LOGINถึงแม้ว่าหยวนชุนจะยังดูอ่อนแรง แต่สีหน้าและแววตาเริ่มมีประกายสดใสมากขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ และเมื่อเห็นเหยาหลิงที่ยืนเช็ดน้ำตาด้วยความดีใจอยู่ข้างเตียง จึงถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ระหว่างที่เหยาหลิงอธิบายเรื่องราวให้สามีฟัง จิงซิงอี้คอยสังเกตสีหน้าและอาการของหยวนซุน
จิงซิงอี้บอกให้เขายกมือข้างขวาขึ้น หยวนซุนพยายามทำตาม แต่พบว่าเขายกแขนขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และอาการชาของร่างกายด้านขวายังคงมีอยู่ จิงซิงอี้จึงอธิบายให้ทั้งคู่ฟังว่า
“คนไข้เป็นโรคหลอดเลือดในสมองคั่ง ที่มีสาเหตุมาจากหลายอย่าง ทั้งการใช้ชีวิต อาหารการกิน อายุที่มากขึ้น อารมณ์ต่างๆ และการเคลื่อนที่ของชี่ยังเสียสมดุลติดขัด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่คล่อง จึงทำให้มีอาการแขนขาชาหรือกล้ามเนื้อแขนขาเกร็ง เวียนศีรษะ ตาลาย
และสุดท้ายคือหมดสติ ถ้ารักษาไม่ทัน ก็มีโอกาสเป็นอัมพาตอัมพฤกษ์ได้เช่นกันครับ”
เมื่อได้ยิน ทั้งสองหน้าซีดเผือดทันที เพราะมันไม่ใช่แค่อาการจากการทำงานหนักและความเครียด ตามที่หมอจากโรงพยาบาลในเมืองบอก
เหยาหลิงรีบถามต่อด้วยความร้อนใจว่า
“แล้วจะรักษาได้มั้ยคะหมอ”
จิงซิงอี้พยักหน้าและตอบด้วยความมั่นใจว่า
“รักษาได้ครับ แต่ต้องรักษาต่อเนื่องและใช้เวลาพอสมควร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนไข้ด้วย”
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “และใครเป็นคนรักษาด้วย”
เหยาหลิงหันไปมองตาหยวนซุน เหมือนขอความเห็นจากเขา หยวนซุนพยักหน้าให้ เหยาหลิงจึงรีบหันมาทางจิงซิงอี้ และถามด้วยหวังว่า
“คุณหมอจะช่วยรักษาให้ได้มั้ยคะ!”
จิงซิงอี้ลังเลไปสักพัก ก่อนจะตอบว่า “ไม่ใช่ว่าผมจะปฏิเสธนะครับ ถ้าจะรักษากับผม คนไข้ต้องพักอยู่ที่หมู่บ้านนี้ เพราะต้องใช้เวลาในการรักษา ต้องฝังเข็มกระตุ้นและกินยา และอาจจะมีวิธีอื่นๆ ที่ต้องปรับไปตามอาการ
ที่นี่เป็นบ้านของผม ไม่ใช่คลินิก ไม่สะดวกจะรับคนไข้มาดูแล ผมเองก็ยังไม่มีคลินิกที่นี่ด้วย ถ้าจะรักษา พวกคุณต้องหาที่พักที่หมู่บ้านนี้ให้ได้ก่อน”
สองพ่อลูกเสี่ยวหลงที่ยืนฟังอยู่นาน ก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า
“ไม่ต้องห่วง! พวกเราจะช่วยหาที่พักให้เองครับ!”
ในระหว่างที่ทั้งคู่จัดการเรื่องที่พักและธุรกิจการงานต่างๆ เย็นวันนั้น จิงซิงอี้ก็ทำอาหารสมุนไพรให้คนป่วยกิน
เขาทำข้าวต้มเครื่องยาจีน ด้วยการเคี่ยวสมุนไพรเพื่อเอาน้ำที่สกัดได้มาทำข้าวต้ม จากนั้นก็ใส่พุทราจีน เห็ดหูหนู และโสมภูเขาลงไปในน้ำเดือด และใช้ไฟอ่อนค่อยๆเคี่ยวจนได้ตัวยาออกมา เมื่อได้ที่จึงยกลงกรองเอากากออก
เขานำข้าวสารผสมกับข้าวเหนียวเล็กน้อยเติมลงไปในน้ำซุปสมุนไพร ต้มด้วยไฟอ่อนไปเรื่อยๆ เพื่อให้ข้าวต้มมีความข้นน่ากิน จนกลิ่นข้าวต้มและสมุนไพรหอมฟุ้งไปทั่วบ้าน เมื่อข้าวต้มเปื่อยนุ่มได้ที่จึงตักใส่ถ้วย และยกออกไปให้คนป่วย
เหยาหลิงซึ่งได้กลิ่นข้าวต้มตั้งแต่แรก ถึงกับกลืนน้ำลายเมื่อเห็นข้าวต้มสมุนไพรสีขาวข้น ควันกรุ่นน่ากิน เธอขอบคุณจิงซิงอี้อย่างจริงใจ และค่อยๆ ป้อนข้าวให้หยวนซุนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง
จิงซิงอี้อธิบาย ในขณะที่มองหยวนซุนกินข้าวต้มอย่างหิวโหยว่า พุทราจีนแห้ง เห็ดหูหนูดำ จะช่วยลดอาการแข็งตัวของเส้นเลือด ช่วยบำรุงสมองและประสาท ลดการอุดตันของเส้นเลือด และช่วยบำรุงไต เขายังแนะนำสูตรอาหารอื่นๆ
สำหรับวิธีการรักษาด้วยยาสมุนไพรนั้น จิงซิงอี้จะเสริมบำรุงเลือดและชี่ ขับไล่ลม ขจัดความเย็น และชี่ที่ก่อโรคออกไป ซึ่งเขาจะใช้ยาตำรับปู่หยางหวนอู่ทังในการรักษาเป็นหลัก
ยาตำรับนี้ประกอบไปด้วย เซิงหวงฉี ที่เป็นตัวยาหลัก มีสรรพคุณบำรุงชี่ และใช้ตังกุยเหว่ย์ เช่อเสา ชวนซยฺง หงฮฺวา ถาวเหริน และตี้หลง เพื่อช่วยสลายเลือดคั่ง ทำให้การไหลเวียนของเลือดสะดวก ช่วยทะลวงเส้นลมปราณ และบรรเทาเลือดคั่งในสมองได้
นอกจากนี้ เขายังจะฝังเข็มกระตุ้นให้ด้วย เพราะร่างกายฝั่งขวาของหยวนซุนยังขยับได้ลำบาก และพูดไม่ชัด ซึ่งเป็นอาการของอัมพาตครึ่งซีก
หลังจากกินอาหารเย็นไปได้สักพัก จิงซิงอี้จึงนวดแขนและขาของเขา เพื่อกระตุ้นให้เลือดหมุนเวียน
คืนนั้น เขาให้เหยาหลิงพักอยู่ที่นี่ เธอนอนบนเตียงผ้าใบเพื่อจะได้อยู่ดูแลหยวนซุนใกล้ๆ เธอติดต่อให้ผู้ช่วยของหยวนซุนเข้ามาที่หมู่บ้าน และนำข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นมาให้ และติดต่อประสานงานกับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อจัดหาที่พักในระหว่างรักษาตัวให้กับเธอและหยวนซุนด้วย
เหยาหลิงได้ที่พักใกล้ๆ กับบ้านของจิงซิงอี้ เจ้าของบ้านให้พวกเขาเช่าบ้านทั้งหลังเพื่อความเป็นส่วนตัว ส่วนตนเองย้ายไปพักกับญาติ และยังรับจ้างดูแลทำความสะอาด และทำอาหารให้สามีภรรยาคู่นี้ด้วย
ในเช้าวันต่อมา จิงซิงอี้ฝังเข็มอีกชุดให้หยวนซุนและให้เขาดื่มน้ำพุทราจีนแห้ง เห็ดหูหนูดำ และขิงตุ๋นในตอนท้องว่าง
เมื่อพบว่าหยวนซุนอาการคงที่แล้ว ทั้งสามีและภรรยาจึงย้ายออกไปอยู่ที่บ้านเช่าไม่ไกลจากบ้านของจิงซิงอี้นัก
ช่วงที่พักรักษาตัว จิงซิงอี้แนะนำให้หยวนซุนฟื้นฟูร่างกายทุกวัน ด้วยการออกกำลังกาย เพื่อช่วยปรับสมดุลการไหลเวียนของชี่และระบบหลอดเลือด ด้วยการฝึกทำ “เต๋าอิ่น” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการเคลื่อนไหวของร่างกาย และการควบคุมลมหายใจให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เขาสอนให้ทำท่าล้างหน้า ท่าเสยผม ท่าคลึงใบหู ท่าถูคอ ที่สามารถทำในขณะที่นั่งหรือยืนก็ได้
ในขณะที่จิงซิงอี้กำลังง่วนอยู่กับการรักษาให้หยวนซุนอยู่นั้น สองพ่อลูกเสี่ยวหลง ซึ่งออกมานั่งกินอาหารเช้ากับชาวบ้านที่ลานหินใต้ต้นไม้ ก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตื่นเต้นออกรสออกชาติว่า
“แล้วหมอจิงซิงอี้ก็เดินออกมาจากประตู หล่อออร่าเหมือนเทวดาลอยมาเลย! ตอนแรกพวกเราก็ไม่เชื่อสักเท่าไหร่ว่าเขาจะเป็นหมอจริงๆ” เสี่ยวหลงเล่าไปกัดซาลาเปาไป
“ทำไมล่ะ” ป้าหวังถามด้วยความอยากรู้
“ใครจะไปเชื่อลงล่ะ ทั้งเด็กทั้งหล่อขนาดนั้น ถ้าบอกว่าเป็นนักร้องไอดอลในทีวียังน่าเชื่อมากกว่า ใช่มั้ยพ่อ”
เด็กหนุ่มหันไปถามพ่อ ซึ่งก็ยืนยันกลับมาอย่างหนักแน่นเช่นกัน ทำให้ชาวบ้านที่จับกลุ่มฟังเขยิบเข้ามาใกล้ด้วยความตื่นเต้นมากขึ้น
“แล้วตอนที่คุณหยวนซุนชักกระตุกอะ พวกเราตกใจทำอะไรกันไม่ถูก แต่หมอจิงกลับใจเย็นมาก! บอกให้พวกเราช่วยกันจับตัวเอาไว้ แล้วก็เอาเข็มปัก ชั้วะ! ชั้วะ! ชั้วะ! ลงไปอย่างมั่นใจทันที!”
เขาเล่าพร้อมกับทำท่าประกอบอย่างตื่นเต้น จนซาลาเปาบางส่วนกระเด็นออกจากปาก ชาวบ้านที่อยู่ใกล้พากันถอยห่างออกมา
แต่แล้วเสี่ยวหลงก็สำลักซาลาเปาจนไอออกมาหน้าดำหน้าแดง พ่อของเขาต้องรีบตบหลังให้หยุดไอ ในขณะที่คนอื่นรีบส่งน้ำชาอุ่นๆให้ดื่มกลั้วคอ เมื่อหยุดไอแล้ว เสี่ยวหลงจึงเล่าต่อด้วยเสียงแหบแห้งว่า
“คุณหยวนซุนก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ตอนแรกพวกเรานึกว่าแกจะไม่รอดแล้วซะอีก เพราะก่อนหน้านั้น หน้าแกซีดลงไปเรื่อยๆ เรียกยังไงก็ไม่ได้ยิน!
แต่หมอจิงก็สุดยอดมาก ปลุกจนแกฟื้นขึ้นมาได้ แถมยังกินข้าวต้มได้จนหมดชามเลยนะ!
เฮ่อออออ...ข้าวต้มที่หมอจิงทำก็หอมฟุ้งน่ากินจริงๆนะ พูดแล้วผมก็ยังอยากจะกินบ้างเลย..”
เสี่ยวหลงรำพึงรำพันถึงข้าวต้มขึ้นมาในตอนท้าย จากนั้นก็ยัดซาลาเปาชิ้นสุดท้ายเข้าปากไป
ชาวบ้านต่างหันมาแสดงความคิดเห็นกัน พวกเขาสงสัยว่า หมอจิงคนนี้ เป็นหลานของหมอใหญ่จิงเซียว แต่ทำไมถึงไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน
เจ้าฟู่ ชายชราอายุประมาณ 80 ปี ซึ่งนั่งดื่มชาและฟังอยู่เงียบๆ ก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“หมอจิงเซียวมาอยู่ที่นี่ได้เกือบ 15 ปีแล้ว แกก็ไปๆมาๆ อยู่บ้าง ไม่อยู่บ้าง ไม่มีใครเคยเห็นว่าแกมีครอบครัวรึเปล่า แต่แกจะมีหลานชายมาอยู่ด้วย แต่มักจะอยู่ในบ้าน หรือออกไปพร้อมกับหมอจิงเซียว”
“แล้วทำไมพวกเราไม่เคยเห็นเลยล่ะ” ป้าหวังถามด้วยความสงสัย ปู่เจ้าฟู่จึงตอบว่า
“บ้านของพวกเขาอยู่ท้ายหมู่บ้าน ไกลกว่าบ้านอื่นๆ จะไปไหนมาไหน ไปทำอะไร เราไม่รู้หรอก แล้วเขาก็ไม่ได้มาสุงสิงอะไรกับชาวบ้านแถวนี้ หมอใหญ่เองก็ไม่ได้เปิดคลินิกที่นี่ด้วย”
“ก็จริงนะ ถ้าไม่ป่วยหนักจริงๆ พวกเราก็ไม่เคยไปหาแกเลย เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่บ้านรึเปล่า” ลุงหม่าเสริมขึ้นมา หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย
“ถ้าหลานแกยอมรักษาให้แบบนี้ แสดงว่าแกจะเปิดคลินิกเองหรือเปล่านะ” พ่อของเสี่ยวหลงสงสัย
ทุกคนส่ายหน้าอย่างไม่รู้คำตอบ และได้แต่ภาวนาให้เป็นจริง เพราะพวกเขาอยากจะอยู่ใกล้กับหมอที่รักษาโรคเก่งๆ จะได้ไม่ต้องเดินทางไปรักษาในเมือง หรือที่หมู่บ้านข้างๆ เหมือนที่ผ่านมา
และหมู่บ้านนี้ ก็เหลือแต่คนแก่และเด็กๆ เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนหนุ่มสาวออกไปทำงานต่างเมืองกันเกือบหมด เมื่อเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงต้องช่วยเหลือกันเองไปตามมีตามเกิด
ลั่วเป่ยตกใจมาก เขารีบบอกจิงซิงอี้ว่า เขาจะไปดูลูกชายก่อน จิงซิงอี้พูดขึ้นมาว่า จะขอไปดูอาการด้วย ชายหนุ่มพยักหน้าและรีบเดินขึ้นรถลากไปด้วยกันระหว่างทางกลับบ้าน ลั่วเป่ยสอบถามอาการของลูกชาย จากหญิงรับใช้ซึ่งเป็นคนสนิทของภรรยา นางเล่าด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า“วันนี้คุณชายน้อยไม่อยากกินข้าวเลยเจ้าค่ะ บอกว่าเหนื่อยมาก จากนั้นฮูหยินก็บอกให้คุณชายพักผ่อน แล้วก็ตามท่านหมอชิวมารักษา แต่พอรักษาได้สักพัก อาการของคุณชายน้อยก็แย่ลงอีก”“แย่ยังไง รีบบอกมา!” ลั่วเป่ยเร่งให้นางตอบ“คุณชายน้อยบอกว่าเจ็บหน้าอกมาก แล้วก็ปวดเนื้อตัวเจ้าค่ะ!”จิงซิงอี้ที่ฟังอาการก็นิ่วหน้าด้วยความสงสัย เขาถามสาวใช้ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า หมอรักษาคุณชายอย่างไรบ้าง”สาวใช้ตอบแบบไม่แน่ใจว่า “ฝังเข็มแล้วก็ให้ดื่มยาเจ้าเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ดีขึ้น”ลั่วเป่ยพยายามควบคุมความกลัว เมื่อไปถึงหน้าบ้าน พวกเขารีบลงจากรถ และเดินไปที่ห้องนอนของคุณชายน้อยที่อยู่ตึกด้านซ้ายมือ หน้าห้องมีคนรับใช้ทั้งยืนรอและเดินเข้าอ
เขาจุ่มเข็มลงในน้ำร้อนเพื่อทำความสะอาด และอธิบายให้ทุกคนในห้องฟังว่า “ข้าจะเริ่มต้นฝังเข็มเพื่อปิดกั้นการไหลเวียนของสารพิษในร่างกาย”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเหรินเหมินบริเวณท้องน้อย เพื่อช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดและชี่ในร่างกายส่วนล่าง จากนั้นจุดชี่ไห่ ที่อยู่ใต้หัวเข่า เพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด“ข้าจะกักสารพิษเอาไว้ที่จุดเดียวเพื่อไม่ให้แพร่กระจาย จนกว่าเราจะขับมันออกไปได้ และช่วยให้อาการทรงตัวไม่แย่ไปกว่านี้”จิงซิงอี้หันไปหาหมอที่ยืนข้าง “ข้าขอให้ท่านช่วยจับตัวเขาพลิกให้หน่อยขอรับ”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเฟิ่งฉือ เพื่อช่วยลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการปวดเขาใช้เวลาในการฝังเข็มอยู่นานกว่า 20 นาที ทุกคนเห็นว่า คนไข้เริ่มหายใจลึกและยาวขึ้น อาการสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดลดน้อยลง และสีหน้าที่หมองคล้ำของเขาเริ่มดีขึ้นจิงซิงอี้หยุดฝังเข็ม หันไปบอกหลิวป๋อว่า “ข้าจะสั่งยาสมุนไพรให้ มีโสมจีน ตังเซียม เห็ดหลินจือ ชะเอมเทศ ตัง และเกา
ลั่วเป่ยถอนหายใจ “ลูกชายของพี่อายุ 11 ปี ไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เกิด เวลาทำอะไรที่ต้องออกแรง จะเหนื่อยง่าย หายใจหอบ ซีดเซียว เวลาอากาศเปลี่ยนก็ป่วย เวลาป่วยที ก็ใช้เวลานานกว่าจะฟื้นได้ ยิ่งช่วงสองสามปีนี้อาการยิ่งหนักมากขึ้นไปอีก”ในระหว่างนั้น เด็กเสิร์ฟก็นำอาหารมาวางบนโต๊ะ ทั้งสองคนลงมือกินและคุยกันต่อ “พี่หาหมอมารักษาหลายคนก็ไม่ดีขึ้น ได้แค่ทรงๆ จนช่วงนี้ยิ่งแย่มากขึ้น มันน่าเจ็บใจไหม ที่พี่ขายสมุนไพร แต่ก็ไม่มีสมุนไพรไหนช่วยลูกได้เลย!”จิงซิงอี้ถามด้วยความสนใจว่า “ใครเป็นคนแนะนำให้ใช้โสมในการรักษาหรือ”“เป็นหมอที่เพื่อนของพี่แนะนำมา เขาเชี่ยวชาญโรคเด็ก และบอกว่าหยวนชี่พร่อง ซึ่งมักเกิดกับเด็ก เขาจึงสั่งยาและอาหารเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะโสมที่ให้เอามาตุ๋นไก่ทำเป็นยา จะต้องเป็นโสมที่มีคุณภาพสูงจริงๆ”เมื่อจิงซิงอี้ถามต่อว่า “หลังจากรักษากับหมอคนนี้แล้ว อาการดีขึ้นไหม”ชายหนุ่มตอบว่า “ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังออกแรงหนักมากไม่ได้ จนเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา อากาศเปลี่ยนแปลงม
เฉินอี้เซิงเฉลยอาการป่วยของคนไข้ชายว่า มีอะไรบ้างและควรจะรักษาอย่างไร เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า“คนไข้รักษาอาการมานานแล้ว ช่วงนี้มีอาการหนักขึ้น เพราะอากาศหนาวมีส่วนอย่างมาก แต่สิ่งที่จิงซิงอี้วิเคราะห์น่าสนใจมากเช่นกัน โดยเฉพาะกรรมพันธุ์และความเครียด ที่ทำให้อาการเป็นมากขึ้น การซักถามอย่างใส่ใจถึงชีวิตประจำวัน จึงเป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้เราเห็นสาเหตุของโรคด้วย ที่สำคัญ การรักษาในองค์รวม ที่ต้องดูแลทั้งร่างกายและจิตใจไปด้วย จึงจะช่วยให้โรคแบบนี้ดีขึ้นได้ในภาพรวมได้”หลังจากจบบทเรียนในวันนั้น เฉินอี้เซิงปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านได้ จิงซิงอี้เก็บของ และเดินออกมานอกห้องพร้อมกับลั่วเป่ยและจี่หลิว คนที่ไม่พอใจเขาก็เริ่มเงียบไปบางคนเข้ามาทักทายและบอกว่า ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นหมอเด็กอัจริยะ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของชายที่มีปัญหากับเขา หรือเค่อหลุน ที่เดินผ่านจิงซิงอี้และพูดว่า “ก็แค่เดาจนถูกนั่นละ!”ทั้งลั่วเป่ยและจี่หลิวขมวดคิ้ว ลั่วเป่ยจึงพูดออกมาว่า “คนอะไร หาเรื่องแม้กระทั่งกับเด็กไม่กี่ขวบ!”จิงซิงอี้มองตามเค่อห
ในวันจันทร์แรกของการไปเรียน จิงซิงอี้ตื่นแต่เช้า เขาสะพายเป้หนังสีน้ำตาลที่มีข้าวของจำเป็นใส่หลัง เป้นี้เขาออกแบบเป็นพิเศษให้มีช่องเก็บของ ใส่ขวดน้ำที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ขนม ผ้าเช็ดหน้า อุปกรณ์การแพทย์ขนาดเล็ก เขาแวะกินอาหารเช้าง่ายๆ ข้างทาง จากนั้นเดินไปที่บ้านของเฉินอี้เซิง ถึงอากาศจะเย็นในช่วงเช้า เพราะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็เหงื่อตกเพราะต้องเดินมาเองเมื่อมาถึงทางเข้าบ้าน เขาพบชายหลากหลายวัยเดินเข้าประตูไปอย่างคุ้นเคย จิงซิงอี้เดินตามเข้าไปเงียบๆ บางคนหันมามองเขาด้วยความสงสัย จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 28-29 ปี เรียกให้เขาหยุดและถามว่า “เจ้าหนู! หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร หลงทางกับพ่อหรือเปล่า”กลุ่มคนที่น่าจะเป็นลูกศิษย์ของเฉินอี้เซิงพากันหันมามอง จิงซิงอี้หยุดเดิน หันไปตอบนิ่งๆว่า “ข้าไม่ได้พลัดหลงกับใคร ข้าเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของอาจารย์เฉินอี้เซิง”ทุกคนที่ได้ยินต่างขมวดคิ้ว พวกเขามองจิงซิงอี้ด้วยความสงสัย บางคนไม่เชื่อ และถามเขาด้วยความไม่พอใจว่า“เป็นเรื่องจริงหรือ!”“เจ้าอย่ามาเป็นเด็กเลี้
เมื่อรู้ว่าจิงซิงอี้ผ่านการทดสอบ โม่หยวนหลิงและซัววีเว่ย จึงช่วยกันหาที่พักให้เด็กชาย แต่ก็ยังอดเป็นห่วงจิงซิงอี้ไม่ได้“เจ้าอยู่คนเดียวได้จริงหรือ พี่รู้ว่าเจ้าเก่ง ทำอะไรก็ได้ แต่ที่นี่เมืองหลวง ไม่มีใครมาช่วยเหลือเจ้า พี่เป็นห่วงมากนะ!” โม่หยวนหลิงพูดด้วยความกังวลใจจิงซิงอี้ต้องปลอบใจว่า “พี่หลิง ข้าอยู่ตัวคนเดียวได้จริงๆ แต่ตอนนี้ต้องหาที่พักก่อน” ทั้งสองคนเสนอให้เขาไปพักอยู่บ้านเฉินอี้เซิง อย่างน้อยยังมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยเด็กชายหัวเราะ การไปอยู่แบบนั้น ต้องทำงานแลกที่พักและอาหาร เขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องทุ่มเทและลำบากถึงขนาดนั้น เขามีความรู้อยู่แล้ว แค่ต้องการความรู้ด้านพิษอื่นๆ ที่จะช่วยเหลือจิงเซียวได้นอกจากนี้ เขาไม่อยากระมัดระวังตัวตลอดเวลา เขาจึงเลือกอยู่คนเดียว เพื่อให้มีเวลาศึกษาหาความรู้ โดยไม่ต้องปิดบังตัวตนเมื่อเห็นโม่หยวนหลิงและซัววีเว่ยยังไม่คลายกังวล เขาจึงตัดสินใจพูดตรงๆ ว่า“พี่หลิง พี่เว่ย ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงข้ามาก แต่ข้าขอพูดตรงๆก็แล้วกัน ข้ามีความรู้ทางการแพทย์อยู่แล้ว อาจ







