Share

2

Author: Clear Clouds
last update Last Updated: 2025-08-28 20:30:58

ถึงแม้ว่าหยวนชุนจะยังดูอ่อนแรง แต่สีหน้าและแววตาเริ่มมีประกายสดใสมากขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ และเมื่อเห็นเหยาหลิงที่ยืนเช็ดน้ำตาด้วยความดีใจอยู่ข้างเตียง จึงถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เกิดอะไรขึ้น” 

ระหว่างที่เหยาหลิงอธิบายเรื่องราวให้สามีฟัง จิงซิงอี้คอยสังเกตสีหน้าและอาการของหยวนซุน

จิงซิงอี้บอกให้เขายกมือข้างขวาขึ้น หยวนซุนพยายามทำตาม แต่พบว่าเขายกแขนขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และอาการชาของร่างกายด้านขวายังคงมีอยู่ จิงซิงอี้จึงอธิบายให้ทั้งคู่ฟังว่า

“คนไข้เป็นโรคหลอดเลือดในสมองคั่ง ที่มีสาเหตุมาจากหลายอย่าง ทั้งการใช้ชีวิต อาหารการกิน อายุที่มากขึ้น อารมณ์ต่างๆ และการเคลื่อนที่ของชี่ยังเสียสมดุลติดขัด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่คล่อง  จึงทำให้มีอาการแขนขาชาหรือกล้ามเนื้อแขนขาเกร็ง เวียนศีรษะ  ตาลาย

และสุดท้ายคือหมดสติ ถ้ารักษาไม่ทัน ก็มีโอกาสเป็นอัมพาตอัมพฤกษ์ได้เช่นกันครับ”

เมื่อได้ยิน ทั้งสองหน้าซีดเผือดทันที เพราะมันไม่ใช่แค่อาการจากการทำงานหนักและความเครียด ตามที่หมอจากโรงพยาบาลในเมืองบอก 

เหยาหลิงรีบถามต่อด้วยความร้อนใจว่า

“แล้วจะรักษาได้มั้ยคะหมอ”

จิงซิงอี้พยักหน้าและตอบด้วยความมั่นใจว่า

“รักษาได้ครับ แต่ต้องรักษาต่อเนื่องและใช้เวลาพอสมควร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนไข้ด้วย”

เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “และใครเป็นคนรักษาด้วย”

เหยาหลิงหันไปมองตาหยวนซุน เหมือนขอความเห็นจากเขา  หยวนซุนพยักหน้าให้ เหยาหลิงจึงรีบหันมาทางจิงซิงอี้ และถามด้วยหวังว่า

“คุณหมอจะช่วยรักษาให้ได้มั้ยคะ!”

จิงซิงอี้ลังเลไปสักพัก ก่อนจะตอบว่า “ไม่ใช่ว่าผมจะปฏิเสธนะครับ ถ้าจะรักษากับผม คนไข้ต้องพักอยู่ที่หมู่บ้านนี้ เพราะต้องใช้เวลาในการรักษา ต้องฝังเข็มกระตุ้นและกินยา และอาจจะมีวิธีอื่นๆ ที่ต้องปรับไปตามอาการ

ที่นี่เป็นบ้านของผม ไม่ใช่คลินิก ไม่สะดวกจะรับคนไข้มาดูแล ผมเองก็ยังไม่มีคลินิกที่นี่ด้วย  ถ้าจะรักษา พวกคุณต้องหาที่พักที่หมู่บ้านนี้ให้ได้ก่อน”

สองพ่อลูกเสี่ยวหลงที่ยืนฟังอยู่นาน ก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า

“ไม่ต้องห่วง! พวกเราจะช่วยหาที่พักให้เองครับ!”

ในระหว่างที่ทั้งคู่จัดการเรื่องที่พักและธุรกิจการงานต่างๆ เย็นวันนั้น จิงซิงอี้ก็ทำอาหารสมุนไพรให้คนป่วยกิน

เขาทำข้าวต้มเครื่องยาจีน ด้วยการเคี่ยวสมุนไพรเพื่อเอาน้ำที่สกัดได้มาทำข้าวต้ม จากนั้นก็ใส่พุทราจีน เห็ดหูหนู และโสมภูเขาลงไปในน้ำเดือด และใช้ไฟอ่อนค่อยๆเคี่ยวจนได้ตัวยาออกมา  เมื่อได้ที่จึงยกลงกรองเอากากออก

เขานำข้าวสารผสมกับข้าวเหนียวเล็กน้อยเติมลงไปในน้ำซุปสมุนไพร ต้มด้วยไฟอ่อนไปเรื่อยๆ เพื่อให้ข้าวต้มมีความข้นน่ากิน จนกลิ่นข้าวต้มและสมุนไพรหอมฟุ้งไปทั่วบ้าน เมื่อข้าวต้มเปื่อยนุ่มได้ที่จึงตักใส่ถ้วย และยกออกไปให้คนป่วย

 เหยาหลิงซึ่งได้กลิ่นข้าวต้มตั้งแต่แรก ถึงกับกลืนน้ำลายเมื่อเห็นข้าวต้มสมุนไพรสีขาวข้น ควันกรุ่นน่ากิน เธอขอบคุณจิงซิงอี้อย่างจริงใจ และค่อยๆ ป้อนข้าวให้หยวนซุนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

จิงซิงอี้อธิบาย ในขณะที่มองหยวนซุนกินข้าวต้มอย่างหิวโหยว่า พุทราจีนแห้ง เห็ดหูหนูดำ จะช่วยลดอาการแข็งตัวของเส้นเลือด ช่วยบำรุงสมองและประสาท ลดการอุดตันของเส้นเลือด และช่วยบำรุงไต เขายังแนะนำสูตรอาหารอื่นๆ

สำหรับวิธีการรักษาด้วยยาสมุนไพรนั้น จิงซิงอี้จะเสริมบำรุงเลือดและชี่ ขับไล่ลม ขจัดความเย็น และชี่ที่ก่อโรคออกไป ซึ่งเขาจะใช้ยาตำรับปู่หยางหวนอู่ทังในการรักษาเป็นหลัก

ยาตำรับนี้ประกอบไปด้วย เซิงหวงฉี ที่เป็นตัวยาหลัก มีสรรพคุณบำรุงชี่ และใช้ตังกุยเหว่ย์ เช่อเสา ชวนซยฺง หงฮฺวา ถาวเหริน และตี้หลง เพื่อช่วยสลายเลือดคั่ง ทำให้การไหลเวียนของเลือดสะดวก ช่วยทะลวงเส้นลมปราณ และบรรเทาเลือดคั่งในสมองได้

นอกจากนี้ เขายังจะฝังเข็มกระตุ้นให้ด้วย เพราะร่างกายฝั่งขวาของหยวนซุนยังขยับได้ลำบาก และพูดไม่ชัด ซึ่งเป็นอาการของอัมพาตครึ่งซีก  

หลังจากกินอาหารเย็นไปได้สักพัก จิงซิงอี้จึงนวดแขนและขาของเขา เพื่อกระตุ้นให้เลือดหมุนเวียน

คืนนั้น เขาให้เหยาหลิงพักอยู่ที่นี่ เธอนอนบนเตียงผ้าใบเพื่อจะได้อยู่ดูแลหยวนซุนใกล้ๆ  เธอติดต่อให้ผู้ช่วยของหยวนซุนเข้ามาที่หมู่บ้าน และนำข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นมาให้ และติดต่อประสานงานกับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อจัดหาที่พักในระหว่างรักษาตัวให้กับเธอและหยวนซุนด้วย

เหยาหลิงได้ที่พักใกล้ๆ กับบ้านของจิงซิงอี้ เจ้าของบ้านให้พวกเขาเช่าบ้านทั้งหลังเพื่อความเป็นส่วนตัว ส่วนตนเองย้ายไปพักกับญาติ และยังรับจ้างดูแลทำความสะอาด และทำอาหารให้สามีภรรยาคู่นี้ด้วย

ในเช้าวันต่อมา จิงซิงอี้ฝังเข็มอีกชุดให้หยวนซุนและให้เขาดื่มน้ำพุทราจีนแห้ง เห็ดหูหนูดำ และขิงตุ๋นในตอนท้องว่าง

เมื่อพบว่าหยวนซุนอาการคงที่แล้ว ทั้งสามีและภรรยาจึงย้ายออกไปอยู่ที่บ้านเช่าไม่ไกลจากบ้านของจิงซิงอี้นัก

ช่วงที่พักรักษาตัว จิงซิงอี้แนะนำให้หยวนซุนฟื้นฟูร่างกายทุกวัน ด้วยการออกกำลังกาย เพื่อช่วยปรับสมดุลการไหลเวียนของชี่และระบบหลอดเลือด ด้วยการฝึกทำ “เต๋าอิ่น” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการเคลื่อนไหวของร่างกาย และการควบคุมลมหายใจให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เขาสอนให้ทำท่าล้างหน้า ท่าเสยผม ท่าคลึงใบหู ท่าถูคอ ที่สามารถทำในขณะที่นั่งหรือยืนก็ได้

ในขณะที่จิงซิงอี้กำลังง่วนอยู่กับการรักษาให้หยวนซุนอยู่นั้น สองพ่อลูกเสี่ยวหลง ซึ่งออกมานั่งกินอาหารเช้ากับชาวบ้านที่ลานหินใต้ต้นไม้ ก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตื่นเต้นออกรสออกชาติว่า

“แล้วหมอจิงซิงอี้ก็เดินออกมาจากประตู หล่อออร่าเหมือนเทวดาลอยมาเลย! ตอนแรกพวกเราก็ไม่เชื่อสักเท่าไหร่ว่าเขาจะเป็นหมอจริงๆ”  เสี่ยวหลงเล่าไปกัดซาลาเปาไป

“ทำไมล่ะ” ป้าหวังถามด้วยความอยากรู้

“ใครจะไปเชื่อลงล่ะ ทั้งเด็กทั้งหล่อขนาดนั้น ถ้าบอกว่าเป็นนักร้องไอดอลในทีวียังน่าเชื่อมากกว่า ใช่มั้ยพ่อ”

เด็กหนุ่มหันไปถามพ่อ ซึ่งก็ยืนยันกลับมาอย่างหนักแน่นเช่นกัน ทำให้ชาวบ้านที่จับกลุ่มฟังเขยิบเข้ามาใกล้ด้วยความตื่นเต้นมากขึ้น

“แล้วตอนที่คุณหยวนซุนชักกระตุกอะ พวกเราตกใจทำอะไรกันไม่ถูก   แต่หมอจิงกลับใจเย็นมาก! บอกให้พวกเราช่วยกันจับตัวเอาไว้ แล้วก็เอาเข็มปัก ชั้วะ! ชั้วะ! ชั้วะ! ลงไปอย่างมั่นใจทันที!”

เขาเล่าพร้อมกับทำท่าประกอบอย่างตื่นเต้น จนซาลาเปาบางส่วนกระเด็นออกจากปาก  ชาวบ้านที่อยู่ใกล้พากันถอยห่างออกมา

แต่แล้วเสี่ยวหลงก็สำลักซาลาเปาจนไอออกมาหน้าดำหน้าแดง พ่อของเขาต้องรีบตบหลังให้หยุดไอ ในขณะที่คนอื่นรีบส่งน้ำชาอุ่นๆให้ดื่มกลั้วคอ เมื่อหยุดไอแล้ว เสี่ยวหลงจึงเล่าต่อด้วยเสียงแหบแห้งว่า

“คุณหยวนซุนก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ตอนแรกพวกเรานึกว่าแกจะไม่รอดแล้วซะอีก เพราะก่อนหน้านั้น หน้าแกซีดลงไปเรื่อยๆ เรียกยังไงก็ไม่ได้ยิน!

แต่หมอจิงก็สุดยอดมาก ปลุกจนแกฟื้นขึ้นมาได้ แถมยังกินข้าวต้มได้จนหมดชามเลยนะ!   

เฮ่อออออ...ข้าวต้มที่หมอจิงทำก็หอมฟุ้งน่ากินจริงๆนะ พูดแล้วผมก็ยังอยากจะกินบ้างเลย..”

เสี่ยวหลงรำพึงรำพันถึงข้าวต้มขึ้นมาในตอนท้าย จากนั้นก็ยัดซาลาเปาชิ้นสุดท้ายเข้าปากไป

ชาวบ้านต่างหันมาแสดงความคิดเห็นกัน พวกเขาสงสัยว่า หมอจิงคนนี้ เป็นหลานของหมอใหญ่จิงเซียว แต่ทำไมถึงไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน

เจ้าฟู่ ชายชราอายุประมาณ 80 ปี ซึ่งนั่งดื่มชาและฟังอยู่เงียบๆ ก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“หมอจิงเซียวมาอยู่ที่นี่ได้เกือบ 15 ปีแล้ว แกก็ไปๆมาๆ อยู่บ้าง ไม่อยู่บ้าง ไม่มีใครเคยเห็นว่าแกมีครอบครัวรึเปล่า แต่แกจะมีหลานชายมาอยู่ด้วย แต่มักจะอยู่ในบ้าน หรือออกไปพร้อมกับหมอจิงเซียว”

“แล้วทำไมพวกเราไม่เคยเห็นเลยล่ะ” ป้าหวังถามด้วยความสงสัย ปู่เจ้าฟู่จึงตอบว่า

“บ้านของพวกเขาอยู่ท้ายหมู่บ้าน ไกลกว่าบ้านอื่นๆ จะไปไหนมาไหน ไปทำอะไร เราไม่รู้หรอก แล้วเขาก็ไม่ได้มาสุงสิงอะไรกับชาวบ้านแถวนี้ หมอใหญ่เองก็ไม่ได้เปิดคลินิกที่นี่ด้วย”

“ก็จริงนะ ถ้าไม่ป่วยหนักจริงๆ พวกเราก็ไม่เคยไปหาแกเลย เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่บ้านรึเปล่า” ลุงหม่าเสริมขึ้นมา หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย

“ถ้าหลานแกยอมรักษาให้แบบนี้ แสดงว่าแกจะเปิดคลินิกเองหรือเปล่านะ”  พ่อของเสี่ยวหลงสงสัย

ทุกคนส่ายหน้าอย่างไม่รู้คำตอบ และได้แต่ภาวนาให้เป็นจริง เพราะพวกเขาอยากจะอยู่ใกล้กับหมอที่รักษาโรคเก่งๆ จะได้ไม่ต้องเดินทางไปรักษาในเมือง หรือที่หมู่บ้านข้างๆ เหมือนที่ผ่านมา

และหมู่บ้านนี้ ก็เหลือแต่คนแก่และเด็กๆ เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนหนุ่มสาวออกไปทำงานต่างเมืองกันเกือบหมด เมื่อเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงต้องช่วยเหลือกันเองไปตามมีตามเกิด

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   55

    นับตั้งแต่จิงซิงอี้เปิดคลินิกมาได้ 3 เดือนกว่า เขาทำอะไรมามากมาย ทั้งตั้งโต๊ะรักษาโรคฟรีข้างนอกที่หมู่บ้านข้างๆ ไปบริการชุมชนร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ช่วยตำรวจไขคดีฆาตกรรมที่เกิดจากการใช้ยาสมุนไพรจีน และยังมีวิดีโอคลิปตอนที่เขารักษาคนบาดเจ็บจากแก๊สระเบิดที่แพร่หลายออกไป สิ่งเหล่านี้ทำให้คนรู้จักเขามากขึ้นเขายังมีคนไข้ที่เคยรักษาที่โรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้ เดินทางมารักษาต่อที่คลินิกกับเขาหลายคน ถึงแม้จะต้องเดินทางมาจากที่อื่นก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อเขาสามารถรักษาคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยาก ให้ตั้งครรภ์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ทำให้คู่สามีภรรยาหลายคนที่รู้ข่าว มีความหวังและเดินทางมาหาเขามากขึ้น จิงซิงอี้รู้สึกว่า เขากลายเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาภาะวมีบุตรยากไปอีกหนึ่งด้าน ไม่เพียงแต่คนไข้ของเขาจะเพิ่มจำนวนขึ้น เขายังช่วยให้ธุรกิจในหมู่บ้านเจริญก้าวหน้าขึ้นตามด้วยหลังจากที่มีคนไข้เพิ่มมากขึ้น ชาวหมู่บ้านบางคนเริ่มเปิดร้านอาหารเล็กๆ และร้านขายของเพื่อรองรับคนที่เดินทางมารอรักษา เพราะคนไข้บางคนไม่สามารถกลับบ้านได้ทันในวันเ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   54

    วันหนึ่งชุนเฉิงนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว แต่เขาก็หยุดอ่านและเหม่อมองออกไปไกลๆ จิงเซียวซึ่งเดินเข้ามาหยิบหนังสือสังเกตเห็น เขาจึงเรียกชื่อชุนเฉิง แล้วถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ปกติแล้วชุนเฉิงรักและเคารพจิงเซียวมาก เขาจะพูดทุกอย่างกับจิงเซียวตรงๆ แต่ครั้งนี้ เขานิ่งไปและถอนหายใจยาว เขารู้สึกละอายใจที่จะบอกว่า ด้วยวัยเกือบ 40 ปีนี้ เขารู้สึกว่างเปล่า แต่ดูเหมือนจิงเซียวจะเข้าใจ ชายชราเดินเข้ามานั่งตรงข้ามเขา และพูดว่า“เจ้ากำลังรู้สึกสับสนอะไรอยู่หรือเปล่า” ชุนเฉิงยิ้มเศร้าๆ เขาตอบว่า “ผมนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อไปดี สิ่งที่กำลังตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว แต่มันก็กลายมาเป็นกิจวัตรประจำวัน ข้อดีคือ เราก็ทำได้ดี ไม่ต้องเหนื่อย แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อและไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร การรักษาคนไข้ผมยังชอบอยู่ครับ แต่มันก็แค่นั้น บางทีผมก็คิดว่า จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปจนตายเลยหรือ ผมรู้สึกสิ้นหวังยังไงไม่รู้ครับ” จิงเซ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   53

    “หลานสาวของภรรยาพี่เอง ตอนนี้เขาเป็นดาราวัยรุ่นมาแรงเลย เธอน่าจะจำเขาได้นะ อี้อวิ๋นซีไงล่ะ” จิงซิงอี้ทบทวนความจำ สมัยที่เรียนอยู่ในเมือง บางครั้งเขาจะไปพักที่บ้านของลั่วเยี่ยน เขาจำได้ว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุห่างจากเขา 4-5 ปี ชอบมาที่บ้านของลั่วเยี่ยน และคอยวิ่งตามจิงซิงอี้เพื่อให้เขาเล่นด้วย ภรรยาของลั่วเยี่ยนมีพี่สาวหนึ่งคน และอี้อวิ๋นซีเป็นลูกสาวคนเดียวของเธอ และยังสนิทกับภรรยาของลั่วเยี่ยนมากเมื่อจิงซิงอี้เรียนในระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย เขาเรียนหนักมาก จึงไม่ค่อยได้ไปอยู่บ้านลั่วเยี่ยน ประกอบกับที่อี้อวิ๋นซีเริ่มโตแล้ว เธอจึงไม่ค่อยมาเที่ยวเล่นแบบตอนเด็กอีกต่อไป จิงซิงอี้พอจะจำเธอได้ เขาจึงถามต่อว่า “เขาจะยอมใช้ครีมให้ผมหรือครับ พวกดาราชอบใช้ของแบรนด์เนมมากกว่านี่” ลั่วเยี่ยนทำหน้ามีเลศนัย เขาพูดยิ้มๆว่า “นายมันจะไปไม่รู้อะไร เสี่ยวซีคอยต

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   52

    และก็เป็นไปตามที่จิงซิงอี้คาด อีกไม่กี่วันต่อมา ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนได้เข้าไปคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล พวกเขาตกลงกันว่าจะให้จิงซิงอี้ทำงานไปจนจบเดือนนี้ และไม่ขอต่อสัญญา โดยอ้างว่าสถานะเศรษฐกิจไม่ดี ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจำเป็นจะต้องแจ้งให้เม่งฮ่าวซึ่งเป็นอาจารย์ของจิงซิงอี้รู้ก่อน แต่ไม่สามารถบอกสาเหตุที่แท้จริงได้ เพราะโรงพยาบาลยังเกรงใจเขาอยู่ ผู้อำนวยการจะคุยกับจิงซิงอี้ และจะขอโทษเม่งฮ่าวด้วยที่ไม่สามารถจ้างจิงซิงอี้ต่อได้เม่งฮ่าวรู้จากจิงซิงอี้อยู่ก่อนแล้ว เขาไม่พอใจทางโรงพยาบาลมาก ถึงแม้ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจะมาคุยกับเขา แต่ก็เหมือนไม่ไว้หน้าเขา ถึงแม้ว่าจะใช้ข้ออ้างอื่นก็ตาม สำหรับเม่งฮ่าวแล้ว เขาไม่ได้สนใจการทำงานพิเศษในโรงพยาบาลนี้เท่าไหร่ เพราะเขามีชื่อเสียงและความสามารถในระดับประเทศและต่างประเทศอยู่แล้วเขามาทำงานให้ที่นี่ เพราะรุ่นพี่ที่นับถือขอร้องให้มาช่วยเหลือ ตั้งแต่มีการก่อตั้งแผนกแพทย์แผนจีนใหม่ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี รุ่นพี่ที่เขานับถือก็เกษียณไปแล้ว เขายังทำงานให้เพราะเห็นว่า โรงพยาบาลยังปฏิบัติต่อเขาดี แต่เมื่อเกิดเหตุการ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   51

    จิงซิงอี้นิ่งไปสักพัก เขามองหน้าเจี่ยเหริน เขาเห็นการทำงานของเด็กหนุ่มและนิสัยใจคอที่ดีของเขา เขาเสียดายโอกาสที่เด็กหนุ่มคนนี้ที่น่าจะไปได้ดีกว่านี้ เขาจึงพูดขึ้นว่า“นายเก็บเงินให้ดีนะ จะได้ไปเรียนต่อ ฉันรู้สึกเสียดายความสามารถของนาย ฉันจะแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์การขายให้ นายจะได้เก็บเอาไว้เรียนต่อ”เจี่ยเหรินรีบปฏิเสธทันที แต่จิงซิงอี้ยืนยันว่า“ทำงานก็ต้องได้เงิน และที่สำคัญ การให้โอกาสคน คือการทำบุญที่ดีอีกอย่างด้วย ฉันก็ได้รับโอกาสจากคนอื่นเหมือนกัน ฉันจึงมาอยู่จุดนี้ได้ หลังจากเรียนจบแล้ว นายจะไปทำงานที่อื่นฉันก็ไม่ว่าอะไร ทุกคนมีสิทธิ์เลือกทางเดินของตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะนายก็ได้ใช้แรงกายแรงใจช่วยงานฉันมาด้วยดีเสมอ แล้วฉันก็ให้เงินเดือนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน นั่นละคือการทำงาน ไม่ต้องมาคิดเรื่องบุญคุณอะไร” หลังจากวันนั้น ทั้งจิงซิงอี้และเจี่ยเหรินต่างก็หัวหมุนกับการแพ็คสินค้าและส่งของไปให้ลูกค้า พวกเขาดีใจมากที่มีคนสั่งซื้อสินค้าจนหมด 200 ชุด เขาต้องประกาศว่าสินค้าหมดแล้วและกำลัง

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   50

    ไลฟ์ในวันนั้นเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวของจิงซิงอี้ และพูดถึงคลินิก ที่ตั้ง และความเป็นมาของคลินิก รวมไปถึงตัวเขาเองว่าจบมาจากที่ใด และเชี่ยวชาญด้านใด ส่วนข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เขาไม่พูดถึง ถึงแม้จะมีคนดูถามเข้ามากมายทั้งอายุ และเขามีแฟนหรือยัง และเสียงชื่นชมที่ว่าเขาหล่อแค่ไหนเมื่อให้ข้อมูลจบ จิงซิงอี้ดูจะผ่อนคลายขึ้น เขาจึงเริ่มพูดว่า“วันนี้ผมจะมาเล่าถึงการดูแลผิวของตัวเองให้สวยงาม ไม่มีริ้วรอย ปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวของเราเสีย ก็คือ แสงแดด มลภาวะ ความเครียด การไม่ดูแลผิว โรคภัยบางอย่าง การทำร้ายผิวด้วยการสูบบุหรี่ การใช้สารเคมีบางอย่าง และอาหารการกิน”เขาอธิบายพร้อมกับแชร์ภาพของผิวหนังที่เสียจากสาเหตุดังกล่าวด้วย การอธิบายของเขาเป็นไปตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ทำให้คนดูแปลกใจ เพราะเขาเปิดตัวมาด้วยการบอกว่าตนเองเป็นแพทย์จีน แต่เขากลับมีความรู้แบบตะวันตก และใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการอธิบาย ทำให้คนที่ต้องการจะเข้ามาก่อกวนและไม่เชื่อต้องหยุดฟังชั่วคราว รวมไปถึงคนฟังที่ตื่นเต้นกับหน้าตาของเขาก็หยุดฟังด้วยความสนใจจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายเฉพาะผิวที่เป็น

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status