Share

4

Author: Clear Clouds
last update Last Updated: 2025-08-30 20:30:59

ตลอดทั้งอาทิตย์ จิงซิงอี้วุ่นวายกับการตกแต่งคลินิก การสั่งอุปกรณ์และยาที่ใช้รักษา รวมไปถึงการติดต่อขอใบอนุญาตเพื่อเปิดคลินิก

ตัวเขาเองสามารถสอบผ่านได้ใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนจีน ทั้งข้อเขียนและการปฏิบัติ รวมไปถึงการฝังเข็ม  รมยา การนวดทุยหนา ครอบแก้ว และยังได้รับการถ่ายทอดความรู้ด้านสมุนไพรจีน การใช้ตำรับยาจีน และการนวดจากจิงเซียว

ในช่วงสองปีสุดท้ายของการเรียนในมหาวิทยาลัย เขาฝึกงานที่โรงพยาบาลในปักกิ่ง และเรียนแพทย์แผนจีนเพิ่มเติม เพราะต้องการจะบูรณาการรักษาแพทย์แผนจีนเข้ากับการแพทย์แผนปัจจุบัน

ที่จริงแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเรียนหลักสูตรแพทย์แผนจีนในมหาวิทยาลัยก็ได้ เพราะเขาเรียนรู้จากจิงเซียว ซึ่งเป็นหมอจีนฝีมือดีมาตั้งแต่เด็ก แต่เขารู้ว่าการมีปริญญาและใบอนุญาต จะทำให้การทำงานของเขาง่ายกว่าและได้รับความเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และจิงเซียวยังต้องการให้เขามีความรู้ทั้งสองด้านด้วย

การจะเปิดคลินิกแพทย์แผนจีนที่ประเทศนี้ ตามระเบียบของกระทรวงกำหนดเอาไว้ว่า จะต้องลงทะเบียนกับหน่วยงานกำกับดูแลแพทย์แผนจีนทั้งในระดับท้องถิ่น และในระดับเทศมณฑลหรืออำเภอด้วย

จากนั้นจะมีการตรวจสอบที่ตั้งของคลินิก ขอบเขตการรักษาที่ต้องตรงกับใบประกอบโรคศิลป์ และอุปกรณ์การแพทย์ของคลินิก ภายใน 30 วันหลังจากที่ลงทะเบียน ซึ่งจิงซิงอี้ก็ทำตามขั้นตอนดังกล่าว

ในช่วงสายของวันหนึ่ง ระหว่างที่เขากำลังควบคุมการตกแต่งคลินิกอยู่นั้น รถคันหนึ่งก็ขับมาจอดที่ลานจอดรถหน้าตึกแถว ชายวัยกลางคนอายุประมาณ 50 ปี รูปร่างอ้วนท้วม หน้าตาใจดี ลงมาจากรถและเข้ามาแนะนำตัวกับจิงซิงอี้ว่า เขาคือ ซวี่ฮั่น เป็นเจ้าของบริษัทขายอุปกรณ์การแพทย์และเป็นเพื่อนสนิทของหยวนซุน

เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว จิงซิงอี้จึงพาเขาไปนั่งคุยที่ร้านบะหมี่ที่อยู่ถัดไปอีก 2-3 ห้อง ซวี่ฮั่นนั่งลงที่โต๊ะ เขาหายใจหอบด้วยความเหนื่อย ใบหน้าซีด ในระหว่างที่นั่งเขาขยับตัวไปมาเพื่อเปลี่ยนท่านั่งหลายครั้ง

ทั้งสองสั่งอาหารและเครื่องดื่ม จิงซิงอี้ซึ่งสังเกตอาการของซวี่ฮั่นมาตลอดก็ถามว่า “คุณซวี่ฮั่น เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

ซวี่ฮั่นหัวเราะแห้งๆ เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมา และรีบปฏิเสธว่าไม่เป็นอะไรมาก เขาต้องการที่จะปิดการขายอุปกรณ์การแพทย์ให้สำเร็จก่อน

เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ธุรกิจของเขามีคู่แข่งเพิ่มขึ้น ยอดขายลดลง เขาต้องทำงานหนักมากขึ้น เขาใช้เวลาเกือบทุกวันไปกับการขับรถตระเวนหาลูกค้าตามโรงพยาบาลและคลินิกในหลายจังหวัด

บางครั้งต้องกินและงีบหลับในรถ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาเดินทาง ส่งผลให้ร่างกายเหนื่อยล้าและปวดเนื้อตัว

ช่วงหลังมานี้ เขายิ่งปวดสะโพกขวาและร้าวลงมาจนถึงเข่า ทำให้เขาต้องขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งบ่อยๆ

จิงซิงอี้รู้ว่าเขาหิวมาก จึงปล่อยให้เขากินบะหมี่ให้หมด จากนั้นจึงเริ่มคุยกันเรื่องอุปกรณ์การแพทย์ ที่คลินิกต้องใช้พร้อมกับใบเสนอราคา

หมอหนุ่มต้องการให้คลินิกของเขา บูรณาการเทคโนโลยีทั้งแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบันเข้าด้วยกัน แต่โดยรวมแล้ว ที่นี่จะเน้นแพทย์แผนจีนเป็นหลัก

จิงซิงอี้รู้สึกว่าซวี่ฮั่นจริงใจและซื่อสัตย์ อุปกรณ์ของยี่ห้อใดที่เขาเห็นว่าคุณภาพไม่สมราคา เขาจะบอกชายหนุ่มตรงๆ และให้ข้อมูลประกอบเพิ่มเติม

เมื่อพวกเขาตกลงว่าจะซื้ออุปกรณ์ใดได้แล้ว ซวี่ฮั่นดีใจเป็นอย่างมาก เขาลดราคาให้ถึงร้อยละ 15

ซวี่ฮั่นรู้สึกถูกชะตากับหมอหนุ่มคนนี้ด้วย รวมไปถึงการได้ฟังเรื่องการรักษาโรคจากหยวนซุน เขายิ่งทึ่งในความสามารถของจิงซิงอี้ เพราะในตอนนี้ หลายคนมองว่าแพทย์จีนไม่มีความน่าเชื่อถือมากนัก แต่จิงซิงอี้กลับสามารถรักษาโรคร้ายแรงอย่างหลอดเลือดสมองได้

ซวี่ฮั่นมองเห็นอนาคตที่สดใสของหมอหนุ่มคนนี้ จึงอยากจะผูกมิตรเอาไว้

เมื่อจบการขายแล้ว เขาก็ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อขับรถกลับ แต่แล้วเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่สะโพกขวา จนเผลอร้องเสียงดังออกมาด้วยความเจ็บปวด และทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ต่อ คนในร้านหันมามองด้วยความตกใจ

จิงซิงอี้รีบลุกขึ้น เขาขออนุญาตดูอาการ และใช้มือกดไปที่สะโพกและขาข้างขวาของซวี่ฮั่น พร้อมกับสอบถามอาการ

“คุณซวี่ฮั่น คุณปวดแปลบๆบริเวณสะโพก แล้วก็ต้นขวาด้านขวานี้หรือครับ”

เมื่อซวี่ฮั่นตอบว่าใช่ จิงซิงอี้จึงถามต่อว่า “ช่วงนี้คุณนั่งหรือขับรถอยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานาน ๆ ด้วยใช่มั้ยครับ”

ซวี่ฮั่นตอบว่าใช่อีกครั้ง จิงซิงอี้ถามต่อว่า “ช่วงนี้คุณตากแอร์ ตากฝน บางทีก็เจออากาศร้อนสลับเย็นไปมาบ่อยๆ ใช่มั้ยครับ และตอนนี้ก็น่าจะเจ็บคอ แล้วก็มีเสมหะด้วย”

ซวี่ฮั่นพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น ลูกค้าในร้านบะหมี่รวมไปถึงเจ้าของร้านพากันเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ  พวกเขาทึ่งเมื่อได้ยินว่าสิ่งที่จิงซิงอี้พูดถูกต้องทั้งหมด จิงซิงอี้สรุปอาการว่า

“คุณเป็นออฟฟิศซินโดรม ที่เกิดจากการนั่งและอยู่ในท่าเดียวนานๆ ช่วงนี้ยังถูกความเย็น ความร้อน ความชื้น แทรกตัวเข้าไปที่ผิวหนังและกล้ามเนื้อ ทำให้เส้นลมปราณอุดตัน ก็เลยเกิดอาการปวดขึ้นมา ผมคิดว่าคุณน่าจะพักผ่อนน้อยด้วย อวัยวะภายในจึงเสียสมดุลไป”

ซวี่ฮั่นรีบถามด้วยความกังวล   “แล้วผมจะรักษาให้หายขาดได้มั้ยครับ ผมต้องทำมาหากิน จะหยุดพักรักษานานๆ ไม่ได้”

จิงซิงอี้ตอบว่า “รักษาให้หายได้ครับ ไม่ต้องใช้เวลานาน แต่ต้องรักษาหลายอย่างพร้อมกัน และคุณก็ต้องออกกำลังอย่างสม่ำเสมอด้วย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซวี่ฮั่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาจึงขอให้หมอหนุ่มช่วยรักษาให้ ตอนนี้คลินิกยังไม่เสร็จ เขาจึงต้องไปที่บ้านของจิงซิงอี้ แต่ตอนนี้เขายังปวดสะโพกและยังขยับตัวไม่ได้

จิงซิงอี้จึงช่วยลดอาการเจ็บปวดเบื้องต้น ด้วยการนวดทุยหนา และกดคลึงไปตามบริเวณที่เจ็บปวดก่อน เพื่อบรรเทาอาการปวดและคลายกล้ามเนื้ออยู่ประมาณ 15 นาที 

ซวี่ฮั่นรู้สึกว่าอาการปวดแปลบเหมือนเข็มแทงค่อยๆ บรรเทาลง ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินช้าๆ ไปที่รถเองได้ เขาขับรถตามจิงซิงอี้ที่ขี่จักรยานนำหน้า ไปจนถึงบ้านของเขาที่ท้ายหมู่บ้าน 

เมื่อมาถึง จิงซิงอี้พาเขาไปรอในห้องที่หยวนซุนเคยรักษามาก่อน และเริ่มใช้การฝังเข็มเพื่อรักษา

จิงซิงอี้ทำความสะอาดผิวหนัง และใช้เข็มกระตุ้นที่จุดอาซื่อเสวี่ยหรือจุดที่กดเจ็บบริเวณสะโพกและขาของซวี่ฮั่น เพื่อให้เลือดและชี่ไหลเวียนได้คล่อง จากนั้นจึงฝังเข็มเพิ่มเติมที่จุดใกล้และจุดไกลบริเวณที่เจ็บปวด เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ซวี่ฮั่นรู้สึกได้ทันทีว่าความเจ็บปวดค่อยๆ ลดลง

ในระหว่างที่ฝังเข็ม จิงซิงอี้แนะนำท่าออกกำลังกายให้เขา และบอกให้เขาหลีกเลี่ยงการนั่งและนอนอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ

เมื่อรักษาเสร็จ เขานัดให้ซวี่ฮั่นมาพบอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลังเพื่อเช็คอาการ และเขาจะทำแผ่นยาแปะแก้ปวดให้ด้วย ตอนนี้คลินิกยังไม่เสร็จ และสมุนไพรบางอย่างยังมีไม่ครบด้วย เขาจึงรักษาด้วยการฝังเข็มไปก่อน

ในขณะที่กำลังสอนท่าออกกำลังกายให้นั้น จิงซิงอี้ได้ยินเสียงเปิดประตูไม้หน้าบ้าน เมื่อมองออกไป เขาเห็นชายชรารูปร่างผอมบาง ผมขาว อายุประมาณ 70 ปี ที่ยังดูกระฉับกระเฉง เดินตรงมาหาเขา

จิงซิงอี้ยิ้มด้วยความดีใจ และทักทายว่า “คุณตากลับมาแล้ว!”

จิงเซียวยิ้มด้วยความเอ็นดู เมื่อเห็นว่ามีคนไข้ เขาจึงสอบถามอาการกับจิงซิงอี้ เมื่อได้ยินขั้นตอนการรักษา จิงเซียวพยักหน้าเห็นด้วยและพูดสั้นๆแค่ว่า “ดีมาก” และเดินกลับไปห้องพักของเขาทางทิศตะวันออกของบ้าน

อีกสักพัก ชายวัย 35-36 ปี หน้าตาดี รูปร่างผอมสูงเหมือนหนอนหนังสือคนหนึ่ง ก็เดินหอบข้าวของพะรุงพะรังเข้ามา และตรงไปยังห้องทำงานของจิงเซียว

เขาคือ ชุนเฉิง ลูกศิษย์คนที่สองของจิงเซียว ที่มักจะเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันกับอาจารย์ เพื่อเรียนรู้วิชาและหาประสบการณ์จริงอยู่บ่อยครั้ง

เมื่อรักษาซวี่ฮั่นจบแล้ว จิงซิงอี้เดินไปส่งเขาที่หน้าบ้าน ทั้งสองนัดแนะกันเรื่องอุปกรณ์การแพทย์ที่สั่งไป และวันเวลาที่ต้องมาติดตามอาการอีกครั้ง   จากนั้น จิงซิงอี้ก็เดินกลับเข้าบ้านเพื่อไปหาจิงเซียวที่ห้องทำงาน

เขาเห็นชุนเฉิงกำลังรื้อของออกมาจากกระเป๋าและถุง เพื่อนำไปเก็บทั้งในห้องยาและห้องของจิงเซียว

เมื่อหันมาเห็นจิงซิงอี้ เขาจึงยิ้มให้ และทักทายสารทุกข์สุขดิบ ชุนเฉิงหยิบกล่องของฝากส่งให้จิงซิงอี้ ซึ่งเป็นขนมจากร้านชื่อดังในจังหวัด ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณศิษย์พี่รองของเขาด้วยความดีใจ

จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของจิงเซียว ชายชรากำลังนั่งทำงานอยู่ เขาหยิบสมุนไพรที่นำมาด้วย มาแกะออกดู ดมกลิ่น และคัดแยกใส่ตะกร้า เพื่อนำไปตากไล่ความชื้น ก่อนจะเก็บเข้าห้องยา

จิงซิงอี้ช่วยจิงเซียวคัดแยกสมุนไพร ที่เป็นทั้งสมุนไพรสด บางอย่างเป็นเมล็ด ราก ใบ และบางอย่างเป็นแบบแปรรูปแล้ว จิงเซียวอธิบายให้เขาฟังว่าแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง และเขาได้มาจากไหน

ที่จริงแล้วจิงซิงอี้รู้จักเกือบทุกอย่าง แต่จิงเซียวสอนเขาเพิ่มเติมว่า พื้นที่ที่เขาเดินทางไป มีการใช้สมุนไพรเหล่านี้ในรูปแบบไหน และวิธีการแปรรูปที่แตกต่างออกไปด้วย  

จากนั้น จิงเซียวก็สอบถามจิงซิงอี้ถึงความคืบหน้าในการก่อตั้งคลินิก พวกเขาพูดคุยกันสักพัก แล้วจิงเซียวก็ถามหลานชายขึ้นมาว่า

“เจ้าจะตั้งชื่อคลินิกว่าอะไร”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   10

    เมื่อเดินไปถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลที่อยู่หน้าเคาเตอร์ต่างพากันมุงดูเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู แต่จิงซิงอี้ถอยไปหลบอยู่ข้างหลังลั่วเยี่ยน เขาไม่ได้กลัว แต่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ใกล้ๆ“เดี๋ยวๆทุกคน ใจเย็นๆ เจ้าหนูกลัวแล้ว”ลั่วเยี่ยนเตือนสาวๆ และเล่าให้พวกเธอฟังว่าไปพบเด็กชายที่ไหน และขอให้พวกเธอช่วยประกาศหาพ่อแม่ในโรงพยาบาล และถ้าไม่พบ เขาจะโทรไปแจ้งตำรวจให้ช่วยตามหาอีกทีในระหว่างที่ชายหนุ่มอธิบาย จิงซิงอี้ก็ยืนฟังเงียบๆด้วยความสนใจ แม้ว่าใครๆ จะพยายามถามชื่อและที่อยู่ เขากลับนิ่งทำหูทวนลมเหมือนไม่เข้าใจ จนลั่วเยี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ชายหนุ่มจะต้องออกตรวจคนไข้ตอนเช้า เขาจึงคิดจะฝากให้เด็กชายอยู่กับเจ้าหน้าที่ แต่จิงซิงอี้ไม่ยอม เด็กน้อยวิ่งตามลั่วเยี่ยน ทำให้เขาต้องพาเด็กชายไปที่ห้องตรวจด้วยเขาย่อตัวลงสบตากับเด็กน้อยและพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันไม่รู้ว่านายต้องการอะไร แต่ฉันรู้ว่านายเข้าใจทุกสิ่งที่ฉันพูด ถ้านายไม่อยากไปไหน ก็อยู่กับฉันไปก่อน ถ้าเปลี่ยนใจอยากพูด ก็พูดมาก็แล้วกันนะเจ้าหนู”จากนั้นชายหนุ่มก็ลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู พวก

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   9

    ตั้งแต่ยังหนุ่ม จิงเซียวมักออกเดินทางและหายไปหลายอาทิตย์ บางครั้งเขาเดินทางไปรักษาชาวบ้านตามที่ห่างไกล บางครั้งก็ไปเก็บสมุนไพรตามป่าเขาลำเนาไพร และได้รับเชิญจากผู้นำระดับประเทศ รวมไปถึงผู้มีชื่อเสียงและอำนาจขอให้ไปช่วยรักษาโรคเมื่ออายุมากขึ้น เขาจะเลือกรักษาเฉพาะคนที่เขารู้สึกถูกใจเท่านั้น ถึงแม้บางคนจะใช้ทั้งเงินและอำนาจมาข่มขู่ ชายชราก็ไม่เคยหวั่นไหว เพราะเขามีลูกศิษย์และคนไข้ที่มีชื่อเสียงคอยปกป้องอยู่เสมอนี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่จิงเซียวไม่เคยเปิดคลินิกรักษาที่หมู่บ้านเจียวจู เพราะเขาไม่ค่อยจะอยู่บ้านนั่นเองในระหว่างที่สองตาหลานง่วนอยู่กับการทำงานของตัวเอง จิงเซียวก็บอกกับจิงซิงอี้ว่า“เสี่ยวอี้ อีกสองวันตาจะไปปักกิ่งนะ มีนัดรักษาคนไข้”ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ชายชราก็พูดต่อว่า “เสี่ยวเยี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าจะมารับตาไป”เสี่ยวเยี่ยน หรือลั่วเยี่ยน อายุ 48 ปี เป็นศิษย์คนแรกของจิงเซียว เขาเป็นเจ้าของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีนในปักกิ่ง ตัวเขาจบแพทย์แผนปัจจุบันมา เมื่

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   8

    จิงซิงอี้เห็นว่าป้าซ่งมีรูปร่างท้วม ยิ่งทำให้เข่าเสื่อมและเสียรูปมากกว่าปกติ เขาจึงอธิบายอาการให้หญิงสูงวัยฟังว่า“โรคที่ป้าเป็น คือ ข้อเข่าเสื่อมนะครับ เกิดขึ้นได้จากอายุที่มากขึ้นทำให้เสื่อม แล้วก็น้ำหนักที่มากกว่าปกติ บางคนก็เกิดจากการทำงานหนัก ยกของหนักมานาน”ป้าซ่งรีบตอบว่า “ใช่เลยจ้ะ ป้าทำไร่ทำสวนมาตั้งแต่สาวๆ บางทีก็ต้องแบกปุ๋ย แบกผักผลไม้ไปขาย ช่วงนี้ป้าปวดเข่ามาก มันตึงไปหมด พอนั่งๆนอนๆ น้ำหนักก็เลยขึ้นอย่างที่หมอเห็นนี่ละจ้ะ”ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยนั้น ลุงซ่งฮ่าวเทียน ก็ถือขวดใส่นมแพะ 3 ขวดเดินเข้าบ้านมาถามว่า“เท่านี้พอมั้ยหมอจิง”เมื่อเห็นป้าซ่ง เขาจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า“อายี่ ออกมาทำไม จะเอาอะไรเหรอ”ป้าซ่งรีบตอบว่า“ไม่มีอะไร ฉันเห็นว่าหมอจิงมา เลยเดินออกมาทัก”จิงซิงอี้สังเกตเห็นว่า ป้าซ่งไม่อยากพูดถึงอาการของตนต่อหน้าสามี เขาจึงหันไปพูดกับซ่งฮ่าวเทียนว่า“เท่านี้ก็พอครับ พรุ่งนี้สัก 5 โมงเย็นจะแวะมาซื้ออีกนะครับ ขอบคุณครับลุงซ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   7

    ระหว่างที่ถาม จิงซิงอี้กวาดสายตาไปรอบๆ ด้านอย่างระมัดระวัง เขากลัวแม่ของมันจะพุ่งออกมาจู่โจม ถึงเจ้าตัวเล็กจะทำตัวฟู และมีแววตาหวาดระแวง แต่ก็ยังจ้องตาเขาไม่หลบจิงซิงอี้ค่อยๆ ถอยออกมานั่งที่เดิม ทั้งสองปรึกษากันว่าจะนั่งรอห่างๆ และดูว่าแม่จิ้งจอกจะมารับลูกหรือไม่ และค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร เวลาผ่านไป 15 นาที ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีแม่จิ้งจอกเดินออกมา แต่แล้วลูกสุนัขจิ้งจอกก็ค่อยๆ โผล่หน้ามาออกมาจากหลังต้นไม้ และมองมาที่สองตาหลานในที่สุดจิงซิงอี้และจิงเซียวจึงลุกเดินไปหามันช้าๆ จิงเซียวพูดกับมันด้วยเสียงมีเมตตาว่า“เจ้าอยากจะให้พวกเราทำอะไรให้ บอกมาสิเจ้าตัวเล็ก”ลูกสุนัขจิ้งจอกเอียงคอฟัง จากนั้นมันก็หันหลังเดินเข้าไปในป่าด้านหลัง มันเดินไปสองสามก้าว และหยุดหันมามองพวกเขาหลายครั้ง เหมือนจะบอกให้ทั้งสองเดินตาม จิงซิงอี้และจิงเซียวมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าเจ้าตัวเล็กคงอยากจะให้พวกเขาเดินตามทั้งสองจึงเดินตามมัน ที่พามุดเข้าไปในป่าที่เริ่มรกทึบ พวกเขาต้องก้มตัวหลบเถาวัลย์และลุยเข้าไปในพุ่มไม้ที่ขวางทางเอาไว้หลายครั้ง&

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   6

    จิงซิงอี้ขยับตัวตื่นตอนเช้ามืด เพราะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูไม้หน้าบ้าน เขาลุกขึ้นและคว้าเสื้อกันหนาวมาสวมทับ ถึงแม้ว่าช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้กับภูเขาจึงมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และในช่วงเช้าแบบนี้ ยิ่งหนาวเย็นมากกว่าปกติเขาล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทะมัดทะแมง คว้าโทรศัพท์และเป้ใส่ของ เดินออกมาจากห้องนอน และตรงไปที่ห้องครัวซึ่งอยู่ซ้ายสุดของห้องฝั่งตะวันตกเขาเริ่มต้นทำอาหารเช้า ด้วยการต้มข้าวกล้องผสมธัญพืชที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม จากนั้นก็จัดผักดองหลากชนิด ที่ใส่เกลือนิดหน่อยพอให้มีรสชาติลงไปในถ้วยเล็กๆ พร้อมกับไข่เค็มดองเองจากไข่เป็ดที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ทำให้ไข่แดงมีสีเข้มมันเยิ้มน่ากินเมื่อทำเสร็จแล้ว เขาเดินไปที่ห้องทำงานของจิงเซียว และเคาะประตูเรียกชายชรา ทั้งสองนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน และมีคุยกันบ้างนิดหน่อย ตอนนี้ ชุนเฉิงเดินทางกลับบ้านของเขาที่อยู่อีกเมืองหนึ่งไปแล้ว เพื่อกลับไปดูแลคลินิกและธุรกิจของตัวเองจิงซิงอี้บอกจิงเซียวว่า เขาได้รับออเดอร์ถุงหอมสมุนไพรจำนวนมาก เขาจึงคิดจะทำขายอย่างจริงจัง และจะขึ้นไปบนภูเขาห

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   5

    จิงซิงอี้ซึ่งกำลังคัดแยกสมุนไพร ก็ตอบตรงๆ ว่า “ยังไม่มีชื่อเลยครับ”จิงเซียวยิ้ม และมองหลานชายที่ก้มหน้าก้มตาเลือกสมุนไพร ก่อนจะพูดว่า“คลินิกฉางซาน”จิงซิงอี้เงยหน้าขึ้นทันทีด้วยความตกใจ จิงเซียวย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า“ได้เวลาที่คลินิกฉางซานจะต้องมีผู้สืบทอดแล้ว!”จากนั้น ชายชราก็พูดต่อว่า “ตาเชื่อมั่นในฝีมือของเจ้านะ ตาไม่อยากให้ความรู้ที่สั่งสมมาจากบรรพบุรุษของเรา ต้องจบไปในรุ่นของตา”ขอบตาของจิงซิงอี้ร้อนผ่าว เขารู้ว่าจิงเซียวมีความฝันที่อยากจะเปิดสำนักแพทย์ของตนเองมานานแล้ว แต่เขายังไม่มีโอกาสสักที ถึงเขาจะมีลูกศิษย์อยู่ 3 คน แต่เป็นครั้งแรกที่จิงเซียวมอบชื่อสำนักแพทย์ฉางซานให้เขาสืบทอด จิงซิงอี้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า“ผมจะทำให้ดีที่สุด ผมจะสืบทอดคลินิกฉางซานเองครับ!”ชุนเฉิงซึ่งยืนฟังอยู่หน้าประตูยิ้มนิดๆ ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานและเดินเข้ามาในห้อง ทั้งสามคนช่วยกันคัดแยกสมุนไพร และสนทนาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศอบอุ่น

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status