[ บทที่ 14 ]
"จุดจบของคนทรยศ”
“บอส... บอสครับ” แรงเขย่าเบาๆปลุกให้คนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนกว้างภายในห้องนอนขนาดใหญ่จำต้องเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นอย่างเชื่องช้า
“อือ... เทียนเหรอ”
“ครับ ตื่นมาทานข้าวทานยาก่อนนะครับ” เทียนเอ่ยบอกผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม
“ปวดหัวจังวะ” บอสเหนือสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด นอกจากจะปวดเนื้อปวดตัวร้าวระบมไปทั้งร่างกายแล้ว เขายังรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิดอีกต่างหาก
“ครับ ดูเหมือนบอสจะมีไข้อ่อนๆด้วย” เทียนเอ่ยบอกเสียงเบาด้วยความรู้สึกผิด ส่วนหนึ่งก็เพราะความเอาแต่ใจของเขากับครามที่ทำให้บอสต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้
“กูไม่ได้โกรธ เลิกทำหน้าหมาหงอยสักที” บอสเหนือเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาหงอยๆของหมาเด็กข้างกาย
ทำหน้าแบบนั้นแล้วเขาจะไปโกรธลงได้ยังไงกันล่ะ
“ผมขอโทษนะครับ ส่วนหนึ่งก็เพราะความเอาแต่ใจของพวกผม”
“บอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ จะโทษพวกมึงฝ่ายเดียวได้ยังไง” โทษแค่เทียนกับครามคงจะไม่ได้ เพราะเขาเองก็มีส่วนผิดที่ไม่ยอมห้ามปรามแบบจริงๆจังๆ อีกทั้งยังคล้อยตามไปกับสัมผัสเร่าร้อนของพวกมันเมื่อคืนนี้ ถ้าจะโทษพวกมันก็ต้องโทษเขาด้วยที่ไม่รู้จักยับยั้งช่างใจให้มากกว่านี้
เป็นเขาที่ยินยอมให้พวกมันกระทำกับร่างกายของเขาด้วยความเต็มใจเองนั่นแหละถึงได้มีสภาพแบบนี้
“บอสป่วยแบบนี้ ยกเลิกงานคืนนี้ไปก่อนดีมั้ยครับ” เทียนเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง เขาไม่อยากให้บอสไปงานในค่ำคืนนี้เลยจริงๆ สภาพร่างกายของบอสเป็นแบบนี้ อีกทั้งยังมีศัตรูหมายปองจะเอาชีวิตบอสของพวกเขาอยู่รอบด้าน เขาที่ไม่ได้ไปด้วยก็อดที่จะเป็นห่วงบอสไม่ได้จริงๆ
“ยกเลิกไม่ได้หรอก งานนี้มันงานใหญ่”
“แต่ว่า...”
“เขมกับโชนมันก็ไปกับกูด้วย ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอกน่า” บอสเหนือเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม
“ครับ แล้วผมจะขัดอะไรบอสได้ล่ะครับ” เทียนเอ่ยเพียงแค่นั้นก็หันไปหยิบชามข้าวต้มที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมาถือเอาไว้ มือใหญ่ใช้ช้อนตักข้าวต้มในชามมาจ่อที่ปากของเจ้านาย ไอร้อนๆที่พวยพุ่งออกมาจากในชามทำให้บอสเหนือต้องเงยหน้าขึ้นมองบอดี้การ์ดคนโปรดทันที
“มันยังร้อนอยู่เลย มึงกะให้มันลวกปากกูหรือไง”
“จริงด้วย ผมขอโทษครับ บอส” เทียนรีบเอ่ยขอโทษขอโพยยกใหญ่
“แล้วนั่นมึงทำอะไร”
“เป่าให้บอสไงครับ”
“ไม่ต้อง รอมันเย็นแล้วเดี๋ยวกูกินเอง” บอสเหนือบอกปัดการกระทำนั้นของคนอายุน้อยกว่า เขาไม่ได้ป่วยจนถึงขั้นใช้มือตักข้าวต้มกินเองไม่ได้หรอกนะ
“ไม่เอาครับ”
“เทียน”
“ผมอยากดูแลบอสนี่ครับ ให้ผมดูแลบอสนะ” สีหน้าและแววตาออดอ้อนเหมือนลูกหมาทำให้ผู้เป็นนายถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ตามใจมึงแล้วกัน” พอเขาพูดจบ คนที่เอ่ยปากอยากจะดูแลเขาก็ตาเป็นประกายวาววับทันที
“กินข้าวนะครับ... อ้ามมมม”
“กูไม่ใช่เด็ก” ถึงปากจะบอกแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ยอมอ้าปากให้อีกคนป้อนข้าวต้มเข้าปากแต่โดยดี
“กูอิ่มแล้ว” ทว่าพอกินไปได้เพียงสองสามคำ บอสหนุ่มก็ยกมือขึ้นปรามลูกน้องของตนเองที่กำลังจะตักข้าวต้มคำที่สี่มาให้เขา
“ทานอีกหน่อยนะครับ บอสยังทานไปได้ไม่กี่คำเอง”
“กูอิ่มแล้ว เทียน”
“เฮ้อ ก็ได้ครับ งั้นก็ทานยานะครับ” ได้ยินเจ้านายบอกเสียงเข้มแบบนั้นแล้วคนที่ยอมตามใจเจ้านายมาโดยตลอดมีหรือจะยอมขัดใจบอสของตนเองได้
“ว่าแต่... ไอ้ครามมันหายหัวไปไหน” บอสเหนือเอ่ยถามถึงบอดี้การ์ดอีกคนที่ไม่เห็นตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา
“ครามมันอยู่ด้านล่างครับ แต่ข้าวต้มนี่มันเป็นคนซื้อมาให้บอสนะครับ”
“กูก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ถามถึงมันเฉยๆ มึงลนอะไร ?” บอสเหนือหรี่ตามองคนที่นั่งอยู่ข้างกาย เขาแค่ถามถึงครามเฉยๆ ไม่ได้คิดจะว่าอะไรที่มันหายหัวไปแบบนี้ แต่คนที่ลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุขกับเป็นไอ้เทียนเองซะงั้น
“เปล่าครับ ผมแค่กลัวบอสจะโกรธเพื่อนผมนี่นา”
“กูจะไปโกรธมันทำไม”
“ก็...”
“กูไม่ใช่สาวน้อยนะที่พอตื่นมาไม่เจอคู่นอนแล้วจะไปโกรธไปงอนอะไรแบบนั้นน่ะ” บอสเหนือเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ไม่รู้ว่าพวกมันมองเขาแบบไหนถึงได้กลัวว่าเขาจะไปโกรธที่ตื่นมาแล้วไม่เห็นหน้าคราม
“ก็จริง ผมคงจะคิดมากไปเอง”
“มึงก็ไปทำงานของมึงได้แล้ว ไม่ต้องมาอยู่ดูแลกูหรอก”
“นี่ไงครับงานของผม”
“อะไรของมึง”
“งานของผมคือการดูแลบอสไงครับ” คำตอบและรอยยิ้มนั้นของบอดี้การ์ดคนโปรด ทำให้บอสเหนือลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ อีหรอบนี้ไล่ยังไงก็คงจะไม่ไปไหนอย่างแน่นอน
เอาเถอะ... อยากดูแลนักก็จะให้ดูแล!
“กูจะนอนพักต่ออีกสักหน่อย ใกล้เวลางานแล้วมึงค่อยปลุกกู”
“ได้ครับ เดี๋ยวช่วงบ่ายๆผมจะมาปลุกบอสนะครับ”
“อืม” สิ้นคำตอบรับ ร่างสูงของบอสเหนือก็พลิกตัวนอนหันหลังให้คนอายุน้อยกว่าทันที ทำให้ไม่ทันได้เห็นสีหน้าและแววตาลึกซึ้งยามที่เทียนจ้องมองไปยังเจ้านายของตนเอง
ฝันดีนะครับ... บอสของผม
_
เสียงฝีเท้าหนักๆดังใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่บานประตูห้องใต้ดินที่ปิดสนิทจะถูกเปิดออก พร้อมกันนั้นร่างสูงใหญ่ของพฤกษ์ก็ค่อยๆก้าวขาเข้าไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ภายในห้องใต้ดินแคบๆมีร่างสูงของใครอีกคนหนึ่งยืนอยู่ เบื้องหน้าคือร่างสะบักสะบอมของชายวัยกลางคนที่ตามร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย
สภาพของชายคนนั้นย่ำแย่แทบดูไม่ได้ เหมือนคนใกล้ตายมากขึ้นทุกที ไม่เหลือเค้าของชายที่เคยมีสีหน้าเย่อหยิ่งและพร้อมจะเหยียบหัวพวกเขาได้ทุกเมื่อ
“ตายหรือยัง” พฤกษ์เอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาคมเข้มเหลือบมองร่างสะบักสะบอมของชายวัยกลางคนอย่างไม่คิดจะสนใจใยดีเลยสักนิด
“ยัง”
“แล้วได้เรื่องว่ายังไงบ้างล่ะ”
“มันไม่ยอมปริปากบอกอะไรสักอย่าง” โรมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดที่ทุกอย่างดูจะยากเย็นไปเสียหมด ทั้งๆที่คิดว่าจะจัดการได้และทำให้อีกฝ่ายยอมปริปากสาวไปถึงบอสใหญ่ได้ง่ายๆแท้ๆ
แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
“โดนทรมานขนาดนี้แต่ก็ยังเลือกจะปกป้องบอสใหญ่ของมันสินะ”
“อืม ในเมื่อมันไม่ยอมบอกก็ฆ่ามันทิ้งให้จบๆไปเลยดีกว่ามั้ย”
“ยัง เก็บมันเอาไว้ก่อน” พฤกษ์เอ่ยบอกเสียงเข้ม สองขาขยับก้าวเข้าไปใกล้ร่างของหนอนบ่อนไส้ที่ถูกพวกเขาจับได้คาหนังคาเขา มือใหญ่กระชากเส้นผมของคนตรงหน้าขึ้นอย่างแรง
“ใครเป็นคนส่งมึงมา”
“พวกมึงคิดว่ากูจะยอมปริปากบอกพวกมึงเหรอ ถุย!” นอกจากจะไม่ยอมบอกแล้วยังถมน้ำลายใส่พวกเขา จนพฤกษ์แสยะยิ้มร้าย ก่อนจะซัดหมัดหนักๆใส่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมายอย่างแรง
“ดูเหมือนไอ้โรมจะเล่นกับมึงไปเยอะเหมือนกันนี่” คนพูดเหลือบมองบรรดาเครื่องมือที่ใช้สำหรับทรมานมากมายที่ถูกวางทิ้งเอาไว้บนพื้น
“แต่มึงก็อดทนเก่งดีเหมือนกัน โดนไปขนาดนี้ยังไม่ยอมปริปากบอกอะไรออกมาสักคำ”
“กูไม่มีวันบอกพวกมึงหรอก”
“ก็ดี เพราะกูเองก็ยังอยากจะเล่นกับมึงอยู่ ถ้าบอกง่ายๆก็คงจะหมดสนุกกันพอดี” พฤกษ์เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปาก มือใหญ่เอื้อมไปหยิบเครื่องมืออันหนึ่งขึ้นมาถือเอาไว้
“บอสดีกับมึงแค่ไหน แต่มึงก็ยังเลือกที่จะทรยศบอส”
“กูก็แค่เลือกทางที่ดีที่สุดให้ตัวเองเท่านั้น”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นกูก็จะทำให้มึงเห็นเองว่าทางที่มึงเลือก... จุดจบมันจะเป็นยังไง” สิ้นประโยคนั้น ชายวัยกลางคนที่คิดทรยศบอสเหนือของพวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้ปริปากพูดอะไรออกมาอีก ทำได้เพียงร้องโหยหวนด้วยความทรมานเพียงเท่านั้น
พวกเขาจะทำให้มันได้รู้ว่าจุดจบของคนที่คิดทรยศบอสของพวกเขา... สุดท้ายแล้วพวกมันจะมีจุดจบยังไง
_
ภายในงานหรูหราใหญ่โตที่ถูกจัดขึ้นด้วยคนใหญ่คนโต บอสเหนือที่ได้รับเชิญให้มาร่วมงานนี้ก้าวเข้ามาภายในงานอย่างสง่างาม ร่างสูงกำยำอยู่ในชุดสูทสีกรมท่า เส้นผมเองก็ถูกเซตขึ้นเป็นทรงเผยให้เห็นใบหน้าหล่อคมเข้มที่ทำให้สาวๆมากมายภายในงานต่างพากันจับจ้องไม่ละสายตา
“เหนือคะ” ทว่าเพียงเดินเข้ามาในงานยังไม่ทันถึงโต๊ะที่ถูกจัดไว้ให้ เสียงหวานใสของว่าที่ภรรยาก็ดังขึ้นเสียก่อน
ใช่... แก้วกานดาเองก็ได้รับเชิญให้มางานนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
“คุณก็มาด้วยเหรอ แก้วกานดา”
“ก็ต้องมาสิคะ จะไม่มาได้ยังไงกันล่ะคะ” แก้วกานดาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหวาน ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้และสอดแขนควงบอสหนุ่มแสดงความเป็นเจ้าของทันที
เธอมองเห็นมาตลอดนั่นแหละว่าตั้งแต่ที่คนของเธอก้าวเข้ามาในงาน มีบรรดาสาวสวยมากหน้าหลายตาพากันจับจ้องอยากจะเป็นเจ้าของบอสเหนือมากแค่ไหน และมันก็ทำให้เธอค่อนข้างที่จะไม่พอใจ
ใครจะชอบให้มีคนมาจับจ้องคนของตัวเองกันล่ะ ?
“ปล่อย” บอสเหนือเอ่ยบอกเสียงเข้ม เขาไม่ชอบใจกับการกระทำของแก้วกานดาสักเท่าไหร่
“ทำไมล่ะคะ ไหนๆเราก็กำลังจะแต่งงานกันแล้ว ทุกคนเองก็รู้เรื่องที่พวกเรากำลังจะแต่งงานกัน สามีภรรยาควงแขนกันก็ไม่น่าจะผิดนะคะ” แก้วกานดาเอ่ยขึ้นราวกับต้องการจะทวงสิทธิ์ของตนเอง
“แต่เรายังไม่ได้แต่งงานกัน เพราะฉะนั้นช่วยปล่อยแขนผมด้วย”
“เหนือ... ก็ได้ค่ะ!” แก้วกานดาเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะยอมปล่อยมือออกจากแขนแกร่งของชายหนุ่มข้างกายในที่สุด
บอสเหนือมองท่าทีกรุ่นโกรธของว่าที่ภรรยาแล้วก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ อีกฝ่ายคงหวังจะให้เขาง้อตนเอง แต่บอสเหนือก็คือบอสเหนือ เขาไม่ได้เต็มใจจะแต่งงานกับแก้วกานดาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นต่อให้อีกฝ่ายจะโกรธเขามากแค่ไหน เขาก็ไม่คิดที่จะง้อหรือเอ่ยคำขอโทษออกไปหรอก
“บอสครับ” เสียงเรียกจากทางด้านหลังเรียกให้บอสหนุ่มจำต้องละสายตาจากแก้วกานดาและหันไปมองเจ้าของเสียงเรียก
“มีอะไร เขม”
“ผมกับโชนจะไปตรวจดูรอบๆนะครับ ให้ไอ้ครามอยู่กับบอสไปก่อน” เขมเอ่ยกระซิบบอกเจ้านายของตนเอง พวกเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในงานวันนี้ กันเอาไว้ก่อนน่าจะดีกว่า
“อืม เอาครามมันไปด้วยก็ได้นะ”
“ให้ผมอยู่กับบอสเถอะครับ ผมกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับบอส” ครามที่ได้ยินทุกคำพูดเอ่ยขึ้นบ้าง ยังไงก็ต้องมีใครสักคนในหมู่พวกเขาที่ต้องอยู่กับบอส อีกอย่างครามเองก็เป็นห่วงบอสของเขาด้วย ดูเหมือนบอสจะยังไม่หายจากอาการป่วยดี
ถ้าศัตรูมันจ้องจะเล่นงานบอส มีเขาอยู่ด้วยก็อุ่นใจไปได้เปราะหนึ่ง
“ตามใจแล้วกัน” บอสเหนือเอ่ยตอบเพียงแค่นั้นก็ต้องหันกลับไปให้ความสนใจกับว่าที่ภรรยาของตนเองอีกครั้ง
“แค่มางานเลี้ยงคืนนี้ถึงกับพกบอดี้การ์ดมาด้วยถึงสามคนเลยเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น พูดตามตรงก็คือเธอไม่ค่อยชอบบอดี้การ์ดคนโปรดของเหนือสักเท่าไหร่ ยิ่งเห็นสีหน้าและแววตายามที่คนพวกนั้นมองไปที่คนของเธอมันก็ยิ่งทำให้เธอไม่ชอบหน้ามากขึ้นไปอีก
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน... แต่เธอรู้สึกไม่ถูกชะตากับคนพวกนั้นจริงๆ
“ใช่ คุณมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ แก้วกานดา”
“เปล่าค่ะ ก็แค่ถามด้วยความสงสัยเฉยๆ”
“ศัตรูอยู่รอบตัวผมเสมอ และงานในค่ำคืนนี้ก็เป็นงานใหญ่ บางทีพวกมันอาจจะจ้องเล่นงานผมอยู่ที่ไหนสักที่ในงานนี้ก็ได้”
“ชีวิตคุณนี่มีแต่อันตรายจริงๆเลยนะคะ” แก้วกานดาเอ่ยเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่คำพูดนั้นก็ทำให้บอสเหนือชะงักไปเพียงเล็กน้อย
“รู้แบบนี้แล้วยังอยากจะแต่งงานกับผมอีกหรือไง” บางทีถ้าหากเป็นคนอื่นคงจะยกเลิกงานแต่งงานไปแล้ว ไม่มีใครอยากจะแต่งงานกับผู้ชายที่มีอันตรายอยู่รอบด้าน จะตายเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้อย่างเขาหรอก
“ฉันไม่กลัวหรอกค่ะ อย่าคิดจะใช้วิธีนี้มายกเลิกงานแต่งงานของพวกเราเลยจะดีกว่านะคะ”
“ผมก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าคุณคงไม่กลัว ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ยอมแต่งงานกับผมหรอก”
“เหนือคะ...”
พรึ่บ!
ยังไม่ทันที่แก้วกานดาจะได้เอ่ยจนจบประโยค แสงไฟที่เคยส่องสว่างก็ดับลงทั้งงานด้วยฝีมือของใครบางคน และนั่นก็ทำให้บอสเหนือขบกรามแน่น ดูเหมือนมันจะไม่สนใจแขกเหรื่อภายในงานคนอื่นๆเลยสักนิด ขอแค่เล่นงานเขาได้ แขกคนอื่นจะเป็นยังไงก็ไม่สนอย่างนั้นสินะ
“เหนือ! คุณอยู่ไหนคะ!” เขาได้ยินเสียงเรียกจากว่าที่ภรรยา และเสียงนั้นก็ทำให้เขาไปถึงตัวหญิงสาวได้อย่างรวดเร็ว
“แก้วกานดา คุณไปหาที่หลบก่อน”
“แล้วคุณล่ะคะ”
“ผมจะล่อมันออกจากงาน”
“ไม่ได้นะคะ ถ้ามันทำอะไรคุณขึ้นมาล่ะ...” แก้วกานดาคว้าแขนของบอสหนุ่มเอาไว้แน่น
“ถ้าผมไม่ล่อมันออกไป มันจะทำร้ายคนในงานนี้โดยไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น”
“แต่...”
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก คุณไปหาที่หลบดีๆ” สิ้นประโยคนั้น บอสเหนือก็ดึงแขนออกจากฝ่ามือเล็กของว่าที่ภรรยา พร้อมกับออกแรงวิ่งตรงไปยังประตูทางออก ไม่รู้หรอกว่าศัตรูที่จ้องจะเล่นงานเขามันหลบซ่อนตัวอยู่ตรงไหน แต่เขาจะต้องหาทางล่อมันให้ออกห่างจากงานในค่ำคืนนี้ให้ได้มากที่สุด
พลั่ก!
“เชี่ย!” บอสเหนือสบถลั่นด้วยความตกใจ มือข้างหนึ่งเตรียมจะปล่อยหมัดใส่คนที่วิ่งเข้ามาชนเขาเต็มแรง แต่ก็ยังช้ากว่าคนตรงหน้าที่คว้าหมัดข้างนั้นของเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะปะทะเข้ากับใบหน้าของอีกฝ่าย
“บอส ผมเอง”
“เขม ?” แม้จะมองเห็นหน้าไม่ชัด แต่บอสเหนือก็จำเสียงได้ว่านี่คือบอดี้การ์ดคนโปรดของเขา
“ครับ บอสวิ่งออกมาจากงานทำไมครับ”
“ไฟในงานดับลงแล้ว กูกลัวว่าคนอื่นจะเป็นอันตรายเลยรีบวิ่งล่อมันออกมาก่อน”
“อีกแล้วนะครับ ห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองอีกแล้ว” เขมอดที่จะเอ่ยปากดุเจ้านายของตัวเองไม่ได้ บอสเหนือมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ถึงจะดูเย็นชาดูดุแต่ภายนอก ทว่าภายในนั้นกลับอ่อนโยนและมักจะห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองอยู่เสมอ
“อย่าพึ่งบ่น แล้วไอ้โชนล่ะอยู่ไหน”
“เดี๋ยวมันก็มาครับ ผมแยกไปสำรวจคนละทางกับโชน”
“อืม”
“ครามล่ะครับ” คำถามนั้นทำให้บอสเหนือเบิกตากว้างขึ้นน้อยๆ เหมือนเขาจะหลงลืมบอดี้การ์ดอีกคนของตัวเองไปเสียสนิท
“ไม่รู้ มันคงจะยังอยู่ในงานนั่นแหละ กูเองก็หามันไม่เจอ”
“ช่างมันไปก่อน รายนั้นคงจะเอาตัวรอดได้นั่นแหละครับ”
“อืม เดี๋ยวมันก็คงจะรู้ว่ากูวิ่งออกมาด้านนอกแล้ว” บอสเหนือเอ่ยเพียงแค่นั้น สายตาก็ดันไปปะทะเข้ากับร่างสูงของบอดี้การ์ดอีกคนหนึ่งที่กำลังวิ่งมาทางนี้
“โชน”
“บอส ? ทำไมออกมาล่ะครับ” คำถามเดียวกับที่เขมถามเขาเปี๊ยบเลย
“กูล่อศัตรูออกมา ไม่อยากให้ทำร้ายคนในงาน”
“แล้วพี่คราม...”
“ยังอยู่ในงาน แต่เดี๋ยวก็คงจะออกมา”
“บอส!” พูดยังไม่ทันขาดคำดี เสียงเรียกจากทางด้านหลังของคนที่กำลังวิ่งหน้าตั้งมาหาพวกเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน
“นั่นไง”
“จะออกมาก็บอกผมก่อนสิครับ รู้มั้ยว่าผมเป็นห่วงบอสแค่ไหน!” มาถึงก็ส่งเสียงดุใส่เขาก่อนเลย
“โทษที มันเหตุสุดวิสัย มืดขนาดนั้นกูคงจะหามึงเจอหรอก”
“ถ้าผมไม่เจอคุณแก้วกานดาก็คงไม่รู้ว่าบอสออกมาแล้ว”
“แก้วกานดาปลอดภัยใช่มั้ย”
“ครับ ไม่ต้องห่วงภรรยาบอสหรอกครับ” บอสเหนือคิ้วกระตุกเล็กน้อยกับคำพูดนั้น สาบานว่ามันไม่ได้กำลังเอ่ยประชดประชันใส่เขาอยู่
“เลิกประชดประชันกันก่อนเถอะ พวกเรารีบไปจากที่นี่ดีกว่า ก่อนที่ศัตรูมันจะมาเจอ-”
ปังๆๆๆ!
นั่นไง ยังไม่ทันได้เดินไปไหน เสียงปืนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้พวกเขาทั้งหมดต่างก็พากันชักปืนออกมาเพื่อสู้กับพวกมัน
“โชน มึงพาบอสไปที่รถก่อน!” เขมตะโกนบอกรุ่นน้องคนสนิทที่อยู่ใกล้ตัวบอสมากที่สุด
“แล้วพี่สองคนล่ะ”
“พวกกูจะจัดการตรงนี้เอง มึงรีบพาบอสไปที่รถ!”
“พวกมันมากันตั้งเยอะ พวกพี่จะไหวเหรอวะ” โชนถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ห่วงบอสก็ห่วง ห่วงรุ่นพี่คนสนิททั้งสองคนก็ห่วง
“เออ พวกกูไหว มึงรีบพาบอสไปตอนนี้เลย!” ครามเอ่ยสมทบ พร้อมกับยิงสะกัดศัตรูที่มากันหลายคนเอาไว้ไม่ให้เข้าถึงตัวบอสของพวกเขาได้ง่ายๆ
“ไป... ไอ้โชน!” โชนขบกรามแน่น ใจหนึ่งอยากจะอยู่ช่วยรุ่นพี่ทั้งสองคน แต่ตอนนี้ชีวิตของบอสสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจหันหลังให้รุ่นพี่ทั้งสองคนเพื่อพาบอสไปให้ถึงรถโดยเร็วที่สุด
“ไอ้โชน! จะทิ้งพวกมันแบบนั้นได้ยังไงวะ” บอสเหนือเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขาเองก็ไม่ได้อยากจะทิ้งให้พวกมันต่อสู้กับคนนับสิบเพียงสองคน พวกนั้นมีปืนกันหมดทุกคน ไม่รู้ว่าจะซ่อนอาวุธร้ายอะไรเอาไว้อีกหรือเปล่า แล้วเขมกับครามก็มีกันแค่สองคน...
“ผมก็ได้อยากจะทิ้งครับ แต่ผมไม่มีทางเลือก”
“กลับไปช่วยพวกมัน”
“ไม่ได้ครับ ผมจะต้องปกป้องบอสและพาบอสกลับบ้านอย่างปลอดภัย” คนฟังขบกรามแน่น เขาสะบัดแขนออกจากมือที่เกาะกุมเอาไว้แน่นออกอย่างแรง ก่อนจะพุ่งตัวเพื่อกลับไปช่วยบอดี้การ์ดอีกสองคน แต่ก็ยังช้ากว่าโชนที่โผเข้มากอดเอาไว้แน่นจากทางด้านหลังเป็นการรั้งไม่ให้เขาได้กลับไปช่วยสองคนนั้น
“ไอ้โชน ปล่อยกู!”
“อย่ากลับไปนะครับบอส พวกมันต้องการตัวบอสนะครับ!”
“เออ ก็ให้พวกมันเอาตัวกูไป แลกกับชีวิตของพวกมันสองคน”
“ไม่ได้ครับ อย่าให้ความพยายามของพี่เขมพี่ครามสูญเปล่าเลยนะครับ” โชนกอดรั้งร่างสูงกำยำของเจ้านายเอาไว้แน่น แม้ขนาดตัวจะพอๆกัน แต่โชนกลับมีพละกำลังที่แข็งแรงกว่าบอสของตนเองอยู่พอสมควร
“กูไม่ได้อยากให้ใครมาตายเพราะตัวกูเองนะ” บอสเหนือปิดเปลือกตาลงช้าๆเพื่อซ่อนร่องรอยของความปวดร้าวเอาไว้
“ผมรู้ครับ ผมก็ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ แต่พี่ๆทั้งสองคนเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ผมพาบอสหนีออกมา ผมจะทำให้ความพยายามของพี่ๆทั้งสองคนสูญเปล่าไม่ได้ครับ”
“แม่ง!”
“เชื่อผมสิครับบอส พี่เขมกับพี่ครามจะต้องปลอดภัยกลับมา พวกเขาแข็งแกร่งกันจะตายไป ไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก” คำพูดนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยสักนิด ไม่ได้ทำให้บอสเหนือลดความกังวลและหวาดกลัวลงได้เลย
เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่บอสเหนือมีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา... ความรู้สึกหวาดกลัวราวกับกำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไป
และสิ่งสำคัญที่ว่าก็คือเขมกับคราม... บอดี้การ์ดคนโปรดทั้งสองคน
“บอส” โชนรู้สึกได้ว่าบอสของตนเองเงียบผิดปกติก็คลายอ้อมแขนออก ก่อนจะพลิกร่างกำยำของเจ้านายให้หันกลับมามองตนเอง
“พวกมันจะปลอดภัยกลับมาใช่มั้ยวะ โชน” บอสเหนือโถมกายเข้าไปกอดบอดี้การ์ดคนโปรดแน่น ใบหน้าคมเข้มซุกซบลงบนลาดไหล่กว้างของลูกน้องคนสนิทที่ยกแขนขึ้นโอบกอดร่างของเจ้านายเอาไว้แน่น
“ครับ พวกเขาสองคนจะต้องปลอดภัยกลับมาอย่างแน่นอน”
“อืม กูเชื่อมึง แล้วก็เชื่อในตัวพวกมันด้วย”
“……”
“เชื่อว่าพวกมันจะต้องปลอดภัยกลับมาอย่างแน่นอน” สิ้นประโยคนั้น โชนก็ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านกันนะครับ กลับไปรอพวกเขาที่บ้านของพวกเรากันเถอะ”
“อืม กลับบ้านกัน… บ้านของพวกเรา” บอสเหนือเอ่ยเพียงแค่นั้นก็สอดตัวเข้าไปนั่งที่เบาะหลังภายในรถยนต์คันหรู ในใจก็ยังคงภาวนาให้บอดี้การ์ดคนโปรดอีกสองคนที่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยให้เขาได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยมีชีวิตรอดกลับมา
โชนที่เห็นบอสหนุ่มเข้าไปนั่งอยู่ในรถเรียบร้อยแล้วก็ปิดประตูลงช้าๆ ดวงตาคู่คมหันกลับไปมองยังทิศทางที่พวกเขาพึ่งจะวิ่งหนีเอาตัวรอดมาจากศัตรูที่หมายจะเอาตัวบอสของพวกเขาไป
หวังว่าพวกพี่ทั้งสองคนจะรอดกลับมาอย่างปลอดภัย
ต้องรอดชีวิตกลับมาให้ได้นะครับ... พี่เขม พี่คราม
[ บทที่ 16 ]“ล่มวิวาห์ (1)”ศกุนตลาได้รับสายด่วนจากบอสเหนือว่าต้องการพบหน้าเขาโดยด่วน เพราะแบบนั้นเขาถึงต้องยกเลิกตารางชีวิตทั้งหมดเพื่อมาหานายเหนือหัวของตระกูลสินธวานนท์โดยเฉพาะ แม้จะไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายเรียกตัวเขาโดยด่วนแบบนี้มันเกิดจากอะไรกันแน่ก็ตาม“คุณศกุนตลา ทางนี้ครับ” ศกุนตลาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคนที่มาต้อนรับตนเองก็คือหนึ่งในบอดี้การ์ดคนโปรดของบอสเหนือรู้สึกจะชื่อปราบล่ะมั้ง...“คุณเหนืออยู่ข้างในเหรอ”“ใช่ครับ บอสสั่งเอาไว้ว่าถ้าคุณมาให้พาขึ้นไปหาบอสได้เลย”“ได้บอกหรือเปล่าว่าทำไมถึงเรียกพบศาโดยด่วนแบบนี้” ศกุนตลาเอ่ยถามคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า เผื่อว่าตนเองจะได้รับคำตอบที่ต้องการ“ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ รู้แค่ว่าถ้าคุณมาแล้วให้พาขึ้นไปหาบอสได้เลย”“งั้นเหรอ” คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาเบาๆกับคำตอบที่น่าผิดหวัง สองขาก้าวเดินตามเจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำสนิทที่เดินนำอยู่ด้านหน้า มองจากด้านหลังยังเห็นถึงออร่าความหล่อเหลาที่แผ่กระจายออกมา ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เวลาอีกคนไปไหนมาไหนกับบอสเหนือแล้วมักจะมีสายตาจากบรรดาสาวสวยจ้องมองอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าเจ้าตัว
[ บทที่ 15 ]“พวกผมกลับมาแล้ว”เพล้ง!เสียงอะไรบางอย่างตกแตกดังออกมาจากห้องของเจ้านาย ทำให้ร่างสูงของโชนที่คอยเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอดนับตั้งแต่ที่เขาสามารถพาบอสกลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยรีบเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของบอสด้วยความเป็นห่วง สีหน้าและท่าทางของบอสดูไม่ดีเสียจนเขาไม่กล้าปล่อยบอสเอาไว้คนเดียว แต่จะให้เข้าไปเฝ้าในห้องก็ดูจะเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงเฝ้าอยู่นอกห้องเท่านั้น“บอสครับ เป็นอะไรรึเปล่าครับ” เสียงทุ้มตะโกนถามเจ้านายด้วยความเป็นห่วง เขาแทบจะพังประตูห้องของบอสเข้าไปดูให้เห็นกับตาตัวเองแล้วด้วยซ้ำว่าบอสของเขาไม่ได้เป็นอะไร“บอสครับ” โชนร้องเรียกซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับอะไรกลับมาจากคนด้านใน“ถ้าบอสไม่ตอบ งั้นผมขออนุญาตเข้าไปนะครับ” โชนรั้งรอให้เจ้านายตอบกลับมาอยู่พักหนึ่ง พอไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมาก็ตัดสินใจหมุนลูกบิดประตูเข้าไปทันทีไม่ได้ล็อค ?บอดี้การ์ดหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เมื่อบิดกลอนประตูเข้าไปแล้วพบว่าประตูมันไม่ได้ล็อค ทั้งๆที่ปกติบอสของเขาระวังตัวเองและคอยล็อคประตูอยู่ตลอด“บอส...” ดวงตาคู่คมเบิกกว้างขึ้นน้อยๆเมื่อได้เห็นสภาพของคน
[ บทที่ 14 ]"จุดจบของคนทรยศ”“บอส... บอสครับ” แรงเขย่าเบาๆปลุกให้คนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนกว้างภายในห้องนอนขนาดใหญ่จำต้องเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นอย่างเชื่องช้า“อือ... เทียนเหรอ”“ครับ ตื่นมาทานข้าวทานยาก่อนนะครับ” เทียนเอ่ยบอกผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม“ปวดหัวจังวะ” บอสเหนือสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด นอกจากจะปวดเนื้อปวดตัวร้าวระบมไปทั้งร่างกายแล้ว เขายังรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิดอีกต่างหาก“ครับ ดูเหมือนบอสจะมีไข้อ่อนๆด้วย” เทียนเอ่ยบอกเสียงเบาด้วยความรู้สึกผิด ส่วนหนึ่งก็เพราะความเอาแต่ใจของเขากับครามที่ทำให้บอสต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้“กูไม่ได้โกรธ เลิกทำหน้าหมาหงอยสักที” บอสเหนือเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาหงอยๆของหมาเด็กข้างกายทำหน้าแบบนั้นแล้วเขาจะไปโกรธลงได้ยังไงกันล่ะ“ผมขอโทษนะครับ ส่วนหนึ่งก็เพราะความเอาแต่ใจของพวกผม”“บอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ จะโทษพวกมึงฝ่ายเดียวได้ยังไง” โทษแค่เทียนกับครามคงจะไม่ได้ เพราะเขาเองก็มีส่วนผิดที่ไม่ยอมห้ามปรามแบบจริงๆจังๆ อีกทั้งยังคล้อยตามไปกับสัมผัสเร่าร้อนของพวกมันเมื่อคืนนี้ ถ้าจะโทษพวกมันก็ต้องโทษเขาด้วยที่ไม่รู้
[ บทที่ 13 ]“คนที่ไม่ควรแตะต้อง”“อึก... เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน!” ทันทีที่เข้ามาในห้องส่วนตัว ร่างสูงกำยำของบอสเหนือก็ถูกวางลงบนเตียงนอนอย่างนุ่มนวล พร้อมกับการจู่โจมที่รวดเร็วของบอดี้การ์ดคนโปรดที่เฝ้ารอเวลานี้มานานใบหน้าของบอสหนุ่มถูกจับให้หันไปรับจูบที่ดุดัน ดิบเถื่อน และแฝงไปด้วยความเอาแต่ใจของเทียนที่บดเบียดริมฝีปากลงมาอย่างรุนแรงและเร่าร้อนราวกับจะแผดเผาร่างกายของเขาให้มอดไหม้เป็นจุล ในขณะเดียวกันครามเองก็มือไวพอๆกัน อีกคนอาศัยในตอนที่เขาถูกรสจูบของเทียนมอมเมาถอดเสื้อผ้าของเขาออกจนหมดในระยะเวลาเพียงสั้นๆเท่านั้นเฮือก!กายแกร่งสะท้านเฮือกยามที่ยอดอกสีเข้มถูกดูดกลืนเข้าไปในโพรงปากของคราม เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากครางเบาๆในลำคอด้วยความเสียวซ่านเพียงเท่านั้นบอสเหนือจูบตอบกลับไปอย่างร้อนแรงและเร่าร้อนไม่แพ้กัน แผ่นอกเองก็แอ่นเข้าหาตอบรับสัมผัสจากบอดี้การ์ดอีกคนหนึ่ง ลิ้นเปียกชื้นตวัดไล้เลียยอดอกข้างหนึ่ง ในขณะที่อีกข้างก็ไม่ปล่อยให้ว่างเว้น มันถูกบดบี้ด้วยปลายนิ้ว สร้างความกระสันซ่านให้กับคนโดนกระทำจนต้องแอ่นหน้าอกเข้าหาอย่างเผลอไผล“อ๊า!” ทันทีที่ริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ บอสเหนือก็ส่
[ บทที่ 12 ]“ชีวิตของพวกผมเป็นของบอส”ภายในห้องวีไอพีที่แสนกว้างใหญ่และหรูหรากลับมีเพียงร่างสูงกำยำของนายเหนือหัวตระกูลสินธวานนท์นั่งอยู่เพียงลำพัง ในมือแกร่งปรากฏแก้วน้ำสีอำพันที่พร่องลงไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ดวงตาคมดุเย็นชาเอาแต่จับจ้องแก้วใสในมืออยู่อย่างนั้น ราวกับว่าการจ้องมองจะทำให้ของเหลวภายในแก้วลดน้อยลงชายหนุ่มเฝ้ามองของเหลวสีอำพันภายในแก้วสีใสราวกับกำลังจมลงไปในห้วงความคิดของตนเอง ทว่าเสียงฝีเท้าหนักๆที่ดังเข้ามาในระยะใกล้มากขึ้นเรื่อยๆก็ทำให้คนที่นั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องกว้างขวางนี้ดึงสติของตนเองกลับคืนมาได้บานประตูที่ปิดสนิทถูกเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของใครบางคนที่บอสเหนือคุ้นแคยและรู้จักเป็นอย่างดีศกุนตลา ตัวท็อปเบอร์หนึ่งที่เขามักจะเรียกมาใช้บริการอยู่บ่อยครั้ง“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ คุณเหนือ” เจ้าของร่างบอบบางเอ่ยขึ้น มือข้างหนึ่งดันบานประตูให้ปิดลง ในขณะที่ขาทั้งสองข้างก็ก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยังโซฟาใกล้เคียงกัน“นั่นสินะ เราไม่ได้เจอกันมานานแค่ไหนแล้วนะ” แม้ปากจะเอ่ยพูดกับคนมาใหม่ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา แต่ศ
[ บทที่ 11 ]“อย่าแต่งงานกับเขาเลย”“ผมขอร้องบอส... อย่าแต่งงานกับเขา อย่าแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นเลยนะครับ”บอสเหนือมองตอบสายตาคู่คมของบอดี้การ์ดหนุ่มที่จ้องมองมาด้วยสีหน้าและแววตาเว้าวอนอย่างไม่คิดจะปิดบัง น้ำเสียงที่เอ่ยออกมามันสั่นเครือเต็มไปด้วยคำขอร้องมากมายที่ส่งผ่านมาทางสีหน้าและแววตาทั้งหมด แล้วก็เป็นแววตาคู่นี้อีกเช่นกันที่ทำให้นายเหนือหัวสินธวานนท์ใจอ่อนยวบเป็นแววตาที่ทำให้เขาพ่ายแพ้ในทุกๆครั้งที่ได้มองสบตาคู่นี้“กูไม่ได้บอกสักคำว่าจะแต่งกับเขา” จริงๆแล้วเขาอยากจะแกล้งลูกน้องของตัวเองอีกสักหน่อย แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าเขาไม่เคยเอาชนะสายตาคู่นี้ของรามได้เลยสักครั้งจากทึ่คิดจะแกล้งก็กลายเป็นว่าเขาใจอ่อนยวบแกล้งบอดี้การ์ดของตัวเองต่อไปไม่ลงจริงๆ“แต่บอสก็ยังมาลองชุดแต่งงานกับเขานี่ครับ” คนฟังแทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว ใครมาเห็นเข้าคงยากที่จะเชื่อว่าบอดี้การ์ดตัวโตๆที่เก๊กขรึมทำหน้าเข้มอยู่ตลอดเวลาก็มีมุมน้อยอกน้อยใจเหมือนผู้หญิงแบบนี้ด้วยขนาดเขาเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน“ก็แค่มาลองให้มันจบๆ แม่จะได้เลิกยุ่งวุ่นวายกับกูสักที” บอสเหนือตอบกลับไปเสียงเรี