ดานิกากลับเข้ามาในห้องนอนตนเอง ก็พบว่ารอยเลือดที่หยดบนพื้นถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว พร้อมเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จสรรพ
บนเตียงมีเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัววางอยู่ข้างกัน เด็กสาวใช้เวลาอาบน้ำสระผมก่อนจะออกมาพร้อมกับชุดเดรสผ้านิ่มใส่สบาย
เสื้อผ้าคุณภาพดีที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการถูกโอบกอดด้วยตุ๊กตาหมีตัวนุ่ม
ประตูห้องนอนถูกเปิดออก ดานิการีบหันไปมองที่ต้นทางก็เห็นว่าเป็นเจ้าของบ้านเดินเข้ามา เด็กสาวถอยกรูดออกไปอยู่มุมห้อง ส่วนมาเฟียหนุ่มก็นั่งไขว่ห้างพาดแขนกับโซฟาสีเบจในห้องนอน
"เดี๋ยวจะมีหมอมา"
เธอกะพริบตามองเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่กล้าถาม
"พูดได้ทุกเรื่อง คนของฉันเอง"
เน้นย้ำว่า 'ทุกเรื่อง' เพราะมีผลต่อการประเมินการรักษา
"มานั่งนี่" นิ้วเรียวชี้มาที่โซฟาพร้อมกับรอดูท่าทีของเธอ
ดานิกายืนลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะก้มหน้างุดเดินเข้ามานั่งที่โซฟาอีกตัว
"ยังเจ็บคออยู่ไหม"
เธอพยักหน้าช้าๆ เริ่มยกมือขึ้นมากอดตัวเองเอาไว้ เมื่อภาพคืนนั้นฉายซ้ำขึ้นในหัวหลังจากถูกถามเรื่องบาดแผล
"จะมีแค่เธอ ฉัน คีย์ และจิตแพทย์ที่รู้เรื่องคืนนั้น เข้าใจไหม"
ดานิกาพยักหน้ารัวอย่างเข้าใจ เธอก็ไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องนี้เช่นกัน
"นะ หนูไม่ได้ตั้งใจ..."เริ่มออกอาการจะร้องไห้อีกครั้ง
"ต่อให้ตั้งใจก็ไม่เป็นไร" สาสมแล้วกับไอ้เวรนั่น "ฉันก็เพิ่งฆ่าคนไปวันเดียวกันกับเธอ"
เขาเอ่ยถึงเหตุการณ์เมื่อคืนขึ้นมาเบาๆ ให้เธอรับรู้ว่าเขาเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร ที่เธอจะต้องมาแสดงท่าทีเกรงกลัวความผิดบาปเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
"ไอ้วิฑูรย์ เจ้าของผับที่มันขังเธอ" เขาอธิบายเพิ่มเมื่อดานิกามองหน้าเขาอย่างสนใจ
เธอไม่ได้สนใจเรื่องฆ่าแกงกัน แต่กำลังรู้สึกว่ามีคนทำผิดเช่นเดียวกันกับเธออยู่ในห้อง
"คนอื่นที่อยู่ใต้ดินออกมาหมดแล้ว"
ใบหน้าเล็กพยักหน้าซ้ำอีกรอบรับรู้สิ่งที่เขาพูด ก่อนจะยกมือลูบใบหน้าตัวเองเพื่อสลัดความเครียดออกจากใจ
"มาร์ติน แม็กคาร์ตนีย์คือชื่อฉัน" ดวงตาสีอำพันมองกลับมาอย่างคาดหวังคำตอบที่มากกว่าการพยักหน้า
"ดานิกาค่ะ เรียกหนูว่าดา"
"ดานิกาแปลว่าอะไร"
"ดาวศุกร์ค่ะ"
เพราะเกิดตอนย่ำรุ่ง บิดาเห็นดาวศุกร์สว่างไสวกว่าดาวดวงใดในยามเช้าจึงไปหาชื่อนี้มา
"จะเอายังไงต่อ อยากอยู่ที่นี่ไหม ฉันจะยกเซฟเฮาส์ให้เฝ้า"
"คุณจะไปไหนเหรอคะ"
"กลับฮ่องกง นานๆ ทีฉันจะมาไทย อาจจะสองปีครั้ง" เขาบอกเธอตามจริงเพื่อหาทางออกให้กับเธอ
อายุสิบเจ็ดไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะอยู่คนเดียวที่นี่ และเธอเองก็คงอยู่ไม่ไหว เพราะต้องรักษาอาการที่ตกค้างจากเรื่องคืนนั้น
"อยากเกิดใหม่ไหม?" เรื่องใหญ่ที่คิดอยู่ในหัวถูกถามออกมา "เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนครอบครัว ย้ายประเทศ"
ไม่ใช่เรื่องยากหากคิดจะทำ มีคนคอยช่วยเหลือเขามากมาย เพียงแค่เจ้าตัวตรงหน้าตอบตกลง
"หนูไปอยู่กับคุณได้ไหมคะ" ถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ คงมีแต่เขาที่เธอไว้ใจในตอนนี้
"ได้ แต่เธอต้องทำตามแผนที่ฉันวางไว้ให้ได้"
เขาหยักยิ้มพอใจที่เธอตัดสินใจได้ ไม่มีประโยชน์อะไรจะต้องเสียดายชาติกำเนิดที่เลวร้ายนั้น พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว แถมยังมีความผิดติดตัว
มีแต่จะต้องรีเซ็ตชีวิตเท่านั้น และเขาจะทำให้เธอดูเอง
"นะ หนูต้องทำอะไรบ้างคะ"
"อย่างแรกเลย ชื่อของเธอต่อจากนี้คือวีนัส"
สามวันต่อมา
มาร์ตินก็ได้รับผลวินิจฉัยจากจิตแพทย์และแพทย์เจ้าของไข้ร่วมกันตรวจวีนัสอย่างละเอียด เป็นอย่างที่เขาคิดไม่ผิด
เด็กคนนั้นมีภาวะ PTSD[1]
มือหนาถือเอกสารของเธอและข้อมูลที่เขาเตรียมการสำหรับตัวตนใหม่ของเด็กคนนั้น ก่อนจะเดินไปยังห้องรับแขก ที่มีแขกคนสำคัญมานั่งรอก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว
"เรียกกูมาทำไม"
ทันทีที่เขานั่งลง แขกคนสำคัญก็ถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมาทันที
"นิสัยไม่รู้จักบุญคุณคนนี่ มันแก้ไม่ได้ใช่ไหม" ดุด่าเพื่อนอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะปรายตาไปยังผู้หญิงอีกคนในชุดนักศึกษา "เอาเมียมาทำไม"
"พริมโรสเพิ่งเลิกเรียน กูแค่แวะมาหามึงแป๊บเดียว" เซนตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน "พูดธุระมึงมา"
เจ้าของเซฟเฮาส์ปรายตามองเพื่อนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ เสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้ก็ทำให้การสนทนาหยุดชะงัก
เด็กสาวในชุดเดรสกระโปรงยาวสีชมพูอ่อนเดินเท้าเปล่าเข้ามาแอบมองผู้มาเยือนอยู่ที่ข้างประตู สีหน้ากังวลระคนหวาดระแวงทำให้มาร์ตินเข้าใจ
"วีนัสมานี่"
เสียงเรียกของเขาทำให้เธอเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ก่อนจะกอดขาและซบหน้าลงที่หน้าขาแกร่งด้วยความเคยชิน
มาเฟียหนุ่มถอนหายใจออกมา เขาไม่ชอบให้ใครแตะต้องร่างกาย แต่หลายวันมานี้วีนัสไม่คุยกับใครเลย จะกินข้าวก็ต่อเมื่อเขากิน จะนอนก็ต่อเมื่อเขาอยู่ในห้อง
มาร์ตินจึงกลายเป็นคนเฝ้าไข้เด็กที่เก็บมาอย่างช่วยไม่ได้ หากตื่นมาแล้วไม่เห็นเขา วีนัสก็จะร้องไห้วิ่งหาเขาทั่วเซฟเฮาส์
"ใคร?"
"วีนัส" เขาไม่ตอบทันทีว่าเธอคือใคร แต่ก้มมองคนที่นอนซบหน้าที่ขาตนเองสลับกับพริมโรสเป็นนัย
หมอบอกเขาว่าให้เลี่ยงคุยเหตุการณ์ที่ทำให้เธอป่วยต่อหน้า
"คีย์ พาพริมโรสกับวีนัสไปที่ห้องอาหาร" มาเฟียหนุ่มออกคำสั่งกับลูกน้องคนสนิท
พริมโรสพยักหน้ารับทราบอย่างว่าง่าย ต่างจากเด็กสาวที่ซบหน้าที่ตักเข้าอยู่ เธอสะดุ้งแล้วส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน
"วีนัส ไปรอที่ห้องอาหาร อีกสิบห้านาทีจะถึงเวลาอาหารเย็น" ยกฝ่ามือวางที่ศีรษะเบาๆ
วีนัสเงยหน้าสบตาเขาอย่างลังเล ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจสิ่งที่เขาบอก ยอมเดินตามคีย์และพริมโรสไปรอที่ห้องอาหาร แต่มิวายหันกลับมามองเขาอย่างอาลัยอาวรณ์
"รอยที่คอ..." เซนถามขึ้นทันทีที่ห้องเหลือเขากับมาร์ตินเพียงสองคน
"เรื่องนี้แหละที่กูอยากให้มึงช่วย" ยื่นเอกสารทั้งหมดให้เพื่อนก่อนจะเอามือกอดอก เอนหลังพิงพนักโซฟา "กูอยากให้มึงช่วยส่งเด็กคนนี้ไปอังกฤษ ในฐานะลูกสาวของวิลเลียม แอนเดอร์สัน"
เซนกวาดสายตาอ่านเอกสารใากมายในมือคร่าวๆ ก่อนจะเก็บใส่ซองแล้วยื่นให้มือขวาของตนเองไปจัดการ
"ไม่มีปัญหา พาสปอร์ตกับเอกสารยืนยันตัวตนจะส่งมาในอีกสองอาทิตย์ ระหว่างนี้มึงรีบรักษาเด็กคนนั่นให้เป็นปกติที่สุด"
เอกสารไม่ใช่ปัญหา การให้ได้สัญชาติใหม่มาก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ต้องไม่แสดงออกต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
"กูจะให้คีย์ไปส่งวีนัสที่อังกฤษภายในสิ้นเดือน ฝากมึงเร่งจัดการเอกสารด้วย"
"กูไม่เข้าใจ ว่าทำไมมึงต้องทำเรื่องให้ยุ่งยาก"
คำถามของเพื่อนทำให้มาร์ตินเงียบลง เขาไม่ได้บอกเพื่อนว่าเด็กคนนี้ฆ่าคนตาย อธิบายเพียงว่าเธอถูกขายและเขาพบตอนถูกทารุณกรรมเท่านั้น
"เพราะกูไม่มั่นใจ ว่าต่อให้กูจัดการลุงกับป้าของวีนัส จะยังมีคนที่รู้จักเด็กคนนี้อีกหรือเปล่า"
เซนที่ได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่คิดจะถามเพื่อนต่อ แม้จะรู้ว่านั่นไม่ใช่เหตุผลหลัก แต่การที่มาร์ตินไม่บอกเขา นั่นแปลว่าเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเพื่อนกับวีนัส
เชิงอรรถ
[1] PTSD (Post-traumatic stress disorder) เป็นความผิดปกติทางจิตใจหลังจากเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนต่อจิตใจอย่างรุนแรง ซึ่งความเครียดเหล่านี้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย
วีนัสเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับสถาบันสอนศิลปะอยู่ร่วมสองสัปดาห์ และแล้ววันเปิดเรียนชั้นเกรด 12 ก็มาถึง โรงเรียนที่พ่อกับแม่ให้เธอไปเรียนอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก หากเดินเท้าก็ใช้เวลาไม่เกินยี่สิบนาที ในวันแรกของการเปิดเรียน เจสสิก้ากับวิลเลียมขับรถไปส่งเธอด้วยตนเองถึงหน้าประตู ด้วยสีผมที่แสนสะดุดตา กับรูปร่างที่ดูตัวเล็กกว่าใครเพื่อน อีกทั้งชุดที่ใส่ไปเรียนยังเป็นสไตล์น่ารักคล้ายตุ๊กตาโลลิต้า ทำให้เมื่อเดินเข้าไปในรั้วโรงเรียน เธอจึงกลายเป็นจุดสนใจของนักเรียนคนอื่นได้ไม่ยาก "วี!!" เสียงเรียกที่คุ้นหู ทำให้วีนัสรีบหันไปมองตามต้นเสียง เจย์เดนนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวยาวกับเพื่อนของเขาอีกสามคนโบกมือเรียกให้เธอเดินเข้าไปหา เพื่อนของเจย์เดนเป็นหนุ่มยุโรป และสองสาวที่ดูสวยป็อบ ดูจากการแต่งตัวตามแฟชั่นค่อนไปทางเซ็กซี่นิดๆ นั้น "จะเข้าห้องเรียนเลยไหม" เขาถามเมื่อคนตัวเล็กเดินเข้ามาหา "อื้อ อยากเห็นห้องเรียนก่อน" เธอต้องการเวลาในการเตรียมใจเรียนในสภาพแวดล้อมใหม่ "เจย์ นายไม่คิดจะแนะนำให้พวกเรารู้จักหน่อยเหรอ" เส
Martin: ผู้หญิงหรือผู้ชาย? คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเขาถามทำไม อาจจะเป็นห่วง กลัวว่าเธอจะเจอผู้ชายประเภทคุกคามเธออีก Venus: ผู้ชายค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เขาน่ารักมาก คุยเก่ง ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับวี เธอรีบพิมพ์ตอบเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด แต่ข้อความที่ส่งไปกลับถูกอ่านเพียงอย่างเดียว มาร์ตินไม่ได้ตอบอะไรเธอกลับมา Rrrrr "...!" เสียงเรียกเข้าที่แผดลั่น ทำเอามือถือแทบหล่นออกจากมือ ตั้งสติได้ก็รีบกดรับสายอย่างรวดเร็ว เมื่อหน้าจอแสดงผลว่าใครกำลังโทรเข้ามา "ค่ะ คุณมาร์ติน" กรอกเสียงรับสายออกไปอย่างติดประหม่า (เปิดกล้อง ปุ่มรูปวิดีโอ) เขาออกคำสั่งเสร็จสรรพ ทำเอาคนที่นอนหัวยุ่งอยู่บนเตียงต้องกระเด้งตัวขึ้นนั่ง หันมองซ้ายมองขวาว่าไม่ได้ทำห้องรก จึงกดปุ่มตามที่เขาบอก เธอเปิดกล้องก่อน เขาจึงเปิดตาม และนั่นทำให้วีนัสตกใจจนรีบเอามือตะครุบปากตัวเองไว้ เขาเปลือยท่อนบนอยู่ พื้นหลังเป็นห้องอะไรสักอย่างที่มีแต่ตู้เสื้อผ้ายาวเหยียด (เป็นอะไร อ้อ...)
คลาสวาดภาพเป็นเรื่องน่าสนุกกว่าที่วีนัสคิดเอาไว้มาก เธอกับเจย์เดนช่วยกันวาดรูปแล้วออกไปนำเสนอหน้าชั้นอย่างสนุกสนาน แม้แต่ปีเตอร์เองก็ชมว่าดอดไม้บนอวกาศของเธอเป็นความหมายที่ดีมาก ดิ้นรนให้เติบโต แม้สถานที่จะไม่เหมาะสม แต่ก็เบ่งบานได้ในที่สุด “วี เธอมีธุระต่อหรือเปล่า” เจย์เดนที่เดินลงลิฟท์มาด้วยกันถามขึ้น คนตัวเล็กส่ายหน้า วีนัสคิดว่าจะกลับไปรอพ่อกับแม่ที่บ้าน เพราะเจสสิก้าทิ้งกุญแจบ้านไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว “ไปกินข้าวเที่ยงกันไหม เดี๋ยวฉันไปส่งที่บ้าน” “ไปกินข้าวได้นะ แต่ไม่ต้องไปส่งวีหรอก บ้านวีอยู่ในหมู่บ้านนี่เอง” เธอบอกเพื่อนใหม่ยิ้มๆ “เจ๋งเลย ฉันก็อยู่หมู่บ้านนี้เหมือนกัน ฉันอยู่ตรอก 12 เธอล่ะ” เขาเดินนำไปที่รถเวสป้าสีส้มที่จอดอยู่หน้าสถาบัน คนตัวเล็กเงียบลงเมื่อถูกถามถึงตรอกทางเข้าบ้านตนเอง เธอเพิ่งมาอยู่ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ แล้วตอนที่ออกมาก็ไม่ได้ดูด้วยว่าอยู่ตรอกหมายเลขอะไร รู้เพียงว่ามีร้านไอศกรีมอยู่ทางเข้าแค่นั้น “อยู่ในตรอกร้านไอศกรีมน่ะ” “อ้อ! โอเค ฉันจะไปส่ง” เขารวบรัด จ
[Venus Talks] เช้าวันแรกของการอาศัยอยู่กับครอบครัวใหม่ที่เบอร์มิงแฮม ฉันตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อลงมาช่วยงานแม่ใหม่ ท่านจะได้ไม่หาว่าฉันนอนกินบ้านกินเมือง ถ้าถามว่าเช้าขนาดไหน ขอบอกว่าตีห้า - -; แล้วฉันก็ได้ความรู้เรื่องแรกในการใช้ชีวิต ว่าที่นี่เขาไม่ตื่นเช้าขนาดนั้น เจสสิก้ากับวิลเลียมทำงานที่โรงพยาบาลห่างจากบ้านยี่สิบนาที พวกเขาเลยไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าเหมือนคนกรุงเทพ ที่ต้องออกบ้านแต่เช้ามืดทุกวัน ตอนฉันเปิดประตูออกมาห้องมา ไฟด้านนอกดับสนิท ไม่มีใครตื่นเลยด้วยซ้ำ กระทั่งเจสสิก้าน่าจะได้ยินเสียงฉันเปิดประตู เธอ...แม่เลยถามฉันว่า ‘ตื่นขึ้นมาทำไม อยากได้อะไรหรือเปล่า’ พอฉันบอกว่าฉันตื่นมาช่วยงานตอนเช้า แม่เลยหัวเราะแล้วดันฉันกลับเข้าไปในห้อง ก่อนจะบอกให้ฉันตื่นลงไปข้างล่างตอนแปดโมง ตื่นฟรีเลย - -; ฉันเปิดประตูลงไปด้านล่างอีกครั้งตอนแปดโมงเป๊ะ พอแม่เห็นหน้าฉันก็หันไปเล่าเรื่องเมื่อเช้ามืดให้พ่อฟัง จนท่านหัวเราะจนไข่ดาวแทบติดคอ “อยู่ที่นี่ทำตัวตามสบายนะ คิดซะว่ามาพักผ่อน” พ่อพูดกับฉันพร้อมก
ประตูห้องนอนถูกเปิดออกโดยฝีมือของเจ้าของห้อง ห้องนอน สีขาวฟ้าเต็มไปด้วยตุ๊กตาหมีวางเรียงรายบนเตียง ให้ความรู้สึกห้องนอนของเด็กผู้หญิงจนมาเฟียอย่างเขาเห็นแล้วขนลุก "ทำไมทำหน้าแบบนั้นคะ" หันมาถามเมื่อเห็นเขายังยืนมองเตียงด้วยใบหน้าเหยเก "ฉันเป็นพวกไม่ถูกกับความน่ารัก" คำตอบของเขาเรียกเสียงหัวเราะของเธอออกมา ร่างบอบบางนั่งลงบนเตียงกว้างของตนเอง ก่อนจะจ้องมองไปที่ตุ๊กตาหมีสีน้ำตาล "เหมือนคุณเลย" เธอหยิบมันขึ้นมาชูใส่หน้าเขา จนคนถูกว่าเหมือนหมีขมวดคิ้ว "เหมือนตรงไหน" หมีขนหยิกสีน้ำตาลตัวนั้นไม่ได้มีส่วนใดเหมือนเขาแม้แต่น้อย คนตัวโตเดินมานั่งข้างเธอ ก่อนจะหยิบตุ๊กตาไปจากมือเล็ก "ไม่เหมือน" "เหมือนสิ ตัวนี้หน้าตาใจดีที่สุดในบรรดาทุกตัวเลย" เธอเถียงเขาหน้าซื่อ มิวายดึงตุ๊กตากลับมากอดตามเดิม "ชอบห้องนี้ไหม" เขาเปลี่ยนคำถามพร้อมกับมองไปรอบๆ "ชอบสิคะ น่ารักมาก ขอบคุณนะคะ" "ขอบคุณเจสสิก้ากับวิลเลียมด้วย" "ค่ะ" ใบหน้าเล็กพยักหน้ารับ หันไปนั่งแกว่งขาเล่นกับตุ๊
เขาให้เวลาเธอจัดการความรู้สึกตนเองสามวันเต็ม ร้องไห้ให้เต็มที่ เสียใจให้พอ ระหว่างนั้นมาร์ตินก็อยู่ด้วยตลอด เธอกับเขานอนเตียงเดียวกัน คนไม่ชอบนอนร่วมเตียงกับคนอื่นก็ลำบากพอตัว แต่การปล่อยให้เธอนอนหลับตา แล้วผวาร้องไห้คนเดียวเป็นเรื่องที่ทนไม่ได้ ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง เครื่องบินส่วนตัวจอดรอที่ท่าอากาศยานตั้งแต่เวลาสองทุ่ม แต่กำหนดการเดินทางคือตีสี่ตรง "ยังง่วงอยู่ไหม" มาร์ตินถามคนตัวเล็กหลังจากเครื่องเทคออฟได้ระยะหนึ่ง "ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนข้างใน" ข้างในที่หมายถึง คือส่วนที่ถูกแยกไว้สำหรับทำป็นห้องนอน แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าวีนัสจะนอนได้หรือเปล่า "หนูไม่อยากนอนค่ะ ปวดหัว" เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ เพราะเป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกของเธอ ความกดอากาศบนเครื่องทำให้เธอปวดหัวในที่สุด "คีย์ เอายาแก้ปวดมา" ยาแก้ปวดถูกป้อนเข้าปากเล็ก ตามด้วยยื่นขวดน้ำดื่มให้ยกดื่มเอง มาเฟียหนุ่มอุ้มเด็กสาวย้ายที่นั่งมานั่งริมหน้าต่างอีกด้าน ให้เธอนั่งตักเอียงหน้าซบแผ่นอกแล้วมองออกไปด้านนอก มองทิวทัศน์จากบนเครื่อง เ