นางไม่ได้มาหางาน
"อร่อยไหมฉีเอ๋อร์"
"อร่อยมากขอรับท่านแม่"
ลู่เสียนลูบศีรษะทุยของเด็กชายตัวน้อย เขากำลังใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวสวยเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยแม้จะไม่มีกับข้าวทานคู่ มีเพียงข้าวสวยที่หุงใหม่ ๆ ร้อน ๆ เพียงถ้วยเดียวเท่านั้น
"ข้าวสวยนี้ทั้งนุ่ม ทั้งหวาน ทั้งหอม ข้าชอบมากเลยขอรับท่านแม่"
"ต้องขอบคุณพี่สาวเจ้า แม่ภูมิในตัวเจ้ามากเจียเอ๋อร์"
"ตากับยายก็ภูมิใจในตัวเจ้าเจียเอ๋อร์"
ตงซิ่วพูดเสริม นานแล้วที่เขาไม่ได้กินข้าวสวยแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบที่ไม่ใช่น้ำต้มข้าว ทางด้านนางหวังก็ปลื้มปริ่มจนน้ำตาซึม ในยามที่ลู่เสียนอาศัยอยู่บ้านหลินนางอยากเจียดอาหารดี ๆ มาให้ตงซิ่วและนางหวังใจจะขาด แต่เพราะถูกคนบ้านนั้นจับตาป้ายความผิดให้จนแทบขยับตัวไม่ได้ ลู่เสียนจึงได้แต่เป็นห่วงพ่อแม่อยู่ไกล ๆ หากนางรู้ว่าพักหลังมานี้พ่อและแม่จะมีความเป็นอยู่ที่อัตคัดขัดสนถึงเพียงนี้ นางก็คงจะชวนสามีกลับมาอยู่ดูแลพ่อแม่นานแล้ว ไม่ต้องทนอยู่ให้คนบ้านหลินกดหัว
"ท่านตาท่านยายอย่าชมข้าเกินไป ข้าแค่อยากให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวเราดีขึ้น ไม่ต้องร่ำรวยก็ได้เจ้าค่ะ ขออย่าขัดสนเป็นพอ"
"ระยะนี้มีคนนำหน่อไม้สดมาขายส่งให้เรามากทีเดียว กำลังส่งออกเราก็มากขึ้น การขนส่งก็เริ่มลำบาก หากเป็นของจำนวนมากคงใช้ผ้าห่อแบกขึ้นบ่าไปส่งไม่ไหว"
การจะนำของไปขายตลาดนั้น ถ้าจำนวนของไม่มากเจียอีพอแบกขึ้นหลังไปได้ แต่ถ้าจำนวนมากเกินไปจำเป็นต้องจ้างรถม้าให้พาไปส่ง ในแต่ละครั้งเจ้าของรถม้าคิดค่าจ้างมากถึง 10 อีแปะ
"ท่านแม่เจ้าคะ เงินที่หามาได้ขาดอีกเท่าไรถึงจะพอซื้อรถม้าได้เจ้าคะ"
"เงินที่แม่เก็บไว้ ทั้งจากขายของและรวมสินเดิมมีเพียง 4 ตำลึงเงิน"
ราคารถม้าไม่ใช่ถูก ๆ หากส่งของไปขายทางใต้ได้สักเที่ยวคงจะดี เพียงเที่ยวเดียว หากได้ผลตอบแทนถึงสี่เท่าคาดว่าจะเพียงพอสำหรับซื้อรถม้าได้หนึ่งคัน หลินเจียอีครุ่นคิดอยู่นาน นางคิดเกี่ยวกับเรื่องของหล่างคุนพ่อค้าของแห้งทางใต้ ถ้าเขาไม่รับเหม่งสุ้นของนางไปเล่าจะทำอย่างไรดี ขายในตลาดใกล้หมู่บ้านอาณาเขตนั้นช่างคับแคบเกินไป นางอยากกระจายสินค้าออกขายเป็นวงกว้างจะได้ผลตอบแทนมากขึ้นตาม
"เอาเช่นนี้ดีไหมเจ้าคะ เราซื้อแค่ม้า"
"เอาแค่ม้านะหรือ"
ตงซิ่วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ถ้าซื้อแค่ม้าแล้วจะขนของจำนวนมากได้อย่างไร นอกเสียจากว่า...
"เจ้าค่ะ ซื้อแค่ม้า ส่วนตัวรถเราก็ประกอบขึ้นเอง รถเราก็ตัดไม้มาทำเอง ท่านตามีฝีมือเรื่องงานไม้ ทำได้แน่นอนเจ้าค่ะ"
"ยายเห็นด้วยกับเจียเอ๋อร์นะ"
"แม่ก็เห็นด้วย"
"เอาอย่างนั้นก็เอา"
ตงซิ่วรับคำ การประกอบรถม้าใช้เองจะสามารถประหยัดกว่าเดิมได้นับว่าครึ่งต่อครึ่งของราคารถม้า ทว่าหากจะซื้อม้าสักตัวจะต้องรอเงินจากการส่งเหม่งสุ้นไปทางใต้ ซึ่งก็ไม่รู้จะเป็นไปได้หรือไม่ เจียอีมองใบหน้าของคนในครอบครัวที่อิ่มเอมไปด้วยความหวังนางก็ยิ้มให้กำลังใจ แต่ภายในใจของนางกำลังคิดหนักว่าจะหาเงินมาซื้อม้าได้เมื่อไร
"เงินที่ท่านแม่มีเราคงเอาไปซื้อม้าไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ครอบครัวเราต้องมีเงินสำรองก้นถุงไว้ใช้ยามจำเป็น ดังนั้นข้าอยากจะให้ท่านตาช่วยประกอบรถม้าไปก่อน หากข้าหาเงินได้มากขึ้นค่อยซื้อม้ามาใช้งานในภายหลัง จะได้ไหมเจ้าคะ"
สิ้นประโยครอยยิ้มของทุกคนกลับจางหายไป เหมือนความหวังเริ่มมีแสงสว่างริบหรี่ลงจนเกือบจะมืดสนิทดังเดิม แต่แล้วนางหวังก็ได้พูดให้กำลังใจ
"เป็นเจ้าที่คิดได้ลึกซึ้งเจียเอ๋อร์ ถูกแล้ว เราควรเก็บเงินไว้ใช้ยามจำเป็น รถม้าพวกเราก็รอได้ไม่ใช่หรือ เพราะในตอนที่เราไม่มีใช้เราก็ยังหาเช่าได้ รออีกหน่อยจะเป็นไรไป เท่านี้เจียเอ๋อร์ก็ทำดีที่สุดแล้ว"
"ตาไม่ตำหนิเจ้า ตารอได้"
"แม่ก็รอได้"
"เจ้าค่ะ"
ลู่เสียนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง กำลังคิดอยู่ว่าจะหาวิธีหาเงินช่วยลูกสาวอย่างไรดี จนในที่สุดนางก็คิดออก ลู่เสียนพอจะมีฝีมือเรื่องการปักผ้าอยู่บ้าง หากนำผ้ามาปักแล้วนำไปขายอาจจะพอได้เงินเพิ่มขึ้นมาจำนวนหนึ่ง จะว่าไปคนที่มีฝีมือปราณีตบรรจงสามารถทำออกมาได้ดีกว่าลู่เสียนยังมีอีกผู้หนึ่ง...นั่นคือหลินเจียอี
"เจียเอ๋อร์ แม่ว่าหากเราปักผ้าขายน่าจะได้ราคาดี สตรีที่มีฐานะนิยมใช้ผ้าปักลายสวย ๆ เจ้าเองก็มีฝีมือด้านนี้น่าจะทำขาย เราช่วยกันทำยามว่างคงหาเงินได้อีกทางแน่นอน"
ปักผ้าอย่างนั้นหรือ...ให้ตายเถอะ หลินเจียอีผู้นี้แค่เย็บเป้ากางเกงแตกยังบิดเบี้ยวเป็นรอยตะขาบขาไม่สมประกอบ แล้วนางจะมีปัญญาที่ไหนไปปักผ้าลวดลายสวย ๆ ให้เป็นรูปดอกไม้ ผีเสื้อ มด แมว หนู กระต่าย...เวรกรรมแท้ ๆ
"เอ่อ ข้าว่าท่านแม่ทำเถิดเจ้าค่ะ"
"ทำไมล่ะ เจ้ามีฝีมือด้านนี้แล้วทำออกมาได้ดีกว่าแม่เสียอีก เราทำด้วยกันน่ะดีแล้ว"
"...พะ พักนี้ข้าไม่ค่อยมีเวลา อีกสองวันจะต้องไปติดต่องานกับพ่อค้าทางใต้ที่ท่าเรือ ข้าว่าท่านแม่ทำน่าจะเหมาะกว่า"
"เอาเช่นนั้นหรือ"
"เจ้าค่ะ เอาเช่นนั้นเลย"
ณ โกดังสินค้าท่าเรือ
"ท่านพ่อเจ้าคะ"
จินเยว่เดินเข้ามาภายในโกดังพร้อมกับเรียกหาเจียวลู่ผู้เป็นพ่อ พอได้ยินเสียงหวานของลูกสาวแว่วดังลอยมาเข้าหูเจียวลู่ที่กำลังสั่งงานลูกน้องก็หันกลับมามอง
"อ้าวเยว่เอ๋อร์ เจ้ามาหาพ่อหรือ มาสิมา นั่ง ๆ"
เจียวลู่เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานชักชวนลูกสาวให้นั่งลง ปกติแล้วนางจะไม่ค่อยออกมาท่าเรือด้วยตนเองสักเท่าไร เพราะให้เหตุผลกับเจียวลู่ว่าคนงานที่ท่าเรือมีแต่จับกังที่ทำงานหนักแบกหาม เหงื่อไคลไหลอาบจนเนื้อตัวเหม็นได้กลิ่นแล้วนางอยากอาเจียน แต่ครั้งนี้ที่นางมาปรากฎกายที่โกดังเห็นทีจะมีเรื่องสำคัญต้องพูดคุย
"มีอะไรจะคุยกับพ่อ"
"ข้าอยากถามเรื่องแม่นางที่ชื่อหลินเจียอี ท่านพี่จางหย่งบอกว่านางมาหางานที่ท่าเรือ"
"เอ...หลินเจียอี...เจียอี ใครกันน้อ"
เจียวลู่ครุ่นคิดว่าเมื่อวานมีผู้ใดของานทำบ้าง แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก เพราะว่าคนที่มาหางานเมื่อวานนี้ล้วนเป็นชายทั้งหมด ทว่าชื่อหลินเจียอีก็ช่างคุ้นหูเป็นอย่างมาก จนกระทั่งคิดได้ว่าเมื่อวานนี้มีแม่นางที่มีใบหน้างดงามโดดเด่นผู้หนึ่งมาติดต่อขอส่งของไปขายทางใต้
"อ้อ หลินเจียอี แม่นางผู้นั้นนางไม่ได้มาหางานนี่ลูก นางมาติดต่อขอส่งของไปทางใต้"
"ของอะไรเจ้าคะ"
"นี่เจ้าสนใจงานของพ่อตั้งแต่เมื่อใดกัน"
พูดประชดประชันแกมหยอกลูกสาวแล้วเจียวลู่ก็หัวเราะชอบใจ เขาอยากให้นางเข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัวมานานแล้ว แต่นางก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด จู่ ๆ วันนี้มาถามไถ่เรื่องลูกค้าช่างน่าประหลาดใจนัก
"ตกลงของอะไรหรือเจ้าคะท่านพ่อ"
"ก็พวกของแห้งน่ะ นางให้พ่อติดต่อพ่อค้าของแห้งทางใต้ให้นาง"
"ของแห้ง"
"อืม นางเรียกของชนิดนั้นว่าเหม่งสุ้น"
"เหม่งสุ้นที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในตอนนี้นะหรือเจ้าคะ เหม่งสุ้นมาจากนางหรือ"
"ใช่แล้ว เมื่อวานก่อนกลับนางพูดคุยกับพ่ออยู่ครู่หนึ่ง นางบอกว่าครอบครัวของนางเป็นผู้ผลิตเหม่งสุ้นเพียงเจ้าเดียวในตอนนี้ หากนางส่งไปขายทางใต้ได้นางคงกอบโกยเงินได้มากทีเดียว เก่งจริง ๆ อายุยังน้อยอยู่แท้ ๆ"
ผู้เป็นพ่อเยินยอเจียอีให้ได้ยินจินเยว่ก็กำมือแน่นจนชื้นเหงื่อ ไม่มีทางที่นางจะยอมให้หลินเจียอีประสบความสำเร็จในการค้าขาย หากเมื่อใดที่ฐานะหลินเจียอีดีขึ้นมาเมื่อนั้นนางคิดว่าอาจเทียบชั้นกับนางได้ เพราะฉะนั้นต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม
"ท่านพ่อ ท่านพ่อช่วยสกัดนางไว้ไม่ให้ส่งสินค้าไปขายทางใต้สำเร็จด้วยนะเจ้าคะ"
"เอ๋?"
"นะ นะเจ้าคะท่านพ่อ"
"พ่อจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากนางส่งของไปขายทางใต้ได้จริงก็เท่ากับว่านางคือลูกค้าของพ่อ พ่อว่าอนาคตนางน่าจะไปได้ไกล ดูแววแล้วคนแบบนี้ค้าขายเจริญรุ่งเรืองแน่นอน หากพ่อหยุดนางไว้ตอนนี้ไม่เท่ากับว่าพ่อปิดกั้นรายได้ตัวเองในภายภาคหน้าหรอกหรือ"
เมื่อถูกขัดใจจินเยว่ก็ชักสีหน้าแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรจินเยว่ก็จะไม่ยอมให้เจียอีทำการค้าขายสำเร็จแน่นอน นางรู้จุดอ่อนของเจียวลู่ ดีอย่างไรเจียวลู่ก็ต้องตามใจนางที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว
"ท่านพ่อ"
"เอาล่ะ ๆ เจ้าอย่ากังวลไป นางยังไม่ได้เจรจากับหล่างคุน หล่างคุนพ่อค้าของแห้งผู้นี้เคี่ยวยิ่งนัก อีกอย่างรายการของแห้งที่เขารับไปก็แทบจะล้นเรือแล้ว เขาไม่รับของไปขายสุ่มสี่สุ่มห้าแน่ เจ้าวางใจเถิด พ่อว่าหล่างคุณไม่รับของนางไปขาย"
"ได้ยินเช่นนี้ข้าก็วางใจแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวลาเลยนะเจ้าคะ"
เมื่อออกจากท่าเรือแล้วจินเยว่ก็นั่งรถม้ามาบ้านหยวน วันนี้ลู่จิวไม่อยู่บ้านนางจึงตรงเข้าไปพบจางหย่งที่ห้องตำราทันที
"ท่านพี่จางหย่ง"
"จินเยว่ วันนี้ลู่จิวออกไปเดินตลาด"
"ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้ามาหาท่านพี่จางหย่งต่างหาก"
คิ้วคมสองข้างจรดกันเป็นเส้นตรงด้วยความฉงน จินเยว่ไม่เคยตั้งใจมาหาเขาโดยตรง ส่วนมากจะหาข้ออ้างมามากกว่า โดยใช้วิธีการผ่านทางลู่จิว แสดงว่าครั้งนี้นางคงมีสิ่งสำคัญอยากพูด ดังนั้นจางหย่งจึงปิดตำราที่กำลังศึกษาอยู่ลง เงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกฝ่ายอย่างจริงจังเป็นเรื่องเป็นราว
"ข้ามาเรื่องแม่นางเจียอีที่ท่านพี่จางหย่งฝากเรื่องไว้เมื่อวาน"
"จริงหรือ ได้ความอย่างไร"
เห็นรอยยิ้มดีใจที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจางหย่ง จินเยว่ก็รู้สึกไม่พอใจในทันที แต่นางยังฝืนยิ้มกลบเกลื่อนทำเหมือนยินดีอย่างยิ่งที่ได้ให้ความช่วยเหลือ
"แม่นางเจียอีไม่ได้มาสมัครงานเจ้าค่ะ แต่นางมาติดต่อขอส่งสินค้าไปขายทางใต้"
"จริงหรือ"
"เจ้าค่ะ ข้าก็เลยขอร้องให้ท่านพ่อสนับสนุนนาง ขอให้ท่านพ่อช่วยคุยกับพ่อค้าของแห้งหล่างคุนว่าให้ช่วยรับของนางขึ้นเรือไปเปิดตลาดทางใต้ให้ที"