คล้อยหลังเจคอป นาเดียก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงทรงตัว ร่างกายสั่นเทิ้มจนไม่อาจควบคุมได้ เธอทั้งหวาดกลัว ทั้งเสียใจ เธอไม่ได้อยากท้าทายเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ทำแบบนั้น หญิงสาวทรุดตัวลงกับพื้น ร่ำไห้ออกมาเหมือนน้ำตาจะเป็นสายเลือดให้ได้
เจมส์มาร์ทำได้แค่นั่งมองร่างกายที่สั่นเทาระบายความเสียใจออกมาให้หมดสิ้น เขาไม่รู้สาเหตุของความร้าวฉานในครั้งนี้ เขาไม่รู้ว่านาเดียคิดยังไงกับพี่ชายเขา แต่ที่เขารู้แน่ชัดก็คือเจคอปต้องรักผู้หญิงคนนี้มาก หากเป็นคนอื่น เธอคงตายคามือเขาไปนานแล้ว
เวลาผ่านไปเนิ่นนานพอสมควรกว่านาเดียจะหยุดร้องไห้ เจมส์พาหญิงสาวขึ้นมานั่งหลบสายตาผู้คนที่บริเวณดาดฟ้าของโรงพยาบาล
น้ำเย็นฉ่ำถูกยื่นให้กับคนตรงหน้า เมื่อได้ระบายความทุกข์ใจออกไปแล้ว นาเดียก็รู้สึกโล่งขึ้นมาก เธอรับน้ำจากเจมส์ขึ้นดื่มระงับอาการแห้งผากของลำคอ
“สบายใจขึ้นไหม” ชายหนุ่มนั่งลงข้างๆหญิงสาว
“...........”
นาเดียไม่ได้ตอบอะไร เธอเหม่อมองดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้า สีส้มแสบตาทำให้เธอต้องหลบตาลง ฉันเผลอทำอะไรลงไป
“พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเราทะเลาะอะไรกัน แต่ที่พี่รู้ คือพี่เจคเขารักเดียมากนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนจากคนข้างๆแสดงความจริงใจในทุกคำพูด มันทำให้นาเดียอดเงยหน้ามองเจมส์ไม่ได้
“จะว่าไงดีล่ะ พี่ชายพี่เขาไม่เคยมีความรักมาก่อน ไม่เคยมีแฟนมาก่อนด้วย บางทีเขาอาจจะไม่รู้วิธีแสดงความรักกับผู้หญิงก็ได้ แต่พี่ยืนยันได้นะ ว่าเขารักเดียมากจริงๆ” สิ่งที่อยู่ในใจของเจมส์มาร์มันตรงข้ามกับความเป็นจริงทุกอย่าง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยแสดงความรักกับเธอ เธอรู้ดีว่าเขารักเธอมากแค่ไหน เจคอปคนที่เธอเคยรู้จักกับคนที่เขาเป็นอยู่ในปัจจุบัน เขาทำเพื่อเธอมากแค่ไหนเธอรู้ดี เพียงแต่...
“หนูรู้ค่ะว่าเขารักหนู” น้ำเสียงกระท้อนกระแท่นบ่งบอกว่าน้ำตาของร่างบางกำลังจะไหลออกมาอีกครั้ง “แต่หนูไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่เขารักหรอกค่ะ” เสียงสะอื้นดังขึ้นอย่างไม่อาจเก็บกลั้น ร่างบางสั่นเทาอีกครั้งเมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเอ่ยออกมา “พี่เจคเขารักคุณมิน... รักมาตั้งแต่เด็ก ถึงตอนนี้ก็ยังรักอยู่” นาเดียระบายความคับแค้นในอกออกมาจนหมดสิ้น
แต่สิ่งที่เจมส์มาร์ได้ยิน กลับทำให้เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“อะไรนะ พี่เจคกับยัยมินเนี่ยนะ เดี๋ยวๆ ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนเนี่ย” เสียงหัวเราะของเจมส์ดังลั่นจนกลบเสียงสะอื้นของนาเดียจนหมดสิ้น จากความเสียใจเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสับสน
เจมส์ปาดน้ำตาที่เล็ดออกมาเพราะหลุดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หากเรื่องที่คนตัวเล็กกังวลอยู่คือเรื่องนี้ บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดที่งี่เง่าที่สุดเลยก็ว่าได้
“ไหนเล่าให้พี่ฟังสิ ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน” เจมส์ระงับอารมณ์ขันก่อนจะเอ่ยถามคนที่ยังมีสีหน้าสับสนกับเรื่องราวต่างๆ
นาเดียลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนความอยากรู้อยากเห็นจะชนะทุกความอับอาย เธอเล่าเรื่องที่เห็นกล่องใบนั้น ข้าวของต่างๆ รูปถ่ายและคำพูดจากปากวาววาให้เจมส์มาร์ฟังทุกอย่าง
สีหน้าของคนฟังไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจแต่อย่างใด เขาดูเหมือนจะยิ้มออกมาเสียด้วยซ้ำ “เดีย ฟังพี่นะ!” เจมส์จับไหล่บางให้ตั้งใจฟังทุกคำพูดของเขา “ข้อความที่เขียนอยู่ในรูปถ่ายใบนั้น พี่เจคไม่ได้เป็นคนเขียน…”
“......”
“ยัยมินต่างหาก ที่เป็นคนเขียน!!”
วิ้งงงงงงง นาเดียรู้สึกว่าตัวเองหูอื้อไปชั่วขณะ
“ยัยมินก็เขียนให้พี่เหมือนกัน พวกเราถ่ายรูปคู่วันรับปริญญากับพี่เจค ถ่ายรูปครอบครัว รูปทุกใบที่มียัยมินอยู่ในนั้น ยัยนั่นก็เขียนเอาไว้ทุกใบนั่นแหละ แล้วกล่องใบนั้นก็ไม่ได้มีแต่ของขวัญจากยัยมิน พวกพี่ก็เก็บของสำคัญของครอบครัวเอาไว้ในนั้นทั้งหมดนั่นแหละ มันคงเป็นธรรมเนียมของชาวต่างชาติอย่างพวกพี่มั้ง ที่จะต้องเก็บของสำคัญของครอบครัวเอาไว้ ยัยมินก็เหมือนคนในครอบครัว พวกเราสามคนเป็นพี่น้องกันนะ ไม่มีหรอก เรื่องรักๆใคร่ๆแบบนั้นน่ะ”
เหมือนโลกกำลังหมุนวนไปเรื่อยๆในขณะที่เธอนั่งนิ่งอยู่กับที่ เสียงของเจมส์มาร์ดังก้องเหมือนลูกบอลที่กระเด้งไปมา
“ตะ แต่ แต่หนูเคยถามพี่เจคนะ เขาบอกว่ารักแรกของเขาก็คือคุณมินตรา” ร่างบางยังมิวายเถียงออกมา
“เขาพูดแบบนั้นเหรอ พูดออกมาว่าเป็นรักแรกแน่เหรอ” คำถามของเจมส์มาร์ทำให้นาเดียต้องนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดของเขาในวันนั้น
‘พี่เจคเคยรักผู้หญิงคนไหนมาก่อนไหมคะ’
‘ก็เคยนะ เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ฉันเคยรัก’
เธอไม่ได้ถามถึงรักแรก แต่เธอถามถึงผู้หญิงที่เขามีความรู้สึกรักต่างหาก เธอนึกย้อนกลับไป คล้ายว่าเจคอปจะพูดอะไรบางอย่างต่อจากนั้น เพียงแต่ตอนนั้นเธอจมอยู่กับความผิดหวังจนไม่ได้ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด
‘มินตราเป็นผู้หญิงคนแรกที่ฉันรู้สึกรัก เพราะฉันเลี้ยงเธอมากับมือ’
มันเป็นรักแบบน้องสาวกับพี่ชาย เขารักมินตราจริง แต่มันไม่ใช่ความรักแบบเดียวกับที่เขาให้เธอ
“พี่เจมส์ หนู...”
ฉันเข้าใจผิดมาตลอด... ฉันสงสัยในความรักของเขามาตลอด
ฉันหวาดระแวงกับความรักที่เขามีให้กับคนในครอบครัว ฉันว่าร้ายคนในครอบครัวของเขา หาว่าหล่อนเป็นผู้หญิงสำส่อน ทั้งที่ระหว่างคุณมินตรากับพี่เจมส์เป็นแค่พี่น้องกัน
“หนู... หนูกลับก่อนนะคะ” ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้เธอไม่อาจทนอยู่เฉยได้
หนูขอโทษนะพี่เจค
หนูขอโทษที่หลงเชื่อคำพูดบ้าๆของนังวาววา
หนูขอโทษที่สงสัยในความรักของพี่
หนูขอโทษที่เอาแต่ใจตัวเอง
ให้โอกาสหนูอีกครั้งนะ
ให้โอกาสหนูได้ขอโทษพี่นะ...
ร่างบางกระหืดกระหอบวิ่งเข้าไปในคอนโด “พี่เจค!”
แต่ทว่าทุกอย่างกลับว่างเปล่า นาเดียเปิดประตูเข้าไปค้นหาทุกๆห้อง แต่ก็ไร้เงาของร่างสูง “หายไปไหนของเขานะ ฉันจะทำยังไงดี! หรือว่าเขาจะอยู่กับคุณมินตรา”
ไวเท่าใจคิด เท้าคู่น้อยรีบพาตัวเองกลับไปที่โรงพยาบาลทันที
ก๊อก ก๊อก ก๊อก นาเดียเคาะประตูเบาๆพอเป็นพิธี ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เคยรู้สึกเกลียดชังผู้หญิงในห้องจับใจ แต่บัดนี้กลับมีเพียงความรู้สึกผิด เธอรู้สึกผิดที่เคยว่าร้ายคนในครอบครัวของเขา
“เอ่อ มาหาใครคะหนู” ภายในห้องมีเพียงคุณยายแก่ๆนั่งเฝ้าร่างที่ยังคงนอนไม่ได้สติ
“พี่เจค.... เอ่อ คุณเจคอปได้แวะมาที่นี่บ้างไหมคะคุณยาย” นาเดียเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อไม่ให้เสียงดังปลุกคนที่ยังนอนหลับอยู่
“อ้อ คุณเจคเหรอคะ ตั้งแต่เมื่อเที่ยงก็ไม่เห็นแล้วนะ เห็นเธอรีบร้อนออกไปตอนยายเข้ามาพอดี” คำตอบจากคนแก่ทำให้นาเดียทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เธอรู้สึกหน้ามืดเต็มที เกิดอาการบ้านหมุนทั้งที่มันไม่เคยเกิดขึ้นกับร่างกายมาก่อน อาจเป็นเพราะเธอระเบิดอารมณ์ออกมามากจนร่างกายอ่อนล้าเกินไปก็ได้ เธอรู้สึกเวียนหัว แต่ก็อยากคุยกับพี่เจคให้เข้าใจโดยเร็วที่สุด
“แม่หนู ไม่สบายรึเปล่า” คนแก่เอื้อมมือมาสัมผัสหน้าผากคนตรงหน้า ก่อนคนแก่จะลังเลอะไรบางอย่าง คนสูงอายุเลื่อนมือลงมาจับชีพจรที่บริเวณข้อมือเล็ก ก่อนจะเชยคางมองใบหน้าหม่นหมอง แววตาคนแก่มองสำรวจอาการอ่อนล้าบนใบหน้า
“แม่หนู ยายว่าไปตรวจครรภ์ดูหน่อยดีกว่านะ อาการเหมือนคนมีครรภ์เลย” น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของคนแก่ทำให้ร่างบางตะลึงงันไปชั่วขณะ ท้อง... ฉันเนี่ยนะท้อง
มือเล็กเลื่อนไปลูบคลำบริเวณหน้าท้องโดยอัตโนมัติ
มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็เธอกินยาคุมรายเดือนที่เจคอปให้มาตลอดนี่นา... ฉันลืมกินยาคุมเกินหนึ่งเดือนแล้ว!!
ไม่มีการตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียกค่ะ...
นาเดียปล่อยโทรศัพท์ลงกระเป๋าด้วยความอ่อนล้า “แม่หนู ไหวไหมลูก” คุณยายแปลกหน้าช่วยประคองเธอลุกขึ้น นาเดียก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะออกจากห้อง เขาไม่รับสายเธอ ไม่กลับคอนโด ไม่อยู่ในห้องทำงาน และไม่อยู่ในห้องของคุณมินตรา
“น่าสงสารคุณมินตราจังเลยเน๊าะ ไม่รู้มีเรื่องกระทบจิตใจอะไรถึงขนาดเกิดอาการชักขึ้นมากระทันหัน โชคดีนะที่ตอนนั้น ผ.อ. อยู่ด้วย ไม่งั้นคุณมินตราต้องแย่แน่ๆ”
นาเดียรีบหันไปทางเคาน์เตอร์พยาบาล “หมายความว่ายังไงคะที่ว่าคุณมินตราชัก พี่ช่วยเล่าให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะ”
เสียงบรรเลงบทเพลง Classic จากวง orchestra ชื่อดังระดับโลกกำลังประสานเสียงจากเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดขับกล่อมออกมาในบทเพลง 'Four Season'บทเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะที่ฟังกี่ครั้งก็ยังคงตราตรึงหัวใจคนฟัง เหล่าบรรดาคนดังของประเทศอเมริกา ทั้งนายแบบนางแบบชื่อดัง ทั้งเหล่าคณะรัฐมนตรี รวมไปถึงบรรดาไฮโซทั้งหลาย ต่างพร้อมใจกันมารวมตัว ณ Hall ขนาดใหญ่ที่จุคนได้นับหมื่น และหนึ่งในบรรดาคนดังเหล่านั้น ก็รวมถึงศาสตราจารย์ดอกเตอร์นายแพทย์เจคอป บดินพิทักษ์ นายแพทย์ชื่อดังที่พึ่งได้รับการยกย่องจากองกรค์แพทยสภาของอเมริกาให้เป็นนายแพทย์ผู้มากความสามารถซึ่งเป็นแกนนำหลักสำคัญในการพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพราะในช่วง 15 ปีนับตั้งแต่ที่เขากลับมาดูแลกิจการต่อจากผู้เป็นบิดา เขาก็ค่อยๆขยายสาขาไปจนครอบคลุมทั่วทุกรัฐในอเมริกา ทำให้ชื่อเสียงของเขากลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในฉายา'อาชาแห่งวงการแพทย์'ทั้งๆที่ได้รับเกียรติจากท่านคณะรัฐมนตรีกลาโหมโดยตรงสำหรับตั๋วที่นั่งชั้นลอยระดับวีไอพี แต่แขกคนสำคัญคนดังกล่าวกลับไม่ได้นั่งอยู่ในที่ที่ถูกจัดไว้ให้หลังม่านพลิ้วไหวบนชั้นลอยระดับวีไอพี ปรากฏร่างของชายหญิง
ตอนพิเศษเล็กๆเจคอปผละออกจากร่างบาง “แต่งตัวสิ”เขาลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับเดินไปหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ที่ดูเป็นทางการออกมาจากตู้เสื้อผ้า“จะไปไหนเหรอคะ” นาเดียเอ่ยถามด้วยความสงสัย มองแผ่นหลังที่กำลังยัดแขนลงไปในเสื้อเชิ้ต“กลับบ้านเดียไง” เขาพูดโดยไม่ได้หันมามองหน้าคนตัวเล็ก จึงไม่เห็นว่าร่างบางมีสีหน้าอึ้งกับคำพูดของเขาแค่ไหน แต่เขาก็พอจะเดาได้ จึงหันกลับมาทั้งที่ยังติดกระดุมไม่เสร็จ “ไปขอลูกสาวจากท่านทั้งสองไง” รอยยิ้มร้ายปรากฏบนใบหน้าคนสูงวัยเขาไม่มีเวลามากพอจะจัดพิธีรีตองอะไรมากมาย เพราะอีกไม่นานก็ต้องกลับอเมริกาแล้ว เขาอดใจรอที่จะบอกข่าวดีให้กับพ่อแม่ที่รออยู่ทางโน้นแทบไม่ไหว อายุจนปูนนี้แล้ว พึ่งจะรู้สึกอยากเลี้ยงลูก“ตอนนี้พี่อายุ 37 คงต้องรีบมีน้องอีกคนไวไวแล้วล่ะ เดี๋ยวแก่เกินจะเดินตามลูกไม่ทัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าร่างสูง แต่คนตัวเล็กกลับมีสีหน้าแดงก่ำกับคำพูดชวนทะลึ่ง“บะ บ้าเหรอคะ” นาเดียยิ้มจนแก้มแทบปริ ก่อนร่างกายจะถูกโอบอุ้มจนตัวลอยขึ้นจากพื้น เจคอปถูไถใบหน้ากับหน้าท้องแบนราบ ก่อนจะประทับจูบอย่างแผ่วเบา “ขอให้เป็นลูกสาวทีเถอะ”เจคอปค่อยๆวางคนตัวเล็กลงบนพื้นอย่างท
ย้อนกลับไปเมื่อราวสองเดือนก่อนหน้านี้…เจคอปรับสายจากทางไกล เป็นหมายเลขที่โทรมาจากอเมริกา“ครับป๊า”“ป๊ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจค ตอนนี้โรงพยาบาลที่อเมริกากำลังเกิดปัญหาอย่างหนัก ป๊าอยากให้ตาเจมส์หรือเจค เราคนใดคนหนึ่งกลับมาดูแลกิจการที่นี่ แต่ใจป๊าอยากให้ตาเจมส์เป็นคนกลับมา เพราะที่นี่ไม่ได้มีสาขามากมายเหมือนที่ประเทศไทย เจ้าคนเสเพลอย่างตาเจมส์คงจะจัดการได้ไม่เหนือบ่ากว่าแรง” เรื่องสำคัญจากปากคนเป็นพ่อทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินอยู่ อดนึกถึงน้องชายไม่ได้ จริงอย่างที่พ่อเขาว่า ที่ประเทศไทยมีโรงพยาบาลที่อยู่ใต้อาณัติของครอบครัวเขาอยู่ทั่วเกือบทุกจังหวัด ทำให้ปัญหาและภาระงานที่ต้องรับผิดชอบมีมากมายกว่าที่โน้นมากโข แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า...“แล้วเรื่องงานหมั้นระหว่างหนูมินกับตาเจมส์ไปถึงไหนแล้ว ป๊าอยากให้หมั้นเช้าแล้วก็แต่งเย็นไปเลยทีเดียว ตอนตาเจมส์กลับมาจะได้พาหนูมินกลับมาด้วย ซินดี้เขาคิดถึงหนูมินน่าดู” ในที่สุดคำถามที่ผมกลัวคนเป็นพ่อจะถามก็หลุดออกมาจนได้ ทั้งๆที่งานหมั้นระหว่างตาเจมส์กับยัยมินควรจะเสร็จลุล่วงเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แต่เพราะปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ยังคา
“อ๊ะ พะ... พี่เจค” ไม่ทันที่ร่างบางจะทันได้เอ่ยความใน ปากหนาก็ชิงประกบจาบจ้วงเอาทุกคำที่คิดว่าร่างบางจะเอ่ยคำปฏิเสธออกมา นาเดียเบิกตามองเขาด้วยความตื่นตะลึง เขาหมายความว่าอะไร เขารู้แล้วเหรอว่าเธอท้อง แต่เขาจะรู้ได้ยังไง“อื้มมม อ่ะ...พะ... อื้มมม” ครั้นจะส่งเสียงอะไรก็ตามที่คิดอยากจะพูด เจคอปจะคอยส่งลิ้นเข้าหาเพื่อห้ามปรามเธอเสียทุกครั้งไป จนร่างบางหมดความพยายามที่จะเอ่ยถามข้อสงสัย ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขสมที่เขาปรนเปรอให้ มือเล็กที่เคยดันอยู่ตรงแผงอกเปลี่ยนไปโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ ท่าทางเหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธเรื่องลูกของเขาทำให้นาเดียเกิดความหวังเล็กๆขึ้นในใจเจคอปหลับตาแน่นก่อนจะคำรามออกมาเบาๆเมื่อได้ปลดปล่อยน้ำเชื้อพันธุ์ดีเข้าสู่ร่างกายคนตัวเล็กสมดังตั้งใจ เขาแช่ร่างกายค้างไว้ในตัวเธอ หวังให้ลูกๆนับพันล้านตัววิ่งเข้าไปหาไข่ใบเล็กๆเพียงใบเดียวที่อยู่ในร่างกาย เขาตั้งใจจะผูกมัดเธอด้วยวิธีที่เห็นแก่ตัว โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาได้ทำสำเร็จไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ตั้งใจแล้ว“ถ้ามีเจคอปน้อยอยู่ในท้องเธอ เธอก็จะหนีพี่ไปไหนไม่ได้อีก” เขากระซิบความในใจแสนชั่วร้ายข้างใบหูคนตัวเล็ก และนั่นทำให้เธ
เปลือกตาปิดสนิทค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นแววตาที่สะท้อนแต่เพียงความเจ็บปวด เขายังไม่ได้หลับ เขาแค่รอดูว่ายัยตัวเล็กกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่เขารู้ตัวตั้งแต่ตอนที่เปิดตู้เสื้อผ้าแล้ว มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเสื้อผ้าของนาเดียหายไป เขาเหลือบมองไปยังโต๊ะก็พบว่าข้าวของต่างๆของเธอหายไปด้วย เธอกำลังคิดจะไปจากเขาบางทีการที่ต้องทนอยู่กับผู้ชายอารมณ์ร้อนอย่างเขามันคงทำให้เธอมีแต่ความทุกข์ บางทีสิ่งที่เขาพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอดมันคงยังไม่ดีพอสำหรับเธอ บางทีความรักของเขามันคงไม่มีค่าพอจะเหนี่ยวรั้งเธอไว้บางที... เขาคงต้องปล่อยเธอไปเสียทีหัวใจดวงน้อยบีบรัดรุนแรงจนเกิดอาการเจ็บปวดรวดร้าว ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาพร่าเบลอเพราะเจ้าของดวงตามองมันผ่านม่านน้ำตาท้วมท้น นาเดียกวาดตามองไปรอบๆ คอนโดขนาดใหญ่ที่สร้างความทรงจำให้กับเธอมากมายทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตา...หญิงสาวค่อยๆปิดเปลือกตาลง คล้ายจะเป็นการตัดใจจากผู้ชายอีกคนที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง มือเล็กเอื้อมไปจับลูกบิดประตูก่อนจะคาทิ้งไว้อย่างนั้นประตูบานเดียวกันนี้ที่เธอเคยเปิดมันออกเพื่อพาตัวเองออกไปจากห้องที่ไม่เคยอยากจะทนอยู่แม้
กิจวัตรยามเช้าระหว่างนาเดียกับเจคอปยังคงดำเนินไปตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแค่ไม่มีการสนทนาระหว่างทั้งคู่ไม่มีการเดินจับมือลงมาจากคอนโดไม่มีการจูบลาก่อนจะแยกกันไปทำงานไม่มีการส่งข้อความหาตลอดทั้งวันและไม่มีเธอหลงเหลืออยู่ในสายตาของเขาอีกแล้วก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานของเจคอปดังขึ้น “เข้ามา”คำอนุญาตจากเจ้าของห้องทำให้คนที่อยู่ด้านนอกเปิดประตูเข้าไปด้านใน เจมส์มาร์มองพี่ชายของตัวเองกำลังง่วนอยู่กับเอกสารกองโต เจคอปยังอยู่ในสภาพเดิมเหมือนที่เขาแวะมาเมื่อตอนเช้าก่อนเข้าผ่าตัดไม่มีผิด และสภาพของผู้หญิงอีกคนที่เขาเห็นเมื่อสักครู่ ใบหน้าหมองเศร้าไม่ต่างกันเลย นี่คงจะยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันอีกสินะ“มีธุระอะไร” น้ำเสียงเย็นชาแบบที่อีกฝ่ายมักจะใช้เวลามีเรื่องทุกข์ใจหรืออยากซ่อนความรู้สึก มีหรือที่คนเป็นน้องอย่างเขาจะดูไม่ออก“เมื่อวานพี่คุยกับนาเดียรึยังครับ” เจมส์มาร์เอ่ยถามโดยไม่เกรงใจ เขานั่งลงโดยไม่รอให้คนตรงหน้าอนุญาต อยู่กับเจคอปมาร่วม 30 ปี พึ่งจะเคยเห็นพี่ชายมีความรัก แล้วน้องชายอย่างเขาจะยอมให้มันพังทลายลงเพียงเพราะความเย็นชาของคนตรงหน้าได้อย่างไร“ไม่มีอะไรต