Masukท่ามกลางความเงียบงันที่ปกคลุมไปทั่วลานหมู่บ้าน จ้าวหงเทียนยืนตัวแข็ง ใบหน้าแดงก่ำไม่ใช่เพราะความเขินอาย แต่เป็นความอับอายที่พลุ่งพล่านอยู่ในอกจนแทบระเบิดเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า วันหนึ่งเขาจะต้องยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้...ในสภาพของผู้ชายที่ถูกหักหน้า โดยสตรีที่เขาเห็นว่า ควรภูมิใจที่ถูกเลือก
"เจ้า..." เสียงคำรามต่ำลอดไรฟันของเขาอย่างแผ่วเบา"เป็นแค่หญิงบ้านนอกผู้ไร้ตระกูล ไร้ราก... เจ้าน่าจะรู้สึกซาบซึ้งเสียด้วยซ้ำที่ข้าลดตัวลงมาหา!"
สายตาของเขากลายเป็นดั่งเปลวเพลิงที่คุโชนด้วยโทสะความเย็นชาของไป๋เสวี่ยหรง ไม่เพียงแต่หักเกียรติของเขาแต่มันกำลังทำลายความเชื่อมั่นที่เขาสร้างขึ้นมาตลอดชีวิต!
“หากข้าไม่ได้เจ้า... ก็ไม่มีผู้ใดสมควรได้เช่นกัน!” พริบตานั้น พลังปราณแห่งไฟก็พวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา
เปลวเพลิงสีส้มแดงลุกวาบ ประกายไฟสาดกระเซ็นกลางอากาศเขาสะบัดมือ ส่งพลังเพลิงพุ่งทะยานตรงไปยังใบหน้างดงามของนางไม่ใช่เพียงเพื่อสั่งสอน แต่คือเจตนา ทำลายอย่างแท้จริง!เสียงกรีดร้องแผ่วเบาดังจากฝูงชนด้านข้าง บ้างยกมือปิดปาก บ้างหันหน้าหนี
แต่ไป๋เสวี่ยหรง...ยังคงยืนอยู่อย่างมั่นคงในสายตาของนาง การเคลื่อนไหวของเขาช่างเชื่องช้าช้าเสียจนดูราวกับเด็กที่เพิ่งฝึกใช้ปราณเพียงแค่ขยับปลายเท้าเล็กน้อย ร่างของนางก็ลื่นไหลหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดายเปลวเพลิงพุ่งผ่านร่างของนางไป กระทบพื้นเบื้องหลังจนเกิดเสียงดังสนั่นทันใดนั้น... อุณหภูมิรอบบริเวณก็ลดฮวบลงในพริบตาไอเย็นแผ่กระจายออกมาจากร่างของนางโดยไม่รู้ตัวไอสีขาวเริ่มลอยขึ้นจากพื้น หญ้าภายใต้ฝ่าเท้ากลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งบางๆ
“เจ้า...กำลังล้ำเส้น” เสียงของไป๋เสวี่ยหรงดังกังวานอ่อนโยนแต่เฉียบคม จ้าวหงเทียนยืนแข็งทื่อราวกับวิญญาณหลุดลอย
แววตาของเขาเบิกโพลง สะท้อนเงาร่างของสตรีตรงหน้าที่กำลังยืนอย่างสงบสง่า ราวกับหาได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นมาก่อนหัวใจของเขาเต้นกระหน่ำ ไม่ใช่เพราะความหลงใหลในรูปลักษณ์ของนางอีกต่อไปแต่เป็นเพราะ ความตื่นกลัวที่กำลังแทรกซึมเข้ากระดูก
"ไม่… เป็นไปไม่ได้" เสียงสะอื้นเบาๆ ดังในลำคอมือของเขาสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว เมื่อครู่การโจมตีของเขาไม่ใช่เล่นๆมันเป็นคลื่นปราณเพลิงแท้จริง เป็นทักษะระดับกลางแต่สตรีที่เขาคิดว่าไร้ฝีมือ... กลับหลบมันได้ง่ายราวกับการปัดฝุ่นออกจากไหล่
จ้าวหงเทียนยิ่งคิด ยิ่งสับสนหากไป๋เสวี่ยหรงมีฝีมือระดับนี้จริง เหตุใดเมื่อห้าปีก่อนนางถึงไม่ผ่านการคัดเลือกเข้าสำนักฝึกตน?ทำไมนางถึงถูกจัดว่า “ไร้พรสวรรค์”?ทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมานางถึงใช้ชีวิตเงียบๆ ราวกับหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งในหมู่บ้าน? เขาเคยคิดว่านางมีดีแค่เพียงรูปลักษณ์เขาเคยคิดว่านางควรภูมิใจ ที่เขาเสนอให้ยืนเคียงข้างแต่ตอนนี้...สิ่งที่เขาเผชิญอยู่เบื้องหน้าไม่ใช่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา แม้สัญชาตญาณภายในจะร่ำร้องเตือนเขาว่า อย่ายุ่งกับนางแม้สัญญาณความตายจะกรีดเสียงลึกในหัวใจ แต่สำหรับ จ้าวหงเทียนชายผู้ถูกเลี้ยงมาด้วยคำสรรเสริญเกียรติศักดิ์ศรี ความหยิ่งทะนง…ล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่มีวันยอมวางทิ้ง
หากถอยตอนนี้ เขาจะเหลืออะไรให้ภาคภูมิใจ? หากเขาก้มหัวให้กับสตรีเพียงนางเดียวต่อหน้าฝูงชน
ต่อไปใครจะยังเคารพเขา? เขากัดฟัน พยายามกลืนความกลัวลงไปทั้งก้อนปรับสีหน้าใหม่… ฝืนยิ้มแบบผู้ชนะที่ แค่ยังไม่เอาจริง "เจ้าเองก็มีพลังฝีมือไม่เลว... แต่ครั้งต่อไป ข้าไม่พลาดแน่"
น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยแรงอาฆาตแววตาของเขาไม่ใช่เพียงการท้าทาย แต่มันคือคำขู่แบบคนสิ้นหนทางฝ่ามือของเขาถูกยกขึ้นสูงเหนือหัวเปลวเพลิงสีแดงเข้มปะทุออกมาอย่างบ้าคลั่งพลังปราณเดือดพล่านหมุนวนจนพื้นดินแตกร้าวเป็นทางยาวคลื่นเพลิงลูกนี้หากกระแทกใส่ใครโดยตรง มีสิทธิ์ดับชีพได้ในพริบตา!
ฝูงชนในหมู่บ้านพากันตะลึงงันหลายคนรีบถอยหนี บ้างหลบอยู่หลังต้นไม้ บ้างปิดปากกลั้นเสียงร้องแววตาของพวกเขาเต็มไปด้วย ความกลัวและไม่เข้าใจว่าเหตุใดจ้าวหงเทียนจึงกล้าทำรุนแรงถึงเพียงนี้พลังเพลิงขนาดใหญ่ถูกซัดออกจากฝ่ามือของเขาม้วนตัวกลางอากาศเหมือนมังกรเพลิงคำรามฟ้าดิน
แต่ในสายตาของไป๋เสวี่ยหรง...มันไม่ต่างอะไรจากเปลวของไม้ขีดไฟ เธอไม่ได้ขยับตัวแม้แต่ก้าวเดียวไม่ได้เอ่ยคำใดเพื่อปกป้องตนเองไม่ได้เรียกพลังมาป้องกันแบบใครเขาทำนางเพียงแค่…กระดิกนิ้วเพียงครั้งเดียว
เพลิงที่แผดเผาทุกสิ่ง... ถูกแช่แข็งลงอย่างไร้ร่องรอย ทั้งพลังโจมตี ทั้งประกายอาฆาต ทั้งความหยิ่งผยองกลายเป็นน้ำแข็งแตกละเอียดในพริบตาและที่น่าตื่นตะลึงยิ่งกว่านั้น...ร่างของจ้าวหงเทียนยืนแข็งทื่ออยู่กลางลานกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งสมบูรณ์แบบใบหน้าของเขายังแสดงอาการตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง คำพูดสุดท้ายแข็งค้างในลำคอ
พื้นลานทั้งบริเวณ... เปลี่ยนเป็นทุ่งน้ำแข็งที่ปกคลุมไปทั่วในรัศมีกว่าสิบจั้งหญ้าแข็งตัวในทันทีแม้กระทั่งลมหายใจของผู้ชม… ก็กลายเป็นไอขาวและเธอไป๋เสวี่ยหรงเพียงแค่หันหลังกลับ...เดินจากไปอย่างเงียบงัน
"ลูกแม่... จ้าวหงเทียน ลูกแม่!" หญิงสาววัยกลางคนวิ่งพุ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา ร่างของนางทรุดลงข้างปฏิมากรรมน้ำแข็งที่เป็นบุตรชายนางไม่สนสายตาของใคร ไม่สนแม้แต่ไอเย็นที่กัดผิวผิวจนชาเฉียบดวงตาแดงก่ำของนางสบมองใบหน้าที่เย็นชาของลูกชายมือของนางสั่นไหว แตะเบาๆ ลงบนแผ่นน้ำแข็งใสราวกระจกเสียงร้องของนางเต็มไปด้วย ความกลัว ความเจ็บปวด
"ไป๋เสวี่ยหรง… ได้โปรด ยกโทษให้บุตรชายของข้าด้วยเถิด..."เสียงวิงวอนนั้น ไม่ใช่เสียงของหญิงผู้ถือศักดิ์แต่มันคือเสียงของมารดาผู้ไม่อาจทนเห็นลูกต้องสูญสิ้นอนาคตไป๋เสวี่ยหรงไม่ได้หยุดเดินนางไม่แม้แต่จะเหลือบตามองร่างของนางเคลื่อนผ่านไอเย็นรอบตัวอย่างสงบแต่เสียงของนาง... ก็ดังขึ้นกลางอากาศ ราบเรียบ ทว่าเยือกเย็น
"ปล่อยให้มันเป็นปฏิมากรรมน้ำแข็งไปสักเจ็ดวัน...เดี๋ยวน้ำแข็งก็จะหลอมละลายเอง"น้ำเสียงของนางสงบนิ่งเกินบรรยายแต่ทุกรอบพยางค์กลับทิ่มแทงจิตใจของทุกคนที่ได้ยิน
"หากมันยังกล้า… มาสร้างความวุ่นวายกับข้าอีก...ข้าจะแช่แข็งมันไว้… อีกสักร้อยปี"คำพูดสุดท้ายของนาง ราวกับสะกดลมหายใจของทุกคนอากาศรอบข้างพลันหนาวยะเยือก ไร้เสียง ราวกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะแม่ของจ้าวหงเทียนทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรงนางร้องไห้ ขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"ขอบคุณ... ขอบคุณ... ขอบคุณที่ไว้ชีวิตลูกข้า..." เสียงของนางสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความกลัวและโล่งใจเพราะแม้จะถูกทำให้กลายเป็นน้ำแข็งแต่บุตรของนาง ยังมีลมหายใจและ ณ เวลานี้...ไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านจิ่วอันยังกล้าคิดว่าไป๋เสวี่ยหรง... เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาอีกต่อไป
ภายใต้สายลมเย็นที่ยังคงหลงเหลือจากพลังปราณของนาง บรรยากาศทั้งลานหมู่บ้านเงียบสงัดราวกับถูกตรึงด้วยคำสั่งของสวรรค์ ไม่มีแม้แต่เสียงหายใจดังๆ ของผู้ใดจะกล้าดังขึ้นในยามนี้...
เหล่าตัวแทนชายหนุ่มและหญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยยืนหยัดด้วยความมั่นใจผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าสู่โรงเรียนฝึกตนอันทรงเกียรติผู้ที่เคยหยิ่งในพรสวรรค์ ยกตนเหนือคนทั้งหมู่บ้านบัดนี้ พวกเขาต่างรีบหลบทางให้นาง… โดยไม่มีใครต้องสั่ง
ดวงตาของแต่ละคนเบิกโพลงใบหน้าที่เคยเชิดสูง... ค่อยๆ ลดต่ำลงอย่างควบคุมไม่ได้แม้แต่คนที่เคยแสดงความถือดี กล้าหยอกล้อนาง หรือดูแคลนว่านางไม่ผ่านการคัดเลือกเมื่อห้าปีก่อนตอนนี้ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตา
ร่างของพวกเขาขยับถอยโดยอัตโนมัติประหนึ่งว่าเพียงแค่ยืนขวางทางนาง ก็อาจถูกแช่แข็งเช่นเดียวกับจ้าวหงเทียน
“นางคือผู้ที่ไม่อาจล่วงเกินได้...”วาจานี้ ไม่จำเป็นต้องมีใครพูดออกมาเพราะในใจของทุกคน... มันถูกสลักไว้อย่างฝังแน่นแล้วในวันนี้ไป๋เสวี่ยหรง ไม่ได้เดินด้วยความเย่อหยิ่งแต่นางเดินด้วยอำนาจที่สงบนิ่งอำนาจที่ไม่ได้แผ่พลังเพื่อข่มขู่
แต่กลับทำให้ผู้คน สยบกาย... ด้วยความยำเกรง
ในช่วงเวลาที่ ไป๋เสวี่ยหรง พำนักอยู่ในสำนักหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็ง นางมิได้เพียงมาเพื่อพักผ่อนหรือชำระความแค้นเท่านั้น แต่ยังถือโอกาสรังสรรค์สิ่งล้ำค่าไว้ให้สำนักแห่งนี้ตำราทักษะวิชาเยือกแข็งเล่มใหม่ที่นางบรรจงเขียนด้วยมือของนางเองทักษะที่ถูกจารึกลงในตำรานั้นมีความลึกซึ้งอย่างหาใดเปรียบได้ มันมิใช่เพียงศาสตร์แห่งการต่อสู้ แต่ยังเป็นผลรวมของประสบการณ์ ความเจ็บปวด และสัจธรรมที่นางสะสมมาตลอด ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าสำนักคนก่อนอย่าง ฉินเยว่หาน มิอาจเทียบชั้นได้แม้เพียงเศษเสี้ยว"สำหรับสำนักหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็งแห่งนี้ ข้าจะเป็นผู้วางรากฐาน... แต่ปล่อยให้มันเติบโตด้วยพลังของพวกเจ้าเอง" ไป๋เสวี่ยหรงกล่าวอย่างแผ่วเบา ขณะส่งมอบตำราให้กับ จิ่วเยว่ซิน ศิษย์ผู้ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด"จิ่วเยว่ซิน... ต่อไปนี้เจ้าจงดูแลสำนักของข้าให้ดี" น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่งในโลกแห่งยุทธ์"ท่านอาจารย์... ตัวท่านจะไปแล้วจริงๆ เหรอ" หญิงสาวเอ่ยถามด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยอาลัย แม้เวลาที่รู้จักกันจะไม่นาน แต่ไป๋เสวี่ยหรงคือผู้เปลี่ยนชะตาชีวิตของนาง จากหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความสับสน สู่ผู้ครอบครอง
ใต้ท้องฟ้าสีเทาเงิน ผืนหิมะที่ปกคลุมผาแห่งการสิ้นสุดยังคงหล่นโปรยราวกับร่วมไว้อาลัยให้กับจุดจบของตำนานหนึ่ง... และมิตรภาพที่ไม่มีวันหวนกลับไป๋เสวี่ยหรงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางเศษน้ำแข็งที่ยังคงล่องลอย ร่างบางของนางไม่ขยับเขยื้อน ราวกับกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งอีกหนึ่งชิ้นในสถานที่แห่งนี้ สายตาที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้าช่างว่างเปล่า แต่ภายในเบื้องลึกของแววตานั้นคือกระแสความรู้สึกมากมายที่ถาโถมย้อนกลับมาทุกเสียงหัวเราะ ทุกหยาดน้ำตา ทุกคำสัตย์ที่เคยให้กันในวัยเยาว์"ข้าไม่อยากให้เรื่องของเรามันจบลงเช่นนี้เลย... เพื่อนรักของข้า"เสียงของนางเบาราวสายลม ละมุนราวบทกลอนส่งท้าย ดั่งคำอำลาที่ไม่มีผู้รับฟังแม้ศัตรูจะสิ้นสูญ แม้การล้างแค้นจะสัมฤทธิ์ แต่นางไม่ได้รู้สึกถึงชัยชนะ หากมีเพียงความว่างเปล่าอันแหลมคมทิ่มแทงอยู่ในอกลึก เพียงลมหายใจเดียวต่อมา ไป๋เสวี่ยหรงก็ปิดเปลือกตาลงอย่างแผ่วเบา เสี้ยวความทรงจำของฉินเยว่หานในหัวใจของนางค่อย ๆ เลือนลางลง ราวกับว่าไม่เคยมีสตรีนางนั้นอยู่บนโลกใบนี้มาก่อน ไม่เคยมีเสียงหัวเราะร่วมกัน ไม่เคยมีมือที่เคยจับไว้ในยามทุกข์เมื่อดวงตางามคู่นั้นลืมขึ้นอีกครั้ง ก็ไม่มีแม้แต่เ
ในยามนี้ ทั่วทั้งสำนักเงียบงันราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน...เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็ง ต่างยืนตัวแข็งทื่อลมหายใจสะดุด ใบหน้าซีดเผือด มือไม้เย็นเฉียบไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า...มันเหนือความเข้าใจและเกินกว่าจินตนาการ นางเซียนเยือกแข็งเจ้าสำนักผู้เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งสวรรค์ของพวกเขาบัดนี้กลับมีผู้กล้าสตรีนิรนามผู้มีใบหน้าอ่อนวัย ยืนหยัดต่อกรกับนางอย่างไม่หวั่นไหวและไม่ใช่แค่ท้าทาย... แต่กลับสามารถต้านรับแรงกดดันของเจ้าสำนักได้อย่างไม่ขาดตก"นางผู้นั้นเป็นใคร?""เหตุใดพลังของนางถึง...ไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้?"เสียงกระซิบของเหล่าศิษย์เริ่มดังขึ้นประปรายด้วยความตื่นตระหนกแม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงบางคนก็เริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นกลางหน้าผาก ทั้งที่อากาศยังเย็นยะเยือกรัศมีพลังเยือกแข็งของหญิงสาวปริศนาแผ่กระจายออกไปอย่างมั่นคงเยียบเย็น... ลึกซึ้ง... แน่นิ่งดั่งมหาสมุทรใต้ธารน้ำแข็งหากพลังของฉินเยว่หานคือห่าหิมะที่โหมกระหน่ำพลังของหญิงสาวผู้นั้น...กลับคล้ายหิมะที่หลับใหลมานับพันปี รอเพียงปริบตาเดียวก็พร้อมแช่แข็งโลกทั้งใบศิษย์ตาต่ำพวกเขามองไ
ภายใต้ใบหน้าอันงดงามดุจนางเซียนของฉินเยว่หาน ซึ่งมักจะสงบนิ่งไม่ไหวติงต่อสิ่งใด ในยามนี้กลับฉายแววตื่นตะลึงอย่างปิดไม่มิดไม่ใช่เพราะพลังอันมหาศาลของหญิงสาวเบื้องหน้า แต่เป็นเพราะคลื่นพลังนั้นช่างคุ้นเคย… คุ้นจนเกินจะหลอกตัวเองได้"เป็นไปไม่ได้... มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?"นางพึมพำซ้ำไปมา ราวกับพยายามสลัดความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าให้หลุดออกจากจิตใจ หญิงสาวปริศนา ผู้มีใบหน้าเยาว์วัยราวเด็กสาวเพิ่งแตกเนื้อสาวกลับยืนประจันหน้ากับนางอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาคู่นั้นคมดั่งกระบี่น้ำแข็ง จ้องลึกเข้ามาในหัวใจของผู้เคยเป็นเพื่อนรัก"เป็นอย่างไรบ้าง ฉินเยว่หาน... เจ้าดูแก่ขึ้นมากเลยนะ"เสียงหวานนุ่มดังขึ้นราวกับสายลม คำทักทายธรรมดา กลับกลายเป็นคมมีดกรีดลงกลางใจของฉินเยว่หานอย่างแผ่วเบาแต่รุนแรง ใบหน้าเยือกเย็นของนางเริ่มสั่นไหว มือขาวกำแน่นจนเล็บจิกฝ่ามือคลื่นพลังลมปราณที่แผ่ออกมา ไม่ผิดแน่…เป็นพลังของ หลานเสวี่ยอิง ผู้ที่นางเคยคิดว่าได้ส่งลงนรกไปแล้วด้วยมือของตนเองสองเท้าที่เคยมั่นคงของฉินเยว่หาน บัดนี้กลับเหมือนเหยียบอยู่บนผืนหิมะบางที่พร้อมจะถล่มลงทุกเมื่อสายตาของนางจ้องลึกเข้าไปในดวงหน้าของหญิง
ทุกท่วงท่า ทุกการเคลื่อนไหวของจิ่วเยว่ซินล้วนแล้วเฉียบคมไร้ปรานี พลังลมปราณที่แผ่ออกมาแต่ละระลอกนั้นแฝงไว้ด้วยเจตนาแห่งการสังหารอย่างชัดเจน การโจมตีทุกครั้งมิใช่เพียงเพื่อทดสอบฝีมือ หากแต่เป็นการประลองเพื่อปลิดชีพโดยแท้ หากฉินเยว่หานพลั้งเผลอแม้เพียงครึ่งก้าว ก็อาจต้องสูญสิ้นชีวิตยิ่งเวลาผ่านไป รูม่านตาของฉินเยว่หานก็ค่อย ๆ ขยายกว้างขึ้น แววตาที่เคยสงบนิ่งเริ่มสะท้อนแววหวั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ การเคลื่อนไหวของจิ่วเยว่ซินเริ่มทับซ้อนกับภาพจำบางอย่างในอดีต ภาพของสตรีผู้หนึ่ง... สตรีที่นางพยายามลบเลือนจากห้วงความคิดมานานหลายสิบปีหลานเสวี่ยอิงนามนั้นแม้จะถูกกลบฝังในก้นบึ้งของสำนึก แต่มันก็ผุดขึ้นมาราวกับต้องมนต์สะกด ไม่มีสิ่งใดสามารถปิดบังความรู้สึกคุ้นเคยนี้ได้อีกต่อไปแต่ก่อนที่ฉินเยว่หานจะถลำลึกไปในห้วงคิด ทักษะของจิ่วเยว่ซินก็พลันจู่โจมเข้ามาอีกระลอก ความคุ้นชินในเคล็ดวิชาเยือกแข็งที่นางเคยสอนกลับถูกแก้ทางอย่างแนบเนียนทีละชั้น ทักษะที่นางเคยภาคภูมิใจกำลังถูกลบล้างด้วยปลายนิ้วของศิษย์สาวผู้เป็นความภาคภูมิใจของนางเอง“นี่ข้า... กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยศิษย์ของตนเองอย่างนั้นหรือ?”
ใต้แสงสลัวของตำหนักน้ำแข็ง ดวงตาของจิ่วเยว่ซินฉายแววอ่อนโยนเช่นเคย รอยยิ้มยังคงงดงาม ทว่าภายในนั้นคือความเยียบเย็นที่แม้หิมะพันปียังมิอาจเทียบเคียงได้ นางยืนอยู่เบื้องหน้าอาจารย์ผู้เลี้ยงดูและหล่อหลอมตนมาแต่เล็กผู้หญิงที่นางเคยบูชาเทียบเท่าฟ้าดิน และในเวลาเดียวกันคือผู้ที่ล้างผลาญครอบครัวของนางทั้งตระกูลนางรู้ดีว่าภาพลักษณ์ภายนอกที่แสดงออกจะต้องไร้ที่ติทุกกระเบียดนิ้ว เพราะสายตาของฉินเยว่หานนั้นแหลมคมเกินกว่าที่ใครจะตบตาได้โดยง่าย แม้จะอ่อนโยนแต่ก็ซ่อนพิษลึก ราวกับกลีบเหมยบนผืนน้ำแข็ง หากเพียงเผลอสัมผัสอาจถูกหนาวสะท้านถึงวิญญาณ"จิ่วเยว่ซิน ข้ารู้สึกชอบแววตาของเจ้าในตอนนี้ยิ่งนัก"เสียงของฉินเยว่หานดังขึ้น เงียบงัน ทว่าเจือด้วยความพึงพอใจความพึงพอใจของผู้ที่คิดว่าตนสามารถหล่อหลอมชีวิตผู้อื่นตามอำเภอใจได้เสมอคำชมที่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นนั้น กลับเป็นเหมือนมีดที่กรีดลงกลางหัวใจของจิ่วเยว่ซิน ช่างน่าขันยิ่งนัก… แม้แต่แววตาที่ผ่านความเกลียดชังและการทรยศมาแล้ว ยังถูกหล่อนชมด้วยรอยยิ้มหญิงสาวสูดลมหายใจแผ่วเบา ก่อนกล่าวเสียงนุ่ม"เจ้าค่ะอาจารย์"คำพูดของนางยังคงสุภาพและสงบ ราวกับไม่มีอะไรเ







