ข้ามสะพานไปจะเจอปลายทาง
แสงไฟจากตะเกียงถูกจุดให้ส่องสว่างขึ้นมาอีกครา เจียอีเดินถือตะเกียงออกมาวางที่ระเบียงแล้วนั่งลงมองกลุ่มดาว แม้ว่าในช่วงกลางวันนางจะปฏิเสธคำแนะนำของลู่เสียน ที่บอกว่าเสนอเงินให้หล่างคุนไปจำนวนหนึ่งเผื่อทุกอย่างจะง่ายขึ้น เจียอีทราบดีว่าหากทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างกับการติดสินบน มีความคิดหนึ่งที่กำลังต่อต้านกันอยู่ภายในหัว นางคิดว่าทำการค้าขายต้องได้เงินไม่ใช่เสียเงินแต่ก็ไม่ใช่เสมอไป ถ้าในตอนสุดท้ายแล้วหากทำเช่นไรหล่างคุนยังปฏิเสธการรับของ เห็นจะมีเพียงสองทาง ทางแรกขายแค่ในตลาดแคบ ๆ ต่อไปได้ผลตอบแทนแบบพออยู่พอกิน ทางที่สองคิดหาหนทางขยายตลาดด้วยตนเองโดยวิธีอื่น
รุ่งสางเจียอีตื่นขึ้นมาปรุงอาหารแต่เช้า เมื่อปรุงเสร็จนางก็ตักใส่ถ้วยกระเบื้องที่มีฝาปิดมิดชิดนำใส่ตะกร้าเตรียมเอาไปด้วย จากนั้นหยิบเอาเหม่งสุ้นแห้งที่ใส่ห่อเตรียมไว้ใส่ไปเป็นสินค้าตัวอย่าง ลู่เสียนแต่งกายเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากบ้านเห็นเจียอีมีของติดมือไปจึงมองด้วยแววตาสงสัย ส่วนอันฉีเดินออกมานั่งรอนานแล้ว
"นั่นเจ้าเอาอะไรไปด้วย"
"น้ำแกงเหม่งสุ้นซี่โครงหมูเจ้าค่ะ"
"เจ้าจะเอาไปให้พ่อค้าหล่างคุนชิมดูหรือ"
หลินเจียอีไม่ตอบแต่หันกลับมายิ้มน้อย ๆ ให้ลู่เสียน นางหยิบตะกร้าได้ก็เดินไปขึ้นรถม้าที่ได้ว่าจ้างมากำลังจอดรอที่หน้าบ้าน ลู่เสียนก็จูงมืออันฉีตามมาขึ้นรถม้า ใช้เวลาเพียงไม่นานสามแม่ลูกก็มาถึงท่าเรือ ติดกับท่าเรือมีโรงเตี๊ยมขนาดเล็กลักษณะเป็นระเบียงเปิดโล่งตั้งอยู่ ทำให้มองเห็นทิวทัศน์รอบแม่น้ำได้ทุกทิศทาง เจียอีจึงบอกลู่เสียนให้รอที่โรงเตี๊ยมก่อนเมื่อเสร็จธุระแล้วนางจึงจะเดินออกมาหา
"ท่านแม่และอาฉีรออยู่นี่เถิดเจ้าค่ะ"
"ให้แม่ไปเป็นเพื่อนไม่ดีกว่าหรือ"
"ไม่เจ้าค่ะ จากตรงนี้ท่านสามารถมองเห็นข้าได้ อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ หากไม่สำเร็จเราแค่กลับไปสู้กันใหม่ แต่ถ้าหากสำเร็จขึ้นมาจริง ๆ มันจะเปลี่ยนชีวิตเราไป ข้าไม่ท้อ ข้าไม่ยอมแพ้ ท่านแม่ก็จงอย่าถอดใจ"
"อืม เช่นนั้นแม่และน้องจะนั่งมองเจ้าจากตรงนี้"
"เจ้าค่ะ ช่วยเป็นกำลังใจให้ข้าข้ามสะพานนี้ไปแล้วพบกับความสำเร็จด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
นางเหม่อมองไปยังสะพานไม้ที่ทอดยาวสู่ผืนธารา อีกฝั่งของแม่น้ำมองเห็นขอบฟ้ารำไร เจียอีถอนหายใจเพื่อเรียกสติตนเอง จากนั้นก้าวเดินไปยังหนทางข้างหน้า ชายอาภรณ์ขาวโบกสะบัดราวผีเสื้อขยับปีก
...ความรู้สึกนี้เหมือนครั้งที่นางอยู่ในยุคปัจจุบันแล้วถูกคุณครูเรียกให้ออกไปแก้โจทย์เลขหน้าชั้นเรียนไม่ผิดเพี้ยน...
นางไม่ลืมที่จะหยิบตะกร้าน้ำแกงติดมือไปด้วย ในตอนที่เข้าสู่ท่าเรือนางได้ถามคนงานดูแล้วว่าเรือลำไหนคือเรือของหล่างคุน เมื่อคนงานชี้บอกทางเจียอีก็ตรงไปทิศทางนั้นทันที บริเวณที่เรือของหล่างคุนจอดเทียบอยู่คือหน้าสะพานไม้ที่ยื่นออกสู่แม่น้ำ
"พี่ชาย นี่ใช่เรือของพ่อค้าหล่างคุนหรือไม่เจ้าคะ"
"ใช่ เถ้าแก่ เถ้าแก่มีคนมาหา" เมื่อหันมาตอบคำถามเจียอีแล้วคนงานกะลาสีก็ตะโกนเสียงดังเรียกเจ้าของเรือออกมา
"ใคร"
"แม่นางผู้นี้มาหาท่าน"
ชายวัยรูปร่างสันทัด อายุราว 45 หนาว เขาเดินลงมาจากเรือ ใช้มือข้างหนึ่งเท้าสะเอวมองเจียอีใบหน้าเรียบนิ่งไร้ซึ่งรอยยิ้มประดับ นางก้มศีรษะคารวะโดยที่มือยังถือตะกร้าอยู่แย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร
"คารวะเถ้าแก่...เอ่อ ขออภัยที่ข้าไม่ทราบแซ่ของท่าน"
"ไม่เป็นไร เรียกข้าหล่างคุนก็พอ"
"เจ้าค่ะ ข้าหลินเจียอี ได้ยินมาว่าเถ้าแก่หล่างคุนนำของแห้งไปเปิดตลาดทางใต้ ที่ข้ามาวันนี้เพราะอยากเอาสินค้ามาเสนอ"
"เรือเต็มแล้ว"
เขายังไม่ถามไถ่เสียด้วยซ้ำว่านางจะเสนอขายอะไรก็บอกปัดโดยทันที เจียอีเริ่มใจเสียแต่ยังฝืนยิ้มได้อยู่ พลางนึกถึงคำที่ลู่เสียนบอก หล่างคุนผู้นี้ถ้าบอกไม่คือไม่...อย่าเซ้าซี้
"อ้อ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นไม่เป็นอะไร ถึงอย่างไรของในตะกร้านี้ก็ได้เตรียมมาแล้ว ข้าขอมอบให้เถ้าแก่นะเจ้าคะ"
นางพูดแล้วยื่นตะกร้าให้หล่างคุน เขาเปิดดูสิ่งของที่อยู่ในตะกร้าแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ปกติพ่อค้าแม่ค้านำของมาฝากขายจะมีสินบนติดมา การเอาของไปเปิดตลาดทางใต้ได้ค่าตอบแทนกลับคืนมากถึงสี่เท่า พ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายจึงคิดว่าสินบนที่ให้ไปเพียงครั้งเดียวนั้นถือว่าไม่ขาดทุน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่หล่างคุนเกลียดเป็นที่สุด การค้าขายควรถือเอาคุณภาพสินค้าเป็นสำคัญไม่ใช่ยัดเงินยื่นขอเสนอโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของสินค้า น่าแปลกใจที่แม่นางผู้นี้กลับมีเพียงสินค้าตัวอย่างและน้ำแกงอะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้จักมามอบให้ ลักษณะเหมือนหน่อของต้นไผ่หั่นเป็นท่อน ๆ จมอยู่ในชามน้ำแกงใส ๆ สีทอง
"ข้าขอลาเจ้าค่ะ"
ที่นางรีบออกมาจากจุดนั้นเพราะถือว่าเขายังไม่ปฏิเสธ หากอยู่นานกว่านี้เชื่อว่าคำปฏิเสธจะตามมาในภายหลัง ตราบใดที่ยังไม่ได้ยินคำปฏิเสธนางย่อมมาพบเขาได้ใหม่ ถ้าหากไม่ใช่ในเร็ววัน อาจจะรอเป็นเดือนเป็นปีก็ไม่เป็นไร ดีกว่าปิดหนทางทำมาหากินตนเองในอนาคต ในขณะที่เดินอยู่บนสะพานไม้เจียอีได้เดินชนเข้าอย่างจังกับสตรีนางหนึ่งจนต่างคนต่างล้มหงายหลังไปคนละทาง เมื่อลุกขึ้นได้เจียอีจึงรีบกล่าวคำขอโทษยกใหญ่ สตรีนางนั้นมองนางแล้วยิ้มให้เล็กน้อยขอโทษนางกลับเช่นกัน
"เพราะข้าไม่ทันระวังเองเดินไม่ดูทางจนทำให้ชนกับเจ้า ไม่ใช่ความผิดเจ้า เป็นข้าที่ต้องขอโทษ"
จินเยว่ที่ตั้งใจเดินมาชนแล้วทำเหมือนว่าเป็นอุบัติเหตุบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงใจดีวางตัวเป็นคนสุขุมเยือกเย็น
"อย่าพูดเช่นนั้น มันเป็นอุบัติเหตุให้แล้วกันไปเถอะ"
กล่าวจบเจียอีก็เดินจากมา ทว่าออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าวจินเยว่ก็เรียกเอาไว้ก่อน
"เดี๋ยวก่อนสิ เจ้าใช่หลินเจียอีหรือไม่"
"ท่านรู้จักข้าด้วยหรือ"
ลูกคุณหนูตระกูลไหนกัน? เจียอีนึกในใจพลางเดินย้อนกลับมาหาจินเยว่ หรือแม่นางที่แต่งกายดีผู้นี้จะเป็นสหายกันกับเจ้าของร่าง
"ข้ารู้จักเจ้าหลินเจียอี พูดไปก็ช่างน่าอายเหลือเกิน วันนั้นเมื่อปีที่แล้วเป็นข้าเองที่ห้ามปรามน้องลู่จิวไว้ไม่ได้ ทำให้นางกลั่นแกล้งเจ้าจนตกลงไปในน้ำ หลังจากนั้นข้าก็ได้ทราบข่าวมาว่าเจ้าจับไข้ตั้งหลายวัน อันที่จริงตัวข้าก็อยากไปถามไถ่อาการเจ้าที่บ้านแม่เฒ่าหวัง แต่การงานของข้ารัดตัวเสียจนไม่มีเวลา เพราะฉะนั้นเรื่องเมื่อปีที่แล้วเจ้าจงรับคำขอโทษจากข้าในวันนี้ด้วยเถิด"
หลินเจียอีนางจะจำได้อย่างไรเล่าว่าแม่นางคุณหนูนี่คือผู้ใด เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เจียอียุคปัจจุบันยังไม่โผล่เข้ามาร่างนี้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำท่าจะคารวะขอโทษเจียอีจึงรีบจับไหล่สองข้างของนางหยุดไว้เสียก่อน ดูแล้วนางอายุมากกว่าเจ้าของร่าง ไม่สมควรที่จะมาทำการขอโทษด้วยการคารวะในที่โล่งแจ้งให้ต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมา
"ช่างเถอะ ๆ อย่างไรเรื่องเมื่อปีที่แล้วข้าก็จำไม่ได้แล้ว ที่จริงข้าเองก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจด้วยซ้ำ ส่วนท่านเป็นใคร เอ่อ...ข้ายังนึกไม่ออก"
"ข้าชื่อจินเยว่ ท่านพ่อของข้าเป็นเจ้าของท่าเรือที่นี่"
"ที่แท้ก็ลูกสาวเถ้าแก่โม่นั่นเอง"
"ถูกแล้ว แล้วข้าก็เป็น เอ่อ...เป็นเหมือนพี่สาวน้องลู่จิวด้วย วอนเจ้าอย่าถือสานางเลย น้องลู่จิวนางอาภัพมารดาตั้งแต่เด็ก บิดาของนางจึงตามใจนางเป็นพิเศษ นางก็เลยติดนิสัยเอาแต่ใจ"
เหตุใดแม่นางผู้นี้ถึงชอบเอ่ยชื่อลู่จิวทั้งที่เจียอีก็ไม่ได้เป็นฝ่ายถามถึง หลินเจียอีจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใด แค่ยิ้มแห้ง ๆ อย่างขอไปที ในใจจินเยว่อยากพูดออกไปว่าตนเป็นเหมือนว่าที่พี่สะใภ้ลู่จิวอย่างเต็มปาก แต่ก็เกรงว่าจะดูเปิดเผยเกินงาม จึงเน้นย้ำประโยคที่บอกว่าเป็นเหมือนพี่สาวของลู่จิวให้หนักแน่นขึ้น หวังว่าเจียอีจะฟังแล้วนำกลับไปทบทวน
"เจียอี เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ ข้าเห็นเจ้าเดินมาจากทางเรือของพ่อค้าหล่างคุน"
"ข้ามาติดต่อเรื่องค้าขาย"
"อย่างนี้นี่เอง ท่านพ่อเคยเล่าให้ข้าฟังว่าพ่อค้าหล่างคุนคนนี้เอาใจยากนัก ไม่ค่อยรับของจากผู้ใดไปเปิดตลาดให้ง่าย ๆ"
"เห็นจะเป็นจริงดังเช่นคุณหนูโม่ว่า แต่พ่อค้าหล่างคุนยังไม่ได้ปฏิเสธข้าแค่บอกปัดว่าเรือเต็ม เอาไว้วันหลังข้าจะมาคุยกับเขาใหม่"
เขาควรปฏิเสธสิไม่ใช่แค่บอกปัด! เมื่อเจียอีบอกว่าหล่างคุณยังไม่ปฏิเสธโทสะของจินเยว่ก็คุกรุ่น นั่นหมายความว่าเจียวลู่พ่อของนางยังไม่ได้มาคุยเรื่องสกัดหนทางทำมาหากินของเจียอีกับหล่างคุน แต่ก็เอาเถิด...ถ้าโม่เจียวลู่ยังไม่ได้คุยนางนี่แหละจะเป็นคนไปคุยด้วยตนเอง
"ท่านพ่อของข้าสนิทสนมกับพ่อค้าหล่างคุณในระดับหนึ่ง ส่วนตัวข้าก็พอจะรู้จักวิธีเจรจา ให้ข้าช่วยเจ้าเพื่อเป็นการไถ่โทษดีหรือไม่"
"อย่าลำบากเลย เดี๋ยวข้าจะหาวิธีใหม่เอง"
"ไม่ลำบากเลยข้าเต็มใจ"
"ไม่ ดะ เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิ"
จินเยว่แยกตัวเดินไปทิศทางที่เรือหล่างคุนจอดเทียบอยู่ นางไปขอพบหล่างคุน แต่นางมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าคือสามารถเดินขึ้นไปบนเรือได้ เมื่อขึ้นไปบนเรือพบหล่างคุนกำลังหยิบเหม่งสุ้นของเจียอีขึ้นมาพิจารณาดูอยู่ จินเยว่ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
"เถ้าแก่หล่างคุน"
"อ้าว จินเยว่มาหาข้ามีอะไร"
"พอดีว่าข้าได้คุยกับสหายนางหนึ่ง ข้าเองก็บอกนางแล้วว่าท่านรับสินค้าที่มีคุณภาพไปขายเท่านั้น แต่นางก็ไม่ฟังข้าเลยดึงดันจะให้ข้ามาช่วยพูดกับท่านให้ได้ ข้าเองก็บอกแล้วว่าท่านเป็นพ่อค้ามีคุณธรรมไม่รับสินบนจากผู้ใด...แต่...เอ่อ แต่นางก็ยังฝากนี่มาให้ท่าน ของที่ท่านกำลังถืออยู่นั่นแหละเจ้าค่ะคือสินค้าของนาง"
จินเยว่หยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากถุงผ้าสีชมพูปักลายกระต่าย นางวางเงิน 30 ตำลึงเงินไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าหล่างคุน เงินจำนวน 30 ตำลึงเงินในยุคนั้นถือว่ามากมายนัก หล่างคุนมองถุงผ้าที่มีเงินทะลักออกมาก็โกรธจนหน้าเขียวคล้ำ เขารู้สึกเหมือนถูกเด็กน้อยที่ไม่ประสีประสาในเรื่องทำการค้าตบหน้ากลาย ๆ ด้วยความโมโหหล่างคุนลุกขึ้นยืนขึงขังคว้าถ้วยน้ำแกงที่เจียอีตั้งใจทำมาเททิ้งลงแม่น้ำ จินเยว่ยกยิ้มอย่างพึงพอใจที่ตนสามารถยิงเข้าเป้าได้อย่างรู้จุด
"เจ้าจงกลับไปบอกสหายเจ้า หากของไม่มีคุณภาพก็จงไปทำให้มีคุณภาพเสียก่อนแล้วจึงปล่อยขายสู่ตลาด เก็บเงินพวกนี้ไปคืนนางซะ ข้าไม่รับ!"
ฉากนี้ เจียอี ลู่เสียน กับอันฉีที่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมเห็นคาตา หัวใจของเจียอีเสมือนร่วงหล่นไปอยู่แทบเท้า หล่างคุนทำเช่นนี้ นั่นเท่ากับกว่าเป็นการปฏิเสธที่รุนแรงอย่างยิ่ง แล้วครั้งต่อไปนางจะเตรียมคำพูดใดมาเจรจาการค้ากับเขาได้อีกเล่า สองแม่ลูกมองหน้ากันด้วยความเสียใจ ลู่เสียน รีบคว้ามือลูกสาวมากุมไว้เพื่อปลอบประโลมไม่ให้คิดมาก