ให้ติดรถม้าไปด้วย
"ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านแม่อย่าห่วง"
เจียอีขยับมือออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายกุมมือให้ลู่เสียนแทน ลู่เสียนส่งยิ้มให้กำลังใจลูกสาว อันฉีก็เอามือเล็ก ๆ ของตนเองมาวางบนมือของพี่สาวและมารดาด้วยอีกคน
"กลับบ้านเรากันเถอะขอรับ"
"อื้ม กลับบ้านของเรากัน"
นางพยักหน้าพลางฉีกยิ้มกว้างเตรียมตัวออกจากโรงเตี๊ยม ในจังหวะที่กำลังจะพ้นจากบริเวณนั้นเจอกับจางหย่งเข้าพอดี น่าแปลกที่ปกติจางหย่งจะมีลู่จิวตามติดทุกครั้ง แต่ครั้งนี้เขามาเพียงลำพัง ทันทีที่เห็นหน้าเจียอีเขาก็หยุดยิ้มทักทาย เมื่อรู้ตัวว่าจ้องมองใบหน้างามนั้นเนิ่นนานเกินไปจึงรีบละสายตาไปที่ลู่เสียน
"ยินดีที่ได้เจอแม่นางเจียอี คารวะท่านน้าลู่เสียน"
"คารวะคุณชายจางหย่ง"
ลู่เสียนรับการคารวะพร้อมถามไถ่จางหย่ง
"คุณชายจางหย่งเอาหนังสัตว์มาลงเรือหรือเจ้าคะ"
"ถูกแล้ว ข้าเอาหนังสัตว์มาลงเรือแทนท่านพ่อแต่เรียบร้อยแล้วล่ะ ตั้งใจว่าจะแวะมาดื่มชาสักหน่อยแล้วจึงจะกลับ"
"อ๋อ อย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นข้ากับลูกต้องขอตัวลา ไปเถอะเจียเอ๋อร์ ฉีเอ๋อร์"
ลู่เสียนบอกพลางดันหลังลูกทั้งสองให้เดินไปข้างหน้าเบา ๆ ทว่าเมื่อออกมาที่ลานจอดรถม้าจึงคิดอะไรบางอย่างออก
"ตายจริง แม่ลืมเสียสนิทว่าลุงขับรถม้าขอกลับก่อนเพราะมีธุระ บอกให้เราเดินไปเช่ารถม้าที่ท้ายตลาดกลับกันเอง"
"เช่นนั้นข้าเดินไปเช่ารถม้าเองเจ้าค่ะ ท่านแม่กับอาฉีรอตรงนี้เดี๋ยวข้าพารถม้ามารับ"
"กลับด้วยกันกับข้าไหม"
เจียอีกำลังจะปลีกตัวออกมาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น นั่นคือเสียงของจางหย่ง แรกเริ่มเดิมทีจางหย่งตั้งใจจะเข้าไปดื่มน้ำชาในโรงเตี๊ยม เมื่อเห็นเจียอีเขาเกิดเปลี่ยนความตั้งใจกะทันหัน เลือกที่จะเดินตามทั้งสามคนมายังลานจอดรถม้าแทน
"ข้ามีรถม้า หากทั้งสามไม่รังเกียจก็กลับพร้อมกันเถิด อยู่หมู่บ้านเดียวกันไปทางเดียวกันได้"
ใครหนอจะกล้ารังเกียจคุณชายตระกูลหยวน ลู่เสียนทำหน้าลังเลหันไปสบตาลูกสาวเพื่อถามความคิดเห็น เมื่อเจียอีพยักหน้าเห็นด้วยนางจึงตอบตกลง บนรถม้าของจางหย่ง อันฉีนั่งหลับเอนตัวมาซบอกลู่เสียน ส่วนเจียอีนั่งเงียบ ๆ พร้อมทั้งแหวกม่านออกมองด้านนอกรถม้าเป็นระยะดูว่าถึงไหนแล้ว
"เห็นทีแม่นางเจียอีจะรีบมาก เอาแต่มองเส้นทางตลอดเวลา"
"...ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากมองบรรยากาศข้างนอก"
"อย่างนั้นเองหรือ"
"เจ้าค่ะ ว่าแต่วันนี้แม่นางลู่จิวไม่มากับคุณชายจางหย่งด้วยหรือเจ้าคะ"
"ตอนข้าออกจากบ้านนางยังไม่ทันจะตื่นนอน"
เจียอีเผยรอยยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย เพราะคิดได้ว่าสตรีอย่างลู่จิวอาจจะตื่นเช้าเหมือนคนอื่นไม่เป็น นางเป็นลูกคุณหนูที่แสนเอาแต่ใจ ถึงจะเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ทว่าชีวิตกลับไม่ได้อยู่ในระเบียบเคร่งครัด มักจะทำอะไรตามอำเภอใจตนเองได้เสมอ นางประสงค์จะตื่นยามอู่ย่อมได้ นางประสงค์จะตื่นยามโหย่วก็ต้องได้เช่นกัน
"ข้าไม่เคยเอ่ยปากขอโทษเจ้าแทนน้องลู่จิวเลยสักครั้ง วันนี้ข้าขอโทษเจ้าอย่างเป็นทางการ หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสานาง"
"ขอโทษอะไรเจ้าคะ วันนั้นท่านก็เห็นว่าข้า"
นางพูดไม่ทันจบประโยคก็ปิดปากลงเมื่อคิดขึ้นได้ว่าบนรถม้าคันนี้ยังมีลู่เสียนอีกคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เจียอีเป็นคนถีบลู่จิวตกน้ำ หากเผลอหลุดปากเผยความลับนี้มีหวังอาจถูกลู่เสียนตำหนิจนหูชา
"วันนั้นท่านก็เห็นว่าข้าไม่เป็นอะไรเลย จริงไหมเจ้าคะ"
"อืม เจ้าไม่เป็นอะไรเลย จริงสิ วันนี้เจ้าไปท่าเรือทำไมหรือ"
"ข้าอยากส่งของแห้งไปขายทางใต้ แต่มันคงจบแล้วเจ้าค่ะ"
"จบ...หมายความว่า?"
"ข้าถูกปฏิเสธเจ้าค่ะ พ่อค้าไม่รับของจากข้า แต่ก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ โอกาสหน้าข้าต้องคิดหาวิธีใหม่ ไม่ได้ทางนี้ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นทางอื่น โลกนี้กว้างใหญ่นัก ไปทางใต้ไม่ได้ก็ยังมีทางอื่นให้ไป"
"...ถูกปฏิเสธอย่างนั้นหรือ"
เขาทวนคำพูดนางในหัวครุ่นคิดบางอย่าง ถ้าถึงขั้นที่ว่าโม่เจียวลู่เจ้าของท่าเรือช่วยพูดแล้วเหตุใดนางถึงยังถูกปฏิเสธอีก จินเยว่ก็ยืนยันแล้วว่านางได้ขอร้องให้โม่เจียวลู่ช่วยเป็นธุระให้ ใครไม่รู้บ้างว่าโม่เจียวลู่นั้นอิทธิพลกว้างขวางเพียงใด เขารู้จักพ่อค้าทั่วทุกสารทิศมากหน้าหลายตา แล้วยังเป็นคนช่างพูดช่างเจรจาโน้มน้าวจิตใจคนได้อย่างเก่งกาจ
"ถึงบ้านข้าแล้ว ข้าคงต้องขอตัว ท่านแม่ไม่ต้องปลุกอาฉีเจ้าค่ะส่งน้องมาให้ข้า ข้าจะอุ้มน้องเอง"
"ให้ข้าอุ้มอาฉีเถอะ"
จางหย่งเสนอตัวช่วย เขาเข้าไปช้อนร่างเด็กน้อยอุ้มลงจากรถม้าไปส่งข้างในบ้าน เมื่อวางอันฉีแล้วเขาก็เดินออกมา นางหวังและตงซิ่วเห็นรถม้ามาจอดที่หน้าบ้านก็เดินมารอรับด้วยเช่นกัน
"คารวะผู้เฒ่าทั้งสอง ข้ามาส่งท่านน้าลู่เสียนกับแม่นางเจียอี"
"ขอบใจคุณชายจางหย่ง พวกข้าเป็นชาวบ้านจน ๆ ไม่มีสิ่งใดตอบแทนให้ เช่นนั้นท่านรับนี่ไปเถิด"
นางหวังเดินไปหยิบเหม่งสุ้นมาให้จางหย่งสองห่อ เขารับมาอย่างงง ๆ
"สิ่งนี้คืออะไร"
"เหม่งสุ้นเจ้าค่ะ ก่อนนำไปปรุงแช่น้ำไว้อย่างน้อยหนึ่งวันหนึ่งคืน สามารถเอาไปตุ๋นน้ำแกงหรือเอาไปผัดรวมกับเนื้อสัตว์ได้ รับไปเถิดเจ้าค่ะ วันนี้ข้าขอบคุณคุณชายจางหย่งมากที่มาส่ง" เจียอีบอก
"ข้ายินดี"
หลังจากเดินไปส่งจางหย่งขึ้นรถม้าแล้วเจียอีก็กลับมาหานางหวังและตงซิ่วที่กำลังยืนรอฟังคำตอบด้วยความหวัง ลู่เสียนก็ไม่อยากพูดอะไรมาก นางรอให้เจียอีเป็นฝ่ายมาบอกผู้เฒ่าทั้งสองด้วยตนเอง ความหวังที่จะได้รถม้าไว้ใช้ภายในครอบครัวเลือนรางลง นางกลัวว่าผู้เฒ่าทั้งสองจะเสียใจที่ไม่สมปรารถนา
"ว่าอย่างไรคนเก่งของยาย"
"...ข้า ข้าทำไม่สำเร็จเจ้าค่ะ"
นางหวังตรงเข้าไปโอบกอดเจียอี มือหนึ่งก็ลูบไล้เรือนผมหลานสาวปลอบใจ
"ไม่เป็นไร เท่านี้เจ้าก็ทำเพื่อครอบครัวของเรามากแล้ว เราได้กินข้าวสวย เราได้ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ เราได้ซ่อมแซมหลังคา แล้วเราก็ยังได้อาชีพทำกิน นั่นก็เพราะเจ้านะเจียเอ๋อร์ เจียเอ๋อร์ของยายดีที่สุดแล้ว"
หลินเจียอีฟุบหน้าลงกับไหล่ของนางหวัง ปล่อยน้ำตาซึมสะอื้นไห้เบา ๆ อย่างซาบซึ้งใจ น้ำตาที่ไหลไม่ได้มาจากความเสียใจและไม่ใช่น้ำตาแห่งความพ่ายแพ้ แต่นางดีใจต่างหากที่ทุกคนดีกับนางมากมายขนาดนี้ นี่คือครอบครัวที่นางใฝ่หามาตลอด ครอบครัวที่คอยให้กำลังใจกันในยามท้อแท้ คอยปลอบประโลมเมื่อยามสิ้นหวัง
"ท่านยาย ข้าไม่อยากยอมแพ้ ข้ายังอยากสู้ใหม่เจ้าค่ะ"
"...อย่างไรเล่า"
"ข้าจะกลับไปท่าเรืออีกครั้ง"
เช้าวันต่อมา ณ ท่าเรือ
"เถ้าแก่ เถ้าแก่ แม่นางที่มาเมื่อวานมาขอพบ"
"บอกนางให้กลับไป"
หล่างคุณตะโกนออกมาจากเรือ กะลาสีเองก็อึดอัดใจที่จะไล่เจียอีให้กลับไปก่อน นางยิ้มแห้ง ๆ ให้กะลาสีผู้นั้นเป็นเชิงบอกกล่าวว่าขอโทษที่ทำให้ลำบาก แต่นางยังยืนยันว่าจะไม่ไปไหน นางจะยืนรอที่สะพานนี้เงียบ ๆ รอจนกว่าหล่างคุนจะพร้อมคุยเมื่อไรเมื่อนั้นนางถึงจะไป วันนี้ลู่เสียนไม่ได้มาด้วย มีเพียงอันฉีที่ขอติดตามมาเพราะอยากกินขนม รออยู่ 1 ก้านธูปหล่างคุนก็เดินออกมา ทันทีที่เขาเห็นหน้านางก็ถอนหายใจออกมาแรง ๆ แต่สุดท้ายก็เดินลงจากเรือมาหาจนได้
"แม่นาง เจ้ากลับไปเถอะ ข้ารับสินค้าของเจ้าไม่ได้ สินค้าเจ้าไม่มีคุณภาพ หากรับไปขายต่อแล้วใครจะซื้อข้า"
"สินค้าของข้าไม่มีคุณภาพอย่างไรเจ้าคะ กระบวนการทำก็สะอาด คนในละแวกนี้ก็เริ่มเป็นที่นิยมแล้ว รบกวนเถ้าแก่ช่วยขยายความให้ข้าฟังที ข้าจะได้นำกลับไปปรับปรุง"
"มีคนพูดว่าสินค้าของเจ้าคุณภาพไม่ดี แล้วอีกอย่างข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ ข้าหล่างคุณยึดถือคุณภาพสินค้าเป็นสำคัญ ข้าไม่รับสินบน"
"ขออภัยเจ้าค่ะเถ้าแก่ ตัวข้าเองก็ไม่คิดว่าน้ำแกงเพียงถ้วยเดียวจะนับได้ว่าเป็นสินบน เป็นข้าที่คิดน้อยไป"
"น้ำแกงถ้วยเดียวอะไรกัน 30 ตำลึงเงินเมื่อวานนี้ต่างหาก"
"30 ตำลึงเงิน หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ"
"ก็ 30 ตำลึงเงินที่เจ้าฝากแม่นางจินเยว่มายังไงเล่า แล้วนางยังบอกข้าด้วยว่าสินค้าเจ้าไร้คุณภาพ"
ยามนี้หลินเจียอีกระจ่างแก่ใจเป็นที่สุด ที่แท้จินเยว่บอกว่าจะช่วยพูดให้นางช่วยด้วยวิธีนี้นั่นเอง หล่างคุนจากไปแล้ว แต่เจียอียังครุ่นคิดหาทางเอาคืนจินเยว่อยู่ นางจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่าย ๆ ไม่ได้เด็ดขาด กว่าจะได้เห็นธาตุแท้ของผู้คนก็ต้องแลกมาด้วยร่องรอยบาดแผลเช่นนี้ หากยอมเพียงหนึ่งครั้งจินเยว่จะยิ่งได้ใจและย่อมจะมีโอกาสสูงที่จะถูกกลั่นแกล้งเป็นครั้งที่สอง
"ช่วยด้วย ช่วยด้วย เร็ว มีเด็กตกน้ำ ช่วยด้วยเด็กตกน้ำ ใครว่ายน้ำเป็นรีบมาช่วยเร็วเข้า"
ในขณะที่เจียอีกำลังใช้ความคิด เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น พร้อมทั้งผู้คนที่กำลังแตกตื่นรีบวิ่งไปมุงดูเหตุการณ์ เจียอีเมื่อได้สติก็รีบมองหาอันฉีไปรอบ ๆ แต่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่เงาของอันฉี ทั้งที่เมื่อครู่นี้เขายังอยู่ตรงนี้อยู่เลย เมื่อมองหาเท่าไรก็หาไม่เจอ หัวใจของเจียอีเริ่มเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว เจียอีได้แต่ภาวนาในใจว่าขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเอาไว้
"หรือว่า...ไม่นะ ไม่ อาฉี! อาฉี!"