สตรีที่ท่านคู่ควร
"ลู่จิว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"
โม่จินเยว่บุตรสาวเพียงคนเดียวของโม่เจียวลู่ อายุ 17 หนาว ลักษณะท่าทางเรียบร้อยสุภาพ ทว่าถือตัวเจ้ายศเจ้าอย่างไม่สุงสิงกับผู้ใด คบหาสหายที่มีฐานะครอบครัวเท่าเทียมกันเท่านั้น นางถามไถ่ลู่จิวด้วยความเป็นห่วง เมื่อวานนี้นางได้ข่าวจากเจียวลู่ที่ดูแลโกดังท่าเรือว่าลู่จิวพลัดตกลงจากสะพาน น้ำในแม่น้ำนั่นหนาวเย็นยิ่งนัก นอกจากมาถามไถ่เรื่องราวถึงอุบัติเหตุเมื่อวานนี้จินเยว่ยังมีจุดประสงค์หลักคือต้องการหาข้ออ้างมาตระกูลหยวนเพื่อพบหน้าจางหย่ง เมื่อจินเยว่ถามถึงเหตุการณ์เมื่อวานลู่จิวก็พาลโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ เมื่อวานนี้หาใช่อุบัติเหตุไม่ ยิ่งคิดยิ่งแค้นเคืองแต่ภายในใจ จู่ ๆ ใบหน้าของหญิงผู้หนึ่งที่แสนชังก็ผุดขึ้นมาให้ไฟโทสะของนางคุกรุ่นขึ้นอีกหน
จินเยว่แอบหลงรักจางหย่งมานานหลายปี แต่จางหย่งก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีใจให้ ในสายตาจางหย่งเห็นนางเป็นเพียงน้องสาวไม่เคยคิดเป็นอื่นแต่จินเยว่กลับคิดไปไกล นางคิดว่านอกจากจางหย่งแล้วในหมู่บ้านนี้ก็คงไม่มีบุรุษใดเหมาะสมกับนางอีก ทั้งฐานะครอบครัวและฐานะทางสังคม ต่างรู้กันดีว่าเถ้าแก่หยวนขึ้นชื่อเรื่องร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน ไม่มีทางที่คนหัวสูงอย่างจินเยว่จะคว้าเอาคนที่ด้อยกว่าตนมาเป็นสามี
"ท่านพ่อบอกว่าเจ้าพลัดตกสะพาน ข้าเลยแวะมาดูอาการ"
"ขอบคุณพี่จินเยว่ที่เป็นห่วง ข้าดีขึ้นมาแล้ว"
ฮัดชิ้ว!
พูดยังไม่ขาดคำลู่จิวก็จามออกมา อันที่จริงนางเป็นหวัดนิดหน่อยอาการไม่ได้รุนแรงมาก
"พี่ตุ๋นรังนกมาให้ เจ้าเอาไปดื่มเสียเถิด กำลังอุ่น ๆ อยู่จะได้หายป่วยโดยไว"
นางหยิบชามรังนกออกมาจากตะกร้าที่วางไว้ข้างตัว จินเยว่ตุ๋นรังนกมาสองชุด ชุดหนึ่งนางยกให้ลู่จิวเพราะจะได้ดูไม่น่าเกลียดเกินไป แต่สงวนอีกชุดที่มีเนื้อรังนกชิ้นใหญ่กว่าไว้ให้จางหย่งหวังเอาอกเอาใจ
"พี่จินเยว่ช่างดีกับข้าเหลือเกิน รังนกนี่ก็เป็นของดีหายาก ลำบากท่านแล้ว"
"ลำบากอะไรกัน เจ้าไม่ใช่คนอื่นคนไกล เราไปมาหาสู่กันตั้งแต่เด็ก ข้าเองก็เป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง หากได้เจ้ามาเป็นน้องข้าข้าคงเอ็นดูเด็กดีอย่างเจ้าเป็นพิเศษ"
"เช่นนั้นข้าต้องรีบดื่ม ขอบใจพี่จินเยว่มากที่เอ็นดูข้า"
"อื้ม ว่าแต่พี่จางหย่งไปไหนหรือ"
นางพยายามมองหาจางหย่งตั้งแต่ก้าวเข้าประตูบ้านหยวน แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ ครั้นจะเดินตามหาเองก็กลัวคนจะมองว่าเปิดเผยเกินไป จึงได้แต่เก็บอาการไว้ เอาไว้ถามไถ่เรื่องอาการเจ็บป่วยของลู่จิวแล้วค่อยหลอกถามนางในภายหลัง เพราะถึงอย่างไรลู่จิวนางก็ไม่ค่อยฉลาด นางคงไม่ถึงขั้นอ่านใจจินเยว่ออก
"ท่านพี่อยู่ในห้องอ่านตำรา พี่จินเยว่อย่าพูดชื่อเขาอีกเลยข้าไม่อยากได้ยิน"
"...เกิดอะไรขึ้นหรือ คงจะเง้างอนกันเหมือนตอนเด็กอีกแล้วใช่หรือไม่"
"ไม่ใช่ ที่ข้าตกน้ำเมื่อวานนี้สาเหตุก็มาจากท่านพี่จางหย่งนั่นแหละ ไม่รู้จะปกป้องสตรีผู้นั้นไปถึงเมื่อใด"
"สตรีนางใด?"
ได้ยินลู่จิวกล่าวถึงผู้หญิงแววตาของจินเยว่ก็มีแววขุ่นเคืองขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่นางก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติดังเดิม ให้ลู่จิวเห็นว่านางสงบและเยือกเย็นเพียงใด ลู่จิวจะได้มองว่านางเหมาะสมที่จะมาเป็นพี่สะใภ้
"ก็แม่นางที่ย้ายมาจากหมู่บ้านอื่นอย่างไรเล่า นางอัปลักษณ์นั่นมีนามว่าเจียอี เมื่อปีที่แล้วข้าเคยทำนางตกน้ำท่านจำได้หรือไม่"
"แม่นางเจียอี ข้าเคยได้ยินคนในหมู่บ้านพูดกันว่านางงดงามยิ่งนัก"
"พูดไปเรื่อย ในหมู่บ้านนี้จะมีใครงดงามกว่าข้าได้อีก"
จินเยว่แทบสะอึกกับคำพูดของลู่จิว นางอยากจะสอนวิธีประทินโฉมให้ลู่จิวเสียใหม่ อยากมอบตลับชาดทาปากใหม่ให้สักสิบตลับ รวมทั้งสอนวิธีเขียนคิ้วที่ถูกต้อง แต่ก็กลัวจะขัดใจลู่จิว พลอยทำให้ผิดใจกันเสียเปล่า ๆ ดีไม่ดีลู่จิ่วอาจหมดความนิยมชมชอบในตัวนาง เมื่อนั้นนางจะเข้าออกบ้านหยวนได้ลำบาก แล้วก็จะไม่มีข้ออ้างมาเจอหน้าจางหย่งอีก
"ใช่ ในหมู่บ้านนี้เจ้างดงามอันดับหนึ่ง"
"พี่จินเยว่พูดถูกใจข้านัก ข้าอยากได้พี่จินเยว่มาเป็นพี่สะใภ้มากจริง ๆ"
"...อย่าพูดอย่างนั้นเลยลู่จิว หากใครมาได้ยินเข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะสม"
ถึงปากจะปรามลู่จิวแต่ในใจจินเยว่นั้นกระหยิ่มยิ้ม ช่างเป็นคำพูดที่ดีที่สุดที่นางอยากได้ยินหลังจากพยายามเอาใจลู่จิวมานานหลายปี จินเยว่เป็นคนฉลาดหลักแหลมและรู้ดีว่าต้องเข้าทางลู่จิวเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้ขึ้นเป็นสะใภ้ใหญ่บ้านหยวน นางรู้ว่าอู๋ห่างรักใคร่บุตรสาวคนนี้มากเพียงใด หากลู่จิวชอบใครมีหรือที่อู๋ห่างจะไม่ชอบด้วย
"มีอะไรไม่เหมาะสม พี่จินเยว่เป็นกุลสตรีเรียบร้อยงดงาม ศิลปะทั้งสี่ก็เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ทั้งดีดฉิน หมากล้อม เขียนอักษร ภาพวาด หลักสี่จรรยาก็โดดเด่น รูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้าน มีคุณธรรมมารยาทเพียบพร้อม กิริยาวาจาอ่อนหวาน งานบ้านการเรือนไม่มีขาดตกบกพร่อง ผิดกับสตรีป่าเถื่อนอัปลักษณ์นั่น...หา! ไม่ใช่ว่าท่านพี่จางหย่งของข้าตกหลุมรักสตรีอัปลักษณ์หลินเจียอีแล้วหรือ โอ้ ไม่นะ ไม่ ไม่ ข้าไม่อยากได้นางเป็นพี่สะใภ้"
พูดจบลู่จิวก็ทำตาโต นางคิดไปใจก็เต้นตุบ ๆ ด้วยความกังวลใจ แต่อีกคนที่เดือดดาลนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้เห็นจะเป็นจินเยว่ นางอยากกรีดร้องออกมาดัง ๆ แต่เท่าที่ทำได้ก็เพียงแค่สงวนท่าทีเอาไว้ ทำได้แค่อดกลั้นข่มอารมณ์
จินเยว่เคยพบปะเจียอีมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ในตอนนั้นนางไปกับลู่จิ่วและได้พบเจียอีกับน้องชายที่มาเดินเล่นแถวริมลำธาร ในตอนนั้นจินเยว่ไม่คิดอะไรมากเพราะเห็นเจียอีเป็นเพียงเด็กสาวอายุ 13 หนาว ส่วนนางย่างเข้าวัยปักปิ่นแล้ว อีกอย่างเจียอีก็อยู่คนละหมู่บ้าน ไม่คาดคิดว่าจู่ ๆ เจียอีจะกลายมาเป็นหนามยอกอก
"คงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เจ้าอย่ากังวลมากไป เอาล่ะ ข้าจะไปเยี่ยมท่านพี่จางหย่งเสียหน่อย"
"เจ้าค่ะ ข้าเองก็จะเข้าไปนอนพักเอาแรง เรื่องท่านพี่จางหย่งคงเป็นข้าที่คิดมากเกินไป แต่ถึงอย่างไรพี่จินเยว่ก็ควรจะถามท่านพ่อของพี่จินเยว่ดูนะเจ้าคะ เมื่อวานนี้สตรีอัปลักษณ์ผู้นั้นนางไปหางานที่ท่าเรือ ถ้าเป็นไปได้ทำให้นางไม่มีงานทำเลยยิ่งดี"
"เอาอย่างนั้นเลยหรือ พี่ว่ามันจะมากเกินไป"
"พี่จินเยว่ก็เป็นคนดีแบบนี้ เช่นนั้นก็สุดแล้วแต่พี่จินเยว่เถิดเจ้าค่ะ ให้ข้าเจ็บแค้นใจไปเพียงลำพังเถอะ"
"...ได้ ได้ เช่นนั้นเอาไว้พี่จะถามท่านพ่อดู"
ในห้องอ่านตำรา จางหย่งกำลังตั้งใจศึกษา ภายในห้องเต็มไปด้วยตำราอ่านทบทวนข้อสอบเพื่อสอบคัดเลือกขุนนางขั้น 8 ตำแหน่งปลัดอำเภอเล็กเครื่องแบบลายนกขมิ้นเหลือง แม้ว่าความฝันสูงสุดของจางหย่งคือการได้สวมใส่เครื่องแบบลายนกยูง (ขุนนางขั้น 3) ซึ่งทำหน้าที่ผู้ตรวจการมณฑล แต่เขาก็ทุ่มเทและพยายามอย่างมากที่จะสอบเข้าราชการให้ได้
เสียงฝีเท้าของจินเยว่ที่กำลังย่างกายเข้ามาในห้องทำให้จางหย่งละสายตาจากตำรา เขามองเท้าเล็ก ๆ คู่นั้นแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเท้าอย่างเต็มตา จินเยว่ฉีกยิ้มหวานหยดวางตะกร้าลงบนโต๊ะ หยิบเอาถ้วยรังนกที่ยังอุ่นอยู่ออกมาวางตรงหน้าชายหนุ่ม
"พี่จางหย่ง นี่คือรังนกคุณภาพดีที่ท่านพ่อของข้าได้มาจากพ่อค้าทางใต้ ข้าตั้งใจตุ๋นมาให้ท่านเป็นพิเศษ ดื่มเสียตั้งแต่ยังอุ่น ๆ ก่อนเถิดเจ้าค่ะ"
"ขอบใจเจ้ามากจินเยว่ ของดีเช่นนี้เจ้าควรเอาไปให้ลู่จิวมากกว่านางกำลังไม่สบายอยู่ ข้าเห็นเจ้าสองคนสนิทสนมกันดี"
"ข้าย่อมเตรียมมาเผื่อนางด้วย ลู่จิวนางเป็นเหมือนน้องสาวที่ข้ารักและเอ็นดูข้าจะลืมนางได้อย่างไร นางดื่มรังนกไปแล้วเมื่อครู่นี้เจ้าค่ะ ท่านพี่จางหย่งก็ดื่มเสียเถิดเดี๋ยวจะเย็น"
"อืม"
จางหย่งรับถ้วยรังนกมาจากมือของจินเยว่ พอได้มาเขาก็ดื่มจนหมดในครั้งเดียว พอดื่มหมดเขาก็ยื่นถ้วยคืนให้จินเยว่และก้มหน้าสนใจเนื้อหาในตำราต่อ จินเยว่เห็นว่าไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร เขาไม่แม้แต่จะกล่าวชื่นชมรสชาติของรังนกที่นางตุ๋นเองกับมือ ดังนั้นนางจึงเป็นฝ่ายถามขึ้นเอง
"รสชาติรังนกที่ข้าตุ๋นเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"
เขาเงยหน้าขึ้นสบตานาง ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อย
"เจ้ายังไม่ได้ชิมดูหรอกหรือ"
นางถึงกับพูดไม่ออก ไม่คาดคิดว่าจะได้คำตอบที่เหนือความคาดหมาย รู้อยู่ว่าจางหย่งเป็นคนซื่อ ๆ แต่บางครั้งความซื่อของเขามีเส้นบาง ๆ ที่เรียกว่าเย็นชากั้นอยู่ จินเยว่ยิ้มเจื่อนแล้วพูดน้ำเสียงผิดหวัง
"ข้าชิมแล้วเจ้าค่ะ แต่ข้าแค่ไม่มั่นใจว่าผู้อื่นจะชื่นชอบรสชาติที่ข้าปรุงรึไม่ ดังนั้นพี่จางหย่งก็ถือเสียว่าข้าหาคนชิมเถิด หากท่านพ่อได้ของดีมาอีกคราวหน้าข้าจะปรุงมาให้พี่จางหย่งชิมให้"
"ข้าเองก็ไม่ใช่นักชิมที่ดี เกรงว่าจะตอบไม่ได้ว่ารสชาติที่เจ้าปรุงนั้นเป็นเช่นไร ไม่รู้จะถูกปากผู้อื่นหรือไม่ ส่วนของดีที่ท่านลุงเจียวลู่ได้มาเจ้าก็ควรเก็บไว้บำรุงบุพการีเถิด"
"ช่างเป็นความคิดที่ลึกซึ้ง เอ่อ...ขะ ข้าย่อมเก็บของดีไว้บำรุงบุพการีอยู่แล้วเจ้าค่ะ ทำเช่นนั้นถึงเรียกว่าบุตรกตัญญู"
เหมือนถูกตำหนิกลาย ๆ ว่าควรสงวนของดีไว้ให้บุพการี (เก็บไว้ให้พ่อให้แม่เจ้ากินเถอะ) แต่อันที่จริงจางหย่งก็ไม่มีใจคิดตำหนิเช่นนั้น เขาเพียงพูดออกไปตามเห็นสมควร ไม่อยากให้จินเยว่สิ้นเปลืองกับเขาเกินไป เท่านี้เขาก็เกรงใจนางมากแล้ว
"ต้องขอโทษด้วยที่ข้าต้องศึกษาตำราต่อไม่มีเวลาพูดคุยกับเจ้าได้นาน ถึงอย่างไรข้าก็ขอบใจเจ้ามากที่อุตส่าห์ตุ๋นรังนกคุณภาพดีแบบนี้มาให้ข้า"
ประโยคหลังทำให้จินเยว่ฉีกยิ้มกว้าง เพียงได้รับหนึ่งคำขอบคุณถือว่าสิ่งที่นางทำมาไม่เสียเปล่า จินเยว่คว้าเอาตะกร้ามาถือไว้จากนั้นจึงขอตัวลา
"ข้าเต็มใจทำให้พี่จางหย่งเจ้าค่ะ เช่นนั้นพี่จางหย่งตั้งใจศึกษาตำราเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่รบกวนแล้ว"
"อ้อ จริงสิ เมื่อวานนี้มีแม่นางนามว่าเจียอีนางไปหางานทำที่ท่าเรือ เช่นนั้นช่วยพูดกับพ่อเจ้าให้ที รบกวนพ่อเจ้าช่วยหางานตำแหน่งดี ๆ ให้นางทำ ข้าขอฝากเจียอีกับเจ้าด้วยนะจินเยว่"
"...!..."