[ บทที่ 12 ]
“ชีวิตของพวกผมเป็นของบอส”
ภายในห้องวีไอพีที่แสนกว้างใหญ่และหรูหรากลับมีเพียงร่างสูงกำยำของนายเหนือหัวตระกูลสินธวานนท์นั่งอยู่เพียงลำพัง ในมือแกร่งปรากฏแก้วน้ำสีอำพันที่พร่องลงไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ดวงตาคมดุเย็นชาเอาแต่จับจ้องแก้วใสในมืออยู่อย่างนั้น ราวกับว่าการจ้องมองจะทำให้ของเหลวภายในแก้วลดน้อยลง
ชายหนุ่มเฝ้ามองของเหลวสีอำพันภายในแก้วสีใสราวกับกำลังจมลงไปในห้วงความคิดของตนเอง ทว่าเสียงฝีเท้าหนักๆที่ดังเข้ามาในระยะใกล้มากขึ้นเรื่อยๆก็ทำให้คนที่นั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องกว้างขวางนี้ดึงสติของตนเองกลับคืนมาได้
บานประตูที่ปิดสนิทถูกเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของใครบางคนที่บอสเหนือคุ้นแคยและรู้จักเป็นอย่างดี
ศกุนตลา ตัวท็อปเบอร์หนึ่งที่เขามักจะเรียกมาใช้บริการอยู่บ่อยครั้ง
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ คุณเหนือ” เจ้าของร่างบอบบางเอ่ยขึ้น มือข้างหนึ่งดันบานประตูให้ปิดลง ในขณะที่ขาทั้งสองข้างก็ก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยังโซฟาใกล้เคียงกัน
“นั่นสินะ เราไม่ได้เจอกันมานานแค่ไหนแล้วนะ” แม้ปากจะเอ่ยพูดกับคนมาใหม่ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา แต่ศกุนตลากลับไม่ได้ถือสากับปฏิกิริยาที่อีกฝ่ายแสดงมันออกมา
"คุณไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว ศายังนึกแปลกใจที่วันนี้คุณกลับมาที่นี่และเรียกใช้บริการศาอีกครั้ง” ศกุนตลาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม ในใจยังคงนึกแปลกใจและสงสัยว่ามีเหตุผลอะไรให้บอสเหนือกลับมาที่นี่และเรียกใช้บริการตนเองอีกครั้งหนึ่ง
“วางใจเถอะ ฉันแค่เรียกเธอมาอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น” บอสเหนือเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนฟังได้เป็นอย่างดี
“ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะถูกเรียกแค่มานั่งเป็นเพื่อนลูกค้าเท่านั้น” ตั้งแต่ทำงานที่นี่มา ศกุนตลาไม่เคยถูกเรียกให้มานั่งเป็นเพื่อนลูกค้าที่เรียกใช้บริการและเสียเงินเป็นจำนวนมากกับการเรียกใช้บริการตนเองอย่างที่บอสเหนือกำลังทำอยู่มาก่อน
เพราะตั้งแต่ศกุนตลาทำงานที่นี่มา ไม่เคยมีครั้งไหนที่ลูกค้าจะหมดเงินไปเป็นจำนวนมากโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน และสิ่งตอบแทนนั้นจะต้องคุ้มค่ากับจำนวนเงินที่สูญเสียไป
นั่นก็คือเซ็กส์และร่างกายของเขาเท่านั้นที่คนพวกนั้นต้องการ
“ถือเสียว่าวันนี้เป็นวันพักผ่อนร่างกายของเธอก็แล้วกัน” เป็นครั้งแรกในรอบวันที่บอสเหนือเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาของตนเอง ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับศกุนตลามา เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่เคยมีวันที่ได้หยุดพักมาก่อน ในทุกๆวันของศกุนตลาเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน เขารู้ว่าคนอย่างศกุนตลาไม่เคยคิดอยากจะมาทำงานแบบนี้ แต่เพราะเหตุผลจำเป็นบางอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายจำต้องทนฝืนใจใช้ร่างกายของตนเองเพื่อแลกกับเงิน
“คุณคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อเรียกให้ศามานั่งเป็นเพื่อนคุณเฉยๆหรอกใช่มั้ย”
“เธอยังคงรู้ใจฉันเสมอเลยนะ ศกุนตลา”
“คุณมีเรื่องเครียดหรือไม่สบายใจอะไรสามารถระบายกับศาได้ทุกเรื่องเลยนะ” มือข้างหนึ่งเอื้อมไปกอบกุมมือที่ใหญ่กว่าตนเองอยู่มากเหมือนต้องการจะปลอบโยน แน่นอนว่าหากเป็นคนอื่นคงจะโดนบอสเหนือสะบัดมือทิ้งไปอย่างไม่ใยดี แต่เพราะนี่คือศกุนตลา คนที่บอสเหนือยอมโอนอ่อนให้มาโดยตลอด ไม่ใช่เพราะรู้สึกอะไรมากเกินกว่าลูกค้ากับผู้ให้บริการ แต่เพราะศกุนตลามีบางอย่างที่ทำให้บอสเหนือยอมอ่อนข้อให้เสมอ
“ฉันกำลังจะแต่งงาน”
“แต่งงาน...” ศกุนตลาเบิกตากว้างขึ้นน้อยๆ แม้จะพอได้ยินข่าวลือมาบ้าง แต่พอมาได้ยินมันจากปากของเจ้าตัวเองก็ยังคงทำให้เขาตกใจได้เสมอ
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนอย่างบอสเหนือจะยอมถูกบงการชีวิตและยอมถูกควบคุม แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของมารดามาโดยตลอด แต่เขาไม่คิดว่าบอสเหนือจะยินยอมแต่งงานกับคนที่ตนเองไม่ได้รัก
ยอมถูกคุณหญิงเนตรศิตางศุ์บงการแม้กระทั่งคู่ชีวิตของตนเอง
“ใช่ เธอคงจะได้ยินข่าวลือมาบ้างแล้ว”
“ศาพอจะได้ยินมาบ้างถึงการแต่งงานระหว่างคุณกับคุณหนูแก้วกานดา”
“ใช่ ว่าที่เจ้าสาวของฉันก็คือแก้วกานดา”
“ถ้าอย่างนั้นศาก็ต้องขอแสดงความยินดีกับคุณล่วงหน้า” ศกุนตลาเอ่ยขึ้น ไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าและแววตาของคนที่บอกว่าตนเองกำลังจะแต่งงาน
“ไม่ต้องหรอก เพราะมันจะไม่มีการแต่งงานระหว่างฉันกับแก้วกานดาเกิดขึ้น”
“คุณ... หมายความว่ายังไง”
“ฉันกลับมาที่นี่เพื่อพบเธอ และที่ฉันต้องการจะพบเธอก็เพื่อขอร้องให้เธอช่วยอะไรฉันสักอย่างหนึ่ง” คราวนี้บอสเหนือวางแก้วเหล้าในมือลงบนโต๊ะตรงหน้า ก่อนจะหันมามองสบตาคู่สนทนาของตนเองตรงๆ
แววตาคู่นั้นที่ทำให้ศกุนตลาไม่อาจกล่าวคำปฏิเสธออกมาได้
“ขอร้อง... คุณอยากให้ศาช่วยอะไรคุณ”
“ฉันไม่ต้องการที่จะแต่งงานกับแก้วกานดา”
“แล้วคุณจะทำยังไง ในเมื่อคุณเองก็รู้ดีว่าคุณไม่มีวันขัดคำสั่งแม่ของคุณได้”
“ฉันถึงมาขอให้เธอช่วยยังไงล่ะ และมีเธอคนเดียวที่ฉันเชื่อว่าจะต้องช่วยให้แผนการของฉันสำเร็จอย่างแน่นอน”
“แผนการของคุณคืออะไร”
“ฉันต้องการล่มงานวิวาห์ของฉันกับแก้วกานดา” สิ้นประโยคนั้น ศกุนตลาก็เบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง
“อะไรนะ”
“ฉันบอกว่าฉันต้องการล่มงานวิวาห์ของฉันกับแก้วกานดา”
“ล่มวิวาห์... คุณคิดว่าตัวคุณจะสามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ”
“ถ้าแค่ฉันคนเดียวคงไม่มีวันทำมันได้สำเร็จ เพราะแบบนั้นถึงต้องมาขอความร่วมมือจากเธอ” มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นสัมผัสแก้มขาวของคนตรงหน้าด้วยสัมผัสแผ่วเบา
“แต่งงานกับฉันนะ... ศกุนตลา”
_
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ร่างสูงใหญ่ของบอดี้การ์ดคนโปรดทั้งสองคนที่ติดสอยห้อยตามเจ้านายตัวเองมาด้วยก็ได้แต่รอเจ้านายอยู่ที่รถเพียงเท่านั้น แม้ใจจะอยากขึ้นไปหาผู้เป็นนายที่ห้องวีไอพีมากแค่ไหน แต่ถ้าหากไม่ได้รับคำสั่งจากเจ้านาย พวกเขาล้วนรู้ดีว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปที่ห้องนั้น
ทำได้แค่รอรับคำสั่งจากเจ้านายหรือรอให้เจ้านายเป็นคนลงมาหาพวกเขาด้วยตนเอง
“กูว่าพวกเราขึ้นไปหาบอสกันเถอะว่ะ” ครามเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงเจ้านาย เขาไม่ได้กลัวว่าศกุนตลาจะทำร้ายหรือทำอะไรบอสของเขา แต่เขากลัวว่าจะมีศัตรูที่รอจังหวะและรอโอกาสเข้ามาทำร้ายบอสต่างหาก
“มึงกล้าขัดคำสั่งบอสหรือไง” เทียนที่มาด้วยกันเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม เขาเองก็เป็นห่วงและไม่เห็นด้วยกับการที่บอสขึ้นไปหาศกุนตลาที่ห้องวีไอพีเพียงลำพัง แต่จะให้เขาทำยังไง ในเมื่อมันคือคำสั่งของบอส และเขาก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะขัดคำสั่งนั้น
“แต่กูเป็นห่วงบอส!”
“แล้วคิดว่ากูไม่ห่วงหรือไงวะ!”
“แล้วจะยืนรออยู่อย่างนี้น่ะเหรอ ถ้ามีศัตรูที่จ้องโอกาสนี้อยู่เข้าไปทำร้ายบอสล่ะวะ” ครามเอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว
“มึงเห็นบอสอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือไง” สิ้นคำถามนั้นของเทียน ครามก็ชะงักไปทันที เขาไม่ได้คิดว่าบอสอ่อนแอ สำหรับเขาแล้วบอสแข็งแกร่งมากด้วยซ้ำ
อาจจะมากกว่าบอดี้การ์ดอย่างพวกเขาด้วยซ้ำไป
“กูเป็นห่วง ยิ่งสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่ค่อยปกติ กูยิ่งไม่อยากปล่อยให้บอสไปไหนมาไหนคนเดียว” ครามเอ่ยขึ้น เขารู้ว่าบอสแข็งแกร่ง แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าศัตรูจะอ่อนแอ พวกเขารู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่ปกติ ยิ่งข่าวลือเรื่องงานแต่งงานของบอสเหนือกับคุณหนูแก้วกานดาถูกแพร่งพรายออกไป ศัตรูที่จ้องจะหาโอกาสลอบทำร้ายบอสของพวกเขาก็ยิ่งไม่มีวันนิ่งนอนใจ พวกมันจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงอำนาจในมือของบอสเหนือไปอย่างแน่นอน
และคนพวกนั้นมันไม่เลือกวิธีการ ไม่สนแม้กระทั่งผิดชอบชั่วดีด้วยซ้ำไป
“กูรู้ และกูก็เข้าใจมึงด้วย” เทียนยกมือขึ้นตบไหล่กว้างของเพื่อนสนิทเบาๆ ดวงตาคู่คมมองเลยไปด้านหลังครามที่ปรากฏร่างสูงกำยำของคนที่พวกเขากำลังเอ่ยถึงในบทสนทนาเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
“บอส” เสียงของเทียนเรียกให้ครามหันกลับไปมองทันที พอเห็นว่าเป็นคนที่เขานึกเป็นห่วงกลัวจะเป็นอันตรายก็ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
“กลับ กูอยากพักผ่อนแล้ว” เสียงทุ้มเข้มทรงอำนาจเอ่ยขึ้นทันทีที่เดินมาถึงตัวรถ มือแกร่งเปิดประตูสอดตัวเข้าไปนั่งในรถเสร็จสรรพ โดยไม่รั้งรอให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งเปิดประตูให้เหมือนทุกครั้ง สีหน้าอิดโรยแฝงความเคร่งเครียดของบอสทำให้พวกเขาสองคนลอบมองหน้ากันเล็กน้อย
“บอสครับ” ทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถ ครามที่นั่งอยู่ในตำแหน่งข้างคนขับก็หันมามองหน้าเจ้านายของตนเองด้วยความเป็นห่วงทันที
“อืม”
“คราวหลังอย่าเข้าไปคนเดียวอีกนะครับ อย่างน้อยให้พวกผมคนใดคนหนึ่งไปเป็นเพื่อนก็ยังดี” ดวงตาคมดุลืมขึ้นมองสบตาคนพูดทันที บอสเหนือรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ลูกน้องส่งมาให้จึงไม่นึกถือโทษโกรธเคืองอะไรกับประโยคที่คล้ายกับจะเป็นประโยคคำสั่งของคราม
“เห็นกูอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือไง”
“พวกผมรู้ว่าบอสเก่ง บอสแข็งแกร่งและไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นพวกผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี” เทียนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับเอ่ยขึ้นโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้าเพียงเท่านั้น
“กูก็แค่มีเรื่องจะคุยกับศกุนตลาเป็นการส่วนตัว”
“เป็นความลับถึงขนาดให้พวกผมรู้ไม่ได้เลยเหรอครับ” คนฟังเลิกคิ้วขึ้นกับน้ำเสียงที่ฟังคล้ายกับกำลังตัดพ้อของคราม
“ไม่ใช่รู้ไม่ได้ แต่ยิ่งคนรู้น้อยมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งเป็นการดีกับแผนการของกูมากเท่านั้น”
“แผนการ ? บอสคิดจะทำอะไรอีกครับ”
“พวกมึงจะต้องรู้ให้ได้เลยหรือไงกัน” บอสเหนือหัวเราะในลำคอเบาๆกับการถามเซ้าซี้ของบอดี้การ์ดทั้งสองคน
“ถ้าบอสไม่อยากบอก พวกผมก็จะไม่ถามเซ้าซี้อีกครับ” เทียนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ไม่คิดถามให้เจ้านายนึกรำคาญใจอีก แม้จะแอบน้อยใจอยู่น้อยๆที่ผู้เป็นนายกำลังมีความลับกับพวกเขาก็ตาม
แม้ว่านี่จะไม่ใช่เรื่องแรกที่เจ้านายเก็บเป็นความลับก็ตาม
“ยังไม่ถึงเวลาที่พวกมึงต้องรู้หรอก” บอสเหนือเหม่อมองออกไปนอกบ้านหน้าต่าง ไม่คิดจะบอกความลับของตนเองให้ลูกน้องรู้โดยง่าย
“บอสกับศกุนตลาคนนั้น...”
“กูกับศกุนตลาทำไมงั้นเหรอ” ประโยคคำถามที่ขาดห้วงไป ทำให้บอสเหนือละสายตาจากบรรยากาศด้านนอกหน้าต่างกลับมามองสบตากับเจ้าของประโยคอีกครั้ง
ครามมีสีหน้าคล้ายลังเลว่าควรจะถามออกไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ถามมันออกไป
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” เมื่อได้ยินลูกน้องบอกออกมาแบบนั้น บอสหนุ่มก็ไม่คิดจะถามเซ้าซี้อะไรให้มากความอีก
ภายในรถกลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรออกมาอีก มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงลมหายใจที่บ่งบอกว่ามีคนนั่งอยู่ในรถคันนี้ และ...
บรรยากาศเงียบงันชวนให้อึดอัดใจของคนสามคนในรถคันนี้เพียงเท่านั้น
_
ช่วงขายาวของนายเหนือหัวสินธวานนท์ก้าวเข้าไปในบ้านทันทีที่รถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดสนิทในลานจอดรถ ใจนึกอยากจะขึ้นห้องเพื่อไปพักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน แต่เขาไม่อาจทำอย่างนั้นได้ สาเหตุก็คือร่างระหงส์ของผู้ให้กำเนิดที่นั่งรออยู่ในห้องรับแขก
บอสเหนือจ้องมองมารดาที่นั่งรอการมาของเขาอยู่ในห้องรับแขกแล้วก็ได้แต่ทอดถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาคงไม่ได้ขึ้นห้องไปพักผ่อนในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน
“แม่”
“กว่าจะโผล่หัวมาได้นะ” ดวงตาคมดุราวกับถอดแบบกันออกมาเหลือบขึ้นมองร่างสูงกำยำของลูกชายที่เดินเข้ามาภายในห้องรับแขก
“มาหาผมดึกดื่นแบบนี้ แม่มีธุระอะไรก็รีบพูดมาเถอะ” บอสเหนือเอ่ยขึ้น เขาอยากจะขึ้นห้องไปพักผ่อนเต็มที
“ทำไม ฉันจะมาหาแกนี่ต้องมีธุระด้วยหรือยังไงกัน”
“ผมเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไม่อยากมานั่งทะเลาะกับแม่อีกหรอกนะ” คำพูดของลูกชายทำให้คุณหญิงเนตรศิตางศุ์มีสายตาที่อ่อนแสงลงน้อยๆ แต่ก็ยังแฝงความเย่อหยิ่งทรงอำนาจเอาไว้เหมือนเคย
“พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของรัฐมนตรี ฉันได้รับเชิญให้ไปร่วมงานนี้ด้วย”
“แล้วยังไงต่อครับ” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยถามมารดาของตนเอง ไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเขาที่ตรงไหน ปกติแม่ของเขาก็มักจะไปออกงานสังคมแบบนี้คนเดียวโดยไม่มีเขาอยู่แล้ว อีกอย่างแม่ก็รู้ว่าเขาไม่ค่อยชอบที่จะออกงานสังคมแบบนี้สักเท่าไหร่ก็เลยไม่ค่อยบังคับให้เขาไปร่วมงานด้วย
“แกต้องไปงานนี้กับแม่ด้วย”
“แต่ผมไม่อยากไป” บอสเหนือเอ่ยขึ้นทันควัน เขาไม่ชอบสถานที่ที่มีคนเยอะๆสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับสังคมไฮโซที่มีแต่คนใส่หน้ากากเข้าหากัน
“ครั้งนี้แกต้องไปกับฉัน”
“ทำไมครับ”
“แกก็รู้ว่าแกกำลังจะแต่งงานกับหนูแก้วกานดา”
“แม่ก็เลยคิดจะพาผมไป เพื่อยืนยันว่าข่าวลือที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริงอย่างนั้นสินะครับ” บอสเหนือหัวเราะในลำคอเบาๆ รู้ดีอยู่แก่ใจว่าถ้าไม่มีผลประโยชน์อะไร แม่ไม่มีวันบังคับให้เขาไปออกงานสังคมอย่างแน่นอน
คงกะจะใช้การแต่งงานระหว่างเขากับแก้วกานดาประกาศให้ทุกคนรู้ว่าสินธวานนท์ในตอนนี้ทรงอำนาจมากกว่าแต่ก่อนไปอีกระดับหนึ่งแล้ว
“ใช่”
“แล้วถ้าผมปฏิเสธล่ะ” บอสเหนือเอ่ยถามขึ้น แม้จะรู้คำตอบของคำถามนั้นดีอยู่แล้วก็ตาม
“แกไม่ควรถามคำถามที่ตัวแกรู้อยู่แล้วออกมา” สิ้นคำพูดนั้น บอสเหนือก็แค่นหัวเราะออกมาเบาๆ
“ครับ แค่นี้ใช่มั้ยครับธุระของแม่”
“วันพรุ่งนี้แกต้องไปรับหนูแก้วกานดาที่บ้านด้วย”
“แล้วทำไมไม่ไปเจอกันที่นู่นล่ะครับ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆเป็นเชิงถาม บ้านของเขากับแก้วกานดาอยู่คนละทิศละทางเลยด้วยซ้ำ จะเสียเวลาวนไปวนมาทำไมกัน
“เข้างานด้วยกันจะเป็นการยืนยันข่าวการแต่งงานของแกกับหนูแก้วกานดาได้ดีกว่าเข้างานแยกกัน”
“ครับ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่แม่ว่าแล้วกัน”
“แกต้องไปถึงงานก่อนหกโมงเย็น”
“แค่นี้ใช่มั้ยครับ ผมจะได้ขึ้นไปพักผ่อนเสียที”
บอสเหนือเอ่ยเพียงแค่นั้นก็หันไปส่งสายตาให้เทียนที่ยืนรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และทันทีที่อีกฝ่ายหันมาเห็นสายตาของเจ้านายก็เหมือนจะรู้ได้ในทันทีว่าเจ้านายต้องการให้ทำอะไร ร่างสูงก้าวเข้ามาภายในห้องรับแขก ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาคุณหญิงเนตรศิตางศุ์อย่างรู้งาน
“เชิญคุณหญิงครับ” คนที่ถูกไล่แบบอ้อมๆปรายตามองบอดี้การ์ดคนโปรดของลูกชายเล็กน้อย ก่อนจะเดินเชิดหน้าทิ้งส้นออกจากห้องรับแขกไปทันที โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองลูกชายตัวเองด้วยซ้ำไป
บอสเหนือมองตามแผ่นหลังบอบบางของมารดาไปจนสุดสายตา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาตลอดทั้งวัน
“บอส!” เทียนเอ่ยเรียกเจ้านายของตนเองด้วยความเป็นห่วงระคนตกใจ เมื่ออยู่ดีๆผู้เป็นนายก็ล้มลงไปนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไหร่
“กูไม่เป็นอะไร” บอสเหนือเอ่ยขึ้นอย่างรู้ความคิดของลูกน้องของตนเองเป็นอย่างดี
“ไหวมั้ยครับ”
“ไหว กูแค่เหนื่อยเท่านั้น ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“แม่บ้านไปพักผ่อนกันหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมไปอุ่นนมมาให้บอสนะครับ หรือจะรับน้ำเย็นๆมั้ยครับ”
“ไม่ต้องหรอก”
“ผมว่าผมไปอุ่นนมมาให้บอสดีกว่า” สิ้นประโยคนั้น เทียนก็ขยับตัวหมายจะเดินไปที่ห้องครัวเพื่ออุ่นนมมาให้เจ้านาย แต่มือก็ถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือที่มีขนาดพอๆกันเสียก่อน
“อย่าไป”
“บอสครับ” เทียนเรียกเจ้านายของตนเองด้วยความตกใจ ไม่คาดคิดว่าจะถูกรั้งตัวเอาไว้แบบนี้ ไหนจะน้ำเสียงที่บอสใช้คุยกับเขานั่นอีก
เหมือนเขากำลังถูกอ้อนยังไงยังงั้น
“อยู่กับกู” แค่เพียงประโยคสั้นๆที่ทำให้เทียนพ่ายแพ้อย่างหมดรูป เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างกายเจ้านายของตนเองโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่นิดเดียว มือที่ถูกจับเอาไว้แน่นกระชับมือของบอสเหนือให้แน่นขึ้นไปอีก
“ครับ ผมอยู่ตรงนี้กับบอสเสมอ”
“กูเหนื่อย”
“ผมรู้ครับ ถ้าบอสเหนื่อยกับการวิ่งวนอยู่ในกรอบที่คุณหญิงเป็นคนวาดเอาไว้ให้ก็แค่หยุดพักให้หายเหนื่อย”
“พอหายเหนื่อยกูก็ต้องลุกขึ้นมาวิ่งวนอยู่ในกรอบเดิมซ้ำๆไม่รู้จบ กูอยากจะหลุดออกจากกรอบที่แม่วาดเอาไว้สักที” บอสเหนือเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถหลุดออกจากกรอบที่มารดาวาดเอาไว้ให้ได้หรือเปล่า
หรือเขาต้องวิ่งวนอยู่ในกรอบที่มารดาวาดเอาไว้ให้ไปตลอดชีวิต...
“เทียน”
“ครับ”
“มึงว่ากูควรพอดีมั้ยวะ”
“บอสหมายความว่ายังไงครับ”
“กูเหนื่อยกับการต้องพยายามวิ่งออกมาจากกรอบของแม่แล้ว หรือกูควรยอมอยู่ในกรอบที่แม่วาดเอาไว้ให้ตลอดไปดี” คำพูดนั้นทำให้เทียนกระชับมือของเจ้านายแน่นขึ้นไปอีก
“ถ้าบอสยอม นั่นหมายความว่าบอสต้องยอมให้คุณหญิงไปตลอดนะครับ รวมถึงเรื่องคู่ชีวิตที่บอสไม่มีสิทธิ์เลือกเองด้วย”
“อืม แก้วกานดาเองก็เป็นผู้หญิงที่ดี ใครๆต่างก็บอกว่ากูกับเขาเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก กูเองก็แอบเห็นด้วยกับคนพวกนั้น บางทีถ้ากูยอมแต่งงานกับแก้วกานดา...”
“ไม่ครับ”
“เทียน” บอสเอ่ยเรียกชื่อบอดี้การ์ดคนโปรดที่อยู่ดีๆก็พูดขัดขึ้นมาเสียงเข้ม
“ต่อให้บอสจะยินยอมแต่งงานกับเขา แต่พวกผมไม่มีวันยอมให้บอสแต่งงานกับเขา”
“แล้วพวกมึงจะทำอะไรได้ ขนาดตัวกูเองยังไม่มั่นใจเลยด้วยซ้ำว่าจะล่มวิวาห์ในครั้งนี้ได้สำเร็จ” บอสเหนือเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เขายังไม่มั่นใจเลยว่าแผนการในครั้งนี้มันจะสำเร็จ
“พวกผมทำอะไรได้มากกว่าที่บอสคิดเสียอีก ยิ่งเป็นเรื่องของบอสด้วยแล้ว บอสไม่รู้หรอกว่าพวกผมสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อความสุขของบอส”
“เป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์เหลือเกินนะ”
“ชีวิตของพวกผมเป็นของบอส บอสเป็นคนมอบชีวิตใหม่ให้กับพวกผม บอสเป็นคนทำให้พวกผมรู้ว่าจะอยู่ไปเพื่อใครและมีชีวิตต่อไปเพื่อใคร เพราะฉะนั้นบอสไม่มีสิทธิ์มาทิ้งพวกผมไปกลางคัน”
“นั่นสินะ”
“พวกผมเป็นของบอส และบอสเองก็เป็นของพวกผมเหมือนกัน เพราะฉะนั้น...” มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นวางทาบลงบนแก้มสากของผู้เป็นนาย หากเป็นคนอื่นคงจะโดนยิงหัวตายไปแล้ว แต่เพราะเป็นเทียน บอสเหนือถึงได้ยินยอมให้อีกคนจับแก้มได้อย่างง่ายดาย
“อย่าบอกว่าจะแต่งงานกับเขา อย่าปล่อยมือไปจากพวกผม เพราะพวกผมก็จะไม่มีวันปล่อยมือบอสไปอย่างแน่นอน” คำพูดของเทียนเรียกรอยยิ้มมุมปากจากคนฟังได้เป็นอย่างดี
เขาคิดว่าเขาคงจะรู้สึกกับบอดี้การ์ดพวกนี้ไปไม่มากก็น้อย เพราะในทุกๆครั้งที่ได้อยู่กับบอดี้การ์ดคนโปรด เขามักจะรู้สึกอุ่นใจและเป็นตัวของตัวเองได้อย่างที่เป็นมาโดยตลอด
เขาถลำลึกจนยากจะถอนตัวแล้วจริงๆ
“ถ้าหากว่าแผนการล่มวิวาห์ของกูไม่สำเร็จ ถ้าหากกูต้องแต่งงานกับแก้วกานดา...” เสียงทุ้มเข้มเงียบหายไป เมื่อริมฝีปากถูกปิดกั้นด้วยอวัยวะเดียวกันของบอดี้การ์ดหนุ่มที่โน้มตัวลงมาบดจูบกะทันหัน ทว่าบอสเหนือกลับไม่ได้ขัดขืนหรือผละออกห่าง อีกทั้งยังตอบรับจูบนั้นของเทียนด้วยการจูบตอบกลับไปอีกด้วย
“วางใจเถอะ พวกผมไม่มีวันยอมให้บอสแต่งงานกับเขาหรอก” เทียนผละจูบออก พร้อมกับเอ่ยบอกเสียงพร่า จูบเมื่อกี้ทำให้ตัวเขามีอารมณ์ไม่น้อยเลยทีเดียว และเขาก็คิดว่าบอสเหนือเองก็คงจะรู้สึกเหมือนกันกับเขาอย่างแน่นอน
“บอส”
“เทียน นี่มันกลางบ้าน” บอสเหนือเอ่ยบอก แม้ใจจะต้องการไม่ต่างกัน แต่ก็รู้ดีว่าที่นี่มันไม่เหมาะไม่ควร
“ถ้าอย่างนั้นขึ้นไปบนห้องกันเถอะครับ ผมจะไม่ไหวแล้ว”
“อือ... แล้วครามล่ะ มันหายไปไหนตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” บอสเหนือครางเครือเบาๆ ยามที่ริมฝีปากแนบลงบนลำคอสีน้ำผึ้ง
“คงจะรออยู่บนห้องแล้วมั้งครับ”
“พวกมึงเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วสินะ” บอสเหนือหรี่ตามองลูกน้องเจ้าเล่ห์ของตนเองที่ดูจะวางแผนเอาไว้หมดแล้ว
“รู้แล้วก็ขึ้นห้องกันเถอะครับ พวกผมอยากเอาบอสจะแย่แล้ว”
“ที่มึงบอกว่าไม่มีวันยอมให้กูแต่งงานกับแก้วกานดา แปลว่าพวกมึงเองก็มีแผนสำรองอย่างนั้นเหรอ”
“ครับ ถ้าแผนของบอสไม่สำเร็จก็แค่ใช้แผนของพวกผม”
“แผนอะไร”
“แผนพาเจ้าบ่าวหนีงานแต่งงานครับ”
[ บทที่ 16 ]“ล่มวิวาห์ (1)”ศกุนตลาได้รับสายด่วนจากบอสเหนือว่าต้องการพบหน้าเขาโดยด่วน เพราะแบบนั้นเขาถึงต้องยกเลิกตารางชีวิตทั้งหมดเพื่อมาหานายเหนือหัวของตระกูลสินธวานนท์โดยเฉพาะ แม้จะไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายเรียกตัวเขาโดยด่วนแบบนี้มันเกิดจากอะไรกันแน่ก็ตาม“คุณศกุนตลา ทางนี้ครับ” ศกุนตลาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคนที่มาต้อนรับตนเองก็คือหนึ่งในบอดี้การ์ดคนโปรดของบอสเหนือรู้สึกจะชื่อปราบล่ะมั้ง...“คุณเหนืออยู่ข้างในเหรอ”“ใช่ครับ บอสสั่งเอาไว้ว่าถ้าคุณมาให้พาขึ้นไปหาบอสได้เลย”“ได้บอกหรือเปล่าว่าทำไมถึงเรียกพบศาโดยด่วนแบบนี้” ศกุนตลาเอ่ยถามคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า เผื่อว่าตนเองจะได้รับคำตอบที่ต้องการ“ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ รู้แค่ว่าถ้าคุณมาแล้วให้พาขึ้นไปหาบอสได้เลย”“งั้นเหรอ” คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาเบาๆกับคำตอบที่น่าผิดหวัง สองขาก้าวเดินตามเจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำสนิทที่เดินนำอยู่ด้านหน้า มองจากด้านหลังยังเห็นถึงออร่าความหล่อเหลาที่แผ่กระจายออกมา ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เวลาอีกคนไปไหนมาไหนกับบอสเหนือแล้วมักจะมีสายตาจากบรรดาสาวสวยจ้องมองอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าเจ้าตัว
[ บทที่ 15 ]“พวกผมกลับมาแล้ว”เพล้ง!เสียงอะไรบางอย่างตกแตกดังออกมาจากห้องของเจ้านาย ทำให้ร่างสูงของโชนที่คอยเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอดนับตั้งแต่ที่เขาสามารถพาบอสกลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยรีบเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของบอสด้วยความเป็นห่วง สีหน้าและท่าทางของบอสดูไม่ดีเสียจนเขาไม่กล้าปล่อยบอสเอาไว้คนเดียว แต่จะให้เข้าไปเฝ้าในห้องก็ดูจะเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงเฝ้าอยู่นอกห้องเท่านั้น“บอสครับ เป็นอะไรรึเปล่าครับ” เสียงทุ้มตะโกนถามเจ้านายด้วยความเป็นห่วง เขาแทบจะพังประตูห้องของบอสเข้าไปดูให้เห็นกับตาตัวเองแล้วด้วยซ้ำว่าบอสของเขาไม่ได้เป็นอะไร“บอสครับ” โชนร้องเรียกซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับอะไรกลับมาจากคนด้านใน“ถ้าบอสไม่ตอบ งั้นผมขออนุญาตเข้าไปนะครับ” โชนรั้งรอให้เจ้านายตอบกลับมาอยู่พักหนึ่ง พอไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมาก็ตัดสินใจหมุนลูกบิดประตูเข้าไปทันทีไม่ได้ล็อค ?บอดี้การ์ดหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เมื่อบิดกลอนประตูเข้าไปแล้วพบว่าประตูมันไม่ได้ล็อค ทั้งๆที่ปกติบอสของเขาระวังตัวเองและคอยล็อคประตูอยู่ตลอด“บอส...” ดวงตาคู่คมเบิกกว้างขึ้นน้อยๆเมื่อได้เห็นสภาพของคน
[ บทที่ 14 ]"จุดจบของคนทรยศ”“บอส... บอสครับ” แรงเขย่าเบาๆปลุกให้คนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนกว้างภายในห้องนอนขนาดใหญ่จำต้องเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นอย่างเชื่องช้า“อือ... เทียนเหรอ”“ครับ ตื่นมาทานข้าวทานยาก่อนนะครับ” เทียนเอ่ยบอกผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม“ปวดหัวจังวะ” บอสเหนือสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด นอกจากจะปวดเนื้อปวดตัวร้าวระบมไปทั้งร่างกายแล้ว เขายังรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิดอีกต่างหาก“ครับ ดูเหมือนบอสจะมีไข้อ่อนๆด้วย” เทียนเอ่ยบอกเสียงเบาด้วยความรู้สึกผิด ส่วนหนึ่งก็เพราะความเอาแต่ใจของเขากับครามที่ทำให้บอสต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้“กูไม่ได้โกรธ เลิกทำหน้าหมาหงอยสักที” บอสเหนือเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาหงอยๆของหมาเด็กข้างกายทำหน้าแบบนั้นแล้วเขาจะไปโกรธลงได้ยังไงกันล่ะ“ผมขอโทษนะครับ ส่วนหนึ่งก็เพราะความเอาแต่ใจของพวกผม”“บอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ จะโทษพวกมึงฝ่ายเดียวได้ยังไง” โทษแค่เทียนกับครามคงจะไม่ได้ เพราะเขาเองก็มีส่วนผิดที่ไม่ยอมห้ามปรามแบบจริงๆจังๆ อีกทั้งยังคล้อยตามไปกับสัมผัสเร่าร้อนของพวกมันเมื่อคืนนี้ ถ้าจะโทษพวกมันก็ต้องโทษเขาด้วยที่ไม่รู้
[ บทที่ 13 ]“คนที่ไม่ควรแตะต้อง”“อึก... เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน!” ทันทีที่เข้ามาในห้องส่วนตัว ร่างสูงกำยำของบอสเหนือก็ถูกวางลงบนเตียงนอนอย่างนุ่มนวล พร้อมกับการจู่โจมที่รวดเร็วของบอดี้การ์ดคนโปรดที่เฝ้ารอเวลานี้มานานใบหน้าของบอสหนุ่มถูกจับให้หันไปรับจูบที่ดุดัน ดิบเถื่อน และแฝงไปด้วยความเอาแต่ใจของเทียนที่บดเบียดริมฝีปากลงมาอย่างรุนแรงและเร่าร้อนราวกับจะแผดเผาร่างกายของเขาให้มอดไหม้เป็นจุล ในขณะเดียวกันครามเองก็มือไวพอๆกัน อีกคนอาศัยในตอนที่เขาถูกรสจูบของเทียนมอมเมาถอดเสื้อผ้าของเขาออกจนหมดในระยะเวลาเพียงสั้นๆเท่านั้นเฮือก!กายแกร่งสะท้านเฮือกยามที่ยอดอกสีเข้มถูกดูดกลืนเข้าไปในโพรงปากของคราม เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากครางเบาๆในลำคอด้วยความเสียวซ่านเพียงเท่านั้นบอสเหนือจูบตอบกลับไปอย่างร้อนแรงและเร่าร้อนไม่แพ้กัน แผ่นอกเองก็แอ่นเข้าหาตอบรับสัมผัสจากบอดี้การ์ดอีกคนหนึ่ง ลิ้นเปียกชื้นตวัดไล้เลียยอดอกข้างหนึ่ง ในขณะที่อีกข้างก็ไม่ปล่อยให้ว่างเว้น มันถูกบดบี้ด้วยปลายนิ้ว สร้างความกระสันซ่านให้กับคนโดนกระทำจนต้องแอ่นหน้าอกเข้าหาอย่างเผลอไผล“อ๊า!” ทันทีที่ริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ บอสเหนือก็ส่
[ บทที่ 12 ]“ชีวิตของพวกผมเป็นของบอส”ภายในห้องวีไอพีที่แสนกว้างใหญ่และหรูหรากลับมีเพียงร่างสูงกำยำของนายเหนือหัวตระกูลสินธวานนท์นั่งอยู่เพียงลำพัง ในมือแกร่งปรากฏแก้วน้ำสีอำพันที่พร่องลงไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ดวงตาคมดุเย็นชาเอาแต่จับจ้องแก้วใสในมืออยู่อย่างนั้น ราวกับว่าการจ้องมองจะทำให้ของเหลวภายในแก้วลดน้อยลงชายหนุ่มเฝ้ามองของเหลวสีอำพันภายในแก้วสีใสราวกับกำลังจมลงไปในห้วงความคิดของตนเอง ทว่าเสียงฝีเท้าหนักๆที่ดังเข้ามาในระยะใกล้มากขึ้นเรื่อยๆก็ทำให้คนที่นั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องกว้างขวางนี้ดึงสติของตนเองกลับคืนมาได้บานประตูที่ปิดสนิทถูกเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของใครบางคนที่บอสเหนือคุ้นแคยและรู้จักเป็นอย่างดีศกุนตลา ตัวท็อปเบอร์หนึ่งที่เขามักจะเรียกมาใช้บริการอยู่บ่อยครั้ง“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ คุณเหนือ” เจ้าของร่างบอบบางเอ่ยขึ้น มือข้างหนึ่งดันบานประตูให้ปิดลง ในขณะที่ขาทั้งสองข้างก็ก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยังโซฟาใกล้เคียงกัน“นั่นสินะ เราไม่ได้เจอกันมานานแค่ไหนแล้วนะ” แม้ปากจะเอ่ยพูดกับคนมาใหม่ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา แต่ศ
[ บทที่ 11 ]“อย่าแต่งงานกับเขาเลย”“ผมขอร้องบอส... อย่าแต่งงานกับเขา อย่าแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นเลยนะครับ”บอสเหนือมองตอบสายตาคู่คมของบอดี้การ์ดหนุ่มที่จ้องมองมาด้วยสีหน้าและแววตาเว้าวอนอย่างไม่คิดจะปิดบัง น้ำเสียงที่เอ่ยออกมามันสั่นเครือเต็มไปด้วยคำขอร้องมากมายที่ส่งผ่านมาทางสีหน้าและแววตาทั้งหมด แล้วก็เป็นแววตาคู่นี้อีกเช่นกันที่ทำให้นายเหนือหัวสินธวานนท์ใจอ่อนยวบเป็นแววตาที่ทำให้เขาพ่ายแพ้ในทุกๆครั้งที่ได้มองสบตาคู่นี้“กูไม่ได้บอกสักคำว่าจะแต่งกับเขา” จริงๆแล้วเขาอยากจะแกล้งลูกน้องของตัวเองอีกสักหน่อย แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าเขาไม่เคยเอาชนะสายตาคู่นี้ของรามได้เลยสักครั้งจากทึ่คิดจะแกล้งก็กลายเป็นว่าเขาใจอ่อนยวบแกล้งบอดี้การ์ดของตัวเองต่อไปไม่ลงจริงๆ“แต่บอสก็ยังมาลองชุดแต่งงานกับเขานี่ครับ” คนฟังแทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว ใครมาเห็นเข้าคงยากที่จะเชื่อว่าบอดี้การ์ดตัวโตๆที่เก๊กขรึมทำหน้าเข้มอยู่ตลอดเวลาก็มีมุมน้อยอกน้อยใจเหมือนผู้หญิงแบบนี้ด้วยขนาดเขาเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน“ก็แค่มาลองให้มันจบๆ แม่จะได้เลิกยุ่งวุ่นวายกับกูสักที” บอสเหนือตอบกลับไปเสียงเรี