เวลาผ่านไปอีกเกือบหนึ่งเค่อ เสียงย่ำเท้าของใครบางคนก็ใกล้เข้ามายังทิศทางของรถม้าที่เหม่ยหลินนั่งอยู่
หญิงสาวถึงกับชะงักงันตกใจ เนื้อตัวสั่นเทาเพิ่มขึ้นมา
นางคิดว่าเป็นพี่หงของนางอยู่ห้าส่วนและอีกห้าส่วนนางคิดว่าเป็นคนร้าย
มันย่อมเป็นไปได้ด้วยเหตุการณ์เฉียดตายที่เกิดขึ้นก่อนหน้าบอกกล่าวแก่นางได้เป็นอย่างดี
หญิงสาวจึงเริ่มมีเนื้อตัวที่สั่นเทาเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย เมื่อระลึกได้แล้วว่าอีกห้าส่วนอาจจะเป็นคนร้ายที่หมายคร่าชีวิตของนาง
และเพียงอึดใจต่อมา เมื่อผ้าม่านพลันถูกเปิดออกด้วยฝ่ามือใหญ่หนาของใครบางคน
ใครบางคนนั้นที่เหม่ยหลินได้เห็นทำให้นางต้องตกใจตาโตก่อนจะเปลี่ยนเป็นโล่งใจที่สุดในชีวิต
เขาคือพี่หงของนาง
เหม่ยหลินไม่รอช้า นางรีบขยับกายเข้าหาเขาในทันทีโดยไม่รู้ตัว
“อา...พี่หง ข้านึกว่าเป็นคนร้ายเสียอีก” นางกล่าวคำด้วยน้ำเสียงหวานล้ำยินดีอย่างที่สุด
นางเห็นเขาถือไก่ป่าติดมือมาถึงสองตัว เขาคงไปหาอาหารมาให้นางอย่างไม่ต้องสงสัย เหม่ยหลินคิดได้อย่างนั้นพลันส่งยิ้มหวานหยดยิ่งกว่าเดิมส่งให้
ท่าทางของเขาที่น่ากลัวจับใจแต่กลับนึกถึงปากท้องของนาง
หญิงสาวไม่รอช้า นางรีบกระวีกระวาดด้วยท่าทางอ่อนโยนเตรียมลงจากรถม้าเพื่อหวังจะลงไปช่วยเขาจัดการกับอาหารมื้อนี้ด้วยกัน
นางควรมีประโยชน์กับเขาบ้าง แม้เพียงน้อยนิดก็ยังดี
เหม่ยหลินคิดอย่างนั้นพลางทำท่าจะลงจากรถม้าอย่างทุลักทุเล ด้วยเพราะว่ายามปกติมักจะมีบ่าวไพร่คอยช่วยเหลือจับพยุงแต่ในยามนี้นางไม่มีใคร
หญิงสาวจึงใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะลงจากรถม้าด้วยตัวเองโดยที่จะไม่ต้องสะดุดหกล้มให้เสียจริตต่อหน้าบุรุษร่างสูงตรงหน้าให้นางต้องอับอาย
ในขณะที่เหม่ยหลินกำลังทำท่าทางจะลงจากรถม้าด้วยท่วงท่ามุ่งมั่นเกินมนุษย์อยู่นั้น ฝ่ามือใหญ่ของบุรุษลึกลับตรงหน้าพลันยื่นออกมาตรงด้านหน้าของเหม่ยหลิน
หญิงสาวถึงกับชะงักงันด้วยคาดไม่ถึง
นางทำได้เพียงมองฝ่ามือใหญ่นั้นด้วยอาการแข็งค้างกลางอากาศ ในขณะที่เจ้าของฝ่ามือเพียงยืนรอนางอย่างใจเย็น สายตาคมเฉี่ยวดำลึกจับจ้องที่วงหน้านาง
ฝ่ามือของเขาก็ยังคงยื่นเอาไว้ตรงด้านหน้าของนางอย่างใจเย็นเช่นเดียวกัน
เขาดูใจเย็นทุกยามเวลาทุกกิริยาท่าทาง
แต่ยกเว้น...
ยามฆ่าคน
นางไม่เคยมองได้ทัน
ทุกกระบวนท่ายามสังหาร เขากระทำการได้อย่างรวดเร็วรวบรัดปานสายฟ้าฟาด ผิดกับบุคลิกสงบเยือกเย็นที่เผยให้เห็นยามมิได้ฆ่าใคร
หญิงสาวคิดในใจพลางเมียงมองฝ่ามือใหญ่หนาของบุรุษร่างสูงตรงหน้าตาปริบๆ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมฝ่ามือน้อยๆ ของตนขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้ววางเอาไว้บนฝ่ามือของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
สีหน้าคนงามยามนี้ดูสงบนิ่งจริงจัง ฉายแววความเป็นสตรีที่เปี่ยมพลังน่าค้นหา มิใช่สตรีอ่อนหัดที่ทำได้เพียงเดินชดช้อยไปมาในเรือนนางดูสุขุมนุ่มนวล สายตาเฉียบขาดทว่าอ่อนโยน ท่าทางสูงส่งทว่าอ่อนน้อมถ่อมตนเมื่อพิศมองเนิ่นนาน จึงพบว่าสตรีนางนี้ มีเสน่ห์งดงามและเข้มแข็งความเป็นผู้นำของนางล้วนมีให้เห็น แต่ในความเป็นผู้นำนั้นกลับมีความเป็นผู้ตามที่ดี ซึ่งบ่งบอกว่าไว้วางใจได้ อาจจะเทียบเท่าการฝากฝังชีวิตให้ดูแลได้เลยกระมังนัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองฟางหลันไม่กระพริบ ในใจพลันรู้สึกอยากเห็นนางยามออดอ้อน ช้อนตามองเขาอย่างเอียงอาย พร่ำคำรักให้กันได้ยิ่งดียามแข็งขึงประหนึ่งดั่งหินผา ยามอ่อนโยนกลับละมุนตาน่าหลงใหลถึงแม้ว่าหยวนจงจะยังไม่เคยได้เห็นมุมอ่อนโยนของฟางหลัน หากแต่เขากลับรู้สึกได้เช่นนั้นในยามนี้ชายหนุ่มเกิดและโตมาในตระกูลที่มีสตรีเต็มหลังเรือน บิดาของเขามีภรรยาหลายคนภรรยาแต่ละคนของบิดานั้น บางคนมารยาจนน่ารำคาญ บางคนดื้อรั้นจนน่าสั่งสอน และบางคนก็ร้ายกาจเสียจนน่าสังหารทิ้ง แต่ทุกคนก็เป็นเพียงสตรีบอบบาง ที่วันๆ เอาแต่เดินไปเดินมาจนรกหูรกตา สิ่งที่พวกนางทำได้ ก็มีแต่หาวิธีชั่วช้าเรียกร้องความสน
“กลับมาแล้วหรือ?” เสียงหวานใสเอ่ยทักทายทันที ที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นใครบางคนยืนพิงขอบประตูอยู่ประโยคคำถามนั้นทำเอาหยวนจงถึงกับรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างประหลาดภาพของสตรีงดงามนั่งปักผ้ารอกินข้าว แล้วเอ่ยประโยคสามัญเยี่ยงภรรยาแสนดีที่มีต่อสามีสิ่งที่ฟางหลันทำอยู่นี้ทำเอาหยวนจงถึงกับนิ่งอึ้งฟางหลันเห็นใบหน้าหล่อเหลาแข็งค้าง เรือนร่างสูงใหญ่แข็งขึง จึงหรี่ตามองแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เราตกลงกันแล้วว่าจะเป็นเพียงสหายที่ดีต่อกัน เช่นนั้นแล้ว...”นางหลุบตาลงเล็กน้อย แล้วจ้องเขม็งที่กลางลำตัวของหยวนจง พลางเอ่ยต่อเนิบนาบ“เจ้าแท่งหยกของท่าน จงอย่าริบังอาจตื่นผงาดชี้หน้าข้า!”หยวนจงถึงกับหางคิ้วกระตุก ใบหน้าคมคายถึงกับขึ้นสีระเรื่อ เมื่อได้ฟังคำตรงมาตรงไปจากอีกฝ่ายนางช่างพูดจาได้อย่างไร้ยางอายสิ้นดี ไม่รู้หรือไร ว่าแท่งหยกนั้น มันมีชีวิตเป็นของมันเอง!“เจ้าก็อย่ามากมารยามิได้หรือไร?” เสียงทุ้มต่ำแตกพร่าดังออกมาอย่างขัดเคืองเขามิได้พิศวาสนางเลยแม้แต่น้อย แต่แท่งหยกของเขามันทรงพลังเกินควบคุมถึงเพียงนี้ จักให้ทำเช่นไร?ฟางหลันยกมือขึ้นกอดอกยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็คนมันงาม”“สตรีเช่นเจ้าเรียกว่างาม ก็
ยามราตรีเย็นเยียบเวียนมาบรรจบอีกครั้งค่ำนี้เป็นคืนที่เท่าไหร่แล้วหนอ ที่ซือฮุยกับเพ่ยอิงต้องคอยจัดฉาก ว่าองค์หญิงเหม่ยฮว๋าทรงพักผ่อนอยู่ในห้อง และไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวนสาวใช้ทั้งสองนั่งอยู่ที่ด้านหน้าประตูห้องส่วนตัวของเหม่ยฮว๋า เพื่อคอยคุ้มกันมิให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้ามามิรู้ได้ว่าองค์หญิงทรงไปท่องเที่ยวถึงไหนต่อไหน ไปเจอสิ่งใดถูกใจกัน ถึงไม่กลับมาเสียทีทั้งสองทำได้แค่ถอนหายใจหนักหน่วง รู้สึกหนักอึ้งในอกเหลือจะกล่าวหลายวันมาแล้วที่ท่านแม่ทัพเดินทางกลับเข้าจวนมา พวกนางต้องรีบออกไปรับหน้าตั้งแต่หน้าประตูเรือนของท่านแม่ทัพด้วยเกรงว่าเขาจะเข้าหาองค์หญิงถึงในเรือน!ดียิ่งนักที่ท่านแม่ทัพมิได้ย่างกรายเข้ามาที่เรือนขององค์หญิงเลยสักวันเดียว มิเช่นนั้นคงจะได้เจอแต่ผ้าห่มม้วนเอาไว้บนเตียงนอนเย็นเฉียบไร้ซึ่งร่างอุ่นของภรรยาเฮ้อ!สาวใช้ทั้งสองถอนหายใจอย่างพร้อมเพรียงกัน การถอนหายใจนั้นผสมปนเประหว่างโล่งอก เบื่อหน่าย ระอา และน้อยเนื้อต่ำใจที่โล่งอกก็เพราะท่านแม่ทัพมิได้มาหาองค์หญิง ที่เบื่อหน่ายก็เพราะต้องนั่งเฝ้าห้องที่ว่างเปล่า ที่ระอาก็เพราะเบื่อนิสัยเอาแต่ใจไร้ความคิดขององค์หญิงเต็มทีและ
“เจ้ามีเรือนลับอยู่ที่ใดบ้างหรือไม่?” หรงชางถามเหม่ยฮว๋าเสียงเข้มหาได้ตอบคำถามนาง ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววจริงจัง สายตาเรียวคมจับจ้องนางไม่วางตาเขากำลังต้องการหาที่หลบภัยตามคำเตือนของเฉิงอู่“ท่านจะถามทำไม ธุระกงการอันใดของท่านไม่ทราบ!” เหม่ยฮว๋าเชิดหน้ากล่าวเสียงเหยียดหรงชางหรี่ตามองแวบหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาบีบปลายคางของเหม่ยฮว๋าอย่างแรง“อย่าเล่นลิ้นกับข้า มิเช่นนั้นเรื่องของเรา ข้าจะไปบอกสามีของเจ้าให้หมด”“...!?”เหม่ยฮว๋าถึงกับเบิกตาโพลง ริมฝีปากสีแดงสดพยายามจะด่าทอ แต่จนใจจะเอ่ยปาก เพราะปลายคางถูกบีบจนเจ็บไปหมดหญิงสาวทำได้แค่ถลึงตาจ้องมองชายตรงหน้าอย่างโกรธกรุ่น เห็นเพียงสายตาคู่คมที่มีเสน่ห์ลึกล้ำในระยะประชิด นางจึงทำได้แค่กะพริบตาปริบๆอึดใจใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มเข้ามา ถึงแม้ว่าฝ่ามือเขาจะยังคงจับตรึงปลายคางมนหรงชางก้มหน้าลงประกบริมฝีปากตนกับกลีบปากเหม่ยฮว๋า แล้วบดขยี้ไม่ปรานีปลายลิ้นร้อนชื้นตวัดแทรกโพรงปากหวานล้ำของหญิงสาว เขากระทำการเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่แฝงความเร่าร้อนอย่างช่ำชอง สร้างความรู้สึกปั่นป่วนไปทั่วท้องน้อยของเหม่ยฮว๋าความรู้สึกร้อนรุ่มพลันพวยพุ่งฉุดก
ร้านฟาไฉย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน ยามที่หรงชางกลับมาที่ร้านฟาไฉเขาจึงพบกับร้านของเขาที่เคยหรูหรา กลับกลายสภาพราวกับเป็นสถานที่รกร้างไม่ต่างจากสุสาน ไร้ผู้คน ไร้สมุน มีเพียงลักษณะของร้านที่คล้ายมีลมพายุหมุนพัดวูบมาแล้วพาสรรพสิ่งหมุนไปกับพายุนั้นทั่วทั้งร้านกลายสภาพไม่ต่างจากสมรภูมิรบหลังความตาย ให้รู้สึกวังเวงยิ่งนักสายตาเรียวคมบนใบหน้าหล่อเหลามองสำรวจไปทั่วอย่างแปลกใจ เขาเดินเข้ามาด้านในอย่างเงียบงันอัญมณีและเครื่องประดับของมีค่าทั้งหมดหายไปไม่มีเหลือ คล้ายกับถูกโจรบุกถล่มกวาดเอาไปจนเกลี้ยงเมื่อเดินมาเรื่อยๆ ถึงห้องด้านใน หลงจู๊ที่เฝ้าร้านอยู่ถูกจับมัดแล้วขังเอาไว้ในห้องนั้น หรงชางหรี่ตามองอย่างโกรธกรุ่นก่อนจะเข้าแก้มัดด้วยความรุนแรงคล้ายบันดาลโทสะหลงจู๊ได้แต่ร้องโอดครวญ ใบหน้าบิดเบี้ยว“จงบอกข้า ว่าเกิดสิ่งใด!” เสียงของหรงชางที่เคยทุ้มนุ่มบัดนี้แหบห้วนยิ่งนักหลงจู๊ได้แต่คุกเข่าอยู่กับพื้น ก้มหน้าพูดเสียงสั่นว่า “ร้านฟาไฉถูกปล้นขอรับ”หรงชางเบิกตากว้างทันใด ร้านฟาไฉถูกปล้นจริงหรือนี่?มหาโจรเช่นเขาถูกปล้นรึ?หลงจู๊เงยหน้าที่มีน้ำตากลิ้งอาบแก้มพลางเล่าว่า“เฉิงอู่กลับเข้ามาในส
หน้าห้องของเหม่ยหลินหลังจากคล้อยหลังสง่างามของจ้าวฮองเฮาไปนานแล้ว ก็มีนางกำนัลอาวุโสมายืนอยู่จนเต็มพื้นที่นางกำนัลเหล่านี้ ไม่พ้นรับคำสั่งมาให้คอยดูแลขัดเกลาหมายบ่มเพาะเหม่ยหลิน เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวในงานสมรสเชื่อมสัมพันธ์นอกจากนางกำนัลมากมายแล้วยังมีองครักษ์หญิงหลายคน มายืนขึงขังเต็มไปหมดเหม่ยหลินจึงรู้แน่ชัดว่ากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงใด นางกำลังถูกกักบริเวณ!หญิงสาวจึงทำได้เพียงหลับตาลงเพื่อข่มจิตใจเนิ่นนานผ่านไปนางก็ยังนั่งอยู่ในตำหนัก ที่บัดนี้มิต่างจากคุกหลวง เพราะว่านางถูกขังเอาไว้มิให้ได้ออกไปที่ใด กระทั่งนางกำนัลที่คอยส่งข่าวไปหาฟางหลัน หญิงสาวก็ยังไม่สามารถหาทางติดต่อได้ เนื่องจากนางกำนัลผู้นั้นถูกจับไปกักตัวเอาไว้ เพื่อมิให้ใครส่งข่าวหรือนางส่งข่าวหาใครได้ นางจึงนั่งอย่างเดียวดาย ร่ำไห้ไร้หนทางเลือกเป็นอื่นสามวันผ่านมาภายในห้องหรูหราแต่เงียบเหงา มีเงาร่างระหงเลือนราง นั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติงอยู่ริมหน้าต่าง นางไม่ได้รับอนุญาตแม้กระทั่งให้ออกไปเดินเล่นรับแสงตะวันนอกตำหนักเหม่ยหลินได้แต่นั่งบรรเลงเพลงพิณเพื่อถ่ายทอดอารมณ์แสนเศร้า ดวงหน้าหวานล้ำเคล้าไปด้วยหยาดน้ำใสพร้อมหลั