‘ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียกค่ะ’
นาเดียผลักโทรศัพท์ออกก่อนจะฟลุบหน้าลงกับเตียง เบ้าตาบวมช้ำจากการผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก หญิงสาวนั่งพิงขอบเตียงด้วยความอ่อนแรง มือหนึ่งกำโทรศัพท์ อีกมือกำแท่งพลาสติกสีขาวที่มีช่องแสดงผลตรวจอยู่ตรงกลาง มันปรากฏ 2 ขีด
‘ยาคุมไง กินซะ ฉันไม่อยากมานั่งรับผิดชอบเรื่องผิดพลาดทีหลัง แล้วก็อย่าคิดว่าจะจับฉันด้วยวิธีนี้’
คำกล่าวแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนของเจคอปยังคงดังก้อง เธอกำลังพยายามทำใจยอมรับกับความจริงอันแสนโหดร้าย
ความจริงที่ว่า... เขาอาจไม่ได้ต้องการเด็กคนนี้ และบางทีเขาอาจจะไม่ต้องการตัวเธออีกด้วย ผู้หญิงอย่างเธอมันน่ารังเกียจเกินไป ยิ่งได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคุณมินตรา เธอก็ยิ่งนึกขยะแขยงตัวเอง
“ฮึก! เกิดมาทำไม หนูเกิดมาตอนนี้ทำไม! พ่อเขาอาจจะไม่ต้องการเราสองคนแล้วก็ได้ เกิดมาทำไม...”
นาเดียพูดกับตัวเองอย่างอดสู มือเล็กระดมชกเข้าใส่ท้องตัวเองไม่ยั้ง อดสงสารเด็กตาดำๆที่อยู่ในท้องไม่ได้
เธอพึ่งเรียนจบทำงานได้ไม่ถึงครึ่งปี แฟนเป็นตัวเป็นตนก็ไม่เคยพากลับไปแนะนำให้พ่อกับแม่ที่บ้านนอกรู้จัก ทั้งๆที่เธอเป็นกำลังสำคัญเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำงานหาเลี้ยงครอบครัว แต่เธอกลับท้อง!
และคนที่เป็นพ่อของเขา อาจจะไม่ต้องการให้เขาเกิดมาด้วยซ้ำ!
“ฮึกกก พี่เจค กลับมาเถอะนะ หนูไม่อยากทนอยู่คนเดียวแบบนี้อีกแล้ว หนูไม่ไหวแล้ว” ร่างบางค่อยๆล้มตัวลงนอนกอดหมอนใบที่ร่างสูงเคยหนุน กลิ่นกายอ่อนๆยังติดตรึงพอให้หัวใจรู้สึกอบอุ่น แม้ในความเป็นจริงมันจะกำลังอ้างว้างและเหน็บหนาวเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาสำคัญนี้เพียงลำพัง
เสียงเปิดประตูห้องนอนทำให้นาเดียกระเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในห้องมีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟส่องแสงพอให้เห็นแค่เค้าลางๆ
“พี่เจค!! หายไปไหนมาคะ ทำไมหนูโทรหาไม่ติด ปิดเครื่องทำไม หายไปไหนมา” นาเดียรีบวิ่งเข้าไปกอดรัดร่างสูงที่เฝ้ารอมาตั้งแต่เย็นจวบจนป่านนี้
ตี 2... เขาพึ่งกลับเข้ามาในห้อง กลับมาในสภาพเมาเละเทะ!
“อื้มมม หอมจัง ที่รักจ๋าาาา” ร่างกายของเจคอปคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าจนเธอต้องย่นจมูก เจคอปทิ้งน้ำหนักลงบนตัวนาเดีย กอดรัดร่างบางเอาไว้แน่นพลางคลอเคลียใบหน้าเข้ากับซอกคอ
“ทำไมเมาขนาดนี้คะพี่เจค ดื่มอะไรมาขนาดนี้คะเนี่ย” ทั้งสองเดินโซซัดโซเซมาจนถึงเตียงนอน ร่างสูงดันร่างบางจนล้มลงไปนอนบนเตียงก่อนตัวเองจะล้มทับวางหัวแหมะอยู่บนหน้าอกนุ่มนิ่มของเธอ
เจคอปนอนหายใจสม่ำเสมอพลางกอดเอวบางเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เขานอนอยู่บนตัวเธอเหมือนกับเธอเป็นหมอนยังไงยังงั้น
ในความสลัว นาเดียนั่งพิงหัวเตียงยอมใช้ร่างของตัวเองแทนหมอนให้เขาหนุนนอน ดวงตาฉ่ำน้ำจ้องมองใบหน้าที่แดงก่ำ ไรผมเรียงตัวเงางามรับกับใบหน้าหล่อเหลา จมูกโด่งเป็นสันตามแบบฉบับคนอเมริกัน มือเล็กอดลูบเรือนผมของเขาไม่ได้ จะว่าไปเธอก็ไม่เคยมองหน้าเจคอปใกล้ๆ ไม่เคยมีโอกาสพิจารณาใบหน้าของเขาในระยะประชิดขนาดนี้มาก่อน
“นาเดีย… ทำไมเธอถึงใจร้ายกับพี่ขนาดนี้ เธอเคยรักพี่บ้างไหม ทำไมเธอถึงทำกับพี่แบบนี้”
เสียงละเมอของคนเมาดังเล็ดลอดออกมาพอให้ได้ยินกันสองคน ความรู้สึกผิดพลันกระจุกตัวแน่นเต็มอก เธอทำร้ายเขาอย่างร้ายกาจนับครั้งไม่ถ้วน
“หนูขอโทษนะพี่เจค หนูขอโทษ หนูรักพี่นะคะ ยกโทษให้หนูนะคะพี่เจค ยกโทษให้หนูได้ไหม” ร่างบางพร่ำเพ้อเหมือนคนบ้า ทั้งที่รู้ว่าเขาหลับไปแล้ว แต่ก็อดระบายความคับแน่นที่อยู่ในอกไม่ได้
แต่เหมือนเขาจะได้ยิน เจคอปค่อยๆเงยหน้าขึ้น ชันคางที่มีไรขนแข็งๆไว้กับหน้าอกเพื่อประคองศีรษะที่รู้สึกหนักอึ้ง สายตาหยาดเยิ้มซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ แต่เขาก็ซ่อนเอาไว้ไม่มิด มันคือสายตาของความเจ็บปวด
“ทำไมถึงไม่เคยเชื่อในความรักของพี่เลยเดีย ทำไมถึงเหยียบย่ำความรักของพี่มาตลอด พี่ทำอะไรผิด หือ? ตอบพี่สิ พี่ทำอะไรผิด”
เธอสะอึกกับคำถามที่ได้ยิน เธอย่อมรู้คำตอบอยู่แล้ว เพียงแค่ไม่รู้จะสื่อสารออกไปยังไง คล้ายจะแทนคำขอโทษ หยดน้ำใสไหลออกมาจากดวงตาบวมช้ำ ทั้งที่คิดว่าน้ำตาคงหมดไปจากตัวแล้ว แต่มันก็ยังไหลออกมาได้อีก
“พี่เจค” ร่างบางพึมพำออกมาแผ่วเบาคล้ายกลัวคนตรงหน้าจะได้ยิน “ถ้าเกิดหนูท้องขึ้นมา พี่จะยังต้องการหนูไหมคะ พี่จะคิดว่ามันเป็นเรื่องผิดพลาดไหมคะ” ทั้งๆที่รู้ว่าคนตรงหน้าไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะรับฟังหรือตอบคำถามใดใดทั้งสิ้น แต่ก็เพราะรู้อย่างนั้น เธอจึงกล้าที่จะเอ่ยออกไป
“ไม่มีอะไรผิดพลาด...” ดวงตาของเขาล่องลอย “ทุกอย่างที่พี่ทำกับเดีย...พี่ตั้งใจ”
“....”
เขาหลับไปในทันที แม้จะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีสติ แต่นาเดียก็ยังอดดีใจกับคำตอบที่ได้ยินไม่ได้ ร่างบางพยายามกลั้นเสียงสะอื้น เธอนั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืน มือลูบไรผมอ่อนนุ่มของเขา กล่อมให้คนรักนอนหลับ หวังให้เขามีความสุขแม้จะแค่ในฝันก็ยังดี
เช้าวันต่อมา… เจคอปถูกปลุกด้วยเสียงดังขลุกขลักจากภายนอก เขาประคองศีรษะหนักอึ้งขึ้นจากเตียง สายตากวาดมองไปรอบๆ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพาตัวเองกลับมาถึงคอนโดได้อย่างไร
นาเดีย… เมื่อสติห้วนกลับคืน สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือสายตาแข็งกร้าวคู่นั้น หัวใจพลันเจ็บปวดจนไม่อาจระงับ ชายหนุ่มเดินตามเสียงที่ได้ยิน แล้วเขาก็เห็นนาเดียกำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรบางอย่างหน้าเตา
“ว๊ายยยยย”
เสียงหวีดร้องเบาๆพร้อมกับรีบสอดนิ้วเข้าไปในปาก อีกมือยังง่วนอยู่กับการจับหูกระทะ เจคอปนิ่งมองแผ่นหลังของเธอ คิดทบทวนเรื่องบางอย่าง เรื่องบางอย่างที่สำคัญ
“อ๊ะ! ตื่นแล้วเหรอคะพี่เจค หนูทำอาหารเช้าเสร็จพอดีเลย มานั่งก่อนค่ะๆ” ใบหน้าซูบซีดพยายามฝืนยิ้มกลบเกลื่อน นาเดียดันแผ่นหลังของเจคอปให้เดินไปยังโต๊ะอาหาร จัดแจงดึงเก้าอี้ออกมาให้
“นั่งก่อนค่ะๆ เดี๋ยวหนูไปตักอาหารมาให้นะ”
“....” เจคอปมองตามแผ่นหลังพลิ้วไหวกุลีกุจอจัดแจงอาหารลงในจาน เขาเฝ้ามองทุกการกระทำของเธออย่างเงียบเชียบ
มื้ออาหารผ่านไปด้วยความเงียบสงบ ไร้การสนทนาใดใดระหว่างคนทั้งสอง มีเพียงเสียงช้อนส้อมกระทบกันดังมาเป็นระยะเท่านั้น
นาเดียลอบมองจนกระทั่งเห็นคนตรงหน้าตักไข่ดาวชิ้นสุดท้ายเข้าปาก ความเงียบงันระหว่างเธอกับเขาทำให้หญิงสาวจุกแน่นหน้าอก
“เอ่อ อร่อยไหมคะ” นาเดียเค้นเสียง เป็นการสนทนาแรกที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขา
“อืม… ก็ดี” เจคอปยกน้ำขึ้นดื่มก่อนจะลุกออกไป ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่หันมามองหน้าเธอแม้แต่ครั้งเดียว
นาเดียยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งได้ยินเสียงน้ำกระทบกับพื้นกระเบื้องดังมาจากด้านในห้องนอน เธอรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ อีกมือกำแท่งตรวจการตั้งครรภ์ไว้แน่น
เจคอปเย็นชากับเธออย่างเห็นได้ชัด เขาไม่คิดจะให้อภัยเธอ เขาไม่ต้องการเธออีกแล้ว…
เสียงบรรเลงบทเพลง Classic จากวง orchestra ชื่อดังระดับโลกกำลังประสานเสียงจากเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดขับกล่อมออกมาในบทเพลง 'Four Season'บทเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะที่ฟังกี่ครั้งก็ยังคงตราตรึงหัวใจคนฟัง เหล่าบรรดาคนดังของประเทศอเมริกา ทั้งนายแบบนางแบบชื่อดัง ทั้งเหล่าคณะรัฐมนตรี รวมไปถึงบรรดาไฮโซทั้งหลาย ต่างพร้อมใจกันมารวมตัว ณ Hall ขนาดใหญ่ที่จุคนได้นับหมื่น และหนึ่งในบรรดาคนดังเหล่านั้น ก็รวมถึงศาสตราจารย์ดอกเตอร์นายแพทย์เจคอป บดินพิทักษ์ นายแพทย์ชื่อดังที่พึ่งได้รับการยกย่องจากองกรค์แพทยสภาของอเมริกาให้เป็นนายแพทย์ผู้มากความสามารถซึ่งเป็นแกนนำหลักสำคัญในการพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพราะในช่วง 15 ปีนับตั้งแต่ที่เขากลับมาดูแลกิจการต่อจากผู้เป็นบิดา เขาก็ค่อยๆขยายสาขาไปจนครอบคลุมทั่วทุกรัฐในอเมริกา ทำให้ชื่อเสียงของเขากลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในฉายา'อาชาแห่งวงการแพทย์'ทั้งๆที่ได้รับเกียรติจากท่านคณะรัฐมนตรีกลาโหมโดยตรงสำหรับตั๋วที่นั่งชั้นลอยระดับวีไอพี แต่แขกคนสำคัญคนดังกล่าวกลับไม่ได้นั่งอยู่ในที่ที่ถูกจัดไว้ให้หลังม่านพลิ้วไหวบนชั้นลอยระดับวีไอพี ปรากฏร่างของชายหญิง
ตอนพิเศษเล็กๆเจคอปผละออกจากร่างบาง “แต่งตัวสิ”เขาลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับเดินไปหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ที่ดูเป็นทางการออกมาจากตู้เสื้อผ้า“จะไปไหนเหรอคะ” นาเดียเอ่ยถามด้วยความสงสัย มองแผ่นหลังที่กำลังยัดแขนลงไปในเสื้อเชิ้ต“กลับบ้านเดียไง” เขาพูดโดยไม่ได้หันมามองหน้าคนตัวเล็ก จึงไม่เห็นว่าร่างบางมีสีหน้าอึ้งกับคำพูดของเขาแค่ไหน แต่เขาก็พอจะเดาได้ จึงหันกลับมาทั้งที่ยังติดกระดุมไม่เสร็จ “ไปขอลูกสาวจากท่านทั้งสองไง” รอยยิ้มร้ายปรากฏบนใบหน้าคนสูงวัยเขาไม่มีเวลามากพอจะจัดพิธีรีตองอะไรมากมาย เพราะอีกไม่นานก็ต้องกลับอเมริกาแล้ว เขาอดใจรอที่จะบอกข่าวดีให้กับพ่อแม่ที่รออยู่ทางโน้นแทบไม่ไหว อายุจนปูนนี้แล้ว พึ่งจะรู้สึกอยากเลี้ยงลูก“ตอนนี้พี่อายุ 37 คงต้องรีบมีน้องอีกคนไวไวแล้วล่ะ เดี๋ยวแก่เกินจะเดินตามลูกไม่ทัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าร่างสูง แต่คนตัวเล็กกลับมีสีหน้าแดงก่ำกับคำพูดชวนทะลึ่ง“บะ บ้าเหรอคะ” นาเดียยิ้มจนแก้มแทบปริ ก่อนร่างกายจะถูกโอบอุ้มจนตัวลอยขึ้นจากพื้น เจคอปถูไถใบหน้ากับหน้าท้องแบนราบ ก่อนจะประทับจูบอย่างแผ่วเบา “ขอให้เป็นลูกสาวทีเถอะ”เจคอปค่อยๆวางคนตัวเล็กลงบนพื้นอย่างท
ย้อนกลับไปเมื่อราวสองเดือนก่อนหน้านี้…เจคอปรับสายจากทางไกล เป็นหมายเลขที่โทรมาจากอเมริกา“ครับป๊า”“ป๊ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจค ตอนนี้โรงพยาบาลที่อเมริกากำลังเกิดปัญหาอย่างหนัก ป๊าอยากให้ตาเจมส์หรือเจค เราคนใดคนหนึ่งกลับมาดูแลกิจการที่นี่ แต่ใจป๊าอยากให้ตาเจมส์เป็นคนกลับมา เพราะที่นี่ไม่ได้มีสาขามากมายเหมือนที่ประเทศไทย เจ้าคนเสเพลอย่างตาเจมส์คงจะจัดการได้ไม่เหนือบ่ากว่าแรง” เรื่องสำคัญจากปากคนเป็นพ่อทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินอยู่ อดนึกถึงน้องชายไม่ได้ จริงอย่างที่พ่อเขาว่า ที่ประเทศไทยมีโรงพยาบาลที่อยู่ใต้อาณัติของครอบครัวเขาอยู่ทั่วเกือบทุกจังหวัด ทำให้ปัญหาและภาระงานที่ต้องรับผิดชอบมีมากมายกว่าที่โน้นมากโข แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า...“แล้วเรื่องงานหมั้นระหว่างหนูมินกับตาเจมส์ไปถึงไหนแล้ว ป๊าอยากให้หมั้นเช้าแล้วก็แต่งเย็นไปเลยทีเดียว ตอนตาเจมส์กลับมาจะได้พาหนูมินกลับมาด้วย ซินดี้เขาคิดถึงหนูมินน่าดู” ในที่สุดคำถามที่ผมกลัวคนเป็นพ่อจะถามก็หลุดออกมาจนได้ ทั้งๆที่งานหมั้นระหว่างตาเจมส์กับยัยมินควรจะเสร็จลุล่วงเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แต่เพราะปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ยังคา
“อ๊ะ พะ... พี่เจค” ไม่ทันที่ร่างบางจะทันได้เอ่ยความใน ปากหนาก็ชิงประกบจาบจ้วงเอาทุกคำที่คิดว่าร่างบางจะเอ่ยคำปฏิเสธออกมา นาเดียเบิกตามองเขาด้วยความตื่นตะลึง เขาหมายความว่าอะไร เขารู้แล้วเหรอว่าเธอท้อง แต่เขาจะรู้ได้ยังไง“อื้มมม อ่ะ...พะ... อื้มมม” ครั้นจะส่งเสียงอะไรก็ตามที่คิดอยากจะพูด เจคอปจะคอยส่งลิ้นเข้าหาเพื่อห้ามปรามเธอเสียทุกครั้งไป จนร่างบางหมดความพยายามที่จะเอ่ยถามข้อสงสัย ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขสมที่เขาปรนเปรอให้ มือเล็กที่เคยดันอยู่ตรงแผงอกเปลี่ยนไปโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ ท่าทางเหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธเรื่องลูกของเขาทำให้นาเดียเกิดความหวังเล็กๆขึ้นในใจเจคอปหลับตาแน่นก่อนจะคำรามออกมาเบาๆเมื่อได้ปลดปล่อยน้ำเชื้อพันธุ์ดีเข้าสู่ร่างกายคนตัวเล็กสมดังตั้งใจ เขาแช่ร่างกายค้างไว้ในตัวเธอ หวังให้ลูกๆนับพันล้านตัววิ่งเข้าไปหาไข่ใบเล็กๆเพียงใบเดียวที่อยู่ในร่างกาย เขาตั้งใจจะผูกมัดเธอด้วยวิธีที่เห็นแก่ตัว โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาได้ทำสำเร็จไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ตั้งใจแล้ว“ถ้ามีเจคอปน้อยอยู่ในท้องเธอ เธอก็จะหนีพี่ไปไหนไม่ได้อีก” เขากระซิบความในใจแสนชั่วร้ายข้างใบหูคนตัวเล็ก และนั่นทำให้เธ
เปลือกตาปิดสนิทค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นแววตาที่สะท้อนแต่เพียงความเจ็บปวด เขายังไม่ได้หลับ เขาแค่รอดูว่ายัยตัวเล็กกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่เขารู้ตัวตั้งแต่ตอนที่เปิดตู้เสื้อผ้าแล้ว มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเสื้อผ้าของนาเดียหายไป เขาเหลือบมองไปยังโต๊ะก็พบว่าข้าวของต่างๆของเธอหายไปด้วย เธอกำลังคิดจะไปจากเขาบางทีการที่ต้องทนอยู่กับผู้ชายอารมณ์ร้อนอย่างเขามันคงทำให้เธอมีแต่ความทุกข์ บางทีสิ่งที่เขาพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอดมันคงยังไม่ดีพอสำหรับเธอ บางทีความรักของเขามันคงไม่มีค่าพอจะเหนี่ยวรั้งเธอไว้บางที... เขาคงต้องปล่อยเธอไปเสียทีหัวใจดวงน้อยบีบรัดรุนแรงจนเกิดอาการเจ็บปวดรวดร้าว ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาพร่าเบลอเพราะเจ้าของดวงตามองมันผ่านม่านน้ำตาท้วมท้น นาเดียกวาดตามองไปรอบๆ คอนโดขนาดใหญ่ที่สร้างความทรงจำให้กับเธอมากมายทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตา...หญิงสาวค่อยๆปิดเปลือกตาลง คล้ายจะเป็นการตัดใจจากผู้ชายอีกคนที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง มือเล็กเอื้อมไปจับลูกบิดประตูก่อนจะคาทิ้งไว้อย่างนั้นประตูบานเดียวกันนี้ที่เธอเคยเปิดมันออกเพื่อพาตัวเองออกไปจากห้องที่ไม่เคยอยากจะทนอยู่แม้
กิจวัตรยามเช้าระหว่างนาเดียกับเจคอปยังคงดำเนินไปตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแค่ไม่มีการสนทนาระหว่างทั้งคู่ไม่มีการเดินจับมือลงมาจากคอนโดไม่มีการจูบลาก่อนจะแยกกันไปทำงานไม่มีการส่งข้อความหาตลอดทั้งวันและไม่มีเธอหลงเหลืออยู่ในสายตาของเขาอีกแล้วก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานของเจคอปดังขึ้น “เข้ามา”คำอนุญาตจากเจ้าของห้องทำให้คนที่อยู่ด้านนอกเปิดประตูเข้าไปด้านใน เจมส์มาร์มองพี่ชายของตัวเองกำลังง่วนอยู่กับเอกสารกองโต เจคอปยังอยู่ในสภาพเดิมเหมือนที่เขาแวะมาเมื่อตอนเช้าก่อนเข้าผ่าตัดไม่มีผิด และสภาพของผู้หญิงอีกคนที่เขาเห็นเมื่อสักครู่ ใบหน้าหมองเศร้าไม่ต่างกันเลย นี่คงจะยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันอีกสินะ“มีธุระอะไร” น้ำเสียงเย็นชาแบบที่อีกฝ่ายมักจะใช้เวลามีเรื่องทุกข์ใจหรืออยากซ่อนความรู้สึก มีหรือที่คนเป็นน้องอย่างเขาจะดูไม่ออก“เมื่อวานพี่คุยกับนาเดียรึยังครับ” เจมส์มาร์เอ่ยถามโดยไม่เกรงใจ เขานั่งลงโดยไม่รอให้คนตรงหน้าอนุญาต อยู่กับเจคอปมาร่วม 30 ปี พึ่งจะเคยเห็นพี่ชายมีความรัก แล้วน้องชายอย่างเขาจะยอมให้มันพังทลายลงเพียงเพราะความเย็นชาของคนตรงหน้าได้อย่างไร“ไม่มีอะไรต