บทที่ 6 แสร้งป่วย
สาวใช้อีกคนวางถาดอาหารแล้วรีบตรงเข้ามาเขย่าร่างของลี่ถังแต่ผลที่ได้ก็คือนิ่งเฉยเช่นกัน
"เจ้าเป็นอะไรไป แม่นางลี่ถัง ไม่ได้การแล้ว ข้าจะไปบอกท่านพ่อบ้าน" สาวใช้คนแรกลนลานวิ่งออกไป ส่วนอีกคนก็ยื่นมือไปแตะหน้าผากของหญิงสาวที่นอนอยู่ มันไม่ได้ร้อนแต่มันกลับเย็นผิดปกติและยังมีเหงื่อซึม
นางเร่งไปตักน้ำร้อนมาเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย หากนายท่านรู้ว่านางละเลยไม่ได้ดูแลอะไรเลยแขกของนายท่าน นางอาจจะโดนลงโทษเอาได้ อีกด้านสาวใช้คนแรกก็เร่งไปบอกพ่อบ้านที่กำลังคุยกับมู่เฉิน
"ท่านพ่อบ้านเจ้าคะ แม่นาง แม่นางลี่ถังที่อยู่ในเรือนรับรองไม่สบายเจ้าค่ะ" นางพูดพร้อมกับหอบหายใจเมื่อมาถึง
พ่อบ้านที่กำลังพูดคุยเรื่องงานกับเจ้านายของจวนชะงักและเหลือบมองไปที่มู่เฉิน เขากัดริมฝีปากตนเองน้อย ๆ อย่างไม่พอใจ ที่มู่เฉินวางทุกอย่างในมือแล้วลุกเดินออกไปทันที
พ่อบ้านหันไปมองหน้าสาวใช้อย่างคาดโทษก่อนจะเดินตามเจ้านายออกไป
มู่เฉินเร่งเดินไปยังเรือนรับรองทันทีที่ได้ยินว่าลี่ถังไม่สบาย เขาไม่รู้ตัว ร่างกายของเขาเป็นไปเช่นนี้เอง ทั้ง ๆ ที่ใจเขาบอกให้ไม่สนใจนาง วันก่อนก็เช่นกัน แม้จะมีคนมากมายแต่สายตาของเขาก็ดันไปตกอยู่ที่นางเสมอ
"ให้คนไปตามหมอมา" ชายหนุ่มบอกพลางเดินต่อไป
"ขอรับ" พ่อบ้านรับคำแม้จะไม่พอใจอยู่
มู่เฉินเดินเปิดเข้าไปในเรือนก็เห็นสาวใช้กำลังเช็ดใบหน้าที่ดูซีดเซียวของหญิงสาวอยู่ เขาเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียง
"ลี่ถัง" คนที่นอนอยู่ไม่ขยับกาย แต่เปลือกตากลับขยับเขยื้อนเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงครางเบา ๆ
"อือ..."
"เจ้าเป็นอะไรไป"
"หนาว..." เสียงของหญิงสาวแผ่วเบาจนเหมือนกับสายลม ริมฝีปากที่แห้งผากขยับพูดช้า ๆ ใบหน้าซีดขาวจนแทบไร้สีเลือด
มู่เฉินใช้หลังมือของตนแตะลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายเบา ๆ มันเย็นกว่าปกติจริง ๆ แต่ก็ไม่เหมือนอาการของคนป่วยทั่วไป
"หมอกำลังมา" เขากล่าวเสียงเรียบ แม้น้ำเสียงจะดูเย็นชาแต่ท่าทางของชายหนุ่มก็ดูร้อนใจ
ลี่ถังไม่ได้ตอบอะไร นางเพียงแค่ปิดเปลือกตาลงและหดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มพลางคิดกับตนเอง นางต้องการถูกโยนออกไปหาหมอเองมากกว่าให้หมอเข้ามาตรวจ
ไม่นานนักท่านหมอก็มาถึง "ท่านหมอมาแล้วขอรับ"
"อืม" มู่เฉินรับคำก่อนจะผละออกจากข้างเตียงเพื่อให้หมอตรวจอาการหญิงสาว
หมอใช้เวลาตรวจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
"นางไม่ได้ป่วยเพียงแค่ร่างกายอ่อนล้าและพักผ่อนไม่เพียงพอก็เท่านั้น" มู่เฉินหันไปมองหญิงสาวอย่างคาดโทษ ลี่ถังที่แม้จะยังปิดตาอยู่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจนั้น
“ให้นางได้พักผ่อน กินอาหารให้ครบมื้อ อาการเหล่านี้ก็จะดีขึ้นเองขอรับ"
“รบกวนท่านหมอแล้ว พ่อบ้านส่งท่านหมอกลับที แล้วพวกเจ้าออกไปให้หมด”
หลังจากทุกคนออกไป บรรยากาศในห้องก็เงียบกริบ มีเพียงเสียงลมพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาเบา ๆ เท่านั้น
มู่เฉินจ้องมองลี่ถังที่ยังคงหลับตานิ่ง ริมฝีปากของเขากระตุกขึ้นแสยะยิ้มเยาะเย้ยตนเองที่โดนนางหลอกอีกครั้งแล้ว
"แสร้งทำเป็นป่วย” น้ำเสียงเย็นเยียบหลุดออกจากปาก “หากอยากป่วยก็ป่วยไป ข้าจะให้เจ้าได้ป่วยสมใจ”
ลี่ถังไม่กล้าเปิดตาขึ้นมองอีกฝ่ายแม้แต่น้อย มู่เฉินตอนนี้แทบไม่ใช่มู่เฉินที่นางรู้จัก เขาดูเย็นชาและไม่ใส่ใจ หรืออาจจะเพราะนางไม่ใช่คนที่เขาอยากใส่ใจก็เป็นได้
มู่เฉินหรี่ตามองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง สายตาของเขาเย็นชาไม่ต่างจากความรู้สึก และสุดท้ายเมื่อเห็นว่าลี่ถังไม่คิดจะลุกขึ้นมาพูดคุยกัน เขาก็หันหลังแล้วเดินออกจากเรือนไปโดยไม่พูดอะไรแต่ในใจกลับบีบรัดอย่างบอกไม่ถูก
"นายท่านอย่าคิดมากเลยขอรับ นางก็เสแสร้งเช่นนี้เป็นนิจอยู่แล้ว ข้าว่านางคงต้องมีแผนการบางอย่างแน่ ๆ ขอรับ อาจจะเรียกร้องความสนใจ" พ่อบ้านเอ่ยขณะเดินตามมู่เฉินไปเรื่อย ๆ
มู่เฉินไม่ได้ตอบคำของอีกฝ่าย แต่ก็คิดตาม แต่เมื่อคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ เขาหยุดเดินแล้วหันกลับมาพูดกับพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟัง
"ข้าไม่ต้องการฟังสิ่งใดอีก"
พ่อบ้านเห็นเช่นนั้นแทนที่จะกังวล เขาก้มหน้าต่ำราวกับเข้าใจคำของเจ้านายและก็แอบยิ้มอย่างพอใจ
หลังจากวันนั้นลี่ถังก็ถูกทิ้งให้อยู่ในเรือนที่ปิดประตู ครานี้แม้แต่สาวใช้ที่มาทำความสะอาดก็แทบจะไม่เข้ามา วันหนึ่งนางได้เจอผู้คนอยู่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นหน้าต่างที่มองออกไปด้านนอกก็ยังเห็นสวนดอกไม้ในจวนแห่งนี้พอให้ได้ผ่อนคลายได้บ้าง แต่บางครั้งนางก็นึกอยากทุบหน้าต่างบานนี้ทิ้ง
เพราะในทุก ๆ วันนางจะต้องทนมองภาพของมู่เฉินและซูปี้นั่งพูดคุยกันที่ศาลากลางสวน ดวงตาของเขามองนางอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มที่เขาเคยมีให้นางกลับถูกยกให้คนอื่น
เสียงหัวเราะเบา ๆ ยามทั้งสองพูดคุยเหมือนมีดที่กรีดลงไปในใจของลี่ถัง และสิ่งที่น่าขมขื่นที่สุด ก็คือการถามไถ่ถึงลูกในครรภ์ของซูปี้จากปากของมู่เฉิน
บทที่ 10 คนหาย “ใครเฝ้าอยู่ข้างนอก เข้ามาเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มตะโกนลั่น คนงานที่เฝ้าอยู่เร่งเดินมาหา และสาวใช้ก็รีบวิ่งมา“นางไปไหน” คนทั้งสี่ส่ายหน้า สาวใช้บอกเช้านี้เอาอาหารมาให้ยังเห็นนางอยู่ ส่วนคนงานก็บอกว่าไม่เห็นนางเดินออกไป“บอกข้าแล้วอย่างไร ไปหาสิ” มู่เฉินอารมณ์เสีย เขาไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงหายไปได้ ด้านหลังจวนไม่มีอะไรนอกจากบ่อ วูบหนึ่งเขาหลงคิดว่านางอาจจะฆ่าตัวตาย แต่นางไม่ได้รักเขาขนาดนั้น นางคงไม่มีทางทำ หญิงใจง่ายที่มีคนอื่นทั้ง ๆ ที่มีคู่หมั้นอยู่แล้ว ไม่ควรเสียใจที่คู่หมั้นมีอนุก่อนแต่งหรอก“เจอหรือยัง” ชายหนุ่มเอ่ยถามพ่อบ้าน แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้า “ให้คนตามอยู่ขอรับ นายท่านพักก่อนเถอะ” “ข้าไม่พัก แล้วทุกคนก็ห้ามพัก หาให้เจอ” เสียงของมู่เฉินดังจนเหล่าสาวใช้สะดุ้ง ดวงตาคมกริบตวัดมองบ่าวไพร่ของตนที่ยืนเรียงราย ทุกคนต่างหลบตาไม่มีผู้ใดกล้าสบตาเขา “นายท่าน... เราค้นทั่วเรือนแล้วขอรับ แต่...” “แต่อะไร”“ไม่มีขอรับ ไม่มีแม่นางลี่ถัง”“ไร้ประโยชน์” ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อด้วยความหงุดหงิด ความรู้สึกในอกตีกันยุ่งเหยิงไปหมด แค่คิดว่าลี่ถังกลับไปแล้ว หัวใจเขาก็บีบแน่น “ทุกคนฟัง
บทที่ 9 บ่อน้ำร้าง ตูม!!ลี่ถังกรีดร้องออกมา แต่เสียงขาดหายไปกลางอากาศ ร่างของนางเสียหลักและร่วงลงสู่ความมืดมิดน้ำเย็นเฉียบทะลักเข้าปากและจมูก นางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นเหนือน้ำ แต่ความลื่นของตะไคร่ทำให้นางจับขอบบ่อไม่ได้เลย“ช่วยด้วย!” นางพยายามร้อง แต่เสียงสะท้อนอยู่เพียงในความเงียบงันเหนือปากบ่อ เงาหนึ่งปรากฏขึ้น เสียงฝีเท้าเบา ๆ ค่อย ๆ ถอยออกไป ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ความสงัดไม่มีใครอยู่ที่นั่น ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางถูกผลักลงมาน้ำเย็นเยียบราวกับจะดูดกลืนสติของนางไปทุกขณะไม่!นางกัดฟัน พยายามยันตัวเองขึ้น ทว่าพลังของนางค่อย ๆ ลดลงทุกขณะขณะที่สติเริ่มเลือนราง มีเพียงความคิดเดียวที่หลงเหลืออยู่ในใจของนางข้ายังไม่อยากตาย… ท่านพ่อ…พี่ใหญ่ความหนาวเย็นกัดกินไปถึงกระดูก นางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำ แต่กำแพงหินของบ่อร้างทั้งสูงและลื่น ตะไคร่น้ำจับแน่นทำให้ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้มือของนางสั่นระริก ร่างกายเปียกโชกและชาดิกไปหมด เสียงร้องขอความช่วยเหลือเมื่อครู่กลืนหายไปในความมืดมิด ไม่มีแม้เสียงฝีเท้าของผู้ใดเดินผ่านลมหายใจของนางเริ่มติดขัด เสื้อผ้าเปียกชุ่มทำให้ร่างกายหนักขึ้นเรื
บทที่ 8 หาทางหนี ลี่ถังเองก็คิดไม่ต่างกัน นางเองก็คิดว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายไร้เยื่อขาดไยเช่นนี้นางควรรีบทำทุกอย่างให้จบ แม้จะถูกขังแต่หากอีกฝ่ายไม่เอาเชือกมามัดมือนางไว้ ลี่ถังก็ยังพยายามหาทางออกจากจวนนี้ทุกวันนางเคยคิดจะว่ายน้ำออกไป แต่น่าเสียดาย นางว่ายน้ำไม่แข็งขนาดนั้น จึงไม่สามารถว่ายผ่านบึงบัวขนาดใหญ่ด้านหลังจวนไปได้ อีกอย่างยามนี้ก็หนาว หากลงน้ำคงได้ไข้แม้จะลองใช้สารพัดวิธี แต่ไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็ถูกเฝ้าจับตาไว้หมด และสุดท้ายก็ถูกลากกลับมาที่เรือนรับรองที่แปรเปลี่ยนเป็นห้องขัง แต่วันนี้ขณะหญิงสาวมาตักน้ำที่บ่อน้ำเก่าหลังเรือน สายตาก็เหลือบไปเห็นกิ่งต้นไม้ใหญ่ด้านบน คงเพราะก่อนหน้านางเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจึงไม่ทันสังเกตเห็น แม้โคนต้นไม้นี้น่าจะอยู่ด้านนอกกำแพง แต่หากนางขึ้นไปบนกิ่งใหญ่นี่ได้ นางอาจจะใช้มันผ่านไปทางหลังคาและออกหลังกำแพงจวนไปได้ “แล้วจะขึ้นไปอย่างไรเล่า” หญิงสาวพึมพำกับตนเอง นางไม่อาจปีนขึ้นจากพื้นได้ แต่หากปีนขึ้นจากหลังคาบ่อน้ำก็อาจจะพอเป็นไปได้ หัวใจของลี่ถังเต้นแรง นี่อาจเป็นโอกาสเดียวของนาง หญิงสาวไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางรีบสำรวจหาหนทางที่จะข
บทที่ 7 หูเบา “วันนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”“ปกติดีเจ้าค่ะ” “ลมหนาวเช่นนี้ เจ้าต้องระวังสุขภาพให้มาก”“เจ้าค่ะ”“อยากกินอะไรพิเศษก็บอกกับสาวใช้ให้ไปซื้อ” ยิ่งฟังน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมา ตั้งแต่วันแรกที่นางได้ยินคำเหล่านี้ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ต่างกับการกระทำของมู่เฉินที่มีต่อนาง มันเปลี่ยนไปหมด หญิงสาวได้แต่ยืนฟังอยู่หลังหน้าต่างที่ถูกไม้ตีปิดเอาไว้ มีเพียงช่องลอดมองได้นิดหน่อย แต่ตัวผ่านไม่ได้ แต่ละวันผ่านไปด้วยความเจ็บปวดและชินชาที่ค่อย ๆ เกาะกินหัวใจจนมันเริ่มไร้ความรู้สึก ลี่ถังพยายามปลอบใจตัวเองแต่ก็ไม่มีถ้อยคำดี ๆ ที่จะทำให้รู้สึกสบายใจได้ แม้แต่เรื่องออกจากที่นี่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้ออกไป เพราะทุกครั้งที่คิดจะหนี นางก็จบลงด้วยการกลับมาอยู่ในเรือนนี้พร้อมกับการป้องกันที่มากขึ้น ในเมื่อไม่มีใจแล้วจะรั้งเอาไว้ทำไม หญิงสาวคิดแล้วก็เผลอลืมไปว่าเขาขังนางเอาไว้ไม่ใช่เพราะรั้งนาง แต่กังวลว่านางจะทำเรื่องให้เขาเดือดร้อน น้ำตาใสไหลออกมาอีกหยดก่อนที่ร่างสวยจะทรุดลงไปนั่งร้องไห้กับพื้น นางจะร้องเป็นครั้งสุดท้าย ลี่ถังคิด ครั้งสุดท้าย...ลี่ถังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่างบานเดิม เสียงคนทั
บทที่ 6 แสร้งป่วย สาวใช้อีกคนวางถาดอาหารแล้วรีบตรงเข้ามาเขย่าร่างของลี่ถังแต่ผลที่ได้ก็คือนิ่งเฉยเช่นกัน "เจ้าเป็นอะไรไป แม่นางลี่ถัง ไม่ได้การแล้ว ข้าจะไปบอกท่านพ่อบ้าน" สาวใช้คนแรกลนลานวิ่งออกไป ส่วนอีกคนก็ยื่นมือไปแตะหน้าผากของหญิงสาวที่นอนอยู่ มันไม่ได้ร้อนแต่มันกลับเย็นผิดปกติและยังมีเหงื่อซึมนางเร่งไปตักน้ำร้อนมาเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย หากนายท่านรู้ว่านางละเลยไม่ได้ดูแลอะไรเลยแขกของนายท่าน นางอาจจะโดนลงโทษเอาได้ อีกด้านสาวใช้คนแรกก็เร่งไปบอกพ่อบ้านที่กำลังคุยกับมู่เฉิน"ท่านพ่อบ้านเจ้าคะ แม่นาง แม่นางลี่ถังที่อยู่ในเรือนรับรองไม่สบายเจ้าค่ะ" นางพูดพร้อมกับหอบหายใจเมื่อมาถึงพ่อบ้านที่กำลังพูดคุยเรื่องงานกับเจ้านายของจวนชะงักและเหลือบมองไปที่มู่เฉิน เขากัดริมฝีปากตนเองน้อย ๆ อย่างไม่พอใจ ที่มู่เฉินวางทุกอย่างในมือแล้วลุกเดินออกไปทันทีพ่อบ้านหันไปมองหน้าสาวใช้อย่างคาดโทษก่อนจะเดินตามเจ้านายออกไป มู่เฉินเร่งเดินไปยังเรือนรับรองทันทีที่ได้ยินว่าลี่ถังไม่สบาย เขาไม่รู้ตัว ร่างกายของเขาเป็นไปเช่นนี้เอง ทั้ง ๆ ที่ใจเขาบอกให้ไม่สนใจนาง วันก่อนก็เช่นกัน แม้จะมีคนมากมายแต่สายตาของเขาก็ดัน
บทที่ 5 เกลียดกันเท่าไร ก็ยิ่งหนีไปไม่ได้"ช่วงนี้นายท่านช่างอ่อนโยนกับซูปี้เหลือเกิน" เสียงสาวใช้ดังแว่วเข้าหูลี่ถังแต่หญิงสาวก็มิได้เอ่ยอะไร "พวกเราต้องทำดี ๆ กับนางเอาไว้นะ นายท่านรักใคร่เอ็นดูนางเช่นนี้ อีกไม่นานต้องแต่งนางแล้วยกให้เป็นฮูหยินแน่ ๆ วาสนานี่นะแข่งกันไม่ได้จริง ๆ" มิใช่ว่าไม่เห็นลี่ถังอยู่ตรงนั้น แต่สาวใช้ทั้งสองเลือกจะคุยและเหลือบมองมาที่นางอย่างตั้งใจเดิมทีตอนซูปี้ท้องโตขึ้นมา พวกนางก็ไม่รู้ว่าผู้ใดคือบิดาของเด็กในท้องเพราะซูปี้ไม่มีคนรัก อีกทั้งนายท่านและพ่อบ้านก็มิได้ตำหนิใด ๆ ที่ซูปี้ทำเรื่องน่าอับอายภายในจวน แต่ทุกสิ่งไขกระจ่างหลังจากที่นายท่านฟื้นจากโรดระบาด แท้จริงแล้วเด็กในท้องของซูปี้เป็นสายเลือดคนสกุลมู่นั่นเองทั้งสองสาวได้รับหน้าที่ยกอาหารมาที่เรือนรับรองนี้ หากไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้แขกอย่างนางฟัง จะพูดให้ใครได้ยินได้อีก ลี่ถังเม้มปากแน่น พลางก้มหน้ากินอาหารตรงหน้า หัวใจของนางราวกับถูกบีบจนแตกสลาย นางไม่เข้าใจว่ามู่เฉินโกรธเกลียดนางเพราะเหตุใด ถึงต้องขังนางเอาไว้ให้เจอกับเรื่องเช่นนี้ตอนแรกนางคิดว่าอีกฝ่ายขังนางเอาไว้เพราะกลัวว่านางจะกลับไปพูดเรื่องถอน