Share

4

Author: Clear Clouds
last update Last Updated: 2025-08-30 20:30:59

ตลอดทั้งอาทิตย์ จิงซิงอี้วุ่นวายกับการตกแต่งคลินิก การสั่งอุปกรณ์และยาที่ใช้รักษา รวมไปถึงการติดต่อขอใบอนุญาตเพื่อเปิดคลินิก

ตัวเขาเองสามารถสอบผ่านได้ใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนจีน ทั้งข้อเขียนและการปฏิบัติ รวมไปถึงการฝังเข็ม  รมยา การนวดทุยหนา ครอบแก้ว และยังได้รับการถ่ายทอดความรู้ด้านสมุนไพรจีน การใช้ตำรับยาจีน และการนวดจากจิงเซียว

ในช่วงสองปีสุดท้ายของการเรียนในมหาวิทยาลัย เขาฝึกงานที่โรงพยาบาลในปักกิ่ง และเรียนแพทย์แผนจีนเพิ่มเติม เพราะต้องการจะบูรณาการรักษาแพทย์แผนจีนเข้ากับการแพทย์แผนปัจจุบัน

ที่จริงแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเรียนหลักสูตรแพทย์แผนจีนในมหาวิทยาลัยก็ได้ เพราะเขาเรียนรู้จากจิงเซียว ซึ่งเป็นหมอจีนฝีมือดีมาตั้งแต่เด็ก แต่เขารู้ว่าการมีปริญญาและใบอนุญาต จะทำให้การทำงานของเขาง่ายกว่าและได้รับความเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และจิงเซียวยังต้องการให้เขามีความรู้ทั้งสองด้านด้วย

การจะเปิดคลินิกแพทย์แผนจีนที่ประเทศนี้ ตามระเบียบของกระทรวงกำหนดเอาไว้ว่า จะต้องลงทะเบียนกับหน่วยงานกำกับดูแลแพทย์แผนจีนทั้งในระดับท้องถิ่น และในระดับเทศมณฑลหรืออำเภอด้วย

จากนั้นจะมีการตรวจสอบที่ตั้งของคลินิก ขอบเขตการรักษาที่ต้องตรงกับใบประกอบโรคศิลป์ และอุปกรณ์การแพทย์ของคลินิก ภายใน 30 วันหลังจากที่ลงทะเบียน ซึ่งจิงซิงอี้ก็ทำตามขั้นตอนดังกล่าว

ในช่วงสายของวันหนึ่ง ระหว่างที่เขากำลังควบคุมการตกแต่งคลินิกอยู่นั้น รถคันหนึ่งก็ขับมาจอดที่ลานจอดรถหน้าตึกแถว ชายวัยกลางคนอายุประมาณ 50 ปี รูปร่างอ้วนท้วม หน้าตาใจดี ลงมาจากรถและเข้ามาแนะนำตัวกับจิงซิงอี้ว่า เขาคือ ซวี่ฮั่น เป็นเจ้าของบริษัทขายอุปกรณ์การแพทย์และเป็นเพื่อนสนิทของหยวนซุน

เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว จิงซิงอี้จึงพาเขาไปนั่งคุยที่ร้านบะหมี่ที่อยู่ถัดไปอีก 2-3 ห้อง ซวี่ฮั่นนั่งลงที่โต๊ะ เขาหายใจหอบด้วยความเหนื่อย ใบหน้าซีด ในระหว่างที่นั่งเขาขยับตัวไปมาเพื่อเปลี่ยนท่านั่งหลายครั้ง

ทั้งสองสั่งอาหารและเครื่องดื่ม จิงซิงอี้ซึ่งสังเกตอาการของซวี่ฮั่นมาตลอดก็ถามว่า “คุณซวี่ฮั่น เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

ซวี่ฮั่นหัวเราะแห้งๆ เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมา และรีบปฏิเสธว่าไม่เป็นอะไรมาก เขาต้องการที่จะปิดการขายอุปกรณ์การแพทย์ให้สำเร็จก่อน

เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ธุรกิจของเขามีคู่แข่งเพิ่มขึ้น ยอดขายลดลง เขาต้องทำงานหนักมากขึ้น เขาใช้เวลาเกือบทุกวันไปกับการขับรถตระเวนหาลูกค้าตามโรงพยาบาลและคลินิกในหลายจังหวัด

บางครั้งต้องกินและงีบหลับในรถ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาเดินทาง ส่งผลให้ร่างกายเหนื่อยล้าและปวดเนื้อตัว

ช่วงหลังมานี้ เขายิ่งปวดสะโพกขวาและร้าวลงมาจนถึงเข่า ทำให้เขาต้องขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งบ่อยๆ

จิงซิงอี้รู้ว่าเขาหิวมาก จึงปล่อยให้เขากินบะหมี่ให้หมด จากนั้นจึงเริ่มคุยกันเรื่องอุปกรณ์การแพทย์ ที่คลินิกต้องใช้พร้อมกับใบเสนอราคา

หมอหนุ่มต้องการให้คลินิกของเขา บูรณาการเทคโนโลยีทั้งแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบันเข้าด้วยกัน แต่โดยรวมแล้ว ที่นี่จะเน้นแพทย์แผนจีนเป็นหลัก

จิงซิงอี้รู้สึกว่าซวี่ฮั่นจริงใจและซื่อสัตย์ อุปกรณ์ของยี่ห้อใดที่เขาเห็นว่าคุณภาพไม่สมราคา เขาจะบอกชายหนุ่มตรงๆ และให้ข้อมูลประกอบเพิ่มเติม

เมื่อพวกเขาตกลงว่าจะซื้ออุปกรณ์ใดได้แล้ว ซวี่ฮั่นดีใจเป็นอย่างมาก เขาลดราคาให้ถึงร้อยละ 15

ซวี่ฮั่นรู้สึกถูกชะตากับหมอหนุ่มคนนี้ด้วย รวมไปถึงการได้ฟังเรื่องการรักษาโรคจากหยวนซุน เขายิ่งทึ่งในความสามารถของจิงซิงอี้ เพราะในตอนนี้ หลายคนมองว่าแพทย์จีนไม่มีความน่าเชื่อถือมากนัก แต่จิงซิงอี้กลับสามารถรักษาโรคร้ายแรงอย่างหลอดเลือดสมองได้

ซวี่ฮั่นมองเห็นอนาคตที่สดใสของหมอหนุ่มคนนี้ จึงอยากจะผูกมิตรเอาไว้

เมื่อจบการขายแล้ว เขาก็ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อขับรถกลับ แต่แล้วเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่สะโพกขวา จนเผลอร้องเสียงดังออกมาด้วยความเจ็บปวด และทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ต่อ คนในร้านหันมามองด้วยความตกใจ

จิงซิงอี้รีบลุกขึ้น เขาขออนุญาตดูอาการ และใช้มือกดไปที่สะโพกและขาข้างขวาของซวี่ฮั่น พร้อมกับสอบถามอาการ

“คุณซวี่ฮั่น คุณปวดแปลบๆบริเวณสะโพก แล้วก็ต้นขวาด้านขวานี้หรือครับ”

เมื่อซวี่ฮั่นตอบว่าใช่ จิงซิงอี้จึงถามต่อว่า “ช่วงนี้คุณนั่งหรือขับรถอยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานาน ๆ ด้วยใช่มั้ยครับ”

ซวี่ฮั่นตอบว่าใช่อีกครั้ง จิงซิงอี้ถามต่อว่า “ช่วงนี้คุณตากแอร์ ตากฝน บางทีก็เจออากาศร้อนสลับเย็นไปมาบ่อยๆ ใช่มั้ยครับ และตอนนี้ก็น่าจะเจ็บคอ แล้วก็มีเสมหะด้วย”

ซวี่ฮั่นพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น ลูกค้าในร้านบะหมี่รวมไปถึงเจ้าของร้านพากันเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ  พวกเขาทึ่งเมื่อได้ยินว่าสิ่งที่จิงซิงอี้พูดถูกต้องทั้งหมด จิงซิงอี้สรุปอาการว่า

“คุณเป็นออฟฟิศซินโดรม ที่เกิดจากการนั่งและอยู่ในท่าเดียวนานๆ ช่วงนี้ยังถูกความเย็น ความร้อน ความชื้น แทรกตัวเข้าไปที่ผิวหนังและกล้ามเนื้อ ทำให้เส้นลมปราณอุดตัน ก็เลยเกิดอาการปวดขึ้นมา ผมคิดว่าคุณน่าจะพักผ่อนน้อยด้วย อวัยวะภายในจึงเสียสมดุลไป”

ซวี่ฮั่นรีบถามด้วยความกังวล   “แล้วผมจะรักษาให้หายขาดได้มั้ยครับ ผมต้องทำมาหากิน จะหยุดพักรักษานานๆ ไม่ได้”

จิงซิงอี้ตอบว่า “รักษาให้หายได้ครับ ไม่ต้องใช้เวลานาน แต่ต้องรักษาหลายอย่างพร้อมกัน และคุณก็ต้องออกกำลังอย่างสม่ำเสมอด้วย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซวี่ฮั่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาจึงขอให้หมอหนุ่มช่วยรักษาให้ ตอนนี้คลินิกยังไม่เสร็จ เขาจึงต้องไปที่บ้านของจิงซิงอี้ แต่ตอนนี้เขายังปวดสะโพกและยังขยับตัวไม่ได้

จิงซิงอี้จึงช่วยลดอาการเจ็บปวดเบื้องต้น ด้วยการนวดทุยหนา และกดคลึงไปตามบริเวณที่เจ็บปวดก่อน เพื่อบรรเทาอาการปวดและคลายกล้ามเนื้ออยู่ประมาณ 15 นาที 

ซวี่ฮั่นรู้สึกว่าอาการปวดแปลบเหมือนเข็มแทงค่อยๆ บรรเทาลง ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินช้าๆ ไปที่รถเองได้ เขาขับรถตามจิงซิงอี้ที่ขี่จักรยานนำหน้า ไปจนถึงบ้านของเขาที่ท้ายหมู่บ้าน 

เมื่อมาถึง จิงซิงอี้พาเขาไปรอในห้องที่หยวนซุนเคยรักษามาก่อน และเริ่มใช้การฝังเข็มเพื่อรักษา

จิงซิงอี้ทำความสะอาดผิวหนัง และใช้เข็มกระตุ้นที่จุดอาซื่อเสวี่ยหรือจุดที่กดเจ็บบริเวณสะโพกและขาของซวี่ฮั่น เพื่อให้เลือดและชี่ไหลเวียนได้คล่อง จากนั้นจึงฝังเข็มเพิ่มเติมที่จุดใกล้และจุดไกลบริเวณที่เจ็บปวด เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ซวี่ฮั่นรู้สึกได้ทันทีว่าความเจ็บปวดค่อยๆ ลดลง

ในระหว่างที่ฝังเข็ม จิงซิงอี้แนะนำท่าออกกำลังกายให้เขา และบอกให้เขาหลีกเลี่ยงการนั่งและนอนอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ

เมื่อรักษาเสร็จ เขานัดให้ซวี่ฮั่นมาพบอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลังเพื่อเช็คอาการ และเขาจะทำแผ่นยาแปะแก้ปวดให้ด้วย ตอนนี้คลินิกยังไม่เสร็จ และสมุนไพรบางอย่างยังมีไม่ครบด้วย เขาจึงรักษาด้วยการฝังเข็มไปก่อน

ในขณะที่กำลังสอนท่าออกกำลังกายให้นั้น จิงซิงอี้ได้ยินเสียงเปิดประตูไม้หน้าบ้าน เมื่อมองออกไป เขาเห็นชายชรารูปร่างผอมบาง ผมขาว อายุประมาณ 70 ปี ที่ยังดูกระฉับกระเฉง เดินตรงมาหาเขา

จิงซิงอี้ยิ้มด้วยความดีใจ และทักทายว่า “คุณตากลับมาแล้ว!”

จิงเซียวยิ้มด้วยความเอ็นดู เมื่อเห็นว่ามีคนไข้ เขาจึงสอบถามอาการกับจิงซิงอี้ เมื่อได้ยินขั้นตอนการรักษา จิงเซียวพยักหน้าเห็นด้วยและพูดสั้นๆแค่ว่า “ดีมาก” และเดินกลับไปห้องพักของเขาทางทิศตะวันออกของบ้าน

อีกสักพัก ชายวัย 35-36 ปี หน้าตาดี รูปร่างผอมสูงเหมือนหนอนหนังสือคนหนึ่ง ก็เดินหอบข้าวของพะรุงพะรังเข้ามา และตรงไปยังห้องทำงานของจิงเซียว

เขาคือ ชุนเฉิง ลูกศิษย์คนที่สองของจิงเซียว ที่มักจะเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันกับอาจารย์ เพื่อเรียนรู้วิชาและหาประสบการณ์จริงอยู่บ่อยครั้ง

เมื่อรักษาซวี่ฮั่นจบแล้ว จิงซิงอี้เดินไปส่งเขาที่หน้าบ้าน ทั้งสองนัดแนะกันเรื่องอุปกรณ์การแพทย์ที่สั่งไป และวันเวลาที่ต้องมาติดตามอาการอีกครั้ง   จากนั้น จิงซิงอี้ก็เดินกลับเข้าบ้านเพื่อไปหาจิงเซียวที่ห้องทำงาน

เขาเห็นชุนเฉิงกำลังรื้อของออกมาจากกระเป๋าและถุง เพื่อนำไปเก็บทั้งในห้องยาและห้องของจิงเซียว

เมื่อหันมาเห็นจิงซิงอี้ เขาจึงยิ้มให้ และทักทายสารทุกข์สุขดิบ ชุนเฉิงหยิบกล่องของฝากส่งให้จิงซิงอี้ ซึ่งเป็นขนมจากร้านชื่อดังในจังหวัด ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณศิษย์พี่รองของเขาด้วยความดีใจ

จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของจิงเซียว ชายชรากำลังนั่งทำงานอยู่ เขาหยิบสมุนไพรที่นำมาด้วย มาแกะออกดู ดมกลิ่น และคัดแยกใส่ตะกร้า เพื่อนำไปตากไล่ความชื้น ก่อนจะเก็บเข้าห้องยา

จิงซิงอี้ช่วยจิงเซียวคัดแยกสมุนไพร ที่เป็นทั้งสมุนไพรสด บางอย่างเป็นเมล็ด ราก ใบ และบางอย่างเป็นแบบแปรรูปแล้ว จิงเซียวอธิบายให้เขาฟังว่าแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง และเขาได้มาจากไหน

ที่จริงแล้วจิงซิงอี้รู้จักเกือบทุกอย่าง แต่จิงเซียวสอนเขาเพิ่มเติมว่า พื้นที่ที่เขาเดินทางไป มีการใช้สมุนไพรเหล่านี้ในรูปแบบไหน และวิธีการแปรรูปที่แตกต่างออกไปด้วย  

จากนั้น จิงเซียวก็สอบถามจิงซิงอี้ถึงความคืบหน้าในการก่อตั้งคลินิก พวกเขาพูดคุยกันสักพัก แล้วจิงเซียวก็ถามหลานชายขึ้นมาว่า

“เจ้าจะตั้งชื่อคลินิกว่าอะไร”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   55

    นับตั้งแต่จิงซิงอี้เปิดคลินิกมาได้ 3 เดือนกว่า เขาทำอะไรมามากมาย ทั้งตั้งโต๊ะรักษาโรคฟรีข้างนอกที่หมู่บ้านข้างๆ ไปบริการชุมชนร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ช่วยตำรวจไขคดีฆาตกรรมที่เกิดจากการใช้ยาสมุนไพรจีน และยังมีวิดีโอคลิปตอนที่เขารักษาคนบาดเจ็บจากแก๊สระเบิดที่แพร่หลายออกไป สิ่งเหล่านี้ทำให้คนรู้จักเขามากขึ้นเขายังมีคนไข้ที่เคยรักษาที่โรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้ เดินทางมารักษาต่อที่คลินิกกับเขาหลายคน ถึงแม้จะต้องเดินทางมาจากที่อื่นก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อเขาสามารถรักษาคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยาก ให้ตั้งครรภ์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ทำให้คู่สามีภรรยาหลายคนที่รู้ข่าว มีความหวังและเดินทางมาหาเขามากขึ้น จิงซิงอี้รู้สึกว่า เขากลายเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาภาะวมีบุตรยากไปอีกหนึ่งด้าน ไม่เพียงแต่คนไข้ของเขาจะเพิ่มจำนวนขึ้น เขายังช่วยให้ธุรกิจในหมู่บ้านเจริญก้าวหน้าขึ้นตามด้วยหลังจากที่มีคนไข้เพิ่มมากขึ้น ชาวหมู่บ้านบางคนเริ่มเปิดร้านอาหารเล็กๆ และร้านขายของเพื่อรองรับคนที่เดินทางมารอรักษา เพราะคนไข้บางคนไม่สามารถกลับบ้านได้ทันในวันเ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   54

    วันหนึ่งชุนเฉิงนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว แต่เขาก็หยุดอ่านและเหม่อมองออกไปไกลๆ จิงเซียวซึ่งเดินเข้ามาหยิบหนังสือสังเกตเห็น เขาจึงเรียกชื่อชุนเฉิง แล้วถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ปกติแล้วชุนเฉิงรักและเคารพจิงเซียวมาก เขาจะพูดทุกอย่างกับจิงเซียวตรงๆ แต่ครั้งนี้ เขานิ่งไปและถอนหายใจยาว เขารู้สึกละอายใจที่จะบอกว่า ด้วยวัยเกือบ 40 ปีนี้ เขารู้สึกว่างเปล่า แต่ดูเหมือนจิงเซียวจะเข้าใจ ชายชราเดินเข้ามานั่งตรงข้ามเขา และพูดว่า“เจ้ากำลังรู้สึกสับสนอะไรอยู่หรือเปล่า” ชุนเฉิงยิ้มเศร้าๆ เขาตอบว่า “ผมนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อไปดี สิ่งที่กำลังตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว แต่มันก็กลายมาเป็นกิจวัตรประจำวัน ข้อดีคือ เราก็ทำได้ดี ไม่ต้องเหนื่อย แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อและไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร การรักษาคนไข้ผมยังชอบอยู่ครับ แต่มันก็แค่นั้น บางทีผมก็คิดว่า จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปจนตายเลยหรือ ผมรู้สึกสิ้นหวังยังไงไม่รู้ครับ” จิงเซ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   53

    “หลานสาวของภรรยาพี่เอง ตอนนี้เขาเป็นดาราวัยรุ่นมาแรงเลย เธอน่าจะจำเขาได้นะ อี้อวิ๋นซีไงล่ะ” จิงซิงอี้ทบทวนความจำ สมัยที่เรียนอยู่ในเมือง บางครั้งเขาจะไปพักที่บ้านของลั่วเยี่ยน เขาจำได้ว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุห่างจากเขา 4-5 ปี ชอบมาที่บ้านของลั่วเยี่ยน และคอยวิ่งตามจิงซิงอี้เพื่อให้เขาเล่นด้วย ภรรยาของลั่วเยี่ยนมีพี่สาวหนึ่งคน และอี้อวิ๋นซีเป็นลูกสาวคนเดียวของเธอ และยังสนิทกับภรรยาของลั่วเยี่ยนมากเมื่อจิงซิงอี้เรียนในระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย เขาเรียนหนักมาก จึงไม่ค่อยได้ไปอยู่บ้านลั่วเยี่ยน ประกอบกับที่อี้อวิ๋นซีเริ่มโตแล้ว เธอจึงไม่ค่อยมาเที่ยวเล่นแบบตอนเด็กอีกต่อไป จิงซิงอี้พอจะจำเธอได้ เขาจึงถามต่อว่า “เขาจะยอมใช้ครีมให้ผมหรือครับ พวกดาราชอบใช้ของแบรนด์เนมมากกว่านี่” ลั่วเยี่ยนทำหน้ามีเลศนัย เขาพูดยิ้มๆว่า “นายมันจะไปไม่รู้อะไร เสี่ยวซีคอยต

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   52

    และก็เป็นไปตามที่จิงซิงอี้คาด อีกไม่กี่วันต่อมา ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนได้เข้าไปคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล พวกเขาตกลงกันว่าจะให้จิงซิงอี้ทำงานไปจนจบเดือนนี้ และไม่ขอต่อสัญญา โดยอ้างว่าสถานะเศรษฐกิจไม่ดี ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจำเป็นจะต้องแจ้งให้เม่งฮ่าวซึ่งเป็นอาจารย์ของจิงซิงอี้รู้ก่อน แต่ไม่สามารถบอกสาเหตุที่แท้จริงได้ เพราะโรงพยาบาลยังเกรงใจเขาอยู่ ผู้อำนวยการจะคุยกับจิงซิงอี้ และจะขอโทษเม่งฮ่าวด้วยที่ไม่สามารถจ้างจิงซิงอี้ต่อได้เม่งฮ่าวรู้จากจิงซิงอี้อยู่ก่อนแล้ว เขาไม่พอใจทางโรงพยาบาลมาก ถึงแม้ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจะมาคุยกับเขา แต่ก็เหมือนไม่ไว้หน้าเขา ถึงแม้ว่าจะใช้ข้ออ้างอื่นก็ตาม สำหรับเม่งฮ่าวแล้ว เขาไม่ได้สนใจการทำงานพิเศษในโรงพยาบาลนี้เท่าไหร่ เพราะเขามีชื่อเสียงและความสามารถในระดับประเทศและต่างประเทศอยู่แล้วเขามาทำงานให้ที่นี่ เพราะรุ่นพี่ที่นับถือขอร้องให้มาช่วยเหลือ ตั้งแต่มีการก่อตั้งแผนกแพทย์แผนจีนใหม่ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี รุ่นพี่ที่เขานับถือก็เกษียณไปแล้ว เขายังทำงานให้เพราะเห็นว่า โรงพยาบาลยังปฏิบัติต่อเขาดี แต่เมื่อเกิดเหตุการ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   51

    จิงซิงอี้นิ่งไปสักพัก เขามองหน้าเจี่ยเหริน เขาเห็นการทำงานของเด็กหนุ่มและนิสัยใจคอที่ดีของเขา เขาเสียดายโอกาสที่เด็กหนุ่มคนนี้ที่น่าจะไปได้ดีกว่านี้ เขาจึงพูดขึ้นว่า“นายเก็บเงินให้ดีนะ จะได้ไปเรียนต่อ ฉันรู้สึกเสียดายความสามารถของนาย ฉันจะแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์การขายให้ นายจะได้เก็บเอาไว้เรียนต่อ”เจี่ยเหรินรีบปฏิเสธทันที แต่จิงซิงอี้ยืนยันว่า“ทำงานก็ต้องได้เงิน และที่สำคัญ การให้โอกาสคน คือการทำบุญที่ดีอีกอย่างด้วย ฉันก็ได้รับโอกาสจากคนอื่นเหมือนกัน ฉันจึงมาอยู่จุดนี้ได้ หลังจากเรียนจบแล้ว นายจะไปทำงานที่อื่นฉันก็ไม่ว่าอะไร ทุกคนมีสิทธิ์เลือกทางเดินของตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะนายก็ได้ใช้แรงกายแรงใจช่วยงานฉันมาด้วยดีเสมอ แล้วฉันก็ให้เงินเดือนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน นั่นละคือการทำงาน ไม่ต้องมาคิดเรื่องบุญคุณอะไร” หลังจากวันนั้น ทั้งจิงซิงอี้และเจี่ยเหรินต่างก็หัวหมุนกับการแพ็คสินค้าและส่งของไปให้ลูกค้า พวกเขาดีใจมากที่มีคนสั่งซื้อสินค้าจนหมด 200 ชุด เขาต้องประกาศว่าสินค้าหมดแล้วและกำลัง

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   50

    ไลฟ์ในวันนั้นเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวของจิงซิงอี้ และพูดถึงคลินิก ที่ตั้ง และความเป็นมาของคลินิก รวมไปถึงตัวเขาเองว่าจบมาจากที่ใด และเชี่ยวชาญด้านใด ส่วนข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เขาไม่พูดถึง ถึงแม้จะมีคนดูถามเข้ามากมายทั้งอายุ และเขามีแฟนหรือยัง และเสียงชื่นชมที่ว่าเขาหล่อแค่ไหนเมื่อให้ข้อมูลจบ จิงซิงอี้ดูจะผ่อนคลายขึ้น เขาจึงเริ่มพูดว่า“วันนี้ผมจะมาเล่าถึงการดูแลผิวของตัวเองให้สวยงาม ไม่มีริ้วรอย ปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวของเราเสีย ก็คือ แสงแดด มลภาวะ ความเครียด การไม่ดูแลผิว โรคภัยบางอย่าง การทำร้ายผิวด้วยการสูบบุหรี่ การใช้สารเคมีบางอย่าง และอาหารการกิน”เขาอธิบายพร้อมกับแชร์ภาพของผิวหนังที่เสียจากสาเหตุดังกล่าวด้วย การอธิบายของเขาเป็นไปตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ทำให้คนดูแปลกใจ เพราะเขาเปิดตัวมาด้วยการบอกว่าตนเองเป็นแพทย์จีน แต่เขากลับมีความรู้แบบตะวันตก และใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการอธิบาย ทำให้คนที่ต้องการจะเข้ามาก่อกวนและไม่เชื่อต้องหยุดฟังชั่วคราว รวมไปถึงคนฟังที่ตื่นเต้นกับหน้าตาของเขาก็หยุดฟังด้วยความสนใจจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายเฉพาะผิวที่เป็น

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status