“บรรยากาศตรงนี้ช่างงามนัก” น้ำเสียงราบเรียบดังออกมาจากริมฝีปากได้รูปบนใบหน้าเฉยชาของหงซือกวน เขาแสร้งหันหน้าไปชื่นชมธรรมชาติพลางเอ่ยวาจาคล้ายประชดนางตรงโขดหินกระนั้น “มิคาดว่าเจ้าจักชมชอบมองศพลอยน้ำมา”เหม่ยหลินพลันหน้าแดงซ่าน เมื่อถูกชายปากหนักถนอมคำพูดมาตลอดทางกล่าวคำยาวเหยียดคล้ายเย้ากันอย่างนั้น “พี่หงล้อข้าเล่นแล้ว” นางก้มหน้าหลุบตาเขินอายเหลือเกินนี่นับได้ว่าเป็นการเกี้ยวกันได้หรือไม่หนอ?เมื่อหญิงสาวคิดได้อย่างนั้น จึงนึกชอบใจนัก นางถึงกับอมยิ้มพริ้มเพราอย่างไม่อาจห้ามใจ ก่อนจะระลึกได้ว่าไม่สำรวมจึงรีบปรับกิริยาเสียใหม่ให้เป็นปกติที่สุด ก่อนจะเงยขึ้นแล้วเอียงหน้าส่งสายตาสวยหวานสู้สายตาคมเฉี่ยวของชายหนุ่มตรงต้นไม้ นางคลี่ยิ้มงดงามแฝงความเจ้าเล่ห์ถึงสามส่วนยามเอ่ย“พี่หงหิวหรือไม่ เราเดินทางออกจากที่นี่ไปหาอะไรกินกันเถิด” นางต้องหลีกเลี่ยงสถานที่สุ่มเสี่ยงต่อความทรงจำของเขา หากว่าเป็นจริงดั่งลางสังหรณ์ พี่หงย่อมต้องไม่ธรรมดาชายคนหนึ่งที่อาจจะยิ่งใหญ่มากๆ เขาคงไม่คิดจะอยู่กับสตรีเช่นนางเป็นแน่ นางยังไม่อาจทำใจยอมรับได้เจ้าของเสียงแว่วหวานยังคงเอ่ยต่อ “ท่านอย่าเข้าไปที่หมู่บ้
แสงแดดสาดส่องทะลุก้อนเมฆตกกระทบผิวน้ำสีใสตลอดแนวตรงริมลำธารชายป่าถัดออกมาจากหมู่บ้านร้างที่ไม่ต่างจากสุสาน มีสตรีงดงามเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนและเร้าใจนางหนึ่งในอาภรณ์สีเขียวมรกตกำลังนั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่ง นางนั่งนิ่งจ้องมองในน้ำนึกแปลกใจเสียจริง ว่าเหตุใดปลาจึงไม่กินเหยื่อ เมื่อชะเง้อคอมองลงไปในลำธาร จึงได้เห็นศพเน่าเปื่อยขึ้นอืดลอยคอมา“อา...อย่างนี้นี่เอง เฮ้อ!”โหยวฟางหลัน ย่นจมูกก่อนถอนหายใจคำโตแล้วโยนเบ็ดทิ้งลงบึงไป ในใจนึกก่นด่าเจ้าศพบ้า! ไยไม่ลอยที่อื่น…หญิงสาวถอนหายใจอีกทีอย่างเบื่อหน่ายเป็นที่สุด เดิมทีนางเป็นถึงเจ้าสำนักหมื่นดารา อันได้ชื่อว่าเป็นสำนักของสตรีมากเล่ห์ฉายามารจิ้งจอกพันปี หากกล่าวขานถึงสตรีที่ชั่วร้ายที่สุด คงไม่พ้นตัวนางนี่ล่ะเฮ่อ! แต่ใครจะไปคาดคิด ว่าสำนักของนางจักล่มสลายเพราะบุรุษ บัดซบที่สุด!ฟางหลัน มีศัตรูตัวฉกาจอยู่ผู้หนึ่งนามว่าอู๋เมิ่ง เขาคือเจ้าแห่งสำนักไผ่เขียว เป็นชายเหนือชาย สะสมสมุนมากมายที่ล้วนแล้วแต่เป็นชายวัยฉกรรจ์ในวันหนึ่งนั้น ชายงามนามว่าหย่งหนานที่เป็นถึงองค์ชายแคว้นต๋าเจี๋ย เกิดหลงใหลในตัวฟางหลันเป็นอย่างมาก ด้วยเห็นเสน่ห์อันเลิศล้ำของนางท
ตำหนักเสียนฝูกง อันเป็นที่ประทับของสนมเซียงกุ้ยเฟย นามว่า ซินเหยาหลังจากที่เจ้าของตำหนักได้ฟังคำบอกเล่าจากนางกำนัลคนสนิท ว่าขันทีกับนางกำนัลปากมากถูกโบยจนตายไปแล้ว ก็ยกยิ้มเย็นชาออกมาแวบหนึ่งแค่เท่านั้น นางหาได้เห็นใจกันแม้แต่น้อย“เสด็จแม่ทรงให้เจ้าสองคนนั่นคาบข่าวเรื่องเหม่ยหลินไปทูลเสด็จพ่อหรือเพคะ” เสียงของหญิงสาวงดงามในอาภรณ์สีแดงสดที่นั่งอยู่ยังโต๊ะตรงข้ามกับเจ้าของตำหนักเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกอันใดให้เห็น มีเพียงแววตาร้ายกาจที่ทอประกายสะใจอยู่ตลอดเวลา การเบียดเบียนชีวิตผู้คนช่างรื่นรมย์ยิ่ง“ย่อมเป็นเช่นนั้น หากพวกมันต้องการให้พ่อแม่พี่น้องที่บ้านอยู่อย่างปกติสุข จะไม่ยอมทำเชียวหรือ?” ซินเหยาเอ่ยตอบธิดาของตนด้วยน้ำเสียงเหยียดหยันในชีวิตไร้ค่าเยี่ยงผักปลาของข้าบริวาร“แค่นี้ก็รอนังเหม่ยหลินกลับเข้ามารับโทษจากเสด็จพ่อก็เท่านั้น หากว่ามันยังมีชีวิตอยู่นะ” เหม่ยฮว๋าเอ่ยกลับทันควัน แสยะยิ้มสมใจมากกว่าเดิมซินเหยาได้ฟังเพียงยิ้มเย็น พลางจิบชาเหมาเฟิงด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์ มิว่ากล่าวหรือทัดทานตักเตือนธิดาตนแต่อย่างใด ทุกเรื่องราวที่กระทำล้วนเป็นเรื่องปกติของสต
พระราชวังต้าโจวเนื่องจากโจวเหวินหลงฮ่องเต้ต้องการแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติด้วยพระองค์เอง จึงออกเยี่ยมเยือนราษฎรเสียหลายวัน กระทั่งกลับเข้าวังหลวงแล้วพักผ่อนจนพอพระทัย ก็ได้รับข่าวว่าพระธิดาคนสำคัญได้แอบหนีออกไปเที่ยวนอกวัง ทำเอาสีพระพักตร์ของพระองค์ทรงดำคล้ำลงหลายส่วนภายในห้องโถงของตำหนักเฉิงเฉียนกงจึงมีพระวรกายสูงค่าของโอรสสวรรค์นั่งประทับอยู่หลังโต๊ะสลักลวดลายแสนวิจิตรประดับทองคำแท้เหลืองอร่าม ด้วยท่าทางเคร่งขรึม บ่งบอกอารมณ์บางประการที่ทำให้ข้ารับใช้ต้องก้มหน้าแทบจะมุดพื้นห้องภายในตำหนัก“หลินเอ๋อร์แอบหนีไปเที่ยวยามที่เราไปว่าราชการนอกวังหลวงกระนั้นหรือ?” เจ้าแห่งแผ่นดินทรงตรัสย้ำถามไปทางขันทีผู้หนึ่งที่คาบข่าวมาบอกทันทีที่พระองค์ทรงประทับนั่งเก้าอี้“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ขันทีผู้นั้นก้มศีรษะโขกพื้นแล้วเงยหน้าขึ้นตอบ “กระหม่อมได้รับความนี้จากนางกำนัลของตำหนักองค์หญิงเหม่ยหลินพ่ะย่ะค่ะ นางร้อนใจยิ่งนัก มิคาดว่าองค์หญิงจะทรงหนีเที่ยวอย่างซุกซน เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาถึงตำหนัก กระหม่อมจึงนำความมาแจ้งทันที พ่ะย่ะค่ะ”โจวเหวินหลงฮ่องเต้หรี่พระเนตรลงจนเกิดริ้วรอยตามวัยชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อพระอ
ไม่รู้ว่าทำไมกัน นางจึงมองเห็นภาพพี่หง เสมือนยืนเหยียบชิ้นส่วนศพนับร้อยบนซากปรักหักพังนั่นหญิงสาวยืนนิ่งจ้องมองแผ่นหลังกว้างของชายตรงหน้าที่มีนกทมิฬตัวใหญ่เกาะไหล่อยู่ไม่ห่าง นางรู้สึกได้ว่า ตั้งแต่เจอกับพี่หง นางก็มักจะได้เจอเรื่องน่าสะพรึงมาโดยตลอด ตั้งแต่การฆ่าเลือดสาดจนกระทั่งสังหารโหดแบบตายหมู่ในสภาพแขนขาขาดหลุดลอยกระเด็น ศพตายเกลื่อนกลาดกระจัดกระจายให้ได้เห็น ตั้งแต่วัดร้างกระทั่งก่อนตกหน้าผา ทุกที่ที่เดินผ่านมา เหล่าสัตว์ร้ายยังต้องเว้นทางให้เขาเหม่ยหลินสัมผัสได้ว่าพี่หงเป็นบุรุษเหนือสามัญตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน เสื้อผ้าเนื้อหนาสีดำสนิทของเขาก็ไม่ธรรมดา รองเท้าหนังสีดำด้านที่หุ้มมาถึงเข่าก็หาได้พบโดยทั่วไปที่ใครจักสามารถหามาใส่กัน กิริยาท่าทางที่สงบเยือกเย็นของเขานั้นยังแฝงกลิ่นอายอันตรายตลอดเวลา การเข่นฆ่าศัตรูก็โหดเหี้ยมมองไม่เคยทัน แค่พริบตาเดียวคนเหล่านั้นก็กลายเป็นศพเพียงชั่วอึดใจยามเป็นเด็ก นางเคยอยู่ในเหตุการณ์กบฏกลางเมืองมาแล้ว ยามนั้นนางได้รับการคุ้มกันจนปลอดภัย หากแต่สายตาของนางล้วนมองเห็นและเก็บภาพการเข่นฆ่ากบฏเอาไว้ได้โดยละเอียด หากแต่นั่นกลับเป็นภาพที่ชวนหวาดผ
เหม่ยหลินทำท่าครุ่นคิดได้อย่างสวยงาม ดวงตาทอประกายน่ามองเป็นอย่างมาก หากแต่ชายหนุ่มข้างกายพลันยกมือปรามหญิงสาวจึงกะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นพี่หงรีบห้ามเช่นนั้น เพื่อมิให้นางได้คิดนามใหม่ให้แก่เขาหงซือกวนมิได้รังเกียจ หากนางอยากจะมีน้ำใจตั้งนามให้กับคนความจำเลอะเลือนเช่นเขา แต่ทว่านามที่นางช่วยคิดให้เจ้าเฟยเฟยนั้น...ทำเขานึกหวาดหวั่นไม่เบาชายหนุ่มจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ“นามของข้าคือหงซือกวน”“หืม...” เหม่ยหลินพลันตาโต คลี่ยิ้มสดใสมากกว่าเดิม “ท่านจำเรื่องของตนเองได้แล้วหรือ?”“เปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยปฏิเสธด้วยท่าทางเรียบเฉย“ข้าจำได้แค่นามตนเองก็เท่านั้น หาได้จำสิ่งอื่นใดมากไปกว่านี้”หญิงสาวรีบให้กำลังใจกันตามแบบฉบับของนาง “ท่านจำนามของตนเองได้แล้ว ช่างดียิ่งนัก นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี ท่านอย่าคิดมากเลย” จบคำก็เดินอ้อมมาด้านหน้าของคนตัวสูงแล้วเงยหน้าจ้องมองเขาแบบเต็มตา พาวงหน้างดงามพร้อมรอยยิ้มจริงใจสว่างสดใสส่งให้แก่เขาอีกครั้งที่หงซือกวนต้องก้มหน้ามองใครบางคนด้วยสายตาคมดำที่นุ่มลึกมากกว่าเดิม“ไปเถิด”เสียงทุ้มห้าวทรงพลังเอ่ยแค่เบาๆ เพื่อบอกนางตรงหน้าให้เดินทางต่อไป เขาเพียงเบี