จินเยว่อย่าดีเกินไป
"เจ้าช่างมีจิตใจงดงามเหลือเกินจินเยว่"
จางหย่งยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจ เขาไม่รู้เลยว่าที่นางกล่าวมานั้นตรงข้ามกันทั้งหมด นอกจากจินเยว่จะไม่ช่วยแล้วนางยังตั้งใจตัดทางทำมาหากินของเจียอี ในครั้งนี้นับว่าจินเยว่ได้ความดีความชอบจากจางหย่งไปไม่น้อยโดยที่เขาไม่นึกคลางแคลงสงสัย
"ท่านพี่จางหย่งยอข้าเกินไป ข้าก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ได้ข่าวจากน้องลู่จิวว่าที่บ้านของแม่นางเจียอีนั้นมีฐานะยากจน นางช่างน่าสงสารยิ่งนัก เห็นคนตกทุกข์ได้ยากมีหรือที่ข้าจะนิ่งดูดายไม่ยื่นมือเข้าช่วย"
"ครั้งนี้ข้าต้องขอบใจเจ้า"
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าทำด้วยใจหาได้ต้องการอย่างอื่นเป็นสิ่งตอบแทนไม่"
"อีกเดี๋ยวลู่จิวก็คงจะกลับแล้ว เจ้าจะรอพบหน้านางก่อนหรือไม่"
"รอเจ้าค่ะ เช่นนั้นในระหว่างรอน้องลู่จิวข้าขอนั่งรอในห้องนี้กับท่านพี่จางหย่งได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าสัญญาว่าจะนั่งรอเงียบ ๆ ไม่รบกวนการทบทวนตำราของท่านพี่"
"ตามแต่ใจเจ้าเถิด ข้าขอทบทวนตำราก่อน"
"เจ้าค่ะ"
บอกแล้วจินเยว่ก็ขยับไปนั่งที่เก้าอี้มุมจิบน้ำชา นางเฝ้ามองจางหย่งเช่นนั้นเงียบ ๆ อย่างเช่นนางได้บอกไว้ นึกย้อนไปถึงยามเยาว์วัย ยามนั้นเจียวลู่บิดาของนางพานางมาแนะนำให้รู้จักกับบ้านหยวน ในตอนนั้นเจียวลู่มีเพียงร้านค้าเล็ก ๆ ในตลาด ได้หยวนอู๋ห่างชี้แนะเรื่องการทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จและมีท่าเรือขนาดกลางเป็นของตนเองมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องไปมาหาสู่ของสองครอบครัวนั้นเปรียบเหมือนมิตรสหาย เหมือนพี่เหมือนน้อง ทั้งบ้านหยวนและบ้านโม่จึงสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
จินเยว่นั่งอยู่ในห้องตำราได้เพียง 1 ก้านธูป เสียงแหลม ๆ ของลู่จิวก็ดังมาจากด้านนอก เสียงของนางมักจะมาก่อนตัวอย่างนี้เสมอเป็นธรรมดา ใจจริงจินเยว่อยากให้นางมาช้ากว่านี้สักหนึ่งชั่วยามเพราะว่าจะได้ถือโอกาสใกล้ชิดจางหย่งไปนาน ๆ แต่ลู่จิวดันมาขัดจังหวะเร็วเกินไป นั่นทำให้จินเยว่มีสีหน้าเบื่อหน่ายขึ้นมาเล็กน้อย
"ท่านพี่จางหย่ง นั่นเสียงน้องลู่จิวมาแล้ว เห็นทีว่าข้าต้องขอตัวลา"
"ไปเถิด ขอบใจเจ้ามากเรื่องแม่นางเจียอี"
ดูสิ...ก่อนจากเขายังไม่ลืมขานชื่อนางให้ได้ระคายหู แม้จะขัดใจแต่จินเยว่ก็ยังยิ้มรับใบหน้าชื่นมื่น
ลู่จิวเดินออกมาจากห้องอ่านตำราก็พบปะกันกับจินเยว่พอดิบพอดี ลู่จิวยิ้มกว้างรีบคว้าแขนจินเยว่เข้าไปในห้องนอนของตนเพื่อที่จะได้พูดคุยกันเพียงลำพังสองคน
"พี่จินเยว่ ตกลงท่านถามลุงเจียวลู่ดูหรือยังเรื่องสตรีอัปลักษณ์นั่น"
"ถามแล้ว แต่นางไม่ได้ไปหางานทำ นางไปขอติดต่อเรื่องส่งของแห้งไปขายทางใต้"
"หา ขายของแห้ง นางริอ่านจะทำการค้า ไม่เจียมตัวเสียเลย แล้วอย่างไรเล่า ท่านได้บอกลุงเจียวลู่สกัดนางไว้หรือไม่"
"พี่ไม่ได้บอกท่านพ่อสกัดนางไว้...น้องลู่จิวจะเอาเช่นนั้นจริง ๆ หรือ"
"ดีสิเจ้าคะ"
"พี่ละอายใจนัก ตั้งแต่เกิดมาพี่ไม่เคยกลั่นแกล้งผู้ใดมาก่อน พี่ทำไม่ได้จริง ๆ"
จินเยว่ก้มหน้าก้มตากะพริบตาปริบ ๆ ทำเหมือนว่ายังไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด แท้ที่จริงได้ชิงลงมือไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ได้ฟังลู่จิวก็หงุดหงิด แต่ในสายตาลู่จิวจินเยว่เปรียบเสมือนดอกบัวขาว ขี้สงสาร แสนดีและใจอ่อน นางคงไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้จริง ๆ
"ท่านก็เป็นคนดีแบบนี้ ท่านพี่จินเยว่อย่าดีเกินไป"
"พี่ขอโทษเจ้าที่พี่เป็นแบบนี้"
"ไม่ ไม่ ไม่ใช่เจ้าค่ะไม่ใช่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิพี่จินเยว่เลยนะเจ้าคะ"
นางรีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน เกรงว่าจะทำให้จินเยว่คิดมากกับสิ่งที่นางพูดไป ลู่จิวคิดว่าตนเองทำอะไรไม่ได้แล้วใจจึงปล่อยวางลง ขอเพียงเจียอีไม่มายุ่งกับพี่ชายของนางเป็นพอ เท่านั้น...นางก็จะไม่หาเรื่องเจียอีอีก
แต่ถ้าเจียอีเข้ามายุ่งกับพี่ชายนางเมื่อใด เมื่อนั้นได้เห็นดีกันแน่นอน ทว่าลู่จิวนางช่างไม่สังเกตเลยว่าทุกครั้งเจียอีไม่เคยเป็นฝ่ายเข้าหาจางหย่ง มีเพียงจางหย่งต่างหากที่เป็นฝ่ายเข้าหาเจียอีก่อน
"ท่านพี่ขอรับ ทำอะไรอยู่รึขอรับ"
อันฉีถือชามข้าวสวยมาวางลงบนโต๊ะ เมื่อเห็นว่าเม็ดข้าวยังติดอยู่บนแก้มเด็กน้อยเจียอีจึงหัวเราะออกมาอย่างขำขัน มื้อเที่ยงของวันนี้เขากินข้าวไปแล้วเป็นชามที่สาม เด็กตัวเล็ก ๆ ช่างกินเก่งอะไรขนาดนี้
"นั่นเจ้ายังไม่อิ่มอยู่หรือ ข้าจำได้ว่าเจ้ากินไปแล้วสองชาม นี่คงเป็นข้าวสวยชามที่สาม"
"ขอโทษที่ข้ากินมากไปขอรับ แต่ข้าชอบข้าวสวยมากจริง ๆ"
"พี่ไม่ได้ตำหนิเจ้า ถ้าพี่หาเงินได้มาก ๆ เจ้าจะกินเท่าไรย่อมได้ วันนี้เจ้าได้กินข้าวสวย ต่อไปเจ้าจะได้กินเนื้อเป็ดที่นุ่มลิ้นคู่กับข้าวสวย แต่อย่ากินจนอ้วนเชียว"
"จริงหรือขอรับ"
"จริงสิ"
"แล้วนั่นท่านพี่ทำอะไรหรือขอรับ"
เจียอีกำลังรื้อเหม่งสุ้นที่ทำตุนไว้ออกมาจากห้องเก็บของ นางเอาออกมากองไว้ที่ระเบียง
"พี่กำลังจะเอาเหม่งสุ้นออกขาย"
"เหตุใดไม่หยิบอันที่อยู่ด้านนอกล่ะขอรับ อันที่อยู่ด้านในเอาออกมายากกว่า"
"ไม่ได้ นี่เรียกว่าระบบเฟิร์สอินเฟิร์สเอ้าท์"
"หา โพ๊ดกินโพ๊ดเก๊า"
"ไม่ใช่ ๆ เฟิร์สอินเฟิร์สเอ้าท์ต่างหาก"
"โพ๊ดกินเฟิดเก๊า"
"เฟิร์สอินเฟิร์สเอ้าท์ ช่างเถอะ ๆ ให้เจ้าจำให้ขึ้นใจก็พอว่าของที่ทำเสร็จก่อนต้องนำออกขายก่อน ของที่ทำเสร็จทีหลังต้องนำออกขายทีหลัง"
"ข้าเข้าใจแล้วขอรับ"
"เก่งมาก หรือจะเรียกสั้น ๆ ว่าเข้าก่อนออกก่อนเข้าทีหลังออกทีหลังก็ได้"
"ขอรับท่านพี่"
อันฉีก้มหน้ากินข้าวต่อจนหมดชาม จากนั้นวิ่งเอาชามข้าวไปล้าง พอล้างเสร็จก็นำกลับมาคว่ำไว้ ลูกบ้านนี้ถูกสั่งสอนให้รู้จักรับผิดชอบตนเองตั้งแต่ยังเด็ก โตขึ้นไปจะได้ไม่เป็นภาระผู้อื่น ถึงแม้ว่าอันฉีจะยังเด็กมากแต่เขาก็รู้จักช่วยงานผู้ใหญ่เท่าที่ทำได้
"ให้ข้าช่วยไหมขอรับ"
"ได้สิ เจ้าตัวเล็ก เช่นนั้นเจ้าเข้าไปเอาเหม่งสุ้นที่อยู่ด้านในสุดออกมา"
นางชี้นิ้วไปยังห่อผ้าที่อยู่ด้านในสุด โชคดีที่หน่อไม้ตากแห้งแล้วมีน้ำหนักเบาอันฉีจึงยกออกมาได้อย่างสบาย ถ้าเป็นหน่อไม้สดเด็กน้อยอย่างเขาน่าจะยกไม่ไหวแน่นอน พอยกออกมาแล้วอันฉีก็นำมาวางไว้ใกล้ ๆ เจียอี
"นี่ขอรับ"
"ขอบใจเจ้ามากอาฉี เฮ้อ...เห็นทีพี่จะต้องสอนท่านตากับท่านแม่จัดเก็บสินค้าเสียใหม่ เอาของที่ทำก่อนไว้ด้านนอก เอาของที่ทำหลังไว้ด้านใน ยามต้องเอาออกขายจะได้หยิบสะดวก สมัยพี่ทำงานที่คลังสินค้าทำอย่างนี้ไม่ได้นะ หัวหน้าพี่บ่นตายเลย"
"แล้วเจ้าเคยไปทำงานที่คลังสินค้าว่าเมื่อใดกัน"
เสียงของลู่เสียนที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้เจียอีสะดุ้งโหยง นางไม่รู้ว่าลู่เสียนมายืนอยู่ด้านหลังนางตั้งแต่เมื่อใด รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเสียงของมารดาดังเข้าประทบโสตประสาท
"ท่านแม่! ท่านมาตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ"
เจียอีหันหลังกลับไปมองด้วยแววตาลุกลน นางยิ้มแห้ง ๆ ให้ผู้เป็นมารดา ทว่าลู่เสียนไม่มีอารมณ์ขันด้วย
"พูดมาให้ชัดแจ้ง เจ้าหนีแม่ไปทำงานที่คลังสินค้าเมื่อใดกัน"
"ไม่เคย ๆ ไม่เคยเจ้าค่ะ ข้าก็พูดจาเลอะเลือนไปเรื่อย ข้าจะแอบหนีท่านแม่ไปทำงานที่คลังสินค้าเมื่อใดกัน ท่านแม่ก็เห็นว่าข้าอยู่ติดเรือนตลอด"
"...อย่าให้แม่รู้นะว่าเจ้าแอบไปทำงานแล้วไม่บอกแม่ แม่เป็นห่วงรู้ไหม ถึงเจ้าจะเลยวัยปักปิ่นแล้วแต่ในสายตาแม่เจ้ายังเป็นเด็กอยู่ ตอนสัญญาณชีพจรเจ้าไม่มีแม่ใจไม่ดีเลย แม่กลัวจะเสียเจ้าไป เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรตามอำเภอใจตนเอง หากอยากทำงานให้บอกกล่าวแม่ก่อน ห้ามแอบไปเอง เข้าใจไหมเจียเอ๋อร์"
"ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่"
ลู่เสียนนางตำหนิเพราะห่วงและหวงเกินไป คนเป็นแม่ที่เกือบจะเสียลูกไปแล้วครั้งหนึ่งย่อมนิ่งเฉยไม่ได้ กว่าจะเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูถนุถนอมจนเติบใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย
ทำให้เจียอีคิดได้ว่า สักวันหนึ่งถ้าลู่เสียนได้ทราบความจริงว่าวิญญาณที่อาศัยในร่างของลูกสาวนางคือหลินเจียอียุคปัจจุบัน ส่วนลูกสาวแท้ ๆ ของนางได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อนั้นลู่เสียนจะเศร้าโศกเพียงใด
"ต่อไปนี้หากข้าจะไปที่ใดข้าจะบอกกล่าวท่านแม่ก่อนทุกครั้งเจ้าค่ะ"
เจียอีเข้าไปสวมกอดมารดาไว้แนบแน่น ส่วนอันฉีก็เข้ามาสมทบด้วยอีกคน สามแม่ลูกกอดกันกลม เมื่อคลายอ้อมกอดจากกันแล้วลู่เสียนจึงสอบถามเกี่ยวกับเรื่องการค้าทางใต้ด้วยความเป็นห่วง
"พรุ่งนี้เจ้าจะไปเจรจากับหล่างคุนแม่กังวลใจยิ่งนัก"
"...ข้าก็กังวลเจ้าค่ะ"
"แม่เองก็พอจะได้ยินชื่อเสียงของหล่างคุณจากคนที่เคยทำงานท่าเรือมา"
"อย่างไรเจ้าคะ"
"เขาไม่รับของไปขายให้ผู้ใดง่าย ๆ และก็ไม่ชอบพูดคุยเจรจายืดเยื้อกับผู้ใด ถ้าบอกไม่รับคือไม่รับห้ามเซ้าซี้"
"...ช่างเป็นพ่อค้าที่เข้าถึงยาก"
"เช่นนั้นเราเสนอเงินให้เขาดีหรือไม่"
"ไม่ได้นะเจ้าคะ การจะซื้อใจผู้ใดด้วยเงินนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ข้อสำคัญคือเราไม่ได้มีเงินมากมาย ดีไม่ดีเดี๋ยวเขาจะว่าได้ว่าเราดูถูกเขา เราไม่รู้ใจคน ไม่รู้ว่าหล่างคุณผู้นั้นคิดกับเราเช่นไร เราไม่รู้ว่าเนื้อแท้ข้างในเขาเป็นคนเช่นไร ข้าไม่อยากเสี่ยง"
"เช่นนั้นแม่เองก็จนวิธีจะช่วยเจ้า แต่พรุ่งนี้แม่จะไปเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน"
นางถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง อับจนปัญญาจะหาวิธีช่วยเหลือลูกสาว ทำได้เพียงไปเป็นเพื่อนเพื่อหวังจะให้กำลังใจ
"ขอบคุณเจ้าค่ะ แค่มีท่านแม่ติดตามไปด้วยข้าก็ดีใจมากแล้ว ในเมื่อเขาไม่ชอบคนเซ้าซี้ข้าก็จะไม่เซ้าซี้ ขอแค่เพียงสองครั้งเท่านั้น ข้าขอคุยกับหล่างคุนแค่สองครั้ง ผลจะออกมาเป็นเช่นไรข้าก็จะยอมรับ"
"ท่านพี่...ข้าขอติดตามไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ"
อาฉีที่ยืนฟังอยู่นานแต่ไม่ประสีประสาพูดขึ้นในขณะที่ยังกอดขาลู่เสียนทำให้เจียอีอดยิ้มออกมาไม่ได้ นางจึงก้มลงลูบปอยผมน้องชายอย่างเอ็นดู
"ได้ เช่นนั้นเราสามคนไปด้วยกันทั้งหมดเลย"