ตอนที่
[3] บ้าไปเสียแล้ว ไม่นานหลังจากนั้นฉีจื่อหรานก็ถูกบ่าวจากเรือนใหญ่ถูกตามตัวให้ไปพบ สองขาเดินอย่างไม่รีบร้อน พลางชมธรรมชาติไปเรื่อยเปื่อย บ่าวผู้นั้นถึงกับไม่พอใจที่หญิงสาวทำท่าทางราวกับไม่ทุกข์ร้อนเช่นนี้ พลางดูถูกในการแต่งกายของฉีจื่อหราน งดงามเสียเปล่าหากแต่แต่งตัวซอมซ่อยิ่งกว่าบ่าวในจวนเช่นตนเสียอีก ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเรือนใหญ่ที่เป็นห้องโถงหลักจนได้ ฉีจื่อหรานใช้สายตากวาดมองทุกคนที่อยู่ในห้องนั้น แหมอยู่กันครบเลยนะ ทีเมื่อเช้าล่ะหายกันไปหมด “ฉีจื่อหรานเจ้าได้ทำความผิดอันใดไว้หรือไม่!” เสียงของบิดาที่ไม่ได้เอ่ยเรียกนางมาเนิ่นนานดังขึ้น ทั้งยังเรียกแบบเต็มยศเสียด้วย ดูท่าจะไม่พอใจ “หืม มีอันใดหรือเจ้าคะ” กล่าวแล้วปั้นสีหน้าไร้เดียงสาก่อนจะหันไปมองเหล่าคนครัวด้วยความตกใจ เหล่าคนครัวยามนี้ล้วนแต่มีใบหน้าปูดบวม นางเกือบจะขำออกมา หากแต่ต้องรักษากิริยาเอาไว้ “นี่เกิดอะไรขึ้นเหตุใดใบหน้าพวกเจ้าจึงเป็นเช่นนั้น” “เจ้าอย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง หากไม่มีผู้ใดทำ พวกเขาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” ครานี้ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจ “ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ เจ้าค่ะท่านแม่” “หึ น้องหกวันสองวันมานี้เจ้าเอาแต่ทำตัวแปลก ๆ หากวันนี้จะบอกว่าเจ้าถึงขั้นไปตบตีบ่าวไพร่ในจวนก็ไม่น่าจะแปลกใจอันใด” เสียงนี้คือเสียงของพี่สามนามฉีเยว่ซิน “พี่สาม ยิ่งพูดข้ายิ่งไม่เข้าใจ ข้าไปตบตีผู้ใดกัน” “มีบ่าวจากโรงครัวมารายงานว่าเจ้าเข้าไปทำร้ายผู้คน โดยเฉพาะหัวหน้าแม่ครัว เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่” ฉีหวังเอ่ยเสียงดุขรึมออกมาทั้งส่งสายตากดดันไปที่บุตรสาวที่ตนไม่ชอบหน้า ฉีจื่อหรานจึงสบตาเขาก่อนจะหันไปมองมารดาและพี่น้องคนอื่น ๆ ทุกคนล้วนแต่อยากให้นางเป็นผู้กระทำผิดด้วยกันทั้งนั้น หากเป็นบ้านอื่นบ่าวหรือจะสำคัญเท่ากับผู้เป็นนาย โดยเฉพาะบ่าวที่ไม่เคารพนาย “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่สาม ข้าเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ไหนเลยจะมีพละกำลังไปทำเช่นนั้นกับหัวหน้าแม่ครัวสุ่น พวกท่านดูรูปร่างข้ากับนางเถิด” แม้ไม่อยากจะเข้าข้างฉีจื่อหราน แต่พวกเขาก็เห็นว่าฉีจื่อหรานและหัวหน้าแม่ครัวนั้นแตกต่างกันจริง ๆ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าหัวหน้าแม่ครัวนั้น แม้แต่บุรุษยังต้องหวาดกลัว เช่นนั้นนางจะสามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในโรงครัวของตระกูลฉีมาได้อย่างยาวนานหรือ และนอกจากหัวหน้าแม่ครัว ยังมีคนครัวอีกตั้งหลายคน ข้าจะไปเอาชนะพวกเขาได้อย่างไร ยิ่งกล่าวมาถึงตอนนี้หากเกิดการต่อสู้กันจริงมาถึงตอนนี้ก็ยากที่จะปฏิเสธว่าสิ่งที่ฉีจื่อหรานกล่าวนั้นเข้าเค้า ฉีจื่อหรานอาศัยอยู่แต่ในเรือน ไหนเลยจะได้รู้จักกับการฝึกวรยุทธ์ เพราะหากทำเช่นนั้นกับคนหลายคนได้ด้วยตัวคนเดียวจะต้องเป็นผู้มีวรยุทธ์แก่กล้าเลยทีเดียว ไม่ต้องไปพูดถึงวรยุทธ์ แค่โลกภายนอกนอกจวนตระกูลฉี นางก็ไม่ได้ไปประสบพบเจอแต่อย่างใด แต่ในใจก็ยังอยากที่จะให้ฉี่จื่อหรานเป็นฝ่ายผิด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม “แล้วเจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร มีบ่าวมารายงานว่าเจ้ากำลังทำร้ายแม่ครัวใหญ่ นางเห็นกับตาและเมื่อพวกข้าตามไป ก็พบว่าพวกเขาอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว” “เช่นนั้น ท่านพ่อก็ลองถามพวกเขาดูอีกครั้งสิเจ้าคะ ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร” กล่าวแล้วก็สาดสายตาไปที่หัวหน้าแม่ครัวและคนครัวคนอื่น ๆ เดิมทีพวกเขาคิดจะเล่าความจริงทั้งหมด แต่เมื่อได้เห็นสายตาอันตรายของฉีจื่อหรานและท่าทางของนางก่อนที่จะจากไป ความกล้าที่มีก็หดหายไป “นายท่าน พวกเราล้วนแต่มีเรื่องผิดใจกันในโรงครัวจึงได้ลงไม้ลงมือกัน หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับคุณหนูหกเจ้าค่ะ ส่วนที่ลี่หงไปรายงานนายท่านและฮูหยินนั้นเห็นทีว่านางจะเข้าใจผิดเจ้าค่ะ” ลี่หงเบิกตากว้างขึ้น แม้จะรู้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรก็ได้แต่ก้มหน้าลง หัวหน้าแม่ครัวถึงขั้นกล่าวเช่นนี้เห็นท่าว่าไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับคุณหนูหกจริง ๆ “ลี่หงเจ้าเข้าใจผิดจริงหรือ” ฉีฮูหยินเอ่ยเสียงเข้มแฝงความกดดันไปที่บ่าวนามลี่หง “ฮะ ฮูหยิน บะบ่าว น่าจะเข้าใจผิดเจ้าค่ะ บ่าวเห็นคุณหนูหกไปที่ระ โรงครัว” ลี่หงกล่าวตะกุกตะกักไม่กล้าสบสายตาผู้ใด “แล้วเจ้าได้ไปที่โรงครัวหรือไม่” ครานี้เสิ่นเจียงหันไปถามบุตรสาว “ไปเจ้าค่ะ” “เพราะเหตุใด” “ข้าเพียงหิวข้าว วันนี้ที่โต๊ะอาหารไม่มีอาหารสักจานก็เลยไปสอบถามกับโรงครัวเจ้าค่ะ เมื่อเห็นว่าไม่มีจึงได้กลับเรือนไป” กล่าวแล้วก็ก้มใบหน้าลง เหล่าคุณหนูตระกูลฉีล้วนแต่รู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่สามารถทำอันใดได้ เช่นเดียวกับกับผู้เป็นบิดามารดา “เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด” ในที่สุดฉีหวังก็กัดฟันกล่าวออกมา นอกจากนั้นยังกล่าวอีกว่า “แต่ว่านะจื่อหราน เจ้าเคยกินข้าวที่ใด ต่อไปก็กินที่นั่น อย่าได้เปลี่ยนแปลงอันใดเลย” กล่าวคืออย่าได้มากินข้าวที่เรือนใหญ่อีก “เจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าเข้าใจแล้ว” ร่างบางก้มศีรษะรับคำก่อนจะขอตัวออกไป ถึงกระนั้นก็ยังรับรู้ถึงสายตามากมายที่สาดมาที่แผ่นหลังของนาง หึ ไม่ให้กินข้าว แต่ก็มีอย่างอื่นให้ทำอีกตั้งมาก นี่ไม่ใช่จุดจบอันใดตอนพิเศษ[2]พร้อมหน้าพร้อมตา วันเวลาผันผ่านไปนานหลายปีหากแต่แคว้นตี้ยังมีแต่ความสงบสุข ไร้ซึ่งความวุ่นวาย นอกจากนั้นยามนี้ยังกลายเป็นผู้นำในด้านสมุนไพรหายากและล้ำค่าอีก เซี่ยจื่อหรานกลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษของสำนักหมอหลวง ไม่ว่าหัวขาวหัวดำต่างเรียกนางว่า ‘ท่านอาจารย์’ แทบทั้งสิ้น แม้ไม่อยากจะรับแต่ก็ต้องรับไว้ ไทเฮากล่าวว่าลับหลังนางพวกเขาก็เรียกขานนางว่าท่านอาจารย์อยู่ดี สู้ทำให้กลายเป็นที่ประจักษ์กันไปเลย ผู้ใดจะคิดว่าสตรีอายุน้อยจะมีความรู้แตกฉานในด้านสมุนไพรเช่นนี้ ทั้งสามารถนำสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารจานเด็ดได้ด้วยผู้ใดได้กินก็ล้วนแต่ติดใจ หากแต่มีโอกาสได้กินน้อยนัก เพราะชินอ๋องซื่อจื่อหวงภรรยายิ่งกว่าสิ่งใด คงมีแต่ชินอ๋องซื่อจื่อและเชื้อพระวงศ์ที่สนิทกระมังถึงจะได้กินฝีมือของท่านอาจารย์เซี่ย และก็เป็นจริงดังนั้น วันนี้เป็นวันจะเข้าคืนวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนตกลงกันว่าจะมารวมตัวกันและเฉลิมฉลองปีใหม่กันที่เรือนซิ่งฝู ดังนั้นเซี่ยจื่อหรานจึงต้องเตรียมอาหารที่ทุกคนลงความเห็นว่าอร่อยหาที่ใดเทียม อาหารที่ว่าก็คือ ไก่ผัดเซียงเหมา นอกจากนั้นยังมีปลาผัดกันเจียง (ขิง) เนื้อแกะตุ๋นส
ตอนพิเศษ[1]ถูกกลั่นแกล้ง สองขาแข็งแกร่งก้าวไปอย่างมั่นคงไม่มีซวนเซเลยแม้แต่น้อยแม้จะดื่มสุรามงคลเข้าไปเพียงใดก็ตาม ค่ำคืนนี้เขาจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสตรีในดวงใจแล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร ทว่ายิ่งเร่งรีบเหตุใดปลายทางก็ยิ่งห่างไกล หรือว่าเขากำลังตื่นเต้นเกินไป จึงรู้สึกว่าทุกอย่างเชื่องช้าไปเสียหมด แต่สุดท้ายก็สามารถพาตนเองไปอยู่ที่หน้าห้องที่ประดับตกแต่งด้วยผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในขณะที่มือหนากำลังจะเอื้อมมือไปเปิดบานประตู จู่ ๆ องครักษ์ก็มารายงานว่าฝ่าบาทมีรับสั่งให้เขาไปทำภารกิจเร่งด่วนในคืนนี้ หากเป็นวันทั่วไปเขาก็คงไปโดยไม่อิดออด แต่คืนนี้เป็นคืนสำคัญของเขา คิดได้อย่างเดียวว่านี่ต้องเป็นการกลั่นแกล้งจากเสด็จลุงเป็นแน่ ไม่สิ อาจจะมีเสด็จย่าเข้าร่วมด้วย “ข้าไม่ไป” ชายหนุ่มปฏิเสธเตรียมจะเปิดประตูเข้าห้องหออีกครั้ง “เอ่อ ฝ่าบาทรับสั่งว่าหากซื่อจื่อไม่ไปจะทำการโยกย้ายพระองค์ไปประจำการที่แดนใต้ตั้งแต่คืนนี้โดยไม่ให้ฮูหยินติดตามไปด้วยขอรับ” “ฮึ่ม นี่มันเกินไปจริง ๆ” ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกัดฟันกรอดแม้จะรู้สึกขัดใจเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องไป มาดูกันว่าเสด็จลุงจะกลั่นแกล้
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็นภาพทุกอย่างตัดกลับไปที่ฉีจื่อหรานยังคงเป็นทารกน้อยครานี้เสิ่นเจียงร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ นั่นสิ นางเป็นแม่แบบใดกัน อุ้มท้องมาตั้งเก้าเดือน กว่าจะคลอดออกมา จื่อหรานในยามเป็นทารกก็น่ารักน่าชังยิ่ง นางทำกับเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นนั้นได้อย่างไร สวรรค์ลงโทษแล้ว เป็นนาง นางเป็นมารดาที่ชั่วช้า เหล่าคนตระกูลฉีเริ่มรู้แล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการกระทำที่ตนได้กระทำกับฉีจื่อหรานอย่างโหดร้ายในชาติก่อน ชาตินี้ก็ยังกระทำซ้ำรอบเดิมอีก ไม่แปลกที่จะได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจเช่นนี้ บัดนี้ความรู้สึกโกรธแค้น ความรู้สึกไม่เข้าใจ ไม่ยินยอมได้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดมาจากใจจริง “หรานเออร์พวกเราขอโทษเจ้า โปรดให้อภัยพวกเราด้วย”เหล่าผู้ที่รับหน้าที่คุมตัวตระกูลฉีไปส่งที่แดนเหนือ รีบลงมาจากรถม้าเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ต้องถอนหายใจออกมาเพราะยามนี้เบื้องหน้าปรากฏเพียงร่างไร้วิญญาณของพ่อแม่ลูกตระกูลฉีเท่านั้น ใบหน้าของพวกเขายังมีคราบน้ำตาติดอยู่มากมายราวกับคนที่ร้องไห้ด้วยความทรมานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต โดยเฉพาะคนผู้หนึ่งที
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็น “เหตุใดจึงแต่งงานกันไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกำลังเอ่ยถามพระอัยยิกาพร้อมทั้งมีสีหน้าบึ้งตึงด้วยไม่พอใจอย่างยิ่งยวด “ย่าอนุญาตให้คบหากันนั่นก็ที่สุดแล้ว แล้วนี่เพิ่งคบกันได้หนึ่งเดือนจะแต่งงานกันเลยได้อย่างไร เวลาน้อยไป หรานเออร์หลานย่า ย่าไม่ยอมให้คบผู้ใดเพียงแค่ผิวเผินแน่นอน” เซี่ยไทเฮาว่าพลางดึงหลานสาวให้ไปอยู่ด้านหลังตน “แล้วหลานมิใช่หลานของเสด็จย่าเช่นเดียวกันหรือ อีกอย่างหลานหาใช่คนชั่วร้ายอันใด จะให้รอไปถึงเมื่อใดกัน เสด็จย่าอย่าใจร้ายกับหลานเลย” ว่าแล้วพลางส่งสายตาที่น่าสงสารไปให้คนรักที่อยู่ด้านหลังผู้เป็นย่า หวังว่านางจะเห็นใจเขาและช่วยพูดกับเสด็จย่า หากแต่นางกลับมีเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ และไม่กล่าวอันใดอีก “ระยะเวลาไม่กำหนด แต่หากซื่อจื่อทำให้ย่าเห็นว่าเจ้าสามารถดูแลหรานเออร์ได้ดี เมื่อนั้นย่าจะอนุญาตเอง” “โธ่ แล้วหากว่ากว่าจะเป็นที่ถูกใจเสด็จย่ามันก็ผ่านไปหลายปีแล้วเล่า” “หลายปีก็หลายปีสิ ซื่อจื่อรอไม่ไหวหรือ เช่นนั้นย่าจะได้ให้หรานเออร์ไปแต่งกับผู้อื่นที่ความอดทนมีมากกว่า” “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!! เฮ้อ เช่นนั้น รอก็ร
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด ใช้เวลากว่าแรมเดือนกว่าที่นางจะสามารถจัดการธุระสำคัญทั้งหมดเสร็จสิ้น หลังจากที่เหตุการณ์อันตรายผ่านพ้นไป ไทเฮาจึงได้ชวนเชื้อพระวงศ์ไปพักผ่อนที่ตำหนักซินหยานอีกครา แม้อากาศจะเริ่มเหน็บหนาวแล้วแต่ยังสามารถเดินทางออกไปได้อยู่ ยามนี้ที่นั่นคงงดงามไม่น้อย “จื่อหราน รอบนี้เราไปปีนเก็บผลไม้กันมาเยอะ ๆ อย่าให้พี่ใหญ่จับได้” ท่านหญิงเสวี่ยเร่อมากระซิบข้างหูนางด้วยความซุกซนเช่นเคย นั่นสินะ ผลไม้หลายอย่างที่เติบโตในอากาศหนาวคงกำลังออกผลผลิตเต็มต้น หากแต่สิ่งที่นางตื่นเต้นนั้นมิใช่แค่การเก็บผลไม้เหล่านั้นอย่างเดียว หากแต่เป็นสิ่งที่คนผู้นั้นกล่าวว่ามีบางอย่างจะพูดคุยกับนาง “หรานเออร์ พี่มีบางอย่างจะพูดคุยกับเจ้า” เพียงแค่ถึงตำหนัก เขาก็ไม่รอช้าที่ลากนางเข้าไปในป่า ในป่าที่เป็นป่าจริง ๆ หาใช่สวนบุปผาที่สวยงามแต่อย่างใด ลากมาอย่างรวดเร็วและไกลชนิดที่ว่าเสวี่ยเร่อตามไม่ทันกันเลยทีเดียว พร้อมทั้งคำเรียกขานที่เปลี่ยนไปทั้งหมด “เจ้าหนาวหรือไม่” เขาว่าพร้อมถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้นางโดยไม่รอคำตอบ แต่เขาควรจะถามว่าเหนื่อยหรือไม่ก่อนสิ ก็เล่นลากกันมาไกลเช่นนี้ “เจ้า
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด โทษของตระกูลฉีสามารถทำให้ร้ายแรงไปจนถึงขั้นประหารชีวิตเฉกเช่นองค์ชายห้าได้ แต่เพราะนางอยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสความสิ้นหวังและการถูกทอดทิ้งว่าเป็นอย่างไร เมื่อไม่สามารถกลับบ้านและกลับมาสู่จุดเดิมที่เคยอยู่ ตกต่ำไร้คนเหลียวแล แบบนั้นคงจะเจ็บแสบกว่าการประหารและลิ้มรสความเจ็บปวดเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ที่จริงแล้วตระกูลฉีไม่ได้ฉลาดล้ำโดยการไปร่วมมือวางแผนการกับองค์ชายห้าถึงเพียงนั้น แต่เพราะพวกเขาถูกหลอกใช้ ว่าจะมอบยารักษาให้รวมถึงช่วยแก้แค้นหากพวกเขาสามารถเผาที่เก็บยาสมุนไพรของนางได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น เพราะสมุนไพรทั้งหมดนางเก็บเอาไว้ที่เรือนที่ถูกสร้างขึ้นใกล้กันกับเรือนซิ่งฝู แต่เมื่อลงมือทำแล้วก็ต้องรับผลของการกระทำ ชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่โชคชะตากำหนดก็แล้วกัน ด้านองค์ชายห้าผู้ที่เป็นต้นเหตุและต้นตอของความวุ่นวายในเมืองหลวงที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายวัน และเป็นคลื่นใต้น้ำในราชสำนักมาหลายปีก็ถูกจับกุมตัวและถูกสั่งโทษประหารเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวเริ่มต้นที่องค์ชายห้าผู้ที่มักวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แท้จริงกลั