จิงซิงอี้ซึ่งกำลังคัดแยกสมุนไพร ก็ตอบตรงๆ ว่า “ยังไม่มีชื่อเลยครับ”
จิงเซียวยิ้ม และมองหลานชายที่ก้มหน้าก้มตาเลือกสมุนไพร ก่อนจะพูดว่า
“คลินิกฉางซาน”
จิงซิงอี้เงยหน้าขึ้นทันทีด้วยความตกใจ จิงเซียวย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า
“ได้เวลาที่คลินิกฉางซานจะต้องมีผู้สืบทอดแล้ว!”
จากนั้น ชายชราก็พูดต่อว่า “ตาเชื่อมั่นในฝีมือของเจ้านะ ตาไม่อยากให้ความรู้ที่สั่งสมมาจากบรรพบุรุษของเรา ต้องจบไปในรุ่นของตา”
ขอบตาของจิงซิงอี้ร้อนผ่าว เขารู้ว่าจิงเซียวมีความฝันที่อยากจะเปิดสำนักแพทย์ของตนเองมานานแล้ว แต่เขายังไม่มีโอกาสสักที ถึงเขาจะมีลูกศิษย์อยู่ 3 คน แต่เป็นครั้งแรกที่จิงเซียวมอบชื่อสำนักแพทย์ฉางซานให้เขาสืบทอด จิงซิงอี้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า
“ผมจะทำให้ดีที่สุด ผมจะสืบทอดคลินิกฉางซานเองครับ!”
ชุนเฉิงซึ่งยืนฟังอยู่หน้าประตูยิ้มนิดๆ ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานและเดินเข้ามาในห้อง ทั้งสามคนช่วยกันคัดแยกสมุนไพร และสนทนาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศอบอุ่น
แล้วเวลาก็ผ่านไปเกือบสองเดือน ทุกอย่างเริ่มเข้าที่ คลินิกได้รับใบอนุญาตอย่างรวดเร็ว เพราะได้หวังฮวยคอยช่วยเหลือ เขาเป็นคนที่ขายห้องแถวให้ และยังเป็นเจ้าหน้าที่รัฐดูแลด้านสาธารณสุขในระดับตำบลอีกด้วย
การตกแต่งคลินิกก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย ผู้รับเหมาก่อสร้างเป็นคนที่หัวหน้าคณะกรรมการหมู่บ้านหวังคุนช่วยแนะนำมา จึงทำงานอย่างรวดเร็วและซื่อตรง สถานการณ์โรคระบาดที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาไม่มีงานทำ เมื่อได้รับการว่าจ้างจากจิงซิงอี้ พวกเขาจึงยินดีอย่างมาก
เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เวลาเปิดคลินิกอย่างเป็นทางการก็มาถึง
ในวันเปิดคลินิก จิงซิงอี้พาจิงเซียวและชุนเฉิงมาที่คลินิกตั้งแต่หกโมงเช้า เขาเชิญจิงเซียวเป็นคนเปิดป้ายคลินิก
ถึงแม้จิงซิงอี้จะทำพิธีเปิดคลินิกแบบเรียบง่าย แต่คนในหมู่บ้านเจียวจูต่างพากันมาร่วมแสดงความยินดี พวกเขาชื่นชอบคนบ้านหมอจิง และยังชอบงานแบบนี้ ที่นานๆจะจัดขึ้นในหมู่บ้านด้วย
นอกจากชาวหมู่บ้านแล้ว คู่สามีภรรยาหยวนซุนและเหยาหลิง ที่ตอนนี้อาการเกือบหายสนิทแล้ว ก็ขับรถยุโรปคันใหญ่มาร่วมพิธีเปิด พร้อมกับซวี่ฮั่น เจ้าของบริษัทอุปกรณ์การแพทย์ พวกเขานำกระเช้าดอกไม้ขนาดใหญ่มาวางไว้ที่หน้าคลินิกทั้งสองฝั่ง ทำให้บรรยากาศดูคึกคักและเป็นทางการมากขึ้น
เมื่อได้เวลา 9 โมงเช้า จิงเซียวดึงผ้าคลุมป้ายสีชมพูออก พวกเขาเห็นป้ายไม้สีดำขนาดใหญ่ ที่แกะสลักเป็นลายมือทรงพลังสีแดงเข้ม เขียนว่า “คลินิกฉางซาน” ซึ่งเป็นลายมือของจิงเซียวเอง ทุกคนปรบมือกึกก้อง พร้อมตะโกนอวยพรแสดงความยินดีและขอให้ธุรกิจเจริญก้าวหน้า
เมื่อเดินเข้าไปในคลินิก จะพบกับการตกแต่งที่มีกลิ่นอายแบบโบราณ เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นไม้สีน้ำตาลเข้ม ให้ความรู้สึกจริงจังน่าเชื่อถือ
บริเวณด้านหน้าเป็นเก้าอี้ไม้เดี่ยว วางเรียงรายชิดผนังสำหรับให้คนไข้นั่งรอ ถัดมาเป็นโต๊ะไม้ขนาดเล็กวางแจกันดอกไม้ แอลกอฮอล์ล้างมือ และหนังสือเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนเบื้องต้นและนิตยสารเกี่ยวกับจังหวัดวางเอาไว้ ด้านตรงข้าม เป็นตู้กดน้ำร้อนเย็นขนาดเล็กพร้อมแก้วแบบใช้แล้วทิ้ง
ด้านในของคลินิกเข้าไป มีเคาเตอร์ไม้ยาว ด้านบนปูด้วยกระเบื้องสีขาว ด้านหนึ่งเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับลงทะเบียนและชำระเงิน ด้านหลังเคาเตอร์เป็นตู้ไม้ใส่ยาที่มีลิ้นชักใส่ยานับสิบอย่าง รวมไปถึงโถกระเบื้องและแก้วที่วางเรียงอย่างเป็นระเบียบ
ที่นี่ไม่ได้รับต้มสมุนไพร เพราะจิงซิงอี้ยังไม่มีผู้ช่วย เขาทำทุกอย่างคนเดียว จึงเน้นแค่รักษาและจ่ายยาให้คนไข้นำไปต้มเอง แต่เขาก็มียาสำเร็จรูปพร้อมใช้เตรียมให้อยู่แล้ว
อีกด้านของเคาเตอร์ เป็นทางเดินเข้าไปในห้องตรวจ ริมผนังด้านนี้ เป็นตู้เก็บอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีน
ห้องสำหรับตรวจรักษาด้านในสุด แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหน้ามีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับหมอและคนไข้ ด้านหลังเป็นตู้และชั้นเก็บอุปกรณ์การแพทย์ และอ่างล้างมือ อีกด้านเป็นเตียงสำหรับรักษาคนไข้ มีผ้าม่านรูดชิดผนังเอาไว้ด้านหนึ่ง
ส่วนที่สองเป็นห้องขนาดเล็กที่อยู่ด้านในสุด มีประตูกระจกกั้นเอาไว้ ข้างในเป็นเตียงขนาดเล็กเอาไว้สำหรับคนไข้ที่นอนพักรอชั่วคราว
ถึงแม้ว่าจิงซิงอี้จะเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหลัก แต่ข้างในคลินิกมีแสงสว่างเพียงพอ ทำให้ไม่ดูอึดอัดเกินไป
สำหรับเงินทุนที่ใช้ในการซื้อตึกและตกแต่งทั้งหมด มาจากเงินเก็บที่จิงเซียวเก็บเอาไว้ให้ และบางส่วนมาจากเงินเก็บทั้งหมดของจิงซิงอี้เอง
จิงซิงอี้ช่วยงานจิงเซียวมาตั้งแต่เด็ก ทั้งช่วยเก็บและจัดเตรียมสมุนไพร เมื่อโตขึ้นยังช่วยเป็นลูกมือให้จิงเซียวในการรักษา และยังมีเงินที่ได้จากการรักษาคนไข้ และการผลิตยาสมุนไพรขาย ที่เขาเก็บสะสมมาตั้งแต่เด็กจนโต
ทั้งหมดนี้ เป็นวิธีที่จิงเซียวใช้ในการฝึกสอนและจูงใจเขา จิงเซียวไม่เพียงแต่ให้ความรู้ตามตำรา เขายังให้จิงซิงอี้และลูกศิษย์คนอื่นได้ทำงานจริง และให้เงินเพื่อเป็นแรงจูงใจด้วย จิงซิงอี้จึงเป็นลูกศิษย์และหลานของจิงเซียว ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรมากที่สุด
ในวันเปิดคลินิกนี้ จิงซิงอี้เตรียมของชำร่วยมาแจกแขกที่มาร่วมพิธีเปิดด้วย เขายังต้องการจะโปรโมทสินค้าสมุนไพรและคลินิกของตัวเองไปพร้อมกัน
ของชำร่วยนั้น คือ ถุงหอมใส่สมุนไพรจีนหรือเซียงหนาง ใช้ในการขับไล่มดแมลง ขับไล่สิ่งชั่วร้าย และรักษาโรค ที่ใช้มาตั้งแต่ 2,000 กว่าปีที่แล้ว เมื่อมาถึงยุคปัจจุบันยังนิยมใช้แจก เพื่อสื่อถึงความรักความห่วงใยในเทศกาลสำคัญอีกด้วย
ถุงหอมที่จิงซิงอี้แจก ทำจากถุงผ้าไหมสีแดง สีเหลือง สีฟ้าและสีเขียว ปักลวดลายต้นไม้และดอกไม้มงคล เขาแบ่งกลิ่นและประเภทของสมุนไพรตามสีเพื่อไม่ให้ผู้รับสับสน และเพื่อเป็นการโฆษณาคลินิก เขาสั่งทำชื่อคลินิก คิวอาร์โค้ด มีข้อมูลของคลินิก ประวัติสั้นๆ ของจิงซิงอี้ รวมไปถึงใบอนุญาตทางการแพทย์ และยังบอกช่องทางติดต่อต่างๆ ทั้งวีแชท เว่ยปั๋ว และแปะติดบนถุงหอมด้วย
เมื่อจบพิธีเปิดคลินิกแล้ว แก๊งลุงป้าที่คอยช่วยเหลือจิงซิงอี้มาตั้งแต่ต้น ต่างพากันมาพูดคุยอย่างกระตือรือร้นกับจิงเซียวที่ไม่ค่อยจะปรากฏตัวให้เห็นเท่าไหร่ บางคนก็มาแสดงความยินดี บางคนก็ซักถามเกี่ยวกับอาการของโรคต่างๆ
จิงซิงอี้ถือตะกร้าใส่ถุงหอม แจกให้พวกเขาคนละถุง พร้อมกับอธิบายสรรพคุณว่า
“ถุงสีเหลืองเป็นสมุนไพรช่วยขับไล่แมลงนะครับ ผมใช้เมนทอล การบูร พิมเสน ฮั่วเซียง อ้ายเย่ ช่วงนี้ฝนเริ่มตกแล้ว แมลงเยอะ น่าจะใช้ได้ดี
ส่วนถุงสีฟ้า จะเหมาะกับเด็กๆหรือผู้สูงวัยที่หายใจลำบาก ช่วยเรื่องภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ ผมใช้ซินอี๋ ไป๋จื่อ ปิงเพี่ยน ฮั่วเซียง เพ่ยหลาน โป้เหอ จินอิ๋นฮวา เฉินผี”
คุณลุงคนหนึ่งถามขึ้นมาอย่างสนใจว่า
“ลูกสาวของลุงอยู่ในเมือง ทำงานหนักมาก เห็นบ่นว่านอนไม่หลับ หมอจิงมีอะไรจะแจกมั้ย”
จิงซิงอี้หยิบถุงสีเขียวส่งให้ พร้อมอธิบายอย่างใจเย็นว่า
“ถุงนี้เลยครับ ช่วยเรื่องการนอนหลับแล้วก็ช่วยผ่อนคลายได้ มีหยวนจื้อ สือชางผู่ เพ่ยหลาน เหอฮวนผี โร่วกุ้ย และปิงเพี่ยน
แต่ต้องเตือนก่อนนะครับคุณลุง การนอนไม่หลับเกิดจากหลายสาเหตุ และถ้าเป็นมากจะต้องรักษาอย่างจริงจัง ถุงหอมช่วยได้บางส่วนเท่านั้น”
คุณลุงพยักหน้า และรับถุงไปสูดดมแรงๆ เขายิ้มกว้างและพูดว่า
“ดมแค่นี้ยังสดชื่นเลย! อาหลินต้องชอบแน่ๆ ขอบใจหมอจิงมากๆ นะ”
จิงเซียวซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ วันนี้ ไม่เพียงแค่สองตาหลาน ยังมีชุนเฉิง ลูกศิษย์คนที่สองของจิงเซียว ที่มาค่อยช่วยดูแลรับแขกตั้งแต่เช้าด้วย
ถุงหอมที่ทำมาสองร้อยถุงเพื่อแจก ก็หมดไปตั้งแต่วันแรก จิงซิงอี้แบ่งเก็บเอาไว้บางส่วน เพื่อแจกให้คนป่วยที่มารักษาที่คลินิกในวันแรก แน่นอนว่า คู่สามีภรรยาหยวนซุนและเหยาหลิง พร้อมกับซวี่ฮั่น ต่างก็ได้รับถุงหอมกลับไปด้วย และยังได้เพิ่มเติมอีกคนละสองถุงเพื่อเอาไปให้พ่อแม่ที่บ้าน
เมื่อหยวนซุนและเหยาหลิงกลับมาถึงบ้านแถวชานเมืองเซี่ยงไฮ้ เหยาหลิงรีบเดินไปหาแม่ของเธอที่กำลังทำสวนอยู่หลังบ้าน บ้านของเธออยู่ในเขตเมืองรอบนอก จึงพอจะมีพื้นที่ทำสวนหลังบ้านขนาดเล็กได้ และแม่ของเธอก็ชอบใช้เวลาว่างไปกับการทำสวนตรงนี้
ช่วงนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่ฤดูร้อน จึงมีฝนตกสลับกับอากาศร้อน ทำให้หลายคนไม่สบาย และยังมียุงกับแมลงต่างๆ ออกมารบกวนมากขึ้น
แม่ของเหยาหลิงจึงถูกกัดบ่อยๆ เมื่อได้ถุงหอมมา เหยาหลิงจึงรีบเอาไปให้ทันที เธออธิบายสรรพคุณของถุงหอม ซึ่งแม่ของเธอก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อสูดดมกลิ่นแล้วเธอก็ชอบ เพราะช่วยให้ผ่อนคลายดี
เย็นวันรุ่งขึ้น เมื่อแดดร่มลมตกแล้ว เธอจึงออกมาทำสวนตามปกติ และนำถุงหอมมากลัดติดกับเสื้อเอาไว้ตามที่เหยาหลิงบอก วันนั้นเธอทำสวนเพลิน จนสามีของเธอต้องเดินมาตามว่า
“แม่ๆ ยังไม่ทำข้าวเย็นอีกหรือ อาหลิงกับอาซุนกำลังจะกลับมาจากทำงานแล้วนะ”
แม่ของเหยาหลิงตกใจ รีบคว้าอุปกรณ์มาล้างเก็บ และเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารเย็น เธอบอกกับสามีในขณะล้างมือว่า
“ฉันลืมเวลาไปเลย มัวแต่ทำสวนเพลิน”
พ่อของเหยาหลิงซึ่งนั่งกินผลไม้รองท้องอยู่ใกล้ๆ ก็ถามด้วยความสงสัยว่า
“วันนี้เป็นอะไรไป ทำไมอยู่ในสวนนานล่ะ ฉันเห็นเธอวิ่งหนียุงเข้าบ้านก่อนห้าโมงเย็นทุกที”
แม่ของเหยาหลิงหยุดคิดและทำตาโต เธอก้มลงมองถุงหอมที่กลัดเอาไว้ที่เสื้อ และก็นึกได้ว่า วันนี้ไม่มียุงกับแมลงมารบกวนเธอเลย เธอจึงบอกสามีด้วยความตื่นเต้นว่า
“ถุงหอมนี่ไง เหยาหลิงเอามาให้ ฉันไม่โดนยุงกัดเลยสักนิด ก็เลยทำสวนจนลืมทำข้าวเย็นไปเลย!”
เมื่อหยวนซุนและเหยาหลิงกลับมาถึงบ้าน แม่ของเหยาหลิงก็เล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังอีกครั้งด้วยความดีใจ
หยวนซุนจึงตอกย้ำฝีมือการรักษาโรคของจิงซิงอี้ ทำให้พ่อของเหยาหลิงสนใจถุงหอม และถามทั้งคู่ว่ายังมีเหลืออีกหรือไม่
เหยาหลิงจึงบอกว่า ตอนนี้มีเพียงถุงสีฟ้าที่ช่วยเรื่องภูมิแพ้และการหายใจ พ่อของเหลาหลิงกำลังมีปัญหาจากอากาศร้อนชื้นในช่วงเปลี่ยนฤดูนี้พอดี เขาจึงขอลองใช้ ถ้าพบว่าได้ผลดี เขาก็ตั้งใจว่าจะให้ลูกสั่งซื้อ และนำไปแจกเป็นของขวัญในเทศกาลที่จะมาถึงด้วย
คืนนั้น พ่อของเหยาหลิงเข้านอน โดยวางถุงหอมสมุนไพรเอาไว้ข้างหมอน เขานอนหลับสนิททั้งคืน กลิ่นหอมจากสมุนไพรช่วยให้จมูกของเขาโล่ง หายใจสะดวก ไม่สะดุ้งตื่นกลางดึกเพื่อพ่นยาช่วยขยายหลอดลมเหมือนที่เคย
เช้าวันต่อมา เขาจึงสั่งให้หยวนซุนและเหยาหลิงช่วยสั่งซื้อถุงหอมให้ด้วย เหยาหลิงจึงส่งข้อความไปถามจิงซิงอี้ และได้คำตอบว่า ตอนนี้ถุงหอมแจกไปหมดแล้ว
แต่เขาตั้งใจจะทำขายเช่นกัน แต่ต้องใช้เวลาหน่อย เพราะเขาทำเองคนเดียว และจะแจ้งว่า เมื่อไหร่จะจำหน่ายอีกครั้ง ซึ่งเหยาหลิงยินดีจะช่วยโปรโมทสินค้าให้กับเพื่อนๆ ของเธออีกด้วย
และในภายหลัง ถุงหอมสมุนไพรนี้ ก็กลายมาเป็นหนึ่งในสินค้าของจิงซิงอี้ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นในการเป็นนักธุรกิจสินค้าสมุนไพรของเขาในที่สุด
เมื่อเดินไปถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลที่อยู่หน้าเคาเตอร์ต่างพากันมุงดูเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู แต่จิงซิงอี้ถอยไปหลบอยู่ข้างหลังลั่วเยี่ยน เขาไม่ได้กลัว แต่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ใกล้ๆ“เดี๋ยวๆทุกคน ใจเย็นๆ เจ้าหนูกลัวแล้ว”ลั่วเยี่ยนเตือนสาวๆ และเล่าให้พวกเธอฟังว่าไปพบเด็กชายที่ไหน และขอให้พวกเธอช่วยประกาศหาพ่อแม่ในโรงพยาบาล และถ้าไม่พบ เขาจะโทรไปแจ้งตำรวจให้ช่วยตามหาอีกทีในระหว่างที่ชายหนุ่มอธิบาย จิงซิงอี้ก็ยืนฟังเงียบๆด้วยความสนใจ แม้ว่าใครๆ จะพยายามถามชื่อและที่อยู่ เขากลับนิ่งทำหูทวนลมเหมือนไม่เข้าใจ จนลั่วเยี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ชายหนุ่มจะต้องออกตรวจคนไข้ตอนเช้า เขาจึงคิดจะฝากให้เด็กชายอยู่กับเจ้าหน้าที่ แต่จิงซิงอี้ไม่ยอม เด็กน้อยวิ่งตามลั่วเยี่ยน ทำให้เขาต้องพาเด็กชายไปที่ห้องตรวจด้วยเขาย่อตัวลงสบตากับเด็กน้อยและพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันไม่รู้ว่านายต้องการอะไร แต่ฉันรู้ว่านายเข้าใจทุกสิ่งที่ฉันพูด ถ้านายไม่อยากไปไหน ก็อยู่กับฉันไปก่อน ถ้าเปลี่ยนใจอยากพูด ก็พูดมาก็แล้วกันนะเจ้าหนู”จากนั้นชายหนุ่มก็ลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู พวก
ตั้งแต่ยังหนุ่ม จิงเซียวมักออกเดินทางและหายไปหลายอาทิตย์ บางครั้งเขาเดินทางไปรักษาชาวบ้านตามที่ห่างไกล บางครั้งก็ไปเก็บสมุนไพรตามป่าเขาลำเนาไพร และได้รับเชิญจากผู้นำระดับประเทศ รวมไปถึงผู้มีชื่อเสียงและอำนาจขอให้ไปช่วยรักษาโรคเมื่ออายุมากขึ้น เขาจะเลือกรักษาเฉพาะคนที่เขารู้สึกถูกใจเท่านั้น ถึงแม้บางคนจะใช้ทั้งเงินและอำนาจมาข่มขู่ ชายชราก็ไม่เคยหวั่นไหว เพราะเขามีลูกศิษย์และคนไข้ที่มีชื่อเสียงคอยปกป้องอยู่เสมอนี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่จิงเซียวไม่เคยเปิดคลินิกรักษาที่หมู่บ้านเจียวจู เพราะเขาไม่ค่อยจะอยู่บ้านนั่นเองในระหว่างที่สองตาหลานง่วนอยู่กับการทำงานของตัวเอง จิงเซียวก็บอกกับจิงซิงอี้ว่า“เสี่ยวอี้ อีกสองวันตาจะไปปักกิ่งนะ มีนัดรักษาคนไข้”ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ชายชราก็พูดต่อว่า “เสี่ยวเยี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าจะมารับตาไป”เสี่ยวเยี่ยน หรือลั่วเยี่ยน อายุ 48 ปี เป็นศิษย์คนแรกของจิงเซียว เขาเป็นเจ้าของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีนในปักกิ่ง ตัวเขาจบแพทย์แผนปัจจุบันมา เมื่
จิงซิงอี้เห็นว่าป้าซ่งมีรูปร่างท้วม ยิ่งทำให้เข่าเสื่อมและเสียรูปมากกว่าปกติ เขาจึงอธิบายอาการให้หญิงสูงวัยฟังว่า“โรคที่ป้าเป็น คือ ข้อเข่าเสื่อมนะครับ เกิดขึ้นได้จากอายุที่มากขึ้นทำให้เสื่อม แล้วก็น้ำหนักที่มากกว่าปกติ บางคนก็เกิดจากการทำงานหนัก ยกของหนักมานาน”ป้าซ่งรีบตอบว่า “ใช่เลยจ้ะ ป้าทำไร่ทำสวนมาตั้งแต่สาวๆ บางทีก็ต้องแบกปุ๋ย แบกผักผลไม้ไปขาย ช่วงนี้ป้าปวดเข่ามาก มันตึงไปหมด พอนั่งๆนอนๆ น้ำหนักก็เลยขึ้นอย่างที่หมอเห็นนี่ละจ้ะ”ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยนั้น ลุงซ่งฮ่าวเทียน ก็ถือขวดใส่นมแพะ 3 ขวดเดินเข้าบ้านมาถามว่า“เท่านี้พอมั้ยหมอจิง”เมื่อเห็นป้าซ่ง เขาจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า“อายี่ ออกมาทำไม จะเอาอะไรเหรอ”ป้าซ่งรีบตอบว่า“ไม่มีอะไร ฉันเห็นว่าหมอจิงมา เลยเดินออกมาทัก”จิงซิงอี้สังเกตเห็นว่า ป้าซ่งไม่อยากพูดถึงอาการของตนต่อหน้าสามี เขาจึงหันไปพูดกับซ่งฮ่าวเทียนว่า“เท่านี้ก็พอครับ พรุ่งนี้สัก 5 โมงเย็นจะแวะมาซื้ออีกนะครับ ขอบคุณครับลุงซ
ระหว่างที่ถาม จิงซิงอี้กวาดสายตาไปรอบๆ ด้านอย่างระมัดระวัง เขากลัวแม่ของมันจะพุ่งออกมาจู่โจม ถึงเจ้าตัวเล็กจะทำตัวฟู และมีแววตาหวาดระแวง แต่ก็ยังจ้องตาเขาไม่หลบจิงซิงอี้ค่อยๆ ถอยออกมานั่งที่เดิม ทั้งสองปรึกษากันว่าจะนั่งรอห่างๆ และดูว่าแม่จิ้งจอกจะมารับลูกหรือไม่ และค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร เวลาผ่านไป 15 นาที ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีแม่จิ้งจอกเดินออกมา แต่แล้วลูกสุนัขจิ้งจอกก็ค่อยๆ โผล่หน้ามาออกมาจากหลังต้นไม้ และมองมาที่สองตาหลานในที่สุดจิงซิงอี้และจิงเซียวจึงลุกเดินไปหามันช้าๆ จิงเซียวพูดกับมันด้วยเสียงมีเมตตาว่า“เจ้าอยากจะให้พวกเราทำอะไรให้ บอกมาสิเจ้าตัวเล็ก”ลูกสุนัขจิ้งจอกเอียงคอฟัง จากนั้นมันก็หันหลังเดินเข้าไปในป่าด้านหลัง มันเดินไปสองสามก้าว และหยุดหันมามองพวกเขาหลายครั้ง เหมือนจะบอกให้ทั้งสองเดินตาม จิงซิงอี้และจิงเซียวมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าเจ้าตัวเล็กคงอยากจะให้พวกเขาเดินตามทั้งสองจึงเดินตามมัน ที่พามุดเข้าไปในป่าที่เริ่มรกทึบ พวกเขาต้องก้มตัวหลบเถาวัลย์และลุยเข้าไปในพุ่มไม้ที่ขวางทางเอาไว้หลายครั้ง&
จิงซิงอี้ขยับตัวตื่นตอนเช้ามืด เพราะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูไม้หน้าบ้าน เขาลุกขึ้นและคว้าเสื้อกันหนาวมาสวมทับ ถึงแม้ว่าช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้กับภูเขาจึงมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และในช่วงเช้าแบบนี้ ยิ่งหนาวเย็นมากกว่าปกติเขาล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทะมัดทะแมง คว้าโทรศัพท์และเป้ใส่ของ เดินออกมาจากห้องนอน และตรงไปที่ห้องครัวซึ่งอยู่ซ้ายสุดของห้องฝั่งตะวันตกเขาเริ่มต้นทำอาหารเช้า ด้วยการต้มข้าวกล้องผสมธัญพืชที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม จากนั้นก็จัดผักดองหลากชนิด ที่ใส่เกลือนิดหน่อยพอให้มีรสชาติลงไปในถ้วยเล็กๆ พร้อมกับไข่เค็มดองเองจากไข่เป็ดที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ทำให้ไข่แดงมีสีเข้มมันเยิ้มน่ากินเมื่อทำเสร็จแล้ว เขาเดินไปที่ห้องทำงานของจิงเซียว และเคาะประตูเรียกชายชรา ทั้งสองนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน และมีคุยกันบ้างนิดหน่อย ตอนนี้ ชุนเฉิงเดินทางกลับบ้านของเขาที่อยู่อีกเมืองหนึ่งไปแล้ว เพื่อกลับไปดูแลคลินิกและธุรกิจของตัวเองจิงซิงอี้บอกจิงเซียวว่า เขาได้รับออเดอร์ถุงหอมสมุนไพรจำนวนมาก เขาจึงคิดจะทำขายอย่างจริงจัง และจะขึ้นไปบนภูเขาห
จิงซิงอี้ซึ่งกำลังคัดแยกสมุนไพร ก็ตอบตรงๆ ว่า “ยังไม่มีชื่อเลยครับ”จิงเซียวยิ้ม และมองหลานชายที่ก้มหน้าก้มตาเลือกสมุนไพร ก่อนจะพูดว่า“คลินิกฉางซาน”จิงซิงอี้เงยหน้าขึ้นทันทีด้วยความตกใจ จิงเซียวย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า“ได้เวลาที่คลินิกฉางซานจะต้องมีผู้สืบทอดแล้ว!”จากนั้น ชายชราก็พูดต่อว่า “ตาเชื่อมั่นในฝีมือของเจ้านะ ตาไม่อยากให้ความรู้ที่สั่งสมมาจากบรรพบุรุษของเรา ต้องจบไปในรุ่นของตา”ขอบตาของจิงซิงอี้ร้อนผ่าว เขารู้ว่าจิงเซียวมีความฝันที่อยากจะเปิดสำนักแพทย์ของตนเองมานานแล้ว แต่เขายังไม่มีโอกาสสักที ถึงเขาจะมีลูกศิษย์อยู่ 3 คน แต่เป็นครั้งแรกที่จิงเซียวมอบชื่อสำนักแพทย์ฉางซานให้เขาสืบทอด จิงซิงอี้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า“ผมจะทำให้ดีที่สุด ผมจะสืบทอดคลินิกฉางซานเองครับ!”ชุนเฉิงซึ่งยืนฟังอยู่หน้าประตูยิ้มนิดๆ ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานและเดินเข้ามาในห้อง ทั้งสามคนช่วยกันคัดแยกสมุนไพร และสนทนาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศอบอุ่น