลอนหลังฟื้นด้วยหรือเปล่า ยังไงเจนีนขอไฟล์กล้องวงจรปิดไปก่อนนะคะ”
แต่พ่อหนุ่มออสซี่ผู้ถูกสงสัยกำลังเปลือยท่อนบนอวดหุ่นล่ำวิ่งออกกำลังกายอยู่ที่เนินเขาใกล้บ้านแบบสบายใจเฉิบ
ชีวิตชายโสดเริ่มมีความหมายอีกครั้ง
บาร์รูฟท๊อปที่คืนนี้เต็มไปด้วยแสงไฟอบอุ่นและเสียงเปียโนคลอเบา ๆ เจมีไนน์ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ในสูทสีดำเข้ารูป เงาสะท้อนในแก้วคริสตัลทำให้ใบหน้าคมเข้มของเขาดูอ่อนกว่าที่เป็นจริงนิดหน่อย เขายิ้มต้อนรับลูกค้าเหมือนเช่นทุกคืน แต่สายตากลับสะดุดกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาหนุ่มคนนั้นอายุราว 26 – 27 ปี หน้าตาคมคายเหมือนจะเคยเห็นผ่านจอทีวีหรือบทสัมภาษณ์ทางออนไลน์ ที่สำคัญแววตาของเขายามสบกับตนมีแววเขินอายเล็ก ๆ จนคนที่ผ่านโลกมามากอย่างเจมีไนน์ยังเผลอหัวใจสะดุด“สายัณห์สวัสดิ์ครับคุณผู้ชาย จะรับอะไรดีครับ?” บาร์ทนเดอร์หนุ่มใหญ่เอ่ยเสียงนุ่ม“เอ่อ…เอาเป็น เอ่อ อะไรก็ได่แก้วนึงครับ” ชายหนุ่มยกยิ้มบางอย่างเก้ ๆ กัง ๆ คล้ายไม่คุ้นชินกับบรรยากาศบาร์หรู“ได้ครับ รบกวนรอสักครู่นะครับ”เจมีไนน์โชว์ลีลาการผสมเครื่องดื่มที่ใครเห็นก้ต้องหยุดมอง ครู่ต่อมาค็อกเทลสีอำพันจะถูกดันมาตรงหน้า หนุ่มใหญ่ยกยิ้มมุมปากพลางโน้มตัวลงเล็กน้อย แสงไฟนวลเหนือบาร์ทอดเงาบนกรอบหน้าคมเข้มที่แม้ผ่านกาลเวลามากว่า 50 ปี แต่ยังดูน่าหลงใหลไม่ต่างจากชายหนุ่มวัยกลางคนทั่วไปหรืออาจจะยิ่งกว่านั้น“ลองชิมดูสิครับ สูตรพิเศษคืนนี้
ปีแรกในนอร์เวย์คือการเดินทางที่โหดหินที่สุดของชีวิตอัยยาลิณณ์ที่นี่ไม่ใช่เชียงราย อุณหภูมิที่หนาวจัด การสื่อสารที่ไม่คล่องแคล่วและกระบวนการรักษาที่ซับซ้อนกว่ามาก ทำให้ทุกวันเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจทุกครั้งที่เข้าสู่การทดลองปรับคลื่นสมอง เธอต้องนอนในห้องแล็บสีขาวที่มีเครื่องมือรุงรังติดเต็มศีรษะ แสงไฟจ้าและเสียงเครื่องจักรดังต่อเนื่อง จนบางทีแอบน้ำตาไหลเงียบ ๆ ใต้ผ้าห่มแต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่เคยคิดถอย เพราะรู้ว่ามีใครบางคนที่เฝ้ามองจากแดนไกล[สู้ ๆ นะ ตาลเอ๊ย พ่อแม่กับต้มอยู่ตรงนี้เสมอ][อีกไม่นานนะตาล รอเจย์ก่อน]ข้อความจากครอบครัว เพื่อนฝูงและจักรทัศน์ในวิดีโอคอลคือกำลังใจสำคัญแม้บางคืนเธอจะหลับลึกไปโดยไม่ตั้งใจ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าวิญญาณก็ไม่เคยหลุดจากร่างอีกเลย มันคือสัญญาณว่าการรักษากำลังไปในทิศทางที่ถูกต้อง“อีกไม่นาน…เราจะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติแล้ว” อัยยาลิณณ์พึมพำกับตัวเองพร้อมกับกำมือแน่นและทุกครั้งที่เหนื่อยล้า ภาพรอยยิ้มของเขาก็จะปรากฏขึ้นในความคิดเสมอหนึ่งปีเต็มหลังยื่นเอกสารขอทุนเรียนต่อ ชีวิตของจักรทัศน์คือการวิ่งวนระหว่างงานโรงพยาบาล การสอนรุ่นน้องแ
วันนี้คฤหาสน์วิวทะเลอันดามันของเจมีไนน์บรรยากาศคึกคักกว่าทุกครั้งเพราะมีนัดถ่ายภาพครอบครัวประทานชัยเซ็ตใหม่ภาพที่มีสมาชิกพร้อมหน้าอย่างแท้จริงกล้องตั้งอยู่บนขาตั้งหันหน้าออกไปทางวิวทะเลสีคราม เด็กชายวัยสามขวบอย่างขุนพลซึ่งเป็นลูกชายของพลพยัคฆ์วิ่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่หน้ากล้องทำเอาทุกคนเรียกหาด้วยความเอ็นดู เขาพยายามจะอุ้มแต่ก็โดนลูกชายดิ้นหนีเล่นซ่อนหากับคุณพ่อแทนสมาชิกใหม่อีกหนึ่งคนที่วัยเพียงหกเดือนในอ้อมกอดของคุณปู่สุดเฮี๊ยบอย่างเอื้อมพัฒน์ที่ประกาศกร้าวว่า…คืนนี้จะไม่เมาทำเอาทุกคนส่ายหัวพร้อมกัน“ขอบใจที่ให้ยืมบ้านจัดปาร์ตี้นะแดน” เมธากรพูด“ยินดีครับพี่เรย์”เจมีไนน์เองก็ไม่นึกว่าจะได้มีช่วงเวลานี้ ขณะยืนมองทุกคนด้วยแววตาอิ่มเอม หันไปมองไดอาน่าแล้วเหลือบมาทางหลานฝาแฝด จักรทัศน์กับเจนีนที่กำลังจัดแจงยืนบังแสงไฟให้พอดี เขาสูดลมหายใจลึกรู้สึกเหมือนฝันที่ได้ยืนอยู่ตรงนี้“ในที่สุด…ก็ไม่ต้องใช้วิธีตัดต่อโง่ ๆ อีกแล้วเนอะ” เขาพูดพลางหัวเราะแห้ง ๆ แล้วสารภาพกับทุกคนว่าเคยหยิบภาพถ่ายจากคอนโดมาสแกนตัต่อดตัวเองลงไป เพื่อให้รู้สึกว่ามีส่วนอยู่ด้วยเจนีนที่นั่งแต่งหน้าเติมปากแดงอยู่ก็ร้อง
หนึ่งสัปดาห์สุดท้ายของอัยยาลิณณ์ก่อนเดินทางไปนอร์เวย์ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนน้ำไหลที่ไม่เคยหยุด ทุกวันเต็มไปด้วยการเตรียมตัว ทั้งด้านเอกสารและสภาพร่างกายเธอต้องจัดเก็บแฟ้มรายงานการรักษาที่ผ่านมาทั้งหมด เอกสารภาษาไทยที่ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ รวมถึงหนังสือรับรองแพทย์ที่จักรทัศน์ช่วยประสานมาให้อย่างละเอียดบนโต๊ะทำงานเล็ก ๆ ในห้องนอนมีกองเอกสารที่เรียงเป็นตั้ง ๆ พร้อมปากกาไฮไลท์ที่ใช้เน้นข้อความสำคัญทุกคืนก่อนนอนเธอจะนั่งตรวจเช็กทีละหน้าเหมือนกลัวว่าจะตกหล่นอะไรสักอย่างในอีกด้านหนึ่ง อัยยาลิณณ์ก็ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวอย่างเต็มที่ พ่อกับแม่แทบจะไม่ปล่อยให้ลูกสาวอยู่ห่างสายตา ทำอาหารโปรดให้แทบทุกมื้อ ตั้งแต่แกงฮังเลสูตรคุณแม่ ไปจนถึงข้าวซอยเนื้อที่พ่อภูมิใจนำเสนอบ่อยครั้งที่เธอนั่งหัวเราะทั้งน้ำตา เพราะรู้ดีว่าทุกจานคือความรักและความห่วงใยที่ครอบครัวอยากส่งมอบให้ก่อนที่จะจากบ้านไปไกลแสนไกลอธิพงษ์ก็คอยตามติดแทบตลอดเวลา ชวนพี่สาวดูหนัง ตัดต่อคลิปเล่น ๆ หรือแม้แต่เล่นเกมคอนโซลด้วยกันเหมือนสมัยเด็ก แม้จะเถียงกันหยอกล้อเหมือนเคย แต่ในแววตาของน้องชายก็เต็มไปด้วยความห่วงใยที่ปิดไม่มิดคื
สองอาทิตย์เต็ม ๆ นับจากวันที่ส่งเอกสารชุดสุดท้ายไปยังนอร์เวย์ อัยยาลิณณ์ค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด อาการเหนื่อยล้าเมื่อเดินไม่กี่ก้าวลดลง กล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงกลับมามีเรี่ยวแรงมากขึ้น แม้แพทย์จะยังย้ำว่าเธอควรใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง แต่อัยยาลิณณ์ก็รู้สึกเหมือนได้กลับมาหายใจเต็มปอดอีกครั้งส่วนจักรทัศน์ แม้งานโรงพยาบาลที่ภูเก็ตจะรุมเร้า ทั้งเวรกลางวันกลางคืน แต่เขาไม่เคยพลาดจะโทรหรือวิดีโอคอลหาอัยยาลิณณ์ บางวันคุยเพียงไม่กี่นาทีก่อนเขาเข้าเคสฉุกเฉิน บางวันคุยนานจนเสียงหัวเราะของเธอดังไปทั้งบ้าน เหมือนทุกวินาทีของวันไม่วุ่นวายเกินกว่าจะหาเวลาให้กันได้กระทั่งคืนหนึ่ง ที่ห้องพักแพทย์“หือ ใครอะ!?” จักรทัศน์สะดุ้งเฮือก เมื่อหันมาเห็นเงาคนยืนอยู่ข้างเตียง“ตาลไง จะใครเล่า” ร่างเล็กมือเล็กไขว้ไว้ด้านหลัง รอยยิ้มหวานส่งมาให้“อ๋อ ตาลเองเหรอ เอ่อ…อืม ๆ เดือนนึงแล้วสินะ” เขาดันร่างขึ้นจากที่นอนพร้อมใบหน้าสะลืมสะลือ แต่ยังจำรายละเอียดได้แม่น วันนี้ครบเดือนพอดี หลังการหลับยาวจนเข้าขั้นวิกฤตของเธอ“ไหน ๆ ตาลก็มาคือตาลมีเรื่องจะสารภาพน่ะ ตาลพูดกับหมอก็ไม่ได้ พูดที่บ้านไม่ได้ มันอึดอัดมากเลย”
“หน๊อย! ไอ้ฝรั่งมึง”จักรทัศน์สบถออกมาโดยลืมไปว่าพ่อตัวเองก็เป็นฝรั่งกว่าจะรวบรวมเอกสารได้ครบก็ปาเข้าไปเกือบสองสัปดาห์ ครอบครัวอัยยาลิณณ์ช่วยกันแทบทุกวัน ทั้งถ่ายเอกสาร เก็บแฟ้ม เรียงผลตรวจย้อนหลังตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอมีอาการ ทุกคนเห็นพ้องกันว่ามันยุ่งยากสิ้นดี แต่ถ้านี่คือความหวังเดียวที่จะช่วยให้เธอหายขาด ทุกคนก็ยอมกัดฟันสู้โชคดีที่ระหว่างนั้นอัยยาลิณณ์ไม่ได้หลับลึกเพิ่ม อาการยังทรงตัวเมื่อเอกสารครบ ทุกอย่างก็ถูกสแกนส่งไปศูนย์วิจัยนอร์เวย์ ทุกคนถอนหายใจโล่งอก คิดว่าต่อจากนี้ก็เหลือเพียงรอผลการพิจารณาเท่านั้นแต่แล้วอีเมลตอบกลับก็มาพร้อมรายการยาวเหยียด ทั้งรายละเอียดเพิ่มเติม หนังสือรับรอง และที่สำคัญที่สุดคือ หนังสือยืนยันจากผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเชียงราย ว่าอัยยาลิณณ์เข้ารับการรักษาที่นั่นจริงปัญหาคือผู้อำนวยการเดินทางไปสัมมนาต่างประเทศและกว่าจะกลับอีกก็เกือบสองสัปดาห์ จักรทัศน์อ่านข้อความซ้ำไปซ้ำมาจนแทบขึ้นใจ แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง“นี่มันอะไรกันนักหนา…หรือพวกนั้นกำลังเล่นตุกติก”“ถ้าต้องรออีกสองอาทิตย์…ตาลก็รอได้” อัยยาลิณณ์ถอนหายใจเบา ๆ“สองอาทิตย์?” จักรทัศน์เงยหน้าขึ







