จิงซิงอี้ซึ่งกำลังคัดแยกสมุนไพร ก็ตอบตรงๆ ว่า “ยังไม่มีชื่อเลยครับ”
จิงเซียวยิ้ม และมองหลานชายที่ก้มหน้าก้มตาเลือกสมุนไพร ก่อนจะพูดว่า
“คลินิกฉางซาน”
จิงซิงอี้เงยหน้าขึ้นทันทีด้วยความตกใจ จิงเซียวย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า
“ได้เวลาที่คลินิกฉางซานจะต้องมีผู้สืบทอดแล้ว!”
จากนั้น ชายชราก็พูดต่อว่า “ตาเชื่อมั่นในฝีมือของเจ้านะ ตาไม่อยากให้ความรู้ที่สั่งสมมาจากบรรพบุรุษของเรา ต้องจบไปในรุ่นของตา”
ขอบตาของจิงซิงอี้ร้อนผ่าว เขารู้ว่าจิงเซียวมีความฝันที่อยากจะเปิดสำนักแพทย์ของตนเองมานานแล้ว แต่เขายังไม่มีโอกาสสักที ถึงเขาจะมีลูกศิษย์อยู่ 3 คน แต่เป็นครั้งแรกที่จิงเซียวมอบชื่อสำนักแพทย์ฉางซานให้เขาสืบทอด จิงซิงอี้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า
“ผมจะทำให้ดีที่สุด ผมจะสืบทอดคลินิกฉางซานเองครับ!”
ชุนเฉิงซึ่งยืนฟังอยู่หน้าประตูยิ้มนิดๆ ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานและเดินเข้ามาในห้อง ทั้งสามคนช่วยกันคัดแยกสมุนไพร และสนทนาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศอบอุ่น
แล้วเวลาก็ผ่านไปเกือบสองเดือน ทุกอย่างเริ่มเข้าที่ คลินิกได้รับใบอนุญาตอย่างรวดเร็ว เพราะได้หวังฮวยคอยช่วยเหลือ เขาเป็นคนที่ขายห้องแถวให้ และยังเป็นเจ้าหน้าที่รัฐดูแลด้านสาธารณสุขในระดับตำบลอีกด้วย
การตกแต่งคลินิกก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย ผู้รับเหมาก่อสร้างเป็นคนที่หัวหน้าคณะกรรมการหมู่บ้านหวังคุนช่วยแนะนำมา จึงทำงานอย่างรวดเร็วและซื่อตรง สถานการณ์โรคระบาดที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาไม่มีงานทำ เมื่อได้รับการว่าจ้างจากจิงซิงอี้ พวกเขาจึงยินดีอย่างมาก
เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เวลาเปิดคลินิกอย่างเป็นทางการก็มาถึง
ในวันเปิดคลินิก จิงซิงอี้พาจิงเซียวและชุนเฉิงมาที่คลินิกตั้งแต่หกโมงเช้า เขาเชิญจิงเซียวเป็นคนเปิดป้ายคลินิก
ถึงแม้จิงซิงอี้จะทำพิธีเปิดคลินิกแบบเรียบง่าย แต่คนในหมู่บ้านเจียวจูต่างพากันมาร่วมแสดงความยินดี พวกเขาชื่นชอบคนบ้านหมอจิง และยังชอบงานแบบนี้ ที่นานๆจะจัดขึ้นในหมู่บ้านด้วย
นอกจากชาวหมู่บ้านแล้ว คู่สามีภรรยาหยวนซุนและเหยาหลิง ที่ตอนนี้อาการเกือบหายสนิทแล้ว ก็ขับรถยุโรปคันใหญ่มาร่วมพิธีเปิด พร้อมกับซวี่ฮั่น เจ้าของบริษัทอุปกรณ์การแพทย์ พวกเขานำกระเช้าดอกไม้ขนาดใหญ่มาวางไว้ที่หน้าคลินิกทั้งสองฝั่ง ทำให้บรรยากาศดูคึกคักและเป็นทางการมากขึ้น
เมื่อได้เวลา 9 โมงเช้า จิงเซียวดึงผ้าคลุมป้ายสีชมพูออก พวกเขาเห็นป้ายไม้สีดำขนาดใหญ่ ที่แกะสลักเป็นลายมือทรงพลังสีแดงเข้ม เขียนว่า “คลินิกฉางซาน” ซึ่งเป็นลายมือของจิงเซียวเอง ทุกคนปรบมือกึกก้อง พร้อมตะโกนอวยพรแสดงความยินดีและขอให้ธุรกิจเจริญก้าวหน้า
เมื่อเดินเข้าไปในคลินิก จะพบกับการตกแต่งที่มีกลิ่นอายแบบโบราณ เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นไม้สีน้ำตาลเข้ม ให้ความรู้สึกจริงจังน่าเชื่อถือ
บริเวณด้านหน้าเป็นเก้าอี้ไม้เดี่ยว วางเรียงรายชิดผนังสำหรับให้คนไข้นั่งรอ ถัดมาเป็นโต๊ะไม้ขนาดเล็กวางแจกันดอกไม้ แอลกอฮอล์ล้างมือ และหนังสือเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนเบื้องต้นและนิตยสารเกี่ยวกับจังหวัดวางเอาไว้ ด้านตรงข้าม เป็นตู้กดน้ำร้อนเย็นขนาดเล็กพร้อมแก้วแบบใช้แล้วทิ้ง
ด้านในของคลินิกเข้าไป มีเคาเตอร์ไม้ยาว ด้านบนปูด้วยกระเบื้องสีขาว ด้านหนึ่งเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับลงทะเบียนและชำระเงิน ด้านหลังเคาเตอร์เป็นตู้ไม้ใส่ยาที่มีลิ้นชักใส่ยานับสิบอย่าง รวมไปถึงโถกระเบื้องและแก้วที่วางเรียงอย่างเป็นระเบียบ
ที่นี่ไม่ได้รับต้มสมุนไพร เพราะจิงซิงอี้ยังไม่มีผู้ช่วย เขาทำทุกอย่างคนเดียว จึงเน้นแค่รักษาและจ่ายยาให้คนไข้นำไปต้มเอง แต่เขาก็มียาสำเร็จรูปพร้อมใช้เตรียมให้อยู่แล้ว
อีกด้านของเคาเตอร์ เป็นทางเดินเข้าไปในห้องตรวจ ริมผนังด้านนี้ เป็นตู้เก็บอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีน
ห้องสำหรับตรวจรักษาด้านในสุด แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหน้ามีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับหมอและคนไข้ ด้านหลังเป็นตู้และชั้นเก็บอุปกรณ์การแพทย์ และอ่างล้างมือ อีกด้านเป็นเตียงสำหรับรักษาคนไข้ มีผ้าม่านรูดชิดผนังเอาไว้ด้านหนึ่ง
ส่วนที่สองเป็นห้องขนาดเล็กที่อยู่ด้านในสุด มีประตูกระจกกั้นเอาไว้ ข้างในเป็นเตียงขนาดเล็กเอาไว้สำหรับคนไข้ที่นอนพักรอชั่วคราว
ถึงแม้ว่าจิงซิงอี้จะเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหลัก แต่ข้างในคลินิกมีแสงสว่างเพียงพอ ทำให้ไม่ดูอึดอัดเกินไป
สำหรับเงินทุนที่ใช้ในการซื้อตึกและตกแต่งทั้งหมด มาจากเงินเก็บที่จิงเซียวเก็บเอาไว้ให้ และบางส่วนมาจากเงินเก็บทั้งหมดของจิงซิงอี้เอง
จิงซิงอี้ช่วยงานจิงเซียวมาตั้งแต่เด็ก ทั้งช่วยเก็บและจัดเตรียมสมุนไพร เมื่อโตขึ้นยังช่วยเป็นลูกมือให้จิงเซียวในการรักษา และยังมีเงินที่ได้จากการรักษาคนไข้ และการผลิตยาสมุนไพรขาย ที่เขาเก็บสะสมมาตั้งแต่เด็กจนโต
ทั้งหมดนี้ เป็นวิธีที่จิงเซียวใช้ในการฝึกสอนและจูงใจเขา จิงเซียวไม่เพียงแต่ให้ความรู้ตามตำรา เขายังให้จิงซิงอี้และลูกศิษย์คนอื่นได้ทำงานจริง และให้เงินเพื่อเป็นแรงจูงใจด้วย จิงซิงอี้จึงเป็นลูกศิษย์และหลานของจิงเซียว ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรมากที่สุด
ในวันเปิดคลินิกนี้ จิงซิงอี้เตรียมของชำร่วยมาแจกแขกที่มาร่วมพิธีเปิดด้วย เขายังต้องการจะโปรโมทสินค้าสมุนไพรและคลินิกของตัวเองไปพร้อมกัน
ของชำร่วยนั้น คือ ถุงหอมใส่สมุนไพรจีนหรือเซียงหนาง ใช้ในการขับไล่มดแมลง ขับไล่สิ่งชั่วร้าย และรักษาโรค ที่ใช้มาตั้งแต่ 2,000 กว่าปีที่แล้ว เมื่อมาถึงยุคปัจจุบันยังนิยมใช้แจก เพื่อสื่อถึงความรักความห่วงใยในเทศกาลสำคัญอีกด้วย
ถุงหอมที่จิงซิงอี้แจก ทำจากถุงผ้าไหมสีแดง สีเหลือง สีฟ้าและสีเขียว ปักลวดลายต้นไม้และดอกไม้มงคล เขาแบ่งกลิ่นและประเภทของสมุนไพรตามสีเพื่อไม่ให้ผู้รับสับสน และเพื่อเป็นการโฆษณาคลินิก เขาสั่งทำชื่อคลินิก คิวอาร์โค้ด มีข้อมูลของคลินิก ประวัติสั้นๆ ของจิงซิงอี้ รวมไปถึงใบอนุญาตทางการแพทย์ และยังบอกช่องทางติดต่อต่างๆ ทั้งวีแชท เว่ยปั๋ว และแปะติดบนถุงหอมด้วย
เมื่อจบพิธีเปิดคลินิกแล้ว แก๊งลุงป้าที่คอยช่วยเหลือจิงซิงอี้มาตั้งแต่ต้น ต่างพากันมาพูดคุยอย่างกระตือรือร้นกับจิงเซียวที่ไม่ค่อยจะปรากฏตัวให้เห็นเท่าไหร่ บางคนก็มาแสดงความยินดี บางคนก็ซักถามเกี่ยวกับอาการของโรคต่างๆ
จิงซิงอี้ถือตะกร้าใส่ถุงหอม แจกให้พวกเขาคนละถุง พร้อมกับอธิบายสรรพคุณว่า
“ถุงสีเหลืองเป็นสมุนไพรช่วยขับไล่แมลงนะครับ ผมใช้เมนทอล การบูร พิมเสน ฮั่วเซียง อ้ายเย่ ช่วงนี้ฝนเริ่มตกแล้ว แมลงเยอะ น่าจะใช้ได้ดี
ส่วนถุงสีฟ้า จะเหมาะกับเด็กๆหรือผู้สูงวัยที่หายใจลำบาก ช่วยเรื่องภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ ผมใช้ซินอี๋ ไป๋จื่อ ปิงเพี่ยน ฮั่วเซียง เพ่ยหลาน โป้เหอ จินอิ๋นฮวา เฉินผี”
คุณลุงคนหนึ่งถามขึ้นมาอย่างสนใจว่า
“ลูกสาวของลุงอยู่ในเมือง ทำงานหนักมาก เห็นบ่นว่านอนไม่หลับ หมอจิงมีอะไรจะแจกมั้ย”
จิงซิงอี้หยิบถุงสีเขียวส่งให้ พร้อมอธิบายอย่างใจเย็นว่า
“ถุงนี้เลยครับ ช่วยเรื่องการนอนหลับแล้วก็ช่วยผ่อนคลายได้ มีหยวนจื้อ สือชางผู่ เพ่ยหลาน เหอฮวนผี โร่วกุ้ย และปิงเพี่ยน
แต่ต้องเตือนก่อนนะครับคุณลุง การนอนไม่หลับเกิดจากหลายสาเหตุ และถ้าเป็นมากจะต้องรักษาอย่างจริงจัง ถุงหอมช่วยได้บางส่วนเท่านั้น”
คุณลุงพยักหน้า และรับถุงไปสูดดมแรงๆ เขายิ้มกว้างและพูดว่า
“ดมแค่นี้ยังสดชื่นเลย! อาหลินต้องชอบแน่ๆ ขอบใจหมอจิงมากๆ นะ”
จิงเซียวซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ วันนี้ ไม่เพียงแค่สองตาหลาน ยังมีชุนเฉิง ลูกศิษย์คนที่สองของจิงเซียว ที่มาค่อยช่วยดูแลรับแขกตั้งแต่เช้าด้วย
ถุงหอมที่ทำมาสองร้อยถุงเพื่อแจก ก็หมดไปตั้งแต่วันแรก จิงซิงอี้แบ่งเก็บเอาไว้บางส่วน เพื่อแจกให้คนป่วยที่มารักษาที่คลินิกในวันแรก แน่นอนว่า คู่สามีภรรยาหยวนซุนและเหยาหลิง พร้อมกับซวี่ฮั่น ต่างก็ได้รับถุงหอมกลับไปด้วย และยังได้เพิ่มเติมอีกคนละสองถุงเพื่อเอาไปให้พ่อแม่ที่บ้าน
เมื่อหยวนซุนและเหยาหลิงกลับมาถึงบ้านแถวชานเมืองเซี่ยงไฮ้ เหยาหลิงรีบเดินไปหาแม่ของเธอที่กำลังทำสวนอยู่หลังบ้าน บ้านของเธออยู่ในเขตเมืองรอบนอก จึงพอจะมีพื้นที่ทำสวนหลังบ้านขนาดเล็กได้ และแม่ของเธอก็ชอบใช้เวลาว่างไปกับการทำสวนตรงนี้
ช่วงนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่ฤดูร้อน จึงมีฝนตกสลับกับอากาศร้อน ทำให้หลายคนไม่สบาย และยังมียุงกับแมลงต่างๆ ออกมารบกวนมากขึ้น
แม่ของเหยาหลิงจึงถูกกัดบ่อยๆ เมื่อได้ถุงหอมมา เหยาหลิงจึงรีบเอาไปให้ทันที เธออธิบายสรรพคุณของถุงหอม ซึ่งแม่ของเธอก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อสูดดมกลิ่นแล้วเธอก็ชอบ เพราะช่วยให้ผ่อนคลายดี
เย็นวันรุ่งขึ้น เมื่อแดดร่มลมตกแล้ว เธอจึงออกมาทำสวนตามปกติ และนำถุงหอมมากลัดติดกับเสื้อเอาไว้ตามที่เหยาหลิงบอก วันนั้นเธอทำสวนเพลิน จนสามีของเธอต้องเดินมาตามว่า
“แม่ๆ ยังไม่ทำข้าวเย็นอีกหรือ อาหลิงกับอาซุนกำลังจะกลับมาจากทำงานแล้วนะ”
แม่ของเหยาหลิงตกใจ รีบคว้าอุปกรณ์มาล้างเก็บ และเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารเย็น เธอบอกกับสามีในขณะล้างมือว่า
“ฉันลืมเวลาไปเลย มัวแต่ทำสวนเพลิน”
พ่อของเหยาหลิงซึ่งนั่งกินผลไม้รองท้องอยู่ใกล้ๆ ก็ถามด้วยความสงสัยว่า
“วันนี้เป็นอะไรไป ทำไมอยู่ในสวนนานล่ะ ฉันเห็นเธอวิ่งหนียุงเข้าบ้านก่อนห้าโมงเย็นทุกที”
แม่ของเหยาหลิงหยุดคิดและทำตาโต เธอก้มลงมองถุงหอมที่กลัดเอาไว้ที่เสื้อ และก็นึกได้ว่า วันนี้ไม่มียุงกับแมลงมารบกวนเธอเลย เธอจึงบอกสามีด้วยความตื่นเต้นว่า
“ถุงหอมนี่ไง เหยาหลิงเอามาให้ ฉันไม่โดนยุงกัดเลยสักนิด ก็เลยทำสวนจนลืมทำข้าวเย็นไปเลย!”
เมื่อหยวนซุนและเหยาหลิงกลับมาถึงบ้าน แม่ของเหยาหลิงก็เล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังอีกครั้งด้วยความดีใจ
หยวนซุนจึงตอกย้ำฝีมือการรักษาโรคของจิงซิงอี้ ทำให้พ่อของเหยาหลิงสนใจถุงหอม และถามทั้งคู่ว่ายังมีเหลืออีกหรือไม่
เหยาหลิงจึงบอกว่า ตอนนี้มีเพียงถุงสีฟ้าที่ช่วยเรื่องภูมิแพ้และการหายใจ พ่อของเหลาหลิงกำลังมีปัญหาจากอากาศร้อนชื้นในช่วงเปลี่ยนฤดูนี้พอดี เขาจึงขอลองใช้ ถ้าพบว่าได้ผลดี เขาก็ตั้งใจว่าจะให้ลูกสั่งซื้อ และนำไปแจกเป็นของขวัญในเทศกาลที่จะมาถึงด้วย
คืนนั้น พ่อของเหยาหลิงเข้านอน โดยวางถุงหอมสมุนไพรเอาไว้ข้างหมอน เขานอนหลับสนิททั้งคืน กลิ่นหอมจากสมุนไพรช่วยให้จมูกของเขาโล่ง หายใจสะดวก ไม่สะดุ้งตื่นกลางดึกเพื่อพ่นยาช่วยขยายหลอดลมเหมือนที่เคย
เช้าวันต่อมา เขาจึงสั่งให้หยวนซุนและเหยาหลิงช่วยสั่งซื้อถุงหอมให้ด้วย เหยาหลิงจึงส่งข้อความไปถามจิงซิงอี้ และได้คำตอบว่า ตอนนี้ถุงหอมแจกไปหมดแล้ว
แต่เขาตั้งใจจะทำขายเช่นกัน แต่ต้องใช้เวลาหน่อย เพราะเขาทำเองคนเดียว และจะแจ้งว่า เมื่อไหร่จะจำหน่ายอีกครั้ง ซึ่งเหยาหลิงยินดีจะช่วยโปรโมทสินค้าให้กับเพื่อนๆ ของเธออีกด้วย
และในภายหลัง ถุงหอมสมุนไพรนี้ ก็กลายมาเป็นหนึ่งในสินค้าของจิงซิงอี้ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นในการเป็นนักธุรกิจสินค้าสมุนไพรของเขาในที่สุด
นับตั้งแต่จิงซิงอี้เปิดคลินิกมาได้ 3 เดือนกว่า เขาทำอะไรมามากมาย ทั้งตั้งโต๊ะรักษาโรคฟรีข้างนอกที่หมู่บ้านข้างๆ ไปบริการชุมชนร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ช่วยตำรวจไขคดีฆาตกรรมที่เกิดจากการใช้ยาสมุนไพรจีน และยังมีวิดีโอคลิปตอนที่เขารักษาคนบาดเจ็บจากแก๊สระเบิดที่แพร่หลายออกไป สิ่งเหล่านี้ทำให้คนรู้จักเขามากขึ้นเขายังมีคนไข้ที่เคยรักษาที่โรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้ เดินทางมารักษาต่อที่คลินิกกับเขาหลายคน ถึงแม้จะต้องเดินทางมาจากที่อื่นก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อเขาสามารถรักษาคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยาก ให้ตั้งครรภ์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ทำให้คู่สามีภรรยาหลายคนที่รู้ข่าว มีความหวังและเดินทางมาหาเขามากขึ้น จิงซิงอี้รู้สึกว่า เขากลายเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาภาะวมีบุตรยากไปอีกหนึ่งด้าน ไม่เพียงแต่คนไข้ของเขาจะเพิ่มจำนวนขึ้น เขายังช่วยให้ธุรกิจในหมู่บ้านเจริญก้าวหน้าขึ้นตามด้วยหลังจากที่มีคนไข้เพิ่มมากขึ้น ชาวหมู่บ้านบางคนเริ่มเปิดร้านอาหารเล็กๆ และร้านขายของเพื่อรองรับคนที่เดินทางมารอรักษา เพราะคนไข้บางคนไม่สามารถกลับบ้านได้ทันในวันเ
วันหนึ่งชุนเฉิงนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว แต่เขาก็หยุดอ่านและเหม่อมองออกไปไกลๆ จิงเซียวซึ่งเดินเข้ามาหยิบหนังสือสังเกตเห็น เขาจึงเรียกชื่อชุนเฉิง แล้วถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ปกติแล้วชุนเฉิงรักและเคารพจิงเซียวมาก เขาจะพูดทุกอย่างกับจิงเซียวตรงๆ แต่ครั้งนี้ เขานิ่งไปและถอนหายใจยาว เขารู้สึกละอายใจที่จะบอกว่า ด้วยวัยเกือบ 40 ปีนี้ เขารู้สึกว่างเปล่า แต่ดูเหมือนจิงเซียวจะเข้าใจ ชายชราเดินเข้ามานั่งตรงข้ามเขา และพูดว่า“เจ้ากำลังรู้สึกสับสนอะไรอยู่หรือเปล่า” ชุนเฉิงยิ้มเศร้าๆ เขาตอบว่า “ผมนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อไปดี สิ่งที่กำลังตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว แต่มันก็กลายมาเป็นกิจวัตรประจำวัน ข้อดีคือ เราก็ทำได้ดี ไม่ต้องเหนื่อย แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อและไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร การรักษาคนไข้ผมยังชอบอยู่ครับ แต่มันก็แค่นั้น บางทีผมก็คิดว่า จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปจนตายเลยหรือ ผมรู้สึกสิ้นหวังยังไงไม่รู้ครับ” จิงเซ
“หลานสาวของภรรยาพี่เอง ตอนนี้เขาเป็นดาราวัยรุ่นมาแรงเลย เธอน่าจะจำเขาได้นะ อี้อวิ๋นซีไงล่ะ” จิงซิงอี้ทบทวนความจำ สมัยที่เรียนอยู่ในเมือง บางครั้งเขาจะไปพักที่บ้านของลั่วเยี่ยน เขาจำได้ว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุห่างจากเขา 4-5 ปี ชอบมาที่บ้านของลั่วเยี่ยน และคอยวิ่งตามจิงซิงอี้เพื่อให้เขาเล่นด้วย ภรรยาของลั่วเยี่ยนมีพี่สาวหนึ่งคน และอี้อวิ๋นซีเป็นลูกสาวคนเดียวของเธอ และยังสนิทกับภรรยาของลั่วเยี่ยนมากเมื่อจิงซิงอี้เรียนในระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย เขาเรียนหนักมาก จึงไม่ค่อยได้ไปอยู่บ้านลั่วเยี่ยน ประกอบกับที่อี้อวิ๋นซีเริ่มโตแล้ว เธอจึงไม่ค่อยมาเที่ยวเล่นแบบตอนเด็กอีกต่อไป จิงซิงอี้พอจะจำเธอได้ เขาจึงถามต่อว่า “เขาจะยอมใช้ครีมให้ผมหรือครับ พวกดาราชอบใช้ของแบรนด์เนมมากกว่านี่” ลั่วเยี่ยนทำหน้ามีเลศนัย เขาพูดยิ้มๆว่า “นายมันจะไปไม่รู้อะไร เสี่ยวซีคอยต
และก็เป็นไปตามที่จิงซิงอี้คาด อีกไม่กี่วันต่อมา ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนได้เข้าไปคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล พวกเขาตกลงกันว่าจะให้จิงซิงอี้ทำงานไปจนจบเดือนนี้ และไม่ขอต่อสัญญา โดยอ้างว่าสถานะเศรษฐกิจไม่ดี ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจำเป็นจะต้องแจ้งให้เม่งฮ่าวซึ่งเป็นอาจารย์ของจิงซิงอี้รู้ก่อน แต่ไม่สามารถบอกสาเหตุที่แท้จริงได้ เพราะโรงพยาบาลยังเกรงใจเขาอยู่ ผู้อำนวยการจะคุยกับจิงซิงอี้ และจะขอโทษเม่งฮ่าวด้วยที่ไม่สามารถจ้างจิงซิงอี้ต่อได้เม่งฮ่าวรู้จากจิงซิงอี้อยู่ก่อนแล้ว เขาไม่พอใจทางโรงพยาบาลมาก ถึงแม้ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจะมาคุยกับเขา แต่ก็เหมือนไม่ไว้หน้าเขา ถึงแม้ว่าจะใช้ข้ออ้างอื่นก็ตาม สำหรับเม่งฮ่าวแล้ว เขาไม่ได้สนใจการทำงานพิเศษในโรงพยาบาลนี้เท่าไหร่ เพราะเขามีชื่อเสียงและความสามารถในระดับประเทศและต่างประเทศอยู่แล้วเขามาทำงานให้ที่นี่ เพราะรุ่นพี่ที่นับถือขอร้องให้มาช่วยเหลือ ตั้งแต่มีการก่อตั้งแผนกแพทย์แผนจีนใหม่ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี รุ่นพี่ที่เขานับถือก็เกษียณไปแล้ว เขายังทำงานให้เพราะเห็นว่า โรงพยาบาลยังปฏิบัติต่อเขาดี แต่เมื่อเกิดเหตุการ
จิงซิงอี้นิ่งไปสักพัก เขามองหน้าเจี่ยเหริน เขาเห็นการทำงานของเด็กหนุ่มและนิสัยใจคอที่ดีของเขา เขาเสียดายโอกาสที่เด็กหนุ่มคนนี้ที่น่าจะไปได้ดีกว่านี้ เขาจึงพูดขึ้นว่า“นายเก็บเงินให้ดีนะ จะได้ไปเรียนต่อ ฉันรู้สึกเสียดายความสามารถของนาย ฉันจะแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์การขายให้ นายจะได้เก็บเอาไว้เรียนต่อ”เจี่ยเหรินรีบปฏิเสธทันที แต่จิงซิงอี้ยืนยันว่า“ทำงานก็ต้องได้เงิน และที่สำคัญ การให้โอกาสคน คือการทำบุญที่ดีอีกอย่างด้วย ฉันก็ได้รับโอกาสจากคนอื่นเหมือนกัน ฉันจึงมาอยู่จุดนี้ได้ หลังจากเรียนจบแล้ว นายจะไปทำงานที่อื่นฉันก็ไม่ว่าอะไร ทุกคนมีสิทธิ์เลือกทางเดินของตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะนายก็ได้ใช้แรงกายแรงใจช่วยงานฉันมาด้วยดีเสมอ แล้วฉันก็ให้เงินเดือนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน นั่นละคือการทำงาน ไม่ต้องมาคิดเรื่องบุญคุณอะไร” หลังจากวันนั้น ทั้งจิงซิงอี้และเจี่ยเหรินต่างก็หัวหมุนกับการแพ็คสินค้าและส่งของไปให้ลูกค้า พวกเขาดีใจมากที่มีคนสั่งซื้อสินค้าจนหมด 200 ชุด เขาต้องประกาศว่าสินค้าหมดแล้วและกำลัง
ไลฟ์ในวันนั้นเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวของจิงซิงอี้ และพูดถึงคลินิก ที่ตั้ง และความเป็นมาของคลินิก รวมไปถึงตัวเขาเองว่าจบมาจากที่ใด และเชี่ยวชาญด้านใด ส่วนข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เขาไม่พูดถึง ถึงแม้จะมีคนดูถามเข้ามากมายทั้งอายุ และเขามีแฟนหรือยัง และเสียงชื่นชมที่ว่าเขาหล่อแค่ไหนเมื่อให้ข้อมูลจบ จิงซิงอี้ดูจะผ่อนคลายขึ้น เขาจึงเริ่มพูดว่า“วันนี้ผมจะมาเล่าถึงการดูแลผิวของตัวเองให้สวยงาม ไม่มีริ้วรอย ปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวของเราเสีย ก็คือ แสงแดด มลภาวะ ความเครียด การไม่ดูแลผิว โรคภัยบางอย่าง การทำร้ายผิวด้วยการสูบบุหรี่ การใช้สารเคมีบางอย่าง และอาหารการกิน”เขาอธิบายพร้อมกับแชร์ภาพของผิวหนังที่เสียจากสาเหตุดังกล่าวด้วย การอธิบายของเขาเป็นไปตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ทำให้คนดูแปลกใจ เพราะเขาเปิดตัวมาด้วยการบอกว่าตนเองเป็นแพทย์จีน แต่เขากลับมีความรู้แบบตะวันตก และใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการอธิบาย ทำให้คนที่ต้องการจะเข้ามาก่อกวนและไม่เชื่อต้องหยุดฟังชั่วคราว รวมไปถึงคนฟังที่ตื่นเต้นกับหน้าตาของเขาก็หยุดฟังด้วยความสนใจจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายเฉพาะผิวที่เป็น