Share

บทที่12

Author: ชุนกวงห่าว
“สืออวี๋ คำบางคำพูดเยอะไป แม้แต่ตัวเองยังหลงเชื่อเลย”

คำว่าหนึ่งเดือน ก็เป็นแค่ข้ออ้างที่เธอหามาเพื่อช่วยให้ตัวเองออกจากสถานการณ์น่าอับอายเท่านั้นเอง ถ้าเขาเชื่อ ก็แปลว่าเขาโง่

เห็นว่าเขาไม่เชื่อสักที สืออวี๋ก็ไม่คิดจะอธิบายอีก

เพราะอย่างไรเขาก็ไม่มีทางตัดขัดกับเสินหลี เธอแค่ต้องทนผ่านเวลาที่เหลือ และชดใช้บุญคุณช่วยชีวิตของเซี่ยงชินเฟินเสร็จ ก็สามารถจากไปได้

ไม่นาน เสินหลีก็รู้เรื่องระยะเวลาหนึ่งเดือนของสืออวี๋กับเหลียงหยวนโจว

แต่เหลียงหยวนโจวเล่าเรื่องนี้ให้เสินหลีฟังขณะที่อุ้มเธออยู่ในอ้อมแขน เล่าเหมือนเล่าเรื่องตลกให้เธอฟัง

เสินหลีนั่งอยู่บนตักของเหลียงหยวนโจว ทำปากจู๋แล้วถาม “ประธานเหลียง ที่คุณหนูสือพูดมันจริงหรือเปล่าคะ?”

น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง ถ้าสืออวี๋อยากจากไปเองจริงๆ เธอก็จะกลายเป็นแฟนของเหลียงหยวนโจวอย่างสมเหตุสมผลแล้วไม่ใช่หรือ?

แม้ว่าเธอจะบอกกับเหลียงหยวนโจวว่า ขอแค่ได้อยู่กับเขา ต่อให้ไม่มีสถานะก็ไม่เป็นไร แต่ผู้หญิงคนไหนจะอยากเป็นรักซ้อนของผู้ชายที่ตัวเองรักไปตลอดชีวิตล่ะ?

“เป็นไปไม่ได้ ผมรู้จักเธอดี หลังรู้ว่าผมกับคุณอยู่ด้วยกันสามปีแล้วก็ยังไม่ยอมเลิกกัน และยังใช้แม่ผมมาบังคับให้ผมแต่งงานกับเธออีก จะจากไปได้ยังไง?”

มองดูท่าทางที่พูดเองเอ่ยเองของเหลียงหยวนโจว เสินหลีก็รู้สึกว่าเขายังไม่เข้าใจผู้หญิง

เธอเคยมีปฏิสัมพันธ์กับสืออวี๋มาหลายครั้ง และคิดว่าตัวเองพอจะเข้าใจสืออวี๋ดี

สืออวี๋ภายนอกดูอ่อนโยน แต่ลึกๆ ก็เป็นคนที่ทะนงตน

สามปีที่ผ่านมานี้ไม่ยอมเลิก ก็เพราะรักเหลียงหยวนโจวมากเกินไป

ตอนนี้ทั้งสองใกล้จะแต่งงานแล้ว สืออวี๋กลับบอกเลิกในตอนนี้ คิดเป็นเพราะผิดหวังในตัวเหลียงหยวนโจวมากแล้วจริง

เหลียงหยวนโจวยังไม่รู้ แต่เธอเข้าใจดีว่า สำหรับเธอแล้วนี่คือโอกาสหนึ่ง

โอกาสที่จะกำจัดสืออวี๋ออกจากชีวิตสืออวี๋โดยสิ้นเชิง และขึ้นแทนเธอ!

เธอต้องหาวิธีทำให้สืออวี๋ตายใจจากเหลียงหยวนโจวโดยสิ้นเชิงให้ได้!

……

ในสัปดาห์ถัดมา แม้เหลียงหยวนโจวยังคงกลับบ้านทุกวัน แต่จะโทรหาเสินหลีหรืออื่นๆต่างก็ทำต่อหน้าสืออวี๋โดยตรง ไม่ได้ปกปิดเหมือนก่อนหน้านี้

เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะให้เธอรู้ถึงอำนาจของเขาก่อนแต่งงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีทางตัดขัดกับเสินหลีเด็ดขาด

สืออวี๋ก็ไม่ได้สนใจ ทำเหมือนไม่ได้ยิน

แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

เธอสามารถตัดใจจากเหลียงหยวนโจวได้ แต่ยังไม่สามารถถอนความรักของตัวเองกลับมาได้ทันที

บางทีอาจยังต้องใช้เวลาอักสักพัก หัวใจถึงจะไม่เจ็บเพราะเขาอีก

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชุดแต่งงานที่สืออวี๋สั่งทำในร้านก็ส่งมาถึง

พนักงานส่งของนำชุดแต่งงานมาส่ง ให้สืออวี๋เซ็นชื่อรับของเสร็จแล้วจากไป

ชุดแต่งงานแขวนอยู่กลางห้องนั่งเล่น สวยสะดุดตาเหมือนตอนที่สืออวี๋ไปลองในร้านครั้งก่อนเลย แต่ตอนนี้เธอไม่ได้มีอารมณ์ตื่นเต้นหรือคาดหวังเหมือนตอนนั้นแล้ว

เธอยืนมองชุดแต่งงานสักพัก ชุดแต่งงานนี้ คงไม่มีโอกาสได้ใส่แล้ว

เอาชุดแต่งงานลงมา เตรียมจะพับแล้วใส่เข้าไปในถุง จู่ๆสืออวี๋ก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ

ชายกระโปรงด้านหลังชุดแต่งงาน มีคราบขาวปนเหลืองหลายจุด เพราะมันจางมัน ถ้าไม่สังเกตดีๆก็มองไม่เห็น

สืออวี๋ขมวดคิ้ว กำลังจะโทรหาร้านชุดแต่งงาน มือถือก็มีข้อความเข้ามา

【คุณหนูสือ ฉันคือเสินหลี ฉันเห็นสถานะพัสดุขึ้นว่าถึงมือแล้ว คุณคงได้รับชุดแต่งงานแล้วสินะ?】

ม่านตาของสืออวี๋หดตัว มือที่ถือชุดแต่งงานกำแน่น

ชุดแต่งงานของเธอเสินหลีเป็นคนส่งมางั้นเหรอ?

เธอโทรไปที่ร้านชุดแต่งงาน แต่กลับพึ่งรู้ว่าเหลียงหยวนโจวได้เอาชุดแต่งงานไปตั้งสามวันก่อนแล้ว

สามวันก่อนก็เอาไปแล้ว วันนี้เธอพึ่งได้รับ

ใจของเสินหลีค่อย ๆ ร่วงหล่นลงไป

มือถือดังขึ้น เป็นเบอร์ที่ส่งข้อความมาเมื่อกี้

เธอสไลด์รับสาย พูดด้วยน้ำเสียงที่เฉยชา “เสินหลี คุณทำอะไรกับชุดแต่งงานฉัน?”

เสินหลีหัวเราะเบา ๆ และพูดอย่างใจเย็นว่า “คุณไม่ควรถามว่าฉันทำอะไรไป แต่ควรถามว่าฉันกับประธานเหลียงทำอะไรไป ทำที่ไหน?”

“ฉันใส่ชุดของคุณ ทำกับเขาที่เตียงใหญ่ในห้องแต่งงานของคุณหลายครั้งเลย ทุกครั้งเขาก็ตื่นเต้นมาก ฉันก็เช่นกัน เพราะมันเร้าใจเกินไป”

“ช่วงนี้ตอนคุณไปทำงาน ฉันไปเจอกับเขาที่ห้องแต่งงานของคุณ”

“ห้องอาหาร ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่นของห้องแต่งงานนั้น……ทุกที่ล้วนทิ้งร่องรอยของพวกเราเอาไว้ แต่ฉันชอบที่สุดก็คือเตียงใหญ่ในห้องนอน……”

น้ำเสียงเสินหลีเต็มไปด้วยความได้ใจ ทุกคำพูดเต็มไปด้วยเจตนาร้าย

สืออวี๋คิดว่าได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว ตัวเองจะโกรธ คลั่งไคล้ หรือเสียใจ

แต่อะไรก็ไม่รู้สึก

เธอในตอนนี้สงบมาก

ราวกับคลื่นสึนามิพัดผ่านหัวใจ ทิ้งไว้เป็นซากปรักหักพังที่พังทลายและเงียบสงัด

แต่ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง กลับไม่รู้สึกอะไรเลย

“คุณโทรมา ก็เพื่อที่จะพูดเรื่องที่น่าขยะแขยงนี้ของพวกคุณหรือไง?”

น้ำเสียงเธอเย็นชา ราวกับว่ากำลังพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเธอเลย

“แน่นอนว่าไม่ใช่ ฉันแค่อยากบอกคุณว่า ประธานเหลียงเบื่อคุณนานแล้ว อย่าว่าแต่หนึ่งเดือนเลย ต่อให้เป็นหนึ่งปี สิบปี เขาก็ไม่มีทางเหลียวแลมามองคุณ อย่าได้เสียแรงไปเลย”

“สืออวี๋ บางครั้งฉันก็รู้สึกสงสารคุุณดี ยื้อผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รักคุณไว้ จะแต่งให้กับเขาอย่างไรยางอาย เหมือนหมาขี้เรื้อนที่ขว้างทิ้งไม่พ้น น่าขยะแขยงจริงๆเลย”

“อ้อ ฉันได้ยินประธานเหลียงพูดว่า คนในบ้านคุณก็ไม่ชอบคุณ เลยตั้งชื่อคุณว่าสืออวี๋ ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านคุณ หรือระหว่างฉันกับประธานเหลียง คุณก็เหมือนเป็นคนที่เกินความจำเป็นอยู่ดีนะ”

คำว่าอวี๋ของสืออวี๋ แปลว่าเกินความจำเป็น

ประโยคนี้สือม่านเป็นคนบอกกับเธอเอง

นอกจากเหลียงหยวนโจว เธอไม่เคยบอกใครเลย

ตอนนั้นเหลียงหยวนโจวโอบเธอเข้าอ้อมกอดด้วยความเจ็บปวดใจ บอกว่าเธอยังมีเขาอยู่ ต่อไปเขาจะไม่ยอมให้ใครมารังแกเธอ

แต่ตอนนี้ เขากลับเป็นคนที่รังแกเธอร่วมกับคนอื่น

แต่ก็ไม่สำคัญแล้ว

“พูดจบหรือยัง?”

คิดไม่ถึงว่าการตอบสนองของสืออวี๋จะสงบขนาดนี้ เสินหลีรู้สึกเหมือนไม่มีผลกระทบอะไรต่อสืออวี๋ ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดในใจ ไม่ขึ้นไม่ลง

สีหน้าของเธอบิดเบี้ยว เสียงก็เปลี่ยนโทน “ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็จะไม่ให้คุณแต่งงานกับประธานเหลียง คนที่แต่งงานกับประธานเหลียงต้องเป็นฉันคนเดียว!”

“อืม งั้นฉันก็ขอให้คุณสมปรารถนาเร็วๆ”

สืออวี๋ตัดสายอย่างสงบ บล็อกเบอร์ของเสินหลี

หันไปมองชุดเจ้าสาวที่แขวนอยู่กลางห้องนั่งเล่น ในหัวพลันนึกถึงภาพในอดีตที่เหลียงหยวนโจวหน้าแดงระเรื่อ ค่อยๆ ยื่นแหวนต่อหน้าเธออย่างระมัดระวัง

ความรักเต็มหัวใจในตอนนั้นเป็นความจริง แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจไปรักคนอื่นก็เป็นความจริงเช่นกัน

หลังจากที่เธอรู้ว่าเขาแอบนอกใจ ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เธอเคยพังทลาย ร้องไห้ สิ้นหวัง ยอมแพ้ คลั่งไคล้ ครั้งหนึ่งที่เธอทะเลาะกับเหลียงหยวนโจวรุนแรงที่สุด เขาบอกว่าเธอมันเป็นบ้า

แต่ตอนนั้น เป็นช่วงที่เธอรักเขาที่สุด

ตอนนี้ ความรักของเธอหมดสิ้นไปแล้ว

บางทีก็ควรปล่อยเขา และปล่อยตัวเองบ้าง

สืออวี๋ก้มมองโทรศัพท์อยู่สักพัก แล้วกดหมายเลขนั้นทีละตัว ตัวเลขที่เธอจำขึ้นใจอย่างคล่องแคล่ว

รอบแรก ไม่มีคนรับ

รอบที่สอง ไม่มีคนรับ

รอบที่สาม ก็ยังไม่มีคนรับ

สืออวี๋มีความอดทนมาก โทรต่อ

……

ไม่รู้ว่าโทรไปกี่รอบ อีกฝ่ายก็รับสายสักที เสียงที่ไม่พอใจของเหลียงหยวนโจวดังมา “สืออวี๋ ผมกำลังคุยธุรกิจอยู่ จู่ๆคุณก็เป็นบ้าอะไรของคุณ?”

สืออวี๋นึกภาพออกว่า คนปลายสาวหงุดหงิดแค่ไหน

แต่ นี่คือครั้งสุดท้ายแล้ว

“เหลียงหยวนโจว เราเลิกกันเถอะ”
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • คุณกับเลขาเกิดมาคู่กัน แล้วจะมาคุกเข่าในงานแต่งฉันทำไม?   บทที่ 221

    เมื่อเห็นเขายิ้มมุมปาก ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจเรื่องงานของตัวเองเลยสักนิด สืออวี๋ก็ยิ่งรู้สึกผิดในใจเขาคงแกล้งทำเป็นสบาย ๆ ก็เพราะไม่อยากให้เธอโทษตัวเองสินะเธอสูดหายใจเข้าลึก แกล้งทำเป็นประหลาดใจแล้วพูดขึ้นว่า: “ฉันก็นึกไม่ถึงเหมือนกันค่ะ ดูท่าต่อไปคุณก็จะเป็นหมอซือที่ค่าตัวหลายสิบล้านแล้วสินะคะ”“อืม เพราะงั้นคุณไม่ต้องห่วงผมหรอก หมอที่ค่าตัวหลายสิบล้านแบบนี้ โรงพยาบาลไหนบ้างจะไม่แย่งกันเอา”สืออวี๋พยักหน้า “พูดถูก โรงพยาบาลไหนได้ตัวคุณไปก็ถือว่ากำไรมหาศาลแล้ว”พอดีกับที่ลิฟต์มาถึง ทั้งสองจึงเดินเข้าไปด้วยกันเมื่อออกจากลิฟต์ ทั้งสองก็แยกย้ายกันตรงหน้าประตูพอกลับถึงบ้าน สืออวี๋ก็วางเสื้อผ้าที่ซื้อเมื่อตอนบ่ายไว้ตรงโถงทางเข้าบ้าน เปลี่ยนรองเท้า แล้วไปหยิบน้ำขวดหนึ่งจากตู้เย็น ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นเธอหยิบมือถือออกจากกระเป๋า ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจโทรออกไปยังเบอร์ของเหลียงหยวนโจว“อาอวี๋... ผมนึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะยังติดต่อผมมา...”น้ำเสียงของเหลียงหยวนโจวเจือความดีใจและความรู้สึกแบบทำตัวไม่ถูก ราวกับย้อนกลับไปในช่วงที่เขากำลังจีบสืออวี๋ ที่

  • คุณกับเลขาเกิดมาคู่กัน แล้วจะมาคุกเข่าในงานแต่งฉันทำไม?   บทที่ 220

    “อืม ผู้ชายเฮงซวยแบบนั้น ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายจริง ๆ นั่นแหละ เราไปกันเถอะ”อีกด้านหนึ่ง หลังจากเหลียงหยวนโจวอุ้มเสินหลีไปส่งที่รถ เขาก็ยืนอยู่ข้างรถและพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า: “ผมยังมีธุระที่บริษัท เดี๋ยวให้คนขับรถส่งคุณไปโรงพยาบาล”พูดจบ ก็ทำท่าจะปิดประตูสีหน้าของเสินหลีเปลี่ยนไป เธอยื่นมือไปคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ทันที “หยวนโจว คุณไม่ไปกับฉันเหรอคะ? ถ้าเผื่อลูกเป็นอะไรขึ้นมา…”เหลียงหยวนโจวพูดแทรกขึ้นมาอย่างหมดความอดทน “ผมไม่ใช่หมอ อีกอย่าง ต่อไปนี้ถ้าคุณเจอสืออวี๋ก็หลีกเลี่ยงเธอซะ พยายามอย่าไปปรากฏตัวต่อหน้าเธอ”“ว่าไงนะคะ?”เสินหลีมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “คุณไม่แม้แต่จะถามสักคำว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ฉันถูกรังแกหรือเปล่า แต่กลับบอกให้ฉันเห็นสืออวี๋แล้วต้องเป็นฝ่ายหลีกเลี่ยง?”เรากำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้ว เขาไปเข้าข้างสืออวี๋ได้ยังไง!“จำเป็นต้องถามด้วยเหรอ ด้วยนิสัยของสืออวี๋ ถ้าคุณไม่ไปหาเรื่องเธอก่อน เธอก็ไม่แม้แต่จะชายตามองคุณด้วยซ้ำ”“งั้นคุณก็หมายความว่าทั้งหมดเป็นความผิดของฉันงั้นสิ”เหลียงหยวนโจวหมดความอดทน เขามองเธออย่างเย็นชา แววตาหนาวเยียบ“รู้ตัวก็ดีแล้ว ที่ผม

  • คุณกับเลขาเกิดมาคู่กัน แล้วจะมาคุกเข่าในงานแต่งฉันทำไม?   บทที่ 219

    “ดูภายนอกก็ดูดี ไม่นึกเลยว่าจะทำเรื่องน่าขยะแขยงแบบนี้ได้!”“เหอะ ๆ ของทั้งเนื้อทั้งตัวรวมกันก็เกือบสิบห้าล้านแล้วมั้ง ผู้ชายคนนั้นก็คงรวยน่าดู ไม่อย่างนั้นจะรีบพุ่งเข้าไปจับขนาดนั้นเหรอ?” …เสียงซุบซิบดูแคลนรอบข้าง ยิ่งทำให้เสินหลีรู้สึกรังเกียจชืออวี๋มากขึ้นไปอีก เห็น ๆ อยู่ว่าตัวเองคุมแฟนไม่อยู่ มีสิทธิ์อะไรมาโทษเธอด้วยล่ะ? ถ้าเป็นรักแท้จริง ๆ คบกันปีสองปีก็แต่งงานกันแล้ว นี่เหลียงหยวนโจวคบกับเธอมาห้าปีแล้วยังไม่แต่ง ก็ได้แต่พูดว่าเขาไม่เคยคิดจะแต่งงานกับสืออวี๋เลยต่างหาก เธอแค่ปรากฏตัวได้ถูกจังหวะก็เท่านั้น เธอไม่ได้ผิดอะไรเลยยิ่งคิด เสินหลีก็ยิ่งโมโหขณะที่เธอกำลังจะโต้เถียงสืออวี๋ จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดเกร็งที่ท้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน“อ๊า... ท้องของฉัน...”เธอรีบกุมท้อง ใบหน้าซีดเผือดจนแทบไร้สีเลือดผู้คนที่มุงดูอยู่รอบตัวเธอรีบถอยห่างทันที บนใบหน้าของทุกคนมีแต่ความดูถูกเหยียดหยามและรังเกียจ กลัวว่าเสินหลีจะแกล้งพาลใส่พวกเขาเมื่อเห็นว่าทุกคนมีแต่ท่าทีเย็นชา ไม่มีใครยอมช่วยเรียกรถพยาบาลให้ เสินหลีจึงทำได้เพียงทนความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วกดโทรศัพท์หาเหลียง

  • คุณกับเลขาเกิดมาคู่กัน แล้วจะมาคุกเข่าในงานแต่งฉันทำไม?   บทที่ 218

    ปกติถ้าพวกเขาอยากได้อะไรที่เกินเงินค่าขนมของตัวเอง ก็จะไปทำงานพาร์ทไทม์หาเงินซื้อเอง สมัยเรียนมหาวิทยาลัย การแต่งตัวและการกินอยู่ของซ่งจื่ออินก็ไม่ต่างจากคนส่วนใหญ่ เลยมีน้อยคนมากที่จะรู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของประธานสือกรุ๊ปแม้ว่าตอนนี้คุณพ่อของเธอจะไม่จำกัดเรื่องเงินแล้ว แต่เสื้อผ้าที่ซ่งจื่ออินใส่ในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นของที่ซื้อตามตลาดนัด“ได้”ซ่งจื่ออินลองเสื้อผ้าเสร็จ ก็เลือกซื้อชุดที่ค่อนข้างพอใจสองสามชุด พอรูดบัตรเสร็จก็ให้ทางร้านจัดส่งไปที่บ้านตระกูลซ่งโดยตรงทั้งสองคนกำลังจะเดินออกจากร้าน ร่างเพรียวบางร่างหนึ่งก็เดินเข้ามาในร้านพอดีพอเห็นว่าเป็นเสินหลี สีหน้าของซ่งจื่ออินก็เคร่งขรึมลงทันทีสืออวี๋เองก็ประหลาดใจไปชั่วครู่ แต่พอนึกถึงเรื่องที่เหลียงหยวนโจวเคยบอกว่าจะแต่งงานกับเสินหลี ก็ไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไปเสินหลีในวันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ดูเรียบง่ายจืดชืด เธออยู่ในชุดแบรนด์หรูสั่งตัด ผมยาวดัดลอนอ่อน ๆ ในมือหิ้วถุงช้อปปิ้งแบรนด์ไฮเอนด์หลายใบ บนข้อมือสวมนาฬิกาประดับเพชรแวนคลีฟแอนด์อาร์เพลส์ เผยให้เห็นความหรูหราประณีตตั้งแต่หัวจรดเท้าซ่งจื่ออินแค่นเสียงเ

  • คุณกับเลขาเกิดมาคู่กัน แล้วจะมาคุกเข่าในงานแต่งฉันทำไม?   บทที่ 217

    แต่ตอนนี้คือโอกาสที่จะได้อยู่กับสืออวี๋ และนี่อาจเป็นโอกาสเดียวในชีวิตของเธอ เขาไม่มีทางปล่อยมันไปเด็ดขาดเขากระดกไวน์แดงในแก้วจนหมดรวดเดียว ก่อนจะหันหลังเดินเข้าห้องนอนไปชั่วพริบตาเดียวก็ถึงบ่ายของวันรุ่งขึ้น สืออวี๋เพิ่งตื่นจากงีบหลับกลางวัน ก็ได้รับโทรศัพท์จากซ่งจื่ออิน“อาอวี๋ ฉันถึงหน้าประตูหมู่บ้านแกแล้ว แต่ยามไม่ให้เข้า ฉันรออยู่ข้างนอกนะ”“โอเค รอฉันสิบนาทีนะ”สืออวี๋รีบล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบมือถือกับกระเป๋าแล้วจึงออกจากห้องไปพอเดินมาถึงหน้าหมู่บ้าน เธอก็เห็นซูเปอร์คาร์สีชมพูของซ่งจื่ออินจอดอยู่ไม่ไกลทันทีที่ขึ้นรถ ซ่งจื่ออินก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า: “เมื่อวานตอนที่ฉันเห็นโลเคชั่นหมู่บ้านที่แกส่งให้ ก็รู้สึกคุ้น ๆ อยู่เหมือนกัน เพิ่งจะนึกออกว่า ตอนที่โครงการนี้สร้าง บริษัทของพี่ชายฉันก็เคยมีดีลด้วยนะ รู้สึกว่าทางผู้พัฒนาโครงการจะแถมบ้านให้เขาสองหลังเลยล่ะ”สืออวี๋ฉายแววประหลาดใจ “บังเอิญขนาดนั้นเลยเหรอ”“ก่อนที่บริษัทซ่งซื่อจะเปลี่ยนสายธุรกิจ หลัก ๆ ก็ทำอสังหาริมทรัพย์นี่แหละ เคยร่วมมือกับผู้พัฒนาในเมืองเซินตั้งหลายเจ้า เดี๋ยวคืนนี้กลับไปฉันจะถามเขาดูว่าห้อ

  • คุณกับเลขาเกิดมาคู่กัน แล้วจะมาคุกเข่าในงานแต่งฉันทำไม?   บทที่ 216

    “ดูท่าว่า นายคงอยากกลับเมืองหลวงแล้วสินะ”ซือห่าวอวี่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “คุณอาเล็กครับ ถ้าผมกลับไปเมืองหลวง ผมก็จะไปกินข้าวเย็นเป็นเพื่อนคุณปู่คุณย่าทุกวัน ทีนี้พอพูดมากเข้า เกิดผมเผลอหลุดปากพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป คุณอาเล็กก็น่าจะเข้าใจผมใช่ไหมครับ?”“ดูเหมือนว่าไม่กี่ปีที่ฉันไม่อยู่บ้าน นายจะเก่งกาจขึ้นเยอะเลยนะ รู้จักข่มขู่คนเป็นแล้วด้วย”สายตาของซือเยี่ยนเย็นชา ทั่วทั้งร่างมีไอความเย็นแผ่ซ่านถ้าเป็นปกติ ซือห่าวอวี่คงกลัวจนตัวสั่นไปแล้วทว่าตอนนี้ทั้งสองคนคือศัตรูหัวใจ เขาจะแสดงความขลาดกลัวออกมาแม้แต่น้อยไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นแล้วจะเอาอะไรไปสู้กับซือเยี่ยนได้ซือห่าวอวี่จ้องมองซือเยี่ยนตรง ๆ มุมปากประดับรอยยิ้ม “คุณอาเล็กครับ ทั้งหมดนี้ก็เพราะคุณอาสอนมาดี”หว่างคิ้วของซือเยี่ยนเต็มไปด้วยความเย็นชา “ถ้างั้นวันนี้ฉันจะสอนนายอีกเรื่องที่มันไม่มีความหวังน่ะ รีบตัดใจซะแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคนที่จะเจ็บปวดทีหลังก็คือนายเอง”“คุณอาเล็กครับ ในสายตาคุณอา ผมอาจจะไม่มีหวัง แต่ในสายตาผม คุณอาต่างหากคือคนที่ไม่มีหวัง”ด้วยความที่ท่านย่าซือกับท่านผู้เฒ่าซือให้ความสำคัญกับซือ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status