เปลี่ยนจากวัยเด็กก้าวเข้าสู่วัยสาว
"เจียเอ๋อร์ จากวันนี้ไปเจ้าก็เข้าสู่วัยออกเรือนแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่"
ดีใจ? ...นางไม่ใช่สาว 15 แต่นางคือสาว 25 เรื่องดีใจที่จะได้ออกเรือนนั้นไม่ต้องกล่าวถึง ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกปัจจุบันก็ไม่ต่าง ไม่มีบุรุษใดหมายตาต้องใจ เกรงว่าพอย่างเข้าปีที่ 20 ลู่เสียนคงจะต้องเสียบปิ่นให้อีกคราเป็นแน่
พิธีปักปิ่น (จีหลี่) พิธีดั้งเดิมที่ทำสืบทอดกันมา เป็นพิธีก้าวพ้นวัยที่ทำให้เด็กสาวรู้และตระหนักถึงภาระและหน้าที่ในวัยผู้ใหญ่ หากหญิงใดเมื่ออายุครบ 15 หนาวบริบูรณ์จะต้องได้รับการปักปิ่น ถ้าในระหว่างช่วงอายุ 15-19 หนาวยังไม่ได้ออกเรือนจะต้องทำพิธีเสียบปิ่นใหม่เมื่ออายุ 20 หนาว
ส่วนฝ่ายชายนั้นจะต้องเข้าพิธีสวมหมวกเมื่ออายุครบ 20 หนาว เมื่อนั้นจะถือว่าสามารถออกเรือนแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาได้
"...ไม่ดีใจเจ้าค่ะ เสียบปิ่นวันนี้ใช่ว่าพรุ่งนี้จะได้แต่งออกเลย"
"ดูพูดเข้าสิ"
เพราะไม่ใช่บุตรสาวของตระกูลใหญ่ พิธีปักปิ่นจึงจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย หลินเจียอีปล่อยผมสลวยเต็มแผ่นหลังโดยมีลู่เสียนเป็นคนบรรจงหวีให้ จากนั้นมวยขึ้นกลางศีรษะเสียบปิ่นลงไปเป็นอันจบพิธี อาหารการกินเนื่องในวันคล้ายวันเกิดนั้นเป็นของกินง่าย ๆ ทำเลี้ยงกันเองภายในครอบครัว พิเศษกว่าวันธรรมดาคือมีขนมหวานเพิ่มเข้ามาหนึ่งอย่าง ขนมหวานชนิดนี้มีชื่อว่าเซาปิ่ง
เซาปิ่งหรือขนมแป้งทอด ทำขึ้นมาจากแป้งผสมมันเทศ มีทั้งแบบมีไส้และไม่มีไส้ แต่เซาปิ่งที่ลู่เสียนทำขึ้นมาสำหรับวันนี้โดยเฉพาะคือเซาปิ่งไส้ถั่วเหลือง
"ท่านพี่ขอรับ ข้าจะกินเซาปิ่งอีกชิ้นได้หรือไม่ขอรับ"
มือเล็กแตะขนมบนจานอย่างเขินอาย อันฉีขอขนมที่เป็นส่วนของเจียอีหลังจากที่ยัดส่วนของตนเข้าปากคำสุดท้ายแล้ว นางยังไม่ได้ชิมสักคำแต่เจ้าเด็กน้อยตาใสก็น่าสงสารเกินไป เจียอีจึงเลื่อนทั้งจานให้อันฉีไปเลย
"เจ้าเอาไปเถิด"
"ขอบคุณขอรับท่านพี่"
"เช่นนั้นวันนี้เจ้าก็กินให้อิ่มนอนให้หลับอยู่บ้านเถิด พี่ ท่านแม่และท่านตาจะไปเอาหน่อไม้ในป่า นี่เป็นโอกาสกอบโกยของเรา หากรอช้าแค่หนึ่งวันคนอื่นอาจรุกหน้าไปก่อน"
"ขอรับ วันนี้ข้าจะรออยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนท่านยาย"
หลังจากเสร็จพิธีปักปิ่นเจียอีก็ไม่คิดจะพัก นางต้องการฟื้นฟูความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวให้ดีขึ้นโดยไว ตั้งใจว่าหากได้เงินจากการขายครั้งต่อไปจะเอาไปซื้อข้าวสาร รสชาติของข้าวสวยที่หุงเสร็จร้อน ๆ ตอนนี้นางแทบจำไม่ได้แล้วว่าละมุนลิ้นเพียงใด เพราะทุกวันได้กินแต่โจ๊กข้าวฟ่างเหลว ๆ ส่วนเนื้อสัตว์นั้นได้ลิ้มรสเพียงสองวันต่อหนึ่งสัปดาห์ อาหารปกติหากไม่ใช่เผือกและมันจะเป็นผักเสียส่วนใหญ่
ตกเย็น ตงซิ่ว ลู่เสียนและเจียอีได้หน่อไม้มามากถึงสองเท่าจากที่เคยหามาได้ นั่นเป็นเพราะตงซิ่วพาเปลี่ยนทิศทางเดิน ป่าแถวนี้เขารู้จักเป็นอย่างดีและรู้ตำแหน่งที่มีต้นไผ่จึงเป็นเรื่องง่ายในการเสาะหาหน่อไม้
พอได้หน่อไม้มา ทุกคนช่วยกันทำเหม่งสุ้นอย่างขยันขันแข็ง ตากจนแห้งพร้อมเตรียมจัดส่ง เจียอีนั่งมองเหม่งสุ้นในตะกร้าอย่างพิจารณา ของป่าหากเข้าไปเก็บเอามาทุกวันกว่าจะกลับออกมานั้นใช้เวลาเกือบค่อนวัน แล้วหน่อไม้ก็มีน้ำหนักมากแบกกลับมาถึงบ้านเล่นเอาเหนื่อย ดังนั้นนางจึงคิดหาวิธีติดป้ายประกาศรับซื้อไว้ที่หน้าบ้าน หน่อไม้สดรับซื้อจากชาวบ้านในราคา 2 ชั่งต่อ 1 อีแปะ พอตากแห้งแล้วน้ำหนักจะลดลง นางก็เอาไปขายให้ร้านของแห้งในราคา 4 อีแปะ
ครั้งนี้นางได้ค่าตอบแทนมามากถึง 60 อีแปะ ถือว่ามากสุดเท่าที่เคยหามาได้ ก่อนกลับบ้านเจียอีแวะร้านข้าวสาร ซื้อข้าวสาร 5 ชั่ง ในระหว่างที่รอเถ้าแก่หยิบของให้อยู่นั้น เจียอีก็มองรถม้าจำนวนสามคันที่จอดข้าง ๆ ร้าน ลูกน้องของเถ้าแก่ร้านขายข้าวสองคนแบกกระสอบข้าวขึ้นรถม้าด้วยความเร่งรีบ
"เถ้าแก่เจ้าคะ ข้าวสารพวกนั้นขนไปขายที่ไหนหรือเจ้าคะ"
"ทางใต้ ที่นั่นให้ราคาดีกว่าทางเราถึงสี่เท่าเชียวนะ"
"สี่เท่า!"
นางได้ฟังก็ตาลุกวาว หากเหม่งสุ้นได้เอาไปเปิดตลาดที่ทางใต้บ้างเห็นจะดี
"แล้วทำอย่างไรถึงเอาของไปขายทางใต้ได้เจ้าคะ"
"พ่อค้าฝั่งตลาดทางใต้จะมารับเอาที่ท่าเรือทุก 35 วัน หากอยากขายก็ติดต่อกับโม่เจียวลู่"
"ขอบคุณมากเจ้าค่ะ"
เจียอีฝากข้าวสารที่ซื้อแล้วไว้ที่ร้านก่อน ขากลับค่อยแวะเอาในภายหลัง จากนั้นเดินมาท่าเรือที่อยู่ถัดจากตลาดสามลี้ บรรยากาศที่ท่าเรือครึกครื้น ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ หญิงสาวพร่ำบ่นในใจ แล้วอย่างนี้จะหาโม่เจียวลู่ผู้นั้นเจอได้อย่างไร ยืนงงอยู่ครู่เดียวก็มีชายผู้หนึ่งที่คาดว่าจะเป็นคนงานของท่าเรือเดินผ่านมา
"เอ่อ พี่ชาย พี่ชายข้าขอถาม"
"มีอะไรหรือแม่นาง"
"ข้ามาหาเถ้าแก่โม่ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่โม่อยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ"
"อ๋อ เถ้าแก่โม่อยู่ในโกดัง"
คนงานชี้มือไปที่โกดังปิดทึบติดกับท่าเรือ มีสะพานทอดยาวไปจนถึงหน้าโกดัง เป็นโกดังขนาดใหญ่มุงหลังคากระเบื้อง ตัวโกดังก่อสร้างขึ้นจากไม้อย่างดีทนทานแข็งแรง ข้างในคือโถงโล่งมีสินค้าวางพักไว้รอส่งออก เมื่อเจียอีเดินเข้ามาในโกดัง เห็นชายผู้หนึ่งอายุราว 40 หนาว รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ยืนชี้นิ้วคุมคนงานอยู่ นางจึงทึกทักไปว่าคนผู้นี้คือโม่เจียวลู่
"คารวะเจ้าค่ะ ข้าน้อยหลินเจียอีมาหาเถ้าแก่โม่ ไม่ทราบว่าท่านที่มีสง่าราศีโดดเด่นผู้นี้ใช่เถ้าแก่โม่หรือไม่เจ้าคะ"
พอได้ฟังคำเยินยอโม่เจียวลู่ก็หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ เขาใช้มือลูบคางตนเองเปล่งเสียงหัวเราะออกมาจนตัวโยน จากนั้นเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้หลังโต๊ะที่ใช้ทำงานเป็นประจำ
"ข้าเองโม่เจียวลู่ เจ้ามาหาข้ามีธุระอะไร"
"ข้าอยากสอบถามเรื่องการส่งสินค้าไปขายทางใต้เจ้าค่ะ"
"สินค้าของเจ้าคืออะไรล่ะ"
"เหม่งสุ้นเจ้าค่ะ"
"หืม...เหม่งสุ้น?"
"เหม่งสุ้นคือหน่อของต้นไผ่ตากแห้งเจ้าค่ะ นำไปประกอบอาหาร"
"ของแห้งรึ"
"หากเป็นของแห้งเจ้าต้องเจรจากับพ่อค้าทางใต้ เจ้าติดต่อผู้ใดไว้หรือยัง"
การจะส่งของไปขายนั้นต้องมีผู้รับซื้อ หากไม่มีผู้ซื้อก็เท่ากับว่าส่งไปโดยเปล่าประโยชน์ ดีไม่ดีของอาจจะสูญหายเมื่อถึงปลายทาง
"ไม่ทราบว่าเถ้าแก่โม่ผู้กว้างขวางพอจะแนะนำพ่อค้าของแห้งทางใต้ให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ"
"ฮ่า ๆ ย่อมได้ เอาเป็นว่าอีกสองวันเจ้ามาที่ท่าเรือใหม่ เรือที่มาจากทางใต้จะเข้าเทียบ หล่างคุนพ่อค้าของแห้งจะมากับเรือลำนั้น"
"ขอบคุณมากเจ้าค่ะ"
คุยจนเข้าใจแล้วเจียอีได้ขอตัวลา ระหว่างที่เดินออกมาจากโกดังประจันหน้ากับลู่จิวและจางหย่ง ทั้งสองติดตามเถ้าแก่หยวนมาส่งหนังสัตว์ขึ้นเรือ แต่เฒ่าแก่หยวนกำลังติดต่อธุระอยู่กับคนผู้หนึ่งซึ่งมองเห็นได้ไม่ไกล ลู่จิวที่กำลังแย้มยิ้มพอเห็นหน้าเจียอีก็หุบยิ้มลงทันที นางใช้มือทั้งสองกอดอกเชิดหน้าขึ้นกล่าววาจากระแนะกระแหน
"ดูสิท่านพี่เราเจอผู้ใด หญิงสาวยาจกประจำหมู่บ้าน ไม่ทราบว่าวันนี้นางมาสมัครเป็นคนงานแบกกระสอบลงเรือหรืออย่างไร แต่สภาพแบบนี้แค่เดินเองยังไม่ไหว ช่างไม่ดูสารรูปตัวเองเอาเสียเลย"
ลู่จิวพูดจบก็ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะแหลม ๆ ของนาง จางหย่งมองเจียอีแล้วยิ้มให้ เขาเห็นว่าบนศีรษะของนางมีปิ่นปักผมเสียบอยู่ก็รู้ในทันทีว่านางได้ก้าวสู่วัยออกเรือนได้แล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ได้เจอนางยังเป็นเด็กสาวอยู่มาวันนี้เป็นสาวเต็มตัวช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง
"ดีใจที่ได้เจอเจ้าอีกแม่นางเจียอี"
"ไปดีใจทำไมเล่าท่านพี่!"
ลู่จิวหันไปมองค้อนพี่ชายวูบหนึ่งแล้วหันกลับมามองเจียอีด้วยแววตาหยามเหยียดดังเดิม
"ยินดีที่ได้เจอคุณชายหยวน แม่นางลู่จิวเข้าใจถูกแล้ว ข้ามาสมัครเป็นคนงานแบกของขึ้นเรือ"
"นั่นไงข้าว่าแล้ว น้ำหน้าอย่างเจ้าคงจะหางานดีสุดได้เท่านี้...จับกัง"
"แล้วไม่ดีอย่างไรเล่าอาชีพสุจริต"
"...เหอะ ชนชั้นแรงงาน"
เจียอียิ้มรับไม่แสดงท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนต่อคำเย้ยหยัน นั่นยิ่งเพิ่มโทสะวาวโรจน์ให้แก่ลู่จิว นางมองเจียอีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาชิงชัง ดูเอาเถิดขนาดแต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบสีหม่นราคาถูก เครื่องประดับก็มีแค่ปิ่นหยกขาวกระจอก ๆ อันเดียวนางยังดูงามสง่าได้อยู่อีก ของราคาถูกที่อยู่บนเรือนกายนางกลบรัศมีความงามของนางไม่มิดเลยจริง ๆ
"วันนั้นที่เจ้าถีบข้าตกน้ำข้ายังไม่คิดบัญชี เช่นนั้นข้าขอคิดวันนี้เลยก็แล้วกัน"
ในจังหวะที่ลู่จิวกำลังจะผลักเจียอีตกสะพานจางหย่งก็คว้าตัวเจียอีหลบได้ทัน ทำให้ลู่จิวพลาดท่าเพราะออกแรงผลักมากไปจนตัวเองเสียหลักตกลงไปแทน เป็นครั้งที่สองแล้วที่ลู่จิวตกน้ำ ร่างกายรับรู้อุณหภูมิเย็นเฉียบลู่จิวก็กรีดร้องออกมาจนหลายคนวิ่งมามุงดู นั่นยิ่งสร้างความอับอายให้นางเพิ่มขึ้นไปอีก
"ขอบคุณคุณชายหยวนที่ช่วยข้าไว้"
"ไม่เป็นไร"
"ท่านรีบช่วยแม่นางลู่จิวขึ้นมาเถิด น้ำในแม่น้ำเย็นนักเดี๋ยวนางจะไม่สบาย เช่นนั้นข้าขอลา"
เจียอีได้ก้มลงไปมองหญิงสาวที่ลอยคออยู่ ลู่จิวมองขึ้นมาบนสะพานด้วยแววตาโกรธเคืองอยากจะด่าทอทั้งพี่ชายตนเองและศัตรูคู่แค้น แต่ก็กลัวว่าเสียงแหลม ๆ ของนางจะเรียกคนให้มามุงดูมากกว่าเดิม นั้นไม่เท่ากับว่าอับอายกว่าเดิมหรอกหรือ...
ก่อนจากเจียอีได้ตะโกนลงไปคุยกับลู่จิวเสียงดังฟังชัด
"แม่นางลู่จิว เจ้าช่างชื่นชอบการเล่นน้ำยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่วันนี้ข้าต้องรีบกลับบ้านไม่มีเวลามาเล่นด้วย เอาไว้วันหน้าพบพานกันใหม่"
"หลินเจียอี! แค้นนี้ต้องชำระ ข้าฝากไว้ก่อนเถอะ"
นางควรจะแค้นใครก่อนดีเล่า พี่ชายตัวดีที่เอาแต่มองตามหลังเจียอีด้วยแววตาหยาดเยิ้ม หรือแค้นเจียอีที่โชคดีเกินไป ไม่ว่าจะทำอย่างไรลู่จิวก็กลั่นแกล้งเจียอีไม่สำเร็จเสียที นอกจากไม่สำเร็จแล้วตนเองยังเป็นฝ่ายถูกหนามยอก...เจ็บใจนัก
"ท่านพี่ช่วยข้าด้วย"