แชร์

บทที่ 10

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-04 13:06:12

จินเยว่อย่าดีเกินไป

"เจ้าช่างมีจิตใจงดงามเหลือเกินจินเยว่"

จางหย่งยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจ เขาไม่รู้เลยว่าที่นางกล่าวมานั้นตรงข้ามกันทั้งหมด นอกจากจินเยว่จะไม่ช่วยแล้วนางยังตั้งใจตัดทางทำมาหากินของเจียอี ในครั้งนี้นับว่าจินเยว่ได้ความดีความชอบจากจางหย่งไปไม่น้อยโดยที่เขาไม่นึกคลางแคลงสงสัย

"ท่านพี่จางหย่งยอข้าเกินไป ข้าก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ได้ข่าวจากน้องลู่จิวว่าที่บ้านของแม่นางเจียอีนั้นมีฐานะยากจน นางช่างน่าสงสารยิ่งนัก เห็นคนตกทุกข์ได้ยากมีหรือที่ข้าจะนิ่งดูดายไม่ยื่นมือเข้าช่วย"

"ครั้งนี้ข้าต้องขอบใจเจ้า"

"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าทำด้วยใจหาได้ต้องการอย่างอื่นเป็นสิ่งตอบแทนไม่"

"อีกเดี๋ยวลู่จิวก็คงจะกลับแล้ว เจ้าจะรอพบหน้านางก่อนหรือไม่"

"รอเจ้าค่ะ เช่นนั้นในระหว่างรอน้องลู่จิวข้าขอนั่งรอในห้องนี้กับท่านพี่จางหย่งได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าสัญญาว่าจะนั่งรอเงียบ ๆ ไม่รบกวนการทบทวนตำราของท่านพี่"

"ตามแต่ใจเจ้าเถิด ข้าขอทบทวนตำราก่อน"

"เจ้าค่ะ"

บอกแล้วจินเยว่ก็ขยับไปนั่งที่เก้าอี้มุมจิบน้ำชา นางเฝ้ามองจางหย่งเช่นนั้นเงียบ ๆ อย่างเช่นนางได้บอกไว้ นึกย้อนไปถึงยามเยาว์วัย ยามนั้นเจียวลู่บิดาของนางพานางมาแนะนำให้รู้จักกับบ้านหยวน ในตอนนั้นเจียวลู่มีเพียงร้านค้าเล็ก ๆ ในตลาด ได้หยวนอู๋ห่างชี้แนะเรื่องการทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จและมีท่าเรือขนาดกลางเป็นของตนเองมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องไปมาหาสู่ของสองครอบครัวนั้นเปรียบเหมือนมิตรสหาย เหมือนพี่เหมือนน้อง ทั้งบ้านหยวนและบ้านโม่จึงสนิทสนมกันเป็นพิเศษ

จินเยว่นั่งอยู่ในห้องตำราได้เพียง 1 ก้านธูป เสียงแหลม ๆ ของลู่จิวก็ดังมาจากด้านนอก เสียงของนางมักจะมาก่อนตัวอย่างนี้เสมอเป็นธรรมดา ใจจริงจินเยว่อยากให้นางมาช้ากว่านี้สักหนึ่งชั่วยามเพราะว่าจะได้ถือโอกาสใกล้ชิดจางหย่งไปนาน ๆ แต่ลู่จิวดันมาขัดจังหวะเร็วเกินไป นั่นทำให้จินเยว่มีสีหน้าเบื่อหน่ายขึ้นมาเล็กน้อย

"ท่านพี่จางหย่ง นั่นเสียงน้องลู่จิวมาแล้ว เห็นทีว่าข้าต้องขอตัวลา"

"ไปเถิด ขอบใจเจ้ามากเรื่องแม่นางเจียอี"

ดูสิ...ก่อนจากเขายังไม่ลืมขานชื่อนางให้ได้ระคายหู แม้จะขัดใจแต่จินเยว่ก็ยังยิ้มรับใบหน้าชื่นมื่น

ลู่จิวเดินออกมาจากห้องอ่านตำราก็พบปะกันกับจินเยว่พอดิบพอดี ลู่จิวยิ้มกว้างรีบคว้าแขนจินเยว่เข้าไปในห้องนอนของตนเพื่อที่จะได้พูดคุยกันเพียงลำพังสองคน

"พี่จินเยว่ ตกลงท่านถามลุงเจียวลู่ดูหรือยังเรื่องสตรีอัปลักษณ์นั่น"

"ถามแล้ว แต่นางไม่ได้ไปหางานทำ นางไปขอติดต่อเรื่องส่งของแห้งไปขายทางใต้"

"หา ขายของแห้ง นางริอ่านจะทำการค้า ไม่เจียมตัวเสียเลย แล้วอย่างไรเล่า ท่านได้บอกลุงเจียวลู่สกัดนางไว้หรือไม่"

"พี่ไม่ได้บอกท่านพ่อสกัดนางไว้...น้องลู่จิวจะเอาเช่นนั้นจริง ๆ หรือ"

"ดีสิเจ้าคะ"

"พี่ละอายใจนัก ตั้งแต่เกิดมาพี่ไม่เคยกลั่นแกล้งผู้ใดมาก่อน พี่ทำไม่ได้จริง ๆ"

จินเยว่ก้มหน้าก้มตากะพริบตาปริบ ๆ ทำเหมือนว่ายังไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด แท้ที่จริงได้ชิงลงมือไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ได้ฟังลู่จิวก็หงุดหงิด แต่ในสายตาลู่จิวจินเยว่เปรียบเสมือนดอกบัวขาว ขี้สงสาร แสนดีและใจอ่อน นางคงไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้จริง ๆ

"ท่านก็เป็นคนดีแบบนี้ ท่านพี่จินเยว่อย่าดีเกินไป"

"พี่ขอโทษเจ้าที่พี่เป็นแบบนี้"

"ไม่ ไม่ ไม่ใช่เจ้าค่ะไม่ใช่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิพี่จินเยว่เลยนะเจ้าคะ"

นางรีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน เกรงว่าจะทำให้จินเยว่คิดมากกับสิ่งที่นางพูดไป ลู่จิวคิดว่าตนเองทำอะไรไม่ได้แล้วใจจึงปล่อยวางลง ขอเพียงเจียอีไม่มายุ่งกับพี่ชายของนางเป็นพอ เท่านั้น...นางก็จะไม่หาเรื่องเจียอีอีก

แต่ถ้าเจียอีเข้ามายุ่งกับพี่ชายนางเมื่อใด เมื่อนั้นได้เห็นดีกันแน่นอน ทว่าลู่จิวนางช่างไม่สังเกตเลยว่าทุกครั้งเจียอีไม่เคยเป็นฝ่ายเข้าหาจางหย่ง มีเพียงจางหย่งต่างหากที่เป็นฝ่ายเข้าหาเจียอีก่อน

"ท่านพี่ขอรับ ทำอะไรอยู่รึขอรับ"

อันฉีถือชามข้าวสวยมาวางลงบนโต๊ะ เมื่อเห็นว่าเม็ดข้าวยังติดอยู่บนแก้มเด็กน้อยเจียอีจึงหัวเราะออกมาอย่างขำขัน มื้อเที่ยงของวันนี้เขากินข้าวไปแล้วเป็นชามที่สาม เด็กตัวเล็ก ๆ ช่างกินเก่งอะไรขนาดนี้

"นั่นเจ้ายังไม่อิ่มอยู่หรือ ข้าจำได้ว่าเจ้ากินไปแล้วสองชาม นี่คงเป็นข้าวสวยชามที่สาม"

"ขอโทษที่ข้ากินมากไปขอรับ แต่ข้าชอบข้าวสวยมากจริง ๆ"

"พี่ไม่ได้ตำหนิเจ้า ถ้าพี่หาเงินได้มาก ๆ เจ้าจะกินเท่าไรย่อมได้ วันนี้เจ้าได้กินข้าวสวย ต่อไปเจ้าจะได้กินเนื้อเป็ดที่นุ่มลิ้นคู่กับข้าวสวย แต่อย่ากินจนอ้วนเชียว"

"จริงหรือขอรับ"

"จริงสิ"

"แล้วนั่นท่านพี่ทำอะไรหรือขอรับ"

เจียอีกำลังรื้อเหม่งสุ้นที่ทำตุนไว้ออกมาจากห้องเก็บของ นางเอาออกมากองไว้ที่ระเบียง

"พี่กำลังจะเอาเหม่งสุ้นออกขาย"

"เหตุใดไม่หยิบอันที่อยู่ด้านนอกล่ะขอรับ อันที่อยู่ด้านในเอาออกมายากกว่า"

"ไม่ได้ นี่เรียกว่าระบบเฟิร์สอินเฟิร์สเอ้าท์"

"หา โพ๊ดกินโพ๊ดเก๊า"

"ไม่ใช่ ๆ เฟิร์สอินเฟิร์สเอ้าท์ต่างหาก"

"โพ๊ดกินเฟิดเก๊า"

"เฟิร์สอินเฟิร์สเอ้าท์ ช่างเถอะ ๆ ให้เจ้าจำให้ขึ้นใจก็พอว่าของที่ทำเสร็จก่อนต้องนำออกขายก่อน ของที่ทำเสร็จทีหลังต้องนำออกขายทีหลัง"

"ข้าเข้าใจแล้วขอรับ"

"เก่งมาก หรือจะเรียกสั้น ๆ ว่าเข้าก่อนออกก่อนเข้าทีหลังออกทีหลังก็ได้"

"ขอรับท่านพี่"

อันฉีก้มหน้ากินข้าวต่อจนหมดชาม จากนั้นวิ่งเอาชามข้าวไปล้าง พอล้างเสร็จก็นำกลับมาคว่ำไว้ ลูกบ้านนี้ถูกสั่งสอนให้รู้จักรับผิดชอบตนเองตั้งแต่ยังเด็ก โตขึ้นไปจะได้ไม่เป็นภาระผู้อื่น ถึงแม้ว่าอันฉีจะยังเด็กมากแต่เขาก็รู้จักช่วยงานผู้ใหญ่เท่าที่ทำได้

"ให้ข้าช่วยไหมขอรับ"

"ได้สิ เจ้าตัวเล็ก เช่นนั้นเจ้าเข้าไปเอาเหม่งสุ้นที่อยู่ด้านในสุดออกมา"

นางชี้นิ้วไปยังห่อผ้าที่อยู่ด้านในสุด โชคดีที่หน่อไม้ตากแห้งแล้วมีน้ำหนักเบาอันฉีจึงยกออกมาได้อย่างสบาย ถ้าเป็นหน่อไม้สดเด็กน้อยอย่างเขาน่าจะยกไม่ไหวแน่นอน พอยกออกมาแล้วอันฉีก็นำมาวางไว้ใกล้ ๆ เจียอี

"นี่ขอรับ"

"ขอบใจเจ้ามากอาฉี เฮ้อ...เห็นทีพี่จะต้องสอนท่านตากับท่านแม่จัดเก็บสินค้าเสียใหม่ เอาของที่ทำก่อนไว้ด้านนอก เอาของที่ทำหลังไว้ด้านใน ยามต้องเอาออกขายจะได้หยิบสะดวก สมัยพี่ทำงานที่คลังสินค้าทำอย่างนี้ไม่ได้นะ หัวหน้าพี่บ่นตายเลย"

"แล้วเจ้าเคยไปทำงานที่คลังสินค้าว่าเมื่อใดกัน"

เสียงของลู่เสียนที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้เจียอีสะดุ้งโหยง นางไม่รู้ว่าลู่เสียนมายืนอยู่ด้านหลังนางตั้งแต่เมื่อใด รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเสียงของมารดาดังเข้าประทบโสตประสาท

"ท่านแม่! ท่านมาตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ"

เจียอีหันหลังกลับไปมองด้วยแววตาลุกลน นางยิ้มแห้ง ๆ ให้ผู้เป็นมารดา ทว่าลู่เสียนไม่มีอารมณ์ขันด้วย

"พูดมาให้ชัดแจ้ง เจ้าหนีแม่ไปทำงานที่คลังสินค้าเมื่อใดกัน"

"ไม่เคย ๆ ไม่เคยเจ้าค่ะ ข้าก็พูดจาเลอะเลือนไปเรื่อย ข้าจะแอบหนีท่านแม่ไปทำงานที่คลังสินค้าเมื่อใดกัน ท่านแม่ก็เห็นว่าข้าอยู่ติดเรือนตลอด"

"...อย่าให้แม่รู้นะว่าเจ้าแอบไปทำงานแล้วไม่บอกแม่ แม่เป็นห่วงรู้ไหม ถึงเจ้าจะเลยวัยปักปิ่นแล้วแต่ในสายตาแม่เจ้ายังเป็นเด็กอยู่ ตอนสัญญาณชีพจรเจ้าไม่มีแม่ใจไม่ดีเลย แม่กลัวจะเสียเจ้าไป เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรตามอำเภอใจตนเอง หากอยากทำงานให้บอกกล่าวแม่ก่อน ห้ามแอบไปเอง เข้าใจไหมเจียเอ๋อร์"

"ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่"

ลู่เสียนนางตำหนิเพราะห่วงและหวงเกินไป คนเป็นแม่ที่เกือบจะเสียลูกไปแล้วครั้งหนึ่งย่อมนิ่งเฉยไม่ได้ กว่าจะเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูถนุถนอมจนเติบใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย

ทำให้เจียอีคิดได้ว่า สักวันหนึ่งถ้าลู่เสียนได้ทราบความจริงว่าวิญญาณที่อาศัยในร่างของลูกสาวนางคือหลินเจียอียุคปัจจุบัน ส่วนลูกสาวแท้ ๆ ของนางได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อนั้นลู่เสียนจะเศร้าโศกเพียงใด

"ต่อไปนี้หากข้าจะไปที่ใดข้าจะบอกกล่าวท่านแม่ก่อนทุกครั้งเจ้าค่ะ"

เจียอีเข้าไปสวมกอดมารดาไว้แนบแน่น ส่วนอันฉีก็เข้ามาสมทบด้วยอีกคน สามแม่ลูกกอดกันกลม เมื่อคลายอ้อมกอดจากกันแล้วลู่เสียนจึงสอบถามเกี่ยวกับเรื่องการค้าทางใต้ด้วยความเป็นห่วง

"พรุ่งนี้เจ้าจะไปเจรจากับหล่างคุนแม่กังวลใจยิ่งนัก"

"...ข้าก็กังวลเจ้าค่ะ"

"แม่เองก็พอจะได้ยินชื่อเสียงของหล่างคุณจากคนที่เคยทำงานท่าเรือมา"

"อย่างไรเจ้าคะ"

"เขาไม่รับของไปขายให้ผู้ใดง่าย ๆ และก็ไม่ชอบพูดคุยเจรจายืดเยื้อกับผู้ใด ถ้าบอกไม่รับคือไม่รับห้ามเซ้าซี้"

"...ช่างเป็นพ่อค้าที่เข้าถึงยาก"

"เช่นนั้นเราเสนอเงินให้เขาดีหรือไม่"

"ไม่ได้นะเจ้าคะ การจะซื้อใจผู้ใดด้วยเงินนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ข้อสำคัญคือเราไม่ได้มีเงินมากมาย ดีไม่ดีเดี๋ยวเขาจะว่าได้ว่าเราดูถูกเขา เราไม่รู้ใจคน ไม่รู้ว่าหล่างคุณผู้นั้นคิดกับเราเช่นไร เราไม่รู้ว่าเนื้อแท้ข้างในเขาเป็นคนเช่นไร ข้าไม่อยากเสี่ยง"

"เช่นนั้นแม่เองก็จนวิธีจะช่วยเจ้า แต่พรุ่งนี้แม่จะไปเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน"

นางถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง อับจนปัญญาจะหาวิธีช่วยเหลือลูกสาว ทำได้เพียงไปเป็นเพื่อนเพื่อหวังจะให้กำลังใจ

"ขอบคุณเจ้าค่ะ แค่มีท่านแม่ติดตามไปด้วยข้าก็ดีใจมากแล้ว ในเมื่อเขาไม่ชอบคนเซ้าซี้ข้าก็จะไม่เซ้าซี้ ขอแค่เพียงสองครั้งเท่านั้น ข้าขอคุยกับหล่างคุนแค่สองครั้ง ผลจะออกมาเป็นเช่นไรข้าก็จะยอมรับ"

"ท่านพี่...ข้าขอติดตามไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ"

อาฉีที่ยืนฟังอยู่นานแต่ไม่ประสีประสาพูดขึ้นในขณะที่ยังกอดขาลู่เสียนทำให้เจียอีอดยิ้มออกมาไม่ได้ นางจึงก้มลงลูบปอยผมน้องชายอย่างเอ็นดู

"ได้ เช่นนั้นเราสามคนไปด้วยกันทั้งหมดเลย"

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ   บทที่ 139

    เจียอียิ้มแห้งแล้ววางฝ่ามือลูบตรงท้องน้อย ลู่จิวเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ได้แต่เอียงคอมองด้วยความสงสัย "ห๋า!...อย่าบอกนะว่าเจ้า""อื้ม""จะ เจ้าหิว!""...เฮ้อ..."เหตุใดลู่จิวถึงไม่เปลี่ยนไปเลยนะ..."ข้ากำลังตั้งครรภ์ต่างหากเล่า""ตั้งครรภ์! จริงหรือเนี่ย""จริง"สิ้นเสียงยืนยันลู่จิวกระโดดโลดเต้นราวก

  • จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ   บทที่ 138

    "...ตั้งครรภ์!"แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจะตกใจเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจระคนตื่นเต้น เขาจำต้องทวนถามสาวใช้อีกครั้งเพราะไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง"จริงหรือ""เจ้าค่ะ คนท้องมักจะอยากกินของแปลก ๆ หากไม่ได้กินก็จะงอแงน้อยใจ ท่านแม่ทัพเชิญหมอมาตรวจดูดีกว่าเจ้าค่ะเพื่อความแม่นยำ""อืม เช

  • จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ   บทที่ 137

    บทส่งท้ายจากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพหลายเดือนผ่านไปที่ค่ายบูรพายังคงสงบสุขด้วยดี สาวใช้สองนางที่ประจำการอยู่เรือนรับรองเดินยกอาหารเข้ามาให้เจียอี หนึ่งในสองคนนั้นวางอาหารลงบนโต๊ะแล้วเดินไปเรียกเจียอีที่กำลังทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ที่เตียง"ฮูหยินเจ้าคะ ข้าได้ทำตามวิธีการที่ฮูหยินบอกทุกประกา

  • จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ   บทที่ 136

    "ไปอยู่ที่ค่ายบูรพาดูแลตัวเองดี ๆ นะ""ข้าจะดูแลตัวเองดี ๆ...เจ้าก็เช่นกัน""อื้ม" หลังจากร่ำลาเรียบร้อยแล้วลู่จิวก็หันมาสบตาจือเฉิน เขายกยิ้มให้นางเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าลู่จิวจะมาเพื่อรั้งเขาไว้หรือพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด...นางแค่มาลาสหายของนางเพียงเท่านั้นจือเฉินรู้สึกเหมือนหัวใจแหล

  • จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ   บทที่ 135

    ดินแดนบูรพา (จบ)ในระหว่างที่ลู่จิวและอู๋ห่างกำลังจะเดินทางถึงหน้าโรงเตี๊ยม จือเฉินได้ควบม้ามาขวางเอาไว้ จึงทำให้คนขับรถม้าต้องดึงบังเหียนหยุดกะทันหัน คนที่นั่งอยู่ในรถม้าไม่ทันตั้งตัวทำให้ร่างกายเสียหลักจากแรงบังคับหยุด ลู่จิวรีบประคองอู๋ห่างเอาไว้แล้วแหวกม่านเดินลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอก พ

  • จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ   บทที่ 134

    "อื้อ...จริงสิ ข้าเห็นยามากมายในห้องท่านพ่อ ปกติท่านพ่อกินยาบำรุงเยอะขนาดนี้เลยหรือ""...คุณหนู ข้า...เอ่อ ข้าไม่รู้จะพูดดีไหม""พูดมา""คราวนั้นที่ข้าล่วงหน้ากลับมาก่อน พอข้ามาถึงก็พบเถ้าแก่หยวนนอนหมดสติอยู่ในห้องอ่านตำราของคุณชายจางหย่ง ดีที่เรียกหมอมาดูอาการทันเวลา ตั้งแต่นั้นมาเถ้าแก่ก็ป่วยบ่อย

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status