LOGIN
เสียงรถเบรคเอี๊ยดดังลั่น ทำให้เด็กหนุ่มอายุประมาณ 16-17 ปี ที่กำลังปั่นจักรยานอยู่บนถนนสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมองตามเสียงเบรคด้านหลังด้วยความตกใจ
รถคันใหญ่หรูหราคันหนึ่งพุ่งพรวดลงไปด้านข้าง และเกือบจะตกลงไปในสวนผักข้างทาง โชคดีที่รถถูกเนินดินขวางเอาไว้ จึงไม่ตกลงไปทั้งคัน
หญิงวัยกลางคนแต่งกายดีคนหนึ่ง ตะเกียกตะกายออกมาจากประตูฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าอย่างยากลำบาก ศีรษะของเธอมีรอยเลือดเล็กน้อยที่เกิดจากการกระแทกกับกระจก เธอหันไปมองรอบๆ และร้องตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างตื่นตระหนก
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ใครก็ได้มาช่วยทีค่ะ สามีของฉันหมดสติอยู่ในรถค่ะ!”
เมื่อหันมาเห็นเด็กหนุ่มที่ทิ้งจักรยานเอาไว้ข้างทาง และวิ่งตรงมาทางนี้ เธอจึงละล่ำละลักพูดด้วยความดีใจว่า
“พ่อหนุ่มจ๊ะ ช่วยสามีพี่ด้วย เขาติดอยู่ในรถจ้ะ!”
เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินลงไปข้างถนนเพื่อเปิดประตูฝั่งคนขับ โชคดีที่ประตูไม่ได้ล็อคเอาไว้ เขาและหญิงวัยกลางคนจึงช่วยกันเปิดประตู ปลดเข็มขัดนิรภัย และดึงชายวัยกลางคนที่มีน้ำหนักตัวมากและรูปร่างสูงใหญ่ออกมาอย่างทุลักทุเล
ทั้งสองออกแรงลากดึง กว่าจะนำเขาออกมานอนราบบนพื้นถนนได้ เด็กหนุ่มซึ่งหอบด้วยความเหนื่อยหันไปบอกกับหญิงวัยกลางคนว่า
“รอผมอยู่ที่นี่ก่อนนะ ผมจะรีบปั่นจักรยานไปตามคนมาช่วย หมู่บ้านของผมอยู่ข้างหน้านี่เอง แค่ 400-500 เมตรเท่านั้น!”
จากนั้น เขาก็วิ่งกลับไปคว้าจักรยานที่ทิ้งเอาไว้ พร้อมกับขี่ออกไปอย่างรวดเร็ว หญิงวัยกลางคนซึ่งนั่งหมดแรงอยู่ข้างๆ สามี ได้แต่มองตามด้วยความสิ้นหวัง เธอไม่แน่ใจจริงๆ ว่า เด็กหนุ่มจะไปตามคนมาช่วยจริงตามที่บอก หรือแค่พูดส่งๆ ไปเท่านั้น
เธอพยายามใช้โทรศัพท์มือถือค้นหาเบอร์โรงพยาบาลและสถานีตำรวจที่อยู่ใกล้ๆ แต่ก็พบว่าสัญญาณอินเตอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ในบริเวณชนบทนี้ขาดๆ หายๆ ทำให้ไม่สามารถหาค้นหาข้อมูลและติดต่อใครได้
เธอถอนหายใจและร้องไห้ออกมาด้วยความสิ้นหวัง ได้แต่พร่ำเรียกชื่อสามีและบีบนวดแขนขาของเขาไปมา
สีหน้าของสามีเริ่มซีดลงทีละน้อย ไม่ว่าเธอจะพยายามเขย่าตัวและคอยเรียกชื่ออย่างไร ก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว
ทันใดนั้น เธอก็ได้ยินเสียงรถขับตรงเข้ามา เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เธอก็เห็นเด็กหนุ่มผอมบางคนนั้น โผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถ ตะโกนเรียกเธอ พร้อมกับโบกมือไปมา เหยาหลิงยิ้มออกมาทั้งน้ำตา รีบโบกมือตอบด้วยความดีใจ
ระหว่างที่รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ ขับไปตามถนนเส้นเล็กๆ มุ่งตรงไปยังหมู่บ้านข้างหน้า เหยาหลิงซึ่งนั่งอยู่ในกระบะหลังโดยมีสามีนอนหนุนตักอยู่นั้น ก็สังเกตบรรยากาศระหว่างทางไปด้วย
เธอพบว่าถนนเส้นนี้ทอดผ่านนาข้าวกว้างใหญ่ สลับกับแปลงปลูกผักหลากหลาย เมื่อมองไปจนสุดถนนที่มุ่งตรงไปยังหมู่บ้าน จะเห็นภูเขาและเนินเขาที่เป็นแนวยาว เขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้อยู่ไกลๆ
ทิวทัศน์ที่สวยงามรอบตัว ทั้งทุ่งนาเขียวขจี ท้องฟ้าสีสดใสตัดกับสีเขียวครึ้มของภูเขา และอากาศใสสะอาด ทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
รถกระบะค่อยๆ ขับผ่านเข้าไปตามถนนของหมู่บ้านเก่าแก่ ที่มีบ้านเก่าและใหม่สร้างจากหินและไม้เรียงรายกันไป ยิ่งขับลึกเข้าไปตามทาง แต่ละบ้านก็เริ่มตั้งอยู่ห่างกันออกไป โดยมีแปลงผักผลไม้ปลูกเอาไว้รอบด้าน
เมื่อผ่านไปยังศูนย์กลางหมู่บ้าน ชาวหมู่บ้านบางส่วนจับกลุ่มพักผ่อนพูดคุยกันอยู่ บ้างก็เล่นไพ่นกกระจอกและหมากรุกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พวกเขาเงยหน้าขึ้นมามองรถที่ขับผ่านไปด้วยความสงสัย
แล้วรถก็ขับไปจนถึงท้ายสุดของหมู่บ้านซึ่งอยู่ใกล้กับตีนเขา แถวนี้มีบ้านปลูกอยู่เพียงไม่กี่หลังเท่านั้น
คนขับจอดรถที่หน้าบ้านชั้นเดียวขนาดใหญ่ ที่สร้างแบบซื่อเหอหยวน[1] ล้อมรอบด้วยกำแพงสีขาว หลังคากระเบื้องสีน้ำเงินเข้ม โดยมีด้านหลังของบ้านอยู่ติดกับตีนเขา
เด็กหนุ่มรีบลงจากรถ วิ่งไปเคาะประตูไม้สีแดงบานใหญ่ที่ปิดเอาไว้ พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า
“หมอใหญ่จิงครับ! หมอใหญ่อยู่บ้านมั้ยครับ มีคนไข้ด่วนมาหาครับ!”
เขาเรียกอยู่ 2-3 ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดประตู เหยาหลิงซึ่งนั่งรออยู่ที่กระบะรถเริ่มกระสับกระส่าย เพราะเด็กหนุ่มพาพวกเขามาหาหมอจีน ไม่ใช่แพทย์แผนตะวันตกอย่างที่เธอคาดหวัง และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน
ทันใดนั้น ประตูไม้ทาสีแดงสองบานที่ปิดสนิทก็ค่อยๆ เปิดออกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสวยงาม ผิวขาวสะอาด อายุประมาณ 24-25 ปี ใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีขาว และกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน ก็ก้าวออกมาจากประตู
เขาใช้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองทุกคน และหยุดมองคนเจ็บที่นอนอยู่ท้ายกระบะ เขาหันมาพูดกับเด็กหนุ่มที่ตะลึงมองด้วยเสียงเรียบๆ ว่า
“หมอใหญ่จิงไม่อยู่ ออกไปเก็บสมุนไพรบนเขา”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็หน้าเสียทันที เด็กหนุ่มเกาหัวและหันไปถามคนขับที่เป็นพ่อของเขาว่า “พ่อ! ทีนี้จะทำยังไงดีล่ะ”
ก่อนที่ทุกคนจะพูดอะไรออกมา ชายหนุ่มร่างสูงก็หันไปมองเหยาหลิงซึ่งนั่งอยู่ในกระบะรถและพูดกับเธอว่า “พาคนป่วยเข้ามาข้างในบ้านก่อนครับ”
เหยาหลิงถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “หมอไม่อยู่ แล้วใครจะรักษาให้ละจ๊ะพ่อหนุ่ม”
ชายหนุ่มมองเธอด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้ม และตอบว่า
“ผมจะรักษาเอง”
จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน และเปิดประตูไม้ทั้งสองบานเอาไว้ เพื่อให้พวกเขาตัดสินใจว่าจะเข้ามารักษาหรือไม่
เหยาหลิงกัดริมฝีปาก ก้มหน้ามองสามีซึ่งนอนหมดสติใบหน้าหน้าซีดเผือด ก่อนจะตัดสินใจให้สามีรักษากับชายหนุ่ม เพราะแถวนี้ไม่มีหมอที่ไหนให้ไปหา และกว่าจะไปถึงก็อาจจะสายเกินไปอีกด้วย
พวกเขาจึงช่วยกันยกชายวัยกลางคนลงมา คนขับรถซึ่งเป็นพ่อของเด็กหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวหลง เป็นคนแบกชายวัยกลางคนขึ้นหลัง และเดินเข้าไปในบ้านของหมอใหญ่จิง
พวกเขาเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปยังบ้านขนาดใหญ่ ที่ตัวบ้านแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเรียงติดกันเป็นรูปตัว U ตรงกลางบ้านเป็นลานกว้าง มีบ่อบัวกำลังออกดอกสีขาวและสีชมพูบานสะพรั่ง ด้านหนึ่งของลานบ้านมีชั้นวางกระจาดตากสมุนไพรเอาไว้หลายชั้น และอีกด้านหนึ่งมีกระถางยาวปลูกสมุนไพรและพืชแปลกๆ วางเรียงราย
ประตูห้องหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของบ้านเปิดกว้างเอาไว้ พวกเขาจึงพาคนเจ็บเดินเข้าไป
ภายในห้องนั้น ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งแบบโบราณ ตรงกลางห้องมีโต๊ะไม้กลมแกะสลักขนาดเล็กตั้งเอาไว้ ด้านหลังสุดของห้องมีเคาน์เตอร์ไม้วางโถยาและกระจาดสมุนไพรเอาไว้
ถัดเข้าไปมีชั้นใส่ยาขนาดใหญ่เต็มผนัง ซึ่งมีลิ้นชักขนาดเล็กใส่สมุนไพรนับร้อยชนิด ด้านบนชั้นมีโถกระเบื้องเซรามิคและโถแก้วใส่ยาต่างๆ วางเรียงรายเป็นระเบียบ
อีกฝั่งของห้องเป็นเตียงสำหรับคนไข้ ด้านข้างมีโต๊ะไม้และตู้วางอุปกรณ์การแพทย์แผนจีน
กลิ่นสมุนไพรจีนที่ลอยอยู่ในอากาศ และความเคร่งขรึมของห้อง ทำให้ทุกคนรู้สึกสงบใจอย่างประหลาด
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่กำลังเตรียมอุปกรณ์รักษา หันมาบอกให้พวกเขาพาคนเจ็บไปนอนบนเตียงที่ปูผ้ายางเอาไว้
เหยาหลิงอดถามเขาไม่ได้ว่า “ขอโทษนะคะ คุณเป็นหมอด้วยหรือเปล่า”
ชายหนุ่มตอบว่า “ผมเป็นหลานของหมอใหญ่จิง และ...” เขาสบตาทุกคนในห้อง และพูดต่อด้วยเสียงที่มั่นคงว่า
“ผมยังเป็นแพทย์แผนจีน ชื่อ จิงซิงอี้ครับ!”
จิงซิงอี้เริ่มต้นการรักษา ด้วยการใช้หูฟังทางการแพทย์ฟังเสียงหัวใจและการหายใจของคนไข้ จากนั้นเขาจึงจับชีพจร ในระหว่างนั้น เขาก็สอบถามอาการจากเหยาหลิงไปด้วย
เธออธิบายว่า ทั้งคู่ขับรถมาทำธุระบริเวณนี้ ทันใดนั้น สามีซึ่งกำลังขับรถอยู่ก็เกิดอาการตาลาย ปวดหัวอย่างรุนแรง และแขนขาชาเกร็งขึ้นมา ทำให้ไม่สามารถบังคับรถได้ แต่สามีของเธอก็พยายามประคองรถให้จอดข้างทาง จากนั้นเขาก็หมดสติไป
เมื่อได้ฟังที่เธอเล่า จิงซิงอี้ก็ตรวจเช็คแขนขาและร่างกายของผู้ป่วย เพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บตรงไหนด้วยหรือไม่
เขาซักถามอาการต่อว่า ก่อนหน้านี้คนเจ็บมีอาการผิดปกติอะไรบ้าง
เหยาหลิงทบทวนความจำ และตอบอย่างระมัดระวังว่า ช่วงหลังมานี้ สามีของเธอหรือหยวนซุน ทำงานหนักมาก เพราะธุรกิจอาหารแช่แข็งของเขากำลังมีปัญหา
เขามีความกังวลและเคร่งเครียดแทบจะตลอดเวลา นอนไม่หลับ หงุดหงิดโมโหง่าย มักจะบ่นเวียนศีรษะ ตาลาย บางครั้งหมดแรงและแขนขาชาบางส่วน
เมื่อพวกเขาไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอก็วินิจฉัยว่าเป็นอาการที่เกิดจากความเครียด และได้ให้ยาคลายเครียดที่ช่วยให้นอนหลับ และยาบำรุงมา ซึ่งอาการก็ดูเหมือนจะดีขึ้น แต่อาการหมดแรงและแขนขาชายังคงเกิดขึ้นเป็นระยะ
สามีคิดว่าน่าจะเกิดจากการที่เขาใช้คอมพิวเตอร์ทำงานมาก และนั่งท่าเดิมนานๆ จนเกิดออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)
แต่ทุกคนก็ต้องหยุดพูด เมื่อหยวนซุนซึ่งนอนหมดสติอยู่เกิดอาการกระตุกเกร็งขึ้นมา!
จิงซิงอี้ลุกขึ้นยืนทันที เขาบอกให้สองพ่อลูกเสี่ยวหลงช่วยกันจับตัวคนไข้เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้ตกเตียงและดิ้นในขณะที่เขารักษา
จิงซิงอี้ใส่ถุงมือยางด้วยความรวดเร็ว เขาใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดทำความสะอาดบริเวณเส้นลมปราณอินและตูที่ผิวหนัง หยิบเข็มในห่อพลาสติกออกมา
จากนั้น เขาก็ใช้เข็มแรกปักไปที่จุดเน่ยกวาน บริเวณตรงกลางเหนือรอยพับข้อมือด้านใน และหมุนวนเข็มไปมาเป็นเวลาหนึ่งนาที เพื่อช่วยให้ชี่และเลือดไหลเวียนสะดวก และฝังเข็มต่อไปที่จุดเหรินจงบริเวณร่องจมูกและหมุนวนเข็มเบาๆ
หลังจากผ่านไปสักพัก ทุกคนเห็นว่าหยวนซุนเริ่มมีน้ำตาไหลซึมออกมา ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าทวารสมองที่ปิดอยู่ได้เปิดออกแล้ว
และสุดท้าย จิงซิงอี้ใช้เข็มฝังไปที่จุดซานอินเจียวบริเวณขาด้านในเหนือยอดตาตุ่มขึ้นมา เพื่อช่วยสร้างไขกระดูก และทำให้สมองแข็งแรง
เขาทำซ้ำทุกๆ 5 นาที จนเวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที อาการชักเกร็งของหยวนซุนก็ค่อยๆ หายไป ลมหายใจของเขาเริ่มสงบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทุกคนที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ต่างลุ้นตามอย่างใจหายใจคว่ำ พวกเขาไม่แน่ใจว่า แพทย์จีนจะสามารถรักษาอาการรุนแรงแบบนี้ได้จริงหรือไม่ แต่เมื่อเห็นวิธีการรักษาและความมั่นคงของจิงซิงอี้ พวกเขาก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด
จิงซิงอี้เรียกชื่อหยวนชุนซ้ำๆ และในที่สุด หยวนชุนก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
[1] ซื่อเหอหยวน “Siheyuan” คือ บ้านชั้นเดียวแบบจีนโบราณที่ล้อมรอบคอร์ตหรือลานตรงกลางไว้ด้วยเรือนทั้งสี่ด้าน และมีทางเข้าออกด้านหน้า
ลั่วเป่ยตกใจมาก เขารีบบอกจิงซิงอี้ว่า เขาจะไปดูลูกชายก่อน จิงซิงอี้พูดขึ้นมาว่า จะขอไปดูอาการด้วย ชายหนุ่มพยักหน้าและรีบเดินขึ้นรถลากไปด้วยกันระหว่างทางกลับบ้าน ลั่วเป่ยสอบถามอาการของลูกชาย จากหญิงรับใช้ซึ่งเป็นคนสนิทของภรรยา นางเล่าด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า“วันนี้คุณชายน้อยไม่อยากกินข้าวเลยเจ้าค่ะ บอกว่าเหนื่อยมาก จากนั้นฮูหยินก็บอกให้คุณชายพักผ่อน แล้วก็ตามท่านหมอชิวมารักษา แต่พอรักษาได้สักพัก อาการของคุณชายน้อยก็แย่ลงอีก”“แย่ยังไง รีบบอกมา!” ลั่วเป่ยเร่งให้นางตอบ“คุณชายน้อยบอกว่าเจ็บหน้าอกมาก แล้วก็ปวดเนื้อตัวเจ้าค่ะ!”จิงซิงอี้ที่ฟังอาการก็นิ่วหน้าด้วยความสงสัย เขาถามสาวใช้ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า หมอรักษาคุณชายอย่างไรบ้าง”สาวใช้ตอบแบบไม่แน่ใจว่า “ฝังเข็มแล้วก็ให้ดื่มยาเจ้าเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ดีขึ้น”ลั่วเป่ยพยายามควบคุมความกลัว เมื่อไปถึงหน้าบ้าน พวกเขารีบลงจากรถ และเดินไปที่ห้องนอนของคุณชายน้อยที่อยู่ตึกด้านซ้ายมือ หน้าห้องมีคนรับใช้ทั้งยืนรอและเดินเข้าอ
เขาจุ่มเข็มลงในน้ำร้อนเพื่อทำความสะอาด และอธิบายให้ทุกคนในห้องฟังว่า “ข้าจะเริ่มต้นฝังเข็มเพื่อปิดกั้นการไหลเวียนของสารพิษในร่างกาย”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเหรินเหมินบริเวณท้องน้อย เพื่อช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดและชี่ในร่างกายส่วนล่าง จากนั้นจุดชี่ไห่ ที่อยู่ใต้หัวเข่า เพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด“ข้าจะกักสารพิษเอาไว้ที่จุดเดียวเพื่อไม่ให้แพร่กระจาย จนกว่าเราจะขับมันออกไปได้ และช่วยให้อาการทรงตัวไม่แย่ไปกว่านี้”จิงซิงอี้หันไปหาหมอที่ยืนข้าง “ข้าขอให้ท่านช่วยจับตัวเขาพลิกให้หน่อยขอรับ”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเฟิ่งฉือ เพื่อช่วยลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการปวดเขาใช้เวลาในการฝังเข็มอยู่นานกว่า 20 นาที ทุกคนเห็นว่า คนไข้เริ่มหายใจลึกและยาวขึ้น อาการสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดลดน้อยลง และสีหน้าที่หมองคล้ำของเขาเริ่มดีขึ้นจิงซิงอี้หยุดฝังเข็ม หันไปบอกหลิวป๋อว่า “ข้าจะสั่งยาสมุนไพรให้ มีโสมจีน ตังเซียม เห็ดหลินจือ ชะเอมเทศ ตัง และเกา
ลั่วเป่ยถอนหายใจ “ลูกชายของพี่อายุ 11 ปี ไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เกิด เวลาทำอะไรที่ต้องออกแรง จะเหนื่อยง่าย หายใจหอบ ซีดเซียว เวลาอากาศเปลี่ยนก็ป่วย เวลาป่วยที ก็ใช้เวลานานกว่าจะฟื้นได้ ยิ่งช่วงสองสามปีนี้อาการยิ่งหนักมากขึ้นไปอีก”ในระหว่างนั้น เด็กเสิร์ฟก็นำอาหารมาวางบนโต๊ะ ทั้งสองคนลงมือกินและคุยกันต่อ “พี่หาหมอมารักษาหลายคนก็ไม่ดีขึ้น ได้แค่ทรงๆ จนช่วงนี้ยิ่งแย่มากขึ้น มันน่าเจ็บใจไหม ที่พี่ขายสมุนไพร แต่ก็ไม่มีสมุนไพรไหนช่วยลูกได้เลย!”จิงซิงอี้ถามด้วยความสนใจว่า “ใครเป็นคนแนะนำให้ใช้โสมในการรักษาหรือ”“เป็นหมอที่เพื่อนของพี่แนะนำมา เขาเชี่ยวชาญโรคเด็ก และบอกว่าหยวนชี่พร่อง ซึ่งมักเกิดกับเด็ก เขาจึงสั่งยาและอาหารเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะโสมที่ให้เอามาตุ๋นไก่ทำเป็นยา จะต้องเป็นโสมที่มีคุณภาพสูงจริงๆ”เมื่อจิงซิงอี้ถามต่อว่า “หลังจากรักษากับหมอคนนี้แล้ว อาการดีขึ้นไหม”ชายหนุ่มตอบว่า “ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังออกแรงหนักมากไม่ได้ จนเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา อากาศเปลี่ยนแปลงม
เฉินอี้เซิงเฉลยอาการป่วยของคนไข้ชายว่า มีอะไรบ้างและควรจะรักษาอย่างไร เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า“คนไข้รักษาอาการมานานแล้ว ช่วงนี้มีอาการหนักขึ้น เพราะอากาศหนาวมีส่วนอย่างมาก แต่สิ่งที่จิงซิงอี้วิเคราะห์น่าสนใจมากเช่นกัน โดยเฉพาะกรรมพันธุ์และความเครียด ที่ทำให้อาการเป็นมากขึ้น การซักถามอย่างใส่ใจถึงชีวิตประจำวัน จึงเป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้เราเห็นสาเหตุของโรคด้วย ที่สำคัญ การรักษาในองค์รวม ที่ต้องดูแลทั้งร่างกายและจิตใจไปด้วย จึงจะช่วยให้โรคแบบนี้ดีขึ้นได้ในภาพรวมได้”หลังจากจบบทเรียนในวันนั้น เฉินอี้เซิงปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านได้ จิงซิงอี้เก็บของ และเดินออกมานอกห้องพร้อมกับลั่วเป่ยและจี่หลิว คนที่ไม่พอใจเขาก็เริ่มเงียบไปบางคนเข้ามาทักทายและบอกว่า ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นหมอเด็กอัจริยะ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของชายที่มีปัญหากับเขา หรือเค่อหลุน ที่เดินผ่านจิงซิงอี้และพูดว่า “ก็แค่เดาจนถูกนั่นละ!”ทั้งลั่วเป่ยและจี่หลิวขมวดคิ้ว ลั่วเป่ยจึงพูดออกมาว่า “คนอะไร หาเรื่องแม้กระทั่งกับเด็กไม่กี่ขวบ!”จิงซิงอี้มองตามเค่อห
ในวันจันทร์แรกของการไปเรียน จิงซิงอี้ตื่นแต่เช้า เขาสะพายเป้หนังสีน้ำตาลที่มีข้าวของจำเป็นใส่หลัง เป้นี้เขาออกแบบเป็นพิเศษให้มีช่องเก็บของ ใส่ขวดน้ำที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ขนม ผ้าเช็ดหน้า อุปกรณ์การแพทย์ขนาดเล็ก เขาแวะกินอาหารเช้าง่ายๆ ข้างทาง จากนั้นเดินไปที่บ้านของเฉินอี้เซิง ถึงอากาศจะเย็นในช่วงเช้า เพราะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็เหงื่อตกเพราะต้องเดินมาเองเมื่อมาถึงทางเข้าบ้าน เขาพบชายหลากหลายวัยเดินเข้าประตูไปอย่างคุ้นเคย จิงซิงอี้เดินตามเข้าไปเงียบๆ บางคนหันมามองเขาด้วยความสงสัย จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 28-29 ปี เรียกให้เขาหยุดและถามว่า “เจ้าหนู! หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร หลงทางกับพ่อหรือเปล่า”กลุ่มคนที่น่าจะเป็นลูกศิษย์ของเฉินอี้เซิงพากันหันมามอง จิงซิงอี้หยุดเดิน หันไปตอบนิ่งๆว่า “ข้าไม่ได้พลัดหลงกับใคร ข้าเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของอาจารย์เฉินอี้เซิง”ทุกคนที่ได้ยินต่างขมวดคิ้ว พวกเขามองจิงซิงอี้ด้วยความสงสัย บางคนไม่เชื่อ และถามเขาด้วยความไม่พอใจว่า“เป็นเรื่องจริงหรือ!”“เจ้าอย่ามาเป็นเด็กเลี้
เมื่อรู้ว่าจิงซิงอี้ผ่านการทดสอบ โม่หยวนหลิงและซัววีเว่ย จึงช่วยกันหาที่พักให้เด็กชาย แต่ก็ยังอดเป็นห่วงจิงซิงอี้ไม่ได้“เจ้าอยู่คนเดียวได้จริงหรือ พี่รู้ว่าเจ้าเก่ง ทำอะไรก็ได้ แต่ที่นี่เมืองหลวง ไม่มีใครมาช่วยเหลือเจ้า พี่เป็นห่วงมากนะ!” โม่หยวนหลิงพูดด้วยความกังวลใจจิงซิงอี้ต้องปลอบใจว่า “พี่หลิง ข้าอยู่ตัวคนเดียวได้จริงๆ แต่ตอนนี้ต้องหาที่พักก่อน” ทั้งสองคนเสนอให้เขาไปพักอยู่บ้านเฉินอี้เซิง อย่างน้อยยังมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยเด็กชายหัวเราะ การไปอยู่แบบนั้น ต้องทำงานแลกที่พักและอาหาร เขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องทุ่มเทและลำบากถึงขนาดนั้น เขามีความรู้อยู่แล้ว แค่ต้องการความรู้ด้านพิษอื่นๆ ที่จะช่วยเหลือจิงเซียวได้นอกจากนี้ เขาไม่อยากระมัดระวังตัวตลอดเวลา เขาจึงเลือกอยู่คนเดียว เพื่อให้มีเวลาศึกษาหาความรู้ โดยไม่ต้องปิดบังตัวตนเมื่อเห็นโม่หยวนหลิงและซัววีเว่ยยังไม่คลายกังวล เขาจึงตัดสินใจพูดตรงๆ ว่า“พี่หลิง พี่เว่ย ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงข้ามาก แต่ข้าขอพูดตรงๆก็แล้วกัน ข้ามีความรู้ทางการแพทย์อยู่แล้ว อาจ







