Share

2

Author: Clear Clouds
last update Last Updated: 2025-08-28 20:30:58

ถึงแม้ว่าหยวนชุนจะยังดูอ่อนแรง แต่สีหน้าและแววตาเริ่มมีประกายสดใสมากขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ และเมื่อเห็นเหยาหลิงที่ยืนเช็ดน้ำตาด้วยความดีใจอยู่ข้างเตียง จึงถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เกิดอะไรขึ้น” 

ระหว่างที่เหยาหลิงอธิบายเรื่องราวให้สามีฟัง จิงซิงอี้คอยสังเกตสีหน้าและอาการของหยวนซุน

จิงซิงอี้บอกให้เขายกมือข้างขวาขึ้น หยวนซุนพยายามทำตาม แต่พบว่าเขายกแขนขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และอาการชาของร่างกายด้านขวายังคงมีอยู่ จิงซิงอี้จึงอธิบายให้ทั้งคู่ฟังว่า

“คนไข้เป็นโรคหลอดเลือดในสมองคั่ง ที่มีสาเหตุมาจากหลายอย่าง ทั้งการใช้ชีวิต อาหารการกิน อายุที่มากขึ้น อารมณ์ต่างๆ และการเคลื่อนที่ของชี่ยังเสียสมดุลติดขัด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่คล่อง  จึงทำให้มีอาการแขนขาชาหรือกล้ามเนื้อแขนขาเกร็ง เวียนศีรษะ  ตาลาย

และสุดท้ายคือหมดสติ ถ้ารักษาไม่ทัน ก็มีโอกาสเป็นอัมพาตอัมพฤกษ์ได้เช่นกันครับ”

เมื่อได้ยิน ทั้งสองหน้าซีดเผือดทันที เพราะมันไม่ใช่แค่อาการจากการทำงานหนักและความเครียด ตามที่หมอจากโรงพยาบาลในเมืองบอก 

เหยาหลิงรีบถามต่อด้วยความร้อนใจว่า

“แล้วจะรักษาได้มั้ยคะหมอ”

จิงซิงอี้พยักหน้าและตอบด้วยความมั่นใจว่า

“รักษาได้ครับ แต่ต้องรักษาต่อเนื่องและใช้เวลาพอสมควร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนไข้ด้วย”

เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “และใครเป็นคนรักษาด้วย”

เหยาหลิงหันไปมองตาหยวนซุน เหมือนขอความเห็นจากเขา  หยวนซุนพยักหน้าให้ เหยาหลิงจึงรีบหันมาทางจิงซิงอี้ และถามด้วยหวังว่า

“คุณหมอจะช่วยรักษาให้ได้มั้ยคะ!”

จิงซิงอี้ลังเลไปสักพัก ก่อนจะตอบว่า “ไม่ใช่ว่าผมจะปฏิเสธนะครับ ถ้าจะรักษากับผม คนไข้ต้องพักอยู่ที่หมู่บ้านนี้ เพราะต้องใช้เวลาในการรักษา ต้องฝังเข็มกระตุ้นและกินยา และอาจจะมีวิธีอื่นๆ ที่ต้องปรับไปตามอาการ

ที่นี่เป็นบ้านของผม ไม่ใช่คลินิก ไม่สะดวกจะรับคนไข้มาดูแล ผมเองก็ยังไม่มีคลินิกที่นี่ด้วย  ถ้าจะรักษา พวกคุณต้องหาที่พักที่หมู่บ้านนี้ให้ได้ก่อน”

สองพ่อลูกเสี่ยวหลงที่ยืนฟังอยู่นาน ก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า

“ไม่ต้องห่วง! พวกเราจะช่วยหาที่พักให้เองครับ!”

ในระหว่างที่ทั้งคู่จัดการเรื่องที่พักและธุรกิจการงานต่างๆ เย็นวันนั้น จิงซิงอี้ก็ทำอาหารสมุนไพรให้คนป่วยกิน

เขาทำข้าวต้มเครื่องยาจีน ด้วยการเคี่ยวสมุนไพรเพื่อเอาน้ำที่สกัดได้มาทำข้าวต้ม จากนั้นก็ใส่พุทราจีน เห็ดหูหนู และโสมภูเขาลงไปในน้ำเดือด และใช้ไฟอ่อนค่อยๆเคี่ยวจนได้ตัวยาออกมา  เมื่อได้ที่จึงยกลงกรองเอากากออก

เขานำข้าวสารผสมกับข้าวเหนียวเล็กน้อยเติมลงไปในน้ำซุปสมุนไพร ต้มด้วยไฟอ่อนไปเรื่อยๆ เพื่อให้ข้าวต้มมีความข้นน่ากิน จนกลิ่นข้าวต้มและสมุนไพรหอมฟุ้งไปทั่วบ้าน เมื่อข้าวต้มเปื่อยนุ่มได้ที่จึงตักใส่ถ้วย และยกออกไปให้คนป่วย

 เหยาหลิงซึ่งได้กลิ่นข้าวต้มตั้งแต่แรก ถึงกับกลืนน้ำลายเมื่อเห็นข้าวต้มสมุนไพรสีขาวข้น ควันกรุ่นน่ากิน เธอขอบคุณจิงซิงอี้อย่างจริงใจ และค่อยๆ ป้อนข้าวให้หยวนซุนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

จิงซิงอี้อธิบาย ในขณะที่มองหยวนซุนกินข้าวต้มอย่างหิวโหยว่า พุทราจีนแห้ง เห็ดหูหนูดำ จะช่วยลดอาการแข็งตัวของเส้นเลือด ช่วยบำรุงสมองและประสาท ลดการอุดตันของเส้นเลือด และช่วยบำรุงไต เขายังแนะนำสูตรอาหารอื่นๆ

สำหรับวิธีการรักษาด้วยยาสมุนไพรนั้น จิงซิงอี้จะเสริมบำรุงเลือดและชี่ ขับไล่ลม ขจัดความเย็น และชี่ที่ก่อโรคออกไป ซึ่งเขาจะใช้ยาตำรับปู่หยางหวนอู่ทังในการรักษาเป็นหลัก

ยาตำรับนี้ประกอบไปด้วย เซิงหวงฉี ที่เป็นตัวยาหลัก มีสรรพคุณบำรุงชี่ และใช้ตังกุยเหว่ย์ เช่อเสา ชวนซยฺง หงฮฺวา ถาวเหริน และตี้หลง เพื่อช่วยสลายเลือดคั่ง ทำให้การไหลเวียนของเลือดสะดวก ช่วยทะลวงเส้นลมปราณ และบรรเทาเลือดคั่งในสมองได้

นอกจากนี้ เขายังจะฝังเข็มกระตุ้นให้ด้วย เพราะร่างกายฝั่งขวาของหยวนซุนยังขยับได้ลำบาก และพูดไม่ชัด ซึ่งเป็นอาการของอัมพาตครึ่งซีก  

หลังจากกินอาหารเย็นไปได้สักพัก จิงซิงอี้จึงนวดแขนและขาของเขา เพื่อกระตุ้นให้เลือดหมุนเวียน

คืนนั้น เขาให้เหยาหลิงพักอยู่ที่นี่ เธอนอนบนเตียงผ้าใบเพื่อจะได้อยู่ดูแลหยวนซุนใกล้ๆ  เธอติดต่อให้ผู้ช่วยของหยวนซุนเข้ามาที่หมู่บ้าน และนำข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นมาให้ และติดต่อประสานงานกับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อจัดหาที่พักในระหว่างรักษาตัวให้กับเธอและหยวนซุนด้วย

เหยาหลิงได้ที่พักใกล้ๆ กับบ้านของจิงซิงอี้ เจ้าของบ้านให้พวกเขาเช่าบ้านทั้งหลังเพื่อความเป็นส่วนตัว ส่วนตนเองย้ายไปพักกับญาติ และยังรับจ้างดูแลทำความสะอาด และทำอาหารให้สามีภรรยาคู่นี้ด้วย

ในเช้าวันต่อมา จิงซิงอี้ฝังเข็มอีกชุดให้หยวนซุนและให้เขาดื่มน้ำพุทราจีนแห้ง เห็ดหูหนูดำ และขิงตุ๋นในตอนท้องว่าง

เมื่อพบว่าหยวนซุนอาการคงที่แล้ว ทั้งสามีและภรรยาจึงย้ายออกไปอยู่ที่บ้านเช่าไม่ไกลจากบ้านของจิงซิงอี้นัก

ช่วงที่พักรักษาตัว จิงซิงอี้แนะนำให้หยวนซุนฟื้นฟูร่างกายทุกวัน ด้วยการออกกำลังกาย เพื่อช่วยปรับสมดุลการไหลเวียนของชี่และระบบหลอดเลือด ด้วยการฝึกทำ “เต๋าอิ่น” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการเคลื่อนไหวของร่างกาย และการควบคุมลมหายใจให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เขาสอนให้ทำท่าล้างหน้า ท่าเสยผม ท่าคลึงใบหู ท่าถูคอ ที่สามารถทำในขณะที่นั่งหรือยืนก็ได้

ในขณะที่จิงซิงอี้กำลังง่วนอยู่กับการรักษาให้หยวนซุนอยู่นั้น สองพ่อลูกเสี่ยวหลง ซึ่งออกมานั่งกินอาหารเช้ากับชาวบ้านที่ลานหินใต้ต้นไม้ ก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตื่นเต้นออกรสออกชาติว่า

“แล้วหมอจิงซิงอี้ก็เดินออกมาจากประตู หล่อออร่าเหมือนเทวดาลอยมาเลย! ตอนแรกพวกเราก็ไม่เชื่อสักเท่าไหร่ว่าเขาจะเป็นหมอจริงๆ”  เสี่ยวหลงเล่าไปกัดซาลาเปาไป

“ทำไมล่ะ” ป้าหวังถามด้วยความอยากรู้

“ใครจะไปเชื่อลงล่ะ ทั้งเด็กทั้งหล่อขนาดนั้น ถ้าบอกว่าเป็นนักร้องไอดอลในทีวียังน่าเชื่อมากกว่า ใช่มั้ยพ่อ”

เด็กหนุ่มหันไปถามพ่อ ซึ่งก็ยืนยันกลับมาอย่างหนักแน่นเช่นกัน ทำให้ชาวบ้านที่จับกลุ่มฟังเขยิบเข้ามาใกล้ด้วยความตื่นเต้นมากขึ้น

“แล้วตอนที่คุณหยวนซุนชักกระตุกอะ พวกเราตกใจทำอะไรกันไม่ถูก   แต่หมอจิงกลับใจเย็นมาก! บอกให้พวกเราช่วยกันจับตัวเอาไว้ แล้วก็เอาเข็มปัก ชั้วะ! ชั้วะ! ชั้วะ! ลงไปอย่างมั่นใจทันที!”

เขาเล่าพร้อมกับทำท่าประกอบอย่างตื่นเต้น จนซาลาเปาบางส่วนกระเด็นออกจากปาก  ชาวบ้านที่อยู่ใกล้พากันถอยห่างออกมา

แต่แล้วเสี่ยวหลงก็สำลักซาลาเปาจนไอออกมาหน้าดำหน้าแดง พ่อของเขาต้องรีบตบหลังให้หยุดไอ ในขณะที่คนอื่นรีบส่งน้ำชาอุ่นๆให้ดื่มกลั้วคอ เมื่อหยุดไอแล้ว เสี่ยวหลงจึงเล่าต่อด้วยเสียงแหบแห้งว่า

“คุณหยวนซุนก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ตอนแรกพวกเรานึกว่าแกจะไม่รอดแล้วซะอีก เพราะก่อนหน้านั้น หน้าแกซีดลงไปเรื่อยๆ เรียกยังไงก็ไม่ได้ยิน!

แต่หมอจิงก็สุดยอดมาก ปลุกจนแกฟื้นขึ้นมาได้ แถมยังกินข้าวต้มได้จนหมดชามเลยนะ!   

เฮ่อออออ...ข้าวต้มที่หมอจิงทำก็หอมฟุ้งน่ากินจริงๆนะ พูดแล้วผมก็ยังอยากจะกินบ้างเลย..”

เสี่ยวหลงรำพึงรำพันถึงข้าวต้มขึ้นมาในตอนท้าย จากนั้นก็ยัดซาลาเปาชิ้นสุดท้ายเข้าปากไป

ชาวบ้านต่างหันมาแสดงความคิดเห็นกัน พวกเขาสงสัยว่า หมอจิงคนนี้ เป็นหลานของหมอใหญ่จิงเซียว แต่ทำไมถึงไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน

เจ้าฟู่ ชายชราอายุประมาณ 80 ปี ซึ่งนั่งดื่มชาและฟังอยู่เงียบๆ ก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“หมอจิงเซียวมาอยู่ที่นี่ได้เกือบ 15 ปีแล้ว แกก็ไปๆมาๆ อยู่บ้าง ไม่อยู่บ้าง ไม่มีใครเคยเห็นว่าแกมีครอบครัวรึเปล่า แต่แกจะมีหลานชายมาอยู่ด้วย แต่มักจะอยู่ในบ้าน หรือออกไปพร้อมกับหมอจิงเซียว”

“แล้วทำไมพวกเราไม่เคยเห็นเลยล่ะ” ป้าหวังถามด้วยความสงสัย ปู่เจ้าฟู่จึงตอบว่า

“บ้านของพวกเขาอยู่ท้ายหมู่บ้าน ไกลกว่าบ้านอื่นๆ จะไปไหนมาไหน ไปทำอะไร เราไม่รู้หรอก แล้วเขาก็ไม่ได้มาสุงสิงอะไรกับชาวบ้านแถวนี้ หมอใหญ่เองก็ไม่ได้เปิดคลินิกที่นี่ด้วย”

“ก็จริงนะ ถ้าไม่ป่วยหนักจริงๆ พวกเราก็ไม่เคยไปหาแกเลย เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่บ้านรึเปล่า” ลุงหม่าเสริมขึ้นมา หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย

“ถ้าหลานแกยอมรักษาให้แบบนี้ แสดงว่าแกจะเปิดคลินิกเองหรือเปล่านะ”  พ่อของเสี่ยวหลงสงสัย

ทุกคนส่ายหน้าอย่างไม่รู้คำตอบ และได้แต่ภาวนาให้เป็นจริง เพราะพวกเขาอยากจะอยู่ใกล้กับหมอที่รักษาโรคเก่งๆ จะได้ไม่ต้องเดินทางไปรักษาในเมือง หรือที่หมู่บ้านข้างๆ เหมือนที่ผ่านมา

และหมู่บ้านนี้ ก็เหลือแต่คนแก่และเด็กๆ เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนหนุ่มสาวออกไปทำงานต่างเมืองกันเกือบหมด เมื่อเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงต้องช่วยเหลือกันเองไปตามมีตามเกิด

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   10

    เมื่อเดินไปถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลที่อยู่หน้าเคาเตอร์ต่างพากันมุงดูเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู แต่จิงซิงอี้ถอยไปหลบอยู่ข้างหลังลั่วเยี่ยน เขาไม่ได้กลัว แต่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ใกล้ๆ“เดี๋ยวๆทุกคน ใจเย็นๆ เจ้าหนูกลัวแล้ว”ลั่วเยี่ยนเตือนสาวๆ และเล่าให้พวกเธอฟังว่าไปพบเด็กชายที่ไหน และขอให้พวกเธอช่วยประกาศหาพ่อแม่ในโรงพยาบาล และถ้าไม่พบ เขาจะโทรไปแจ้งตำรวจให้ช่วยตามหาอีกทีในระหว่างที่ชายหนุ่มอธิบาย จิงซิงอี้ก็ยืนฟังเงียบๆด้วยความสนใจ แม้ว่าใครๆ จะพยายามถามชื่อและที่อยู่ เขากลับนิ่งทำหูทวนลมเหมือนไม่เข้าใจ จนลั่วเยี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ชายหนุ่มจะต้องออกตรวจคนไข้ตอนเช้า เขาจึงคิดจะฝากให้เด็กชายอยู่กับเจ้าหน้าที่ แต่จิงซิงอี้ไม่ยอม เด็กน้อยวิ่งตามลั่วเยี่ยน ทำให้เขาต้องพาเด็กชายไปที่ห้องตรวจด้วยเขาย่อตัวลงสบตากับเด็กน้อยและพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันไม่รู้ว่านายต้องการอะไร แต่ฉันรู้ว่านายเข้าใจทุกสิ่งที่ฉันพูด ถ้านายไม่อยากไปไหน ก็อยู่กับฉันไปก่อน ถ้าเปลี่ยนใจอยากพูด ก็พูดมาก็แล้วกันนะเจ้าหนู”จากนั้นชายหนุ่มก็ลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู พวก

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   9

    ตั้งแต่ยังหนุ่ม จิงเซียวมักออกเดินทางและหายไปหลายอาทิตย์ บางครั้งเขาเดินทางไปรักษาชาวบ้านตามที่ห่างไกล บางครั้งก็ไปเก็บสมุนไพรตามป่าเขาลำเนาไพร และได้รับเชิญจากผู้นำระดับประเทศ รวมไปถึงผู้มีชื่อเสียงและอำนาจขอให้ไปช่วยรักษาโรคเมื่ออายุมากขึ้น เขาจะเลือกรักษาเฉพาะคนที่เขารู้สึกถูกใจเท่านั้น ถึงแม้บางคนจะใช้ทั้งเงินและอำนาจมาข่มขู่ ชายชราก็ไม่เคยหวั่นไหว เพราะเขามีลูกศิษย์และคนไข้ที่มีชื่อเสียงคอยปกป้องอยู่เสมอนี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่จิงเซียวไม่เคยเปิดคลินิกรักษาที่หมู่บ้านเจียวจู เพราะเขาไม่ค่อยจะอยู่บ้านนั่นเองในระหว่างที่สองตาหลานง่วนอยู่กับการทำงานของตัวเอง จิงเซียวก็บอกกับจิงซิงอี้ว่า“เสี่ยวอี้ อีกสองวันตาจะไปปักกิ่งนะ มีนัดรักษาคนไข้”ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ชายชราก็พูดต่อว่า “เสี่ยวเยี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าจะมารับตาไป”เสี่ยวเยี่ยน หรือลั่วเยี่ยน อายุ 48 ปี เป็นศิษย์คนแรกของจิงเซียว เขาเป็นเจ้าของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีนในปักกิ่ง ตัวเขาจบแพทย์แผนปัจจุบันมา เมื่

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   8

    จิงซิงอี้เห็นว่าป้าซ่งมีรูปร่างท้วม ยิ่งทำให้เข่าเสื่อมและเสียรูปมากกว่าปกติ เขาจึงอธิบายอาการให้หญิงสูงวัยฟังว่า“โรคที่ป้าเป็น คือ ข้อเข่าเสื่อมนะครับ เกิดขึ้นได้จากอายุที่มากขึ้นทำให้เสื่อม แล้วก็น้ำหนักที่มากกว่าปกติ บางคนก็เกิดจากการทำงานหนัก ยกของหนักมานาน”ป้าซ่งรีบตอบว่า “ใช่เลยจ้ะ ป้าทำไร่ทำสวนมาตั้งแต่สาวๆ บางทีก็ต้องแบกปุ๋ย แบกผักผลไม้ไปขาย ช่วงนี้ป้าปวดเข่ามาก มันตึงไปหมด พอนั่งๆนอนๆ น้ำหนักก็เลยขึ้นอย่างที่หมอเห็นนี่ละจ้ะ”ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยนั้น ลุงซ่งฮ่าวเทียน ก็ถือขวดใส่นมแพะ 3 ขวดเดินเข้าบ้านมาถามว่า“เท่านี้พอมั้ยหมอจิง”เมื่อเห็นป้าซ่ง เขาจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า“อายี่ ออกมาทำไม จะเอาอะไรเหรอ”ป้าซ่งรีบตอบว่า“ไม่มีอะไร ฉันเห็นว่าหมอจิงมา เลยเดินออกมาทัก”จิงซิงอี้สังเกตเห็นว่า ป้าซ่งไม่อยากพูดถึงอาการของตนต่อหน้าสามี เขาจึงหันไปพูดกับซ่งฮ่าวเทียนว่า“เท่านี้ก็พอครับ พรุ่งนี้สัก 5 โมงเย็นจะแวะมาซื้ออีกนะครับ ขอบคุณครับลุงซ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   7

    ระหว่างที่ถาม จิงซิงอี้กวาดสายตาไปรอบๆ ด้านอย่างระมัดระวัง เขากลัวแม่ของมันจะพุ่งออกมาจู่โจม ถึงเจ้าตัวเล็กจะทำตัวฟู และมีแววตาหวาดระแวง แต่ก็ยังจ้องตาเขาไม่หลบจิงซิงอี้ค่อยๆ ถอยออกมานั่งที่เดิม ทั้งสองปรึกษากันว่าจะนั่งรอห่างๆ และดูว่าแม่จิ้งจอกจะมารับลูกหรือไม่ และค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร เวลาผ่านไป 15 นาที ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีแม่จิ้งจอกเดินออกมา แต่แล้วลูกสุนัขจิ้งจอกก็ค่อยๆ โผล่หน้ามาออกมาจากหลังต้นไม้ และมองมาที่สองตาหลานในที่สุดจิงซิงอี้และจิงเซียวจึงลุกเดินไปหามันช้าๆ จิงเซียวพูดกับมันด้วยเสียงมีเมตตาว่า“เจ้าอยากจะให้พวกเราทำอะไรให้ บอกมาสิเจ้าตัวเล็ก”ลูกสุนัขจิ้งจอกเอียงคอฟัง จากนั้นมันก็หันหลังเดินเข้าไปในป่าด้านหลัง มันเดินไปสองสามก้าว และหยุดหันมามองพวกเขาหลายครั้ง เหมือนจะบอกให้ทั้งสองเดินตาม จิงซิงอี้และจิงเซียวมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าเจ้าตัวเล็กคงอยากจะให้พวกเขาเดินตามทั้งสองจึงเดินตามมัน ที่พามุดเข้าไปในป่าที่เริ่มรกทึบ พวกเขาต้องก้มตัวหลบเถาวัลย์และลุยเข้าไปในพุ่มไม้ที่ขวางทางเอาไว้หลายครั้ง&

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   6

    จิงซิงอี้ขยับตัวตื่นตอนเช้ามืด เพราะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูไม้หน้าบ้าน เขาลุกขึ้นและคว้าเสื้อกันหนาวมาสวมทับ ถึงแม้ว่าช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้กับภูเขาจึงมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และในช่วงเช้าแบบนี้ ยิ่งหนาวเย็นมากกว่าปกติเขาล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทะมัดทะแมง คว้าโทรศัพท์และเป้ใส่ของ เดินออกมาจากห้องนอน และตรงไปที่ห้องครัวซึ่งอยู่ซ้ายสุดของห้องฝั่งตะวันตกเขาเริ่มต้นทำอาหารเช้า ด้วยการต้มข้าวกล้องผสมธัญพืชที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม จากนั้นก็จัดผักดองหลากชนิด ที่ใส่เกลือนิดหน่อยพอให้มีรสชาติลงไปในถ้วยเล็กๆ พร้อมกับไข่เค็มดองเองจากไข่เป็ดที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ทำให้ไข่แดงมีสีเข้มมันเยิ้มน่ากินเมื่อทำเสร็จแล้ว เขาเดินไปที่ห้องทำงานของจิงเซียว และเคาะประตูเรียกชายชรา ทั้งสองนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน และมีคุยกันบ้างนิดหน่อย ตอนนี้ ชุนเฉิงเดินทางกลับบ้านของเขาที่อยู่อีกเมืองหนึ่งไปแล้ว เพื่อกลับไปดูแลคลินิกและธุรกิจของตัวเองจิงซิงอี้บอกจิงเซียวว่า เขาได้รับออเดอร์ถุงหอมสมุนไพรจำนวนมาก เขาจึงคิดจะทำขายอย่างจริงจัง และจะขึ้นไปบนภูเขาห

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   5

    จิงซิงอี้ซึ่งกำลังคัดแยกสมุนไพร ก็ตอบตรงๆ ว่า “ยังไม่มีชื่อเลยครับ”จิงเซียวยิ้ม และมองหลานชายที่ก้มหน้าก้มตาเลือกสมุนไพร ก่อนจะพูดว่า“คลินิกฉางซาน”จิงซิงอี้เงยหน้าขึ้นทันทีด้วยความตกใจ จิงเซียวย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า“ได้เวลาที่คลินิกฉางซานจะต้องมีผู้สืบทอดแล้ว!”จากนั้น ชายชราก็พูดต่อว่า “ตาเชื่อมั่นในฝีมือของเจ้านะ ตาไม่อยากให้ความรู้ที่สั่งสมมาจากบรรพบุรุษของเรา ต้องจบไปในรุ่นของตา”ขอบตาของจิงซิงอี้ร้อนผ่าว เขารู้ว่าจิงเซียวมีความฝันที่อยากจะเปิดสำนักแพทย์ของตนเองมานานแล้ว แต่เขายังไม่มีโอกาสสักที ถึงเขาจะมีลูกศิษย์อยู่ 3 คน แต่เป็นครั้งแรกที่จิงเซียวมอบชื่อสำนักแพทย์ฉางซานให้เขาสืบทอด จิงซิงอี้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า“ผมจะทำให้ดีที่สุด ผมจะสืบทอดคลินิกฉางซานเองครับ!”ชุนเฉิงซึ่งยืนฟังอยู่หน้าประตูยิ้มนิดๆ ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานและเดินเข้ามาในห้อง ทั้งสามคนช่วยกันคัดแยกสมุนไพร และสนทนาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศอบอุ่น

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status