로그인“ไม่เอาหรอกเจ๊ แบบนี้ก็ดีแล้ว”
“แขกถามหาตรึม ดีเดออะไรกัน” เจ๊สรจีบปากจีบคอชักชวนให้เด็กสาวตรงหน้ามาทำงานที่ผับของเธอ แต่อีกฝ่ายกลับบ่ายเบี่ยง ทั้ง ๆ ที่แขกเหรื่อต่างก็ถูกตาต้องใจ แม้ว่าเจ๊สรจะเปิดคลับบาร์แต่ก็ไม่เคยฝืนใจลูกน้อง หากอยากจะขายที่นาผืนน้อยเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่เกี่ยวกับทางร้านใดใดทั้งสิ้นเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา ยิ่งประเคนเด็กสาวเข้าปากอาเสี่ยพวกนี้ไม่มีทางเด็ดขาดเพราะเธอเองก็มีลูกสาวตั้งสองคน ได้แต่บ่นเสียดายอยู่ในใจ
“เจ๊ก็รู้ว่าหนูมีแม่ต้องดูแล อาทิตย์นึงทำสองสามวันพอไหว ถ้าให้ทำทุกวันไม่ไหวหรอก อีกอย่างต้องพาแม่ไปหาหมออาทิตย์ละสองวันด้วย” เจ๊สรพยักหน้าพลางถอนหายใจ
“ช่างเถอะ เอางี้ละกัน เดือดร้อนเมื่อไหร่ก็บอกละกัน” ปานประดับยกมือไหว้เจ้าของร้านอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณมากค่ะเจ๊ หนูไปก่อนนะ” แม้เวลาจะล่วงเลยมาตีสามแต่เด็กสาวตรงหน้าที่สวมเสื้อยืด กางเกงยีนหลังจากเลิกงานยิ้มแป้นเมื่อถึงเวลากลับ อีกอย่างเพราะไม่ใช่พนักงานประจำเงินค่าจ้างจะจ่ายเป็นเงินสดหลังเลิกงานพร้อมกับทิปแยกกันต่างหาก
งานเสิร์ฟใครว่าสบาย ใบหน้าเปื้อนยิ้มกลับมาเรียบเฉยเมื่อสตาร์ทรถขวบขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจกลับห้องเช่า
ลูกค้าไม่เคยให้ทิปง่าย ๆ ถ้าไม่ยัดนม ก็ยัดก้น พยายามล้วงนั่นนี่ ปานประดับเลยต้องหูตาไวเพื่อพาตัวเองออกมาจากสถานการณ์เลวร้ายเหล่านั้น บ้างบังคับให้ดื่ม แต่เธอก็เอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิดทุกครั้ง และบางครั้งก็ไม่รู้ว่าโชคดีจะยังเข้าข้างเธออย่างนี้ทุกครั้งไหม
ปานประดับกลับมาที่ห้องเช่า เธอพยายามเดินให้เบาที่สุดเพราะกลัวรบกวนมารดาที่กำลังนอนหลับพักผ่อน
“ปาน”
“จ้ะแม่…ขอโทษด้วยนะจ๊ะที่ทำแม่ตื่น” แต่หญิงชรากลับส่ายหน้า หัวอกคนเป็นแม่ลูกสาวออกไปทำงานดึกดื่นใครจะหลับตาลง ปานประดับรีบวางถุงข้าวที่แวะซื้อข้างทางก่อนจะรีบไปล้างมือแล้วกลับมาหามารดา
“ปาน เหนื่อยหรือเปล่าลูก”
“ไม่จ้ะ นอนเถอะพรุ่งนี้ต้องไปโรงพยาบาลอีก”
“ปาน ถ้าแม่ไม่อยู่ปานต้องอยู่ให้ได้” ปานจิตลูบใบหน้าลูกสาวอย่างทะนุถนอม ตั้งแต่ที่รู้ว่าท้องก็คิดแล้วว่าชีวิตสองแม่ลูกจากนี้คงไม่ง่าย แต่จะให้ทำแท้งก็ตัดใจไม่ลง แต่สุดท้ายลูกสาวคนนี้ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะจ้ะ” ปานประดับสวมกอดพลางออดอ้อนเหมือนเด็ก
“แม่แก่แล้ว อีกอย่าง…” ปานประดับรู้ว่าแม่ของเธอจะพูดอะไร อาจเป็นเพราะรู้จักร่างกายตัวเองดี หรือไม่ไม่อยากเห็นลูกสาวต้องตกระกำลำบาก พ่อของปานประดับยังมีชีวิตอยู่…แถมอยู่อย่างดีด้วย แต่ปานประดับรู้ดี หากพ่อรักพวกเราจริงคงไม่ปล่อยให้สองแม่ลูกต้องใช้ชีวิตตามยถากรรมอย่างนี้
ไม่มีเขา…เธอกับแม่ก็อยู่กันมาได้ เธอไม่อยากบากหน้าไปขอร้องเขา บางทีการมีอยู่ของลูกสาวคนนี้อาจจะเป็นหนามตำใจเขาอยู่ก็ได้
“แม่เลี้ยงปานได้ ปานก็เลี้ยงแม่ได้เหมือนกัน จะเสียเงินเท่าไหร่ก็ช่างมัน ขอแค่แม่อยู่กับปานไปนาน ๆ ก็พอ”
สองแม่ลูกกอดกันกลมภายใต้ห้องเช่าอันซอมซ่อ “นอนได้แล้วจ้ะนี่ก็ดึกมากแล้ว”
“ปานเองก็เหมือนกัน”
“ปานอาบน้ำเสร็จก็จะนอนแล้ว คราวหลังไม่ต้องรอปานนะแม่ นอนก่อนได้เลย” ปานประดับประคองร่างกายมารดาเอนลงเตียงช้า ๆ ดึงผ้าห่มมาคลุมให้ก่อนจะผละไปอาบน้ำ
เราทั้งคู่ต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ บางครั้งโชคชะตาก็โหดร้ายและเล่นตลกกับเราได้เสมอ แต่อย่างน้อยการหลอกตัวเองก็ช่วยต่อเติมพลังใจที่ห่อเหี่ยวให้กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง
และการไปหาหมอครั้งนี้ก็เป็นอย่างที่ปานประดับคิดเอาไว้ แค่คีโมเข็มแรกแม่ของเธอก็แทบทนไม่ไหว แม้ว่าแม่จะปฏิเสธการรักษาหลายครั้ง แต่ปานประดับก็รั้นหัวชนฝา อย่างน้อยก็ต้องสู้เต็มที่ พยายามให้เต็มที่ที่จะต่อสู้กับโรคร้าย ตลอดที่อยู่ในห้องตรวจสองแม่ลูกจับมือกันแน่น ก่อนกลับปานประดับหาโอกาสพูดคุยกับคุณหมอเพียงลำพัง หากอยากเพิ่มความหวังก็ต้องอาศัยยามุ่งเป้าที่ว่า…แม้ว่าตัวยาจะเพิ่มโอกาสเพียง 1% กับการมีชีวิต มีโอกาสรอด ปานประดับก็อยากจะเสี่ยงเดิมพันครั้งนี้สักตั้ง
หากแต่การรักษามะเร็งบางชนิดที่ใช้ยามุ่งเป้าสามารถเบิกจ่ายเพียงบางตัวเท่านั้น ส่วนยาที่แม่เธอจะต้องใช้นั้นไม่สามารถเบิกจากสิทธิบัตรทองได้
ปานประดับเม้มปากพลันสมองขบคิดอย่างหนักถึงจำนวนเงินจากตารางที่คุณหมอยื่นมาให้ตรงหน้า หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลเธอก็ตัดสินใจต่อสายทันที
“ฮัลโหลเจ๊สร ยังต้องการพนักงานอยู่หรือเปล่าคะ”
“แล้วเราขอพี่หรือยัง” จินส่ายหน้า“แต่จินเป็นน้อง” จิรภีมม์แฝดน้องว่าพลางชี้นิ้วชี้เข้าหาตัว สามขวบแต่ช่างเจรจาและไม่ยอมเสียเปรียบใครหน้าไหนทั้งนั้น นายท่านจริญนั่งยอง ๆ พลางจ้องเข้าไปในดวงตาเด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงปกติ“จินเราเป็นน้องก็จริง แต่พี่เขาไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องยอมเราตลอดเวลาเพราะว่าเราเป็นน้องหรอกนะ” นายท่านจริญว่าพลางชี้นิ้วไปยังจินตะ“ถ้าอยากเล่นก็ต้องขอพี่เขาก่อน ถ้าพี่เขาไม่อนุญาตเราต้องรอ เข้าใจไหมครับเด็กดีของปู่” จิรภีมม์กอดอกพลางหันหลังให้ นายท่านจริญถอนหายใจพลางจับตัวเด็กน้อยให้หันหน้ามาประจันกันเหมือนเดิม“ขอโทษพี่เขา”“ไม่ จินไม่ผิด”“ไม่ผิดก็ไม่ต้องเล่น จนกว่าเราจะสำนึกค่อยไปเล่นกับพี่เขา” นายท่านจริญหันไปสั่งบรรพต “พาเด็กทั้งสองคนไปเล่นฝั่งโน้นก่อนไป”“ครับ” บรรพตรับคำ ก่อนจะพาเด็กทั้งสองไปเล่นอีกทาง“ถ้าจินว่าจินไม่ผิดก็ยืนอยู่กับปู่ที่นี่แหละ ปู่มีเวลาให้จินสำนึกผิดอีกนาน” นายท่านจริญว่าพลางยืนถือไม้เท้ายืนขึ้น รอให้หลานน้อยมีท่าทีสงบ พอได้ยินเสียงพี่ ๆ เล่นกันอย่างสนุกสนานก็อยากจะไปเล่นด้วยบ้าง จิรภีมม์ยืนอยู่อย่างนั้นสักครู่ก่อนจะจับขากางเกงคุณปู่เขย่ายิก
“ขอบคุณนะครับคุณปู่”“ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ”“แล้วแกจะมีข้ออ้างอะไรอีก อายุอานามเท่าไหร่แล้วเพิ่งจะมีลูกคนเดียว”“มีน้อยแต่โตมาอย่างมีคุณภาพ” เจอคำตอบนี้ไปจริญถึงกับจุกไปไม่ถูก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเฉไฉ“ระบบกงสียังอยู่ ใครมีลูกเล็กเด็กแดงฉันจะส่งเสียจนกว่าจะเรียนจนพอใจ” ก่อนจะเชิดหน้า“ข้าวของเครื่องใช้ก็เบิกกับบริษัท รวมทั้งค่าใช้จ่ายรายเดือน รวมถึงพี่เลี้ยงพอใจหรือยัง?”“อ่า…ผมขอคิดดูก่อนละกันครับ” นายท่านจริญกัดฟันกรอด จิรัติกรเคาะหน้าปัดนาฬิกาบอกความนัย“อาทิตย์ละวัน ตามนี้นะครับ”“แก!”“ก็ต้องดูพฤติกรรมคุณปู่ประกอบว่าพูดจริงทำจริงหรือเปล่า อาจจะเพิ่มเป็นสองถึงสามวัน พาไปกินข้าวที่ห้างได้บ้างอะไรบ้าง”“บรรพต! จัดการให้เรียบร้อยและเร็วที่สุด”“ได้ครับ!”คล้อยหลังปานประดับที่เดินกอดแขนสามีเอ่ยถามพลางทำสีหน้าเห็นใจ“ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ตาแก่นั่นต้องโดนซะบ้าง เธอก็เห็นผลลัพธ์ในการเลี้ยงลูกของเขาแล้วนี่”“จะว่าไปก็น่าเศร้านะคะ ท่านเลยตั้งความหวังไว้กับจินตะเอาไว้มากเลยทีเดียว” ปานประดับลูบหัวลูกน้อยด้วยความเห็นใจ“แล้วใครใช้ให้เลี้ยงลูกหลานแบบนั้นล่ะ” จิรัติกรตอบ
“คุณจะไม่ลงไปเจอหน่อยเหรอคะ”“ไม่ล่ะ…ชั่วโมงเดียว”“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” ปานประดับอุ้มลูกน้อยแนบอกโดยมีบอดีการ์ดเดินตามเป็นพรวน ลงไปหาคุณปู่ด้านล่าง นายท่านจริญที่ดูแก่ชราแต่ยังคงเหลือมาดท่านเจ้าสัว ยังคงความน่าเกรงขามแม้จะนั่งรอที่ห้องรับแขกด้านล่าง แต่สีหน้าเก็บซ่อนความกระวนกระวายไม่มิดชะเง้อมองหาหลานน้อยไม่วางตา“เดี๋ยวก็มาครับ” บรรพตที่ตามมารับใช้เอ่ยเตือน “นั่นไงครับ มาแล้ว”“ไหน ๆ”“สวัสดีค่ะ” ปานประดับยกมือไหว้พร้อมกับอุ้มจินตะที่หันหน้าออก“ขอฉันอุ้มหน่อย” ปานประดับให้อุ้มแต่โดยดีเพราะสงสารคนแก่ตรงหน้า ว่ากันว่าปู่ย่าสมัยที่เป็นพ่อแม่มักจะเข้มงวดกับลูก แต่กับหลานจะสปอยนั้นเป็นความจริง นายท่านจริญอุ้มจินตะโยกไปมาอย่างมีความสุขก่อนจะโบกมือน้อย ๆ บรรพตที่ถือหูกระเป๋าพลาสติกสีดำดูมีน้ำหนักเลื่อนมาทางปานประดับ“อะไรคะ”“ของรับขวัญหลาน” นายท่านจริญพูดโดยไม่เงยหน้ามามองปานประดับ พูดอ้อมแอ้มในคอ“ฉันเตรียมไว้นานแล้ว”“ขอบคุณค่ะ”“ของหลานไม่ใช่ของเธอ”“ดิฉันทราบค่ะ ไหน ๆ ก็มาแล้วไปเล่นกันที่สวนด้านหลังดีไหมคะ อากาศเย็นกำลังดี”“เธอนำไปสิ”“ได้ค่ะ”สักพักก็มีเสียงโวยวายเมื่อนายท่านจริญ
“ไอ้จิเมื่อไหร่แกจะเอาหลานมาให้ฉันอุ้ม” จิรัติกรยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะทำงานไม่สนใจเสียงก่นด่าของนายท่านจริญที่ดังลอดออกมาตามสาย แม้ว่าการให้กำเนิดทายาทของผู้บริหารยักษ์ใหญ่ JK1 GROUP ไม่ได้เป็นความลับแต่ก็ไม่เคยปรากฏบนสื่อที่ไหนมาก่อน อีกทั้งปานประดับเองก็อยากจะให้ลูกชายเติบโตมาอย่างอิสระ ไม่มีพันธะกับ JK1 GROUP ที่ต้องแบกภาระเอาไว้บนบ่าตั้งแต่ลืมตาดูโลกเพราะคำว่าทายาท เธอยากให้โอกาสลูกชายได้เลือกทางเดินเอง และเด็กชายจินตะเองก็ไม่เคยพบเจอญาติฝั่งเอกาฤกษ์ยกเว้นฝั่งแม่อย่างอารยาที่มาหา ช่วยเลี้ยงหลานอาทิตย์ละสามสี่วัน“นายท่านจริญมีหลานตั้งแต่เมื่อไหร่”“แก แกอยากเห็นฉันอกแตกตายใช่ไหม”“ก็แล้วแต่จะคิดครับ”“ฉันเป็นพ่อแก”“แล้ว?”“เมื่อไหร่แกจะยกโทษให้ฉัน”“แล้วต้องยกโทษให้ด้วยเหรอครับ”“ฉันสูญเสียลูกเต้าไปตั้งหลายคน ฉัน…ไม่อยากเสียแกไปอีกคน มีทางไหนที่พอจะให้ฉันแก้ไข แกบอกมาฉันจะทำ”“ขอคิดดูก่อนละกันนะครับ” จิรัติกรกดวางสายพร้อมกับเมินสายเรียกเข้าที่สั่นครืดคราดต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนต้องกดปิดสั่นแล้ววางไว้ในลิ้นชัก ปานประดับที่อุ้มลูกน้อยวัยหกเดือนที่กำลังฝึกน
“ไม่เคยได้ยินหรือคะ รักใครให้ดื่มนม นี่แหละค่ามัดจำของญ่า” เชาวน์ชลิตได้แต่เลยตามเลย เพราะเขาเองก็ยอมที่จะให้ชัญญ่ามัดมือชกในวิธีการของเธอเอง เอวบางเริ่มบดเบียดแนบชิดส่วนล่าง กระโปรงบางของชุดนอนที่เป็นปราการสุดท้ายปกปิดของสงวน ชัญญ่าเองก็ขุดหลุมรอเหยื่อเข้ามาติดกับอย่างแยบยลเช่นกัน พี่น้องคู่นี่แสบพอ ๆ กัน“ญ่า” เชาวน์ชลิตครางเสียงกระเส่าเมื่อกางเกงชุดนอนถูกถอดออกพร้อมกับส่วนชื้นแฉะที่ถูไถขึ้นลงหยอกล้อกับความเป็นชายให้ค่อย ๆ ผงาด“เป็นของญ่า แล้วญ่าจะไม่ทำให้พี่เชาวน์เสียใจ” คำนี้เขาเองต้องเป็นฝ่ายพูดไม่ใช่เหรอไง เชาวน์ชลิตที่กำลังจะอ้าปากแย้งริมฝีปากบางก็งับลงมาดูดดึงอย่างมันเขี้ยวเสียก่อน สายตาและท่าทางของชัญญ่าในตอนนี้เหมือนนางแมวยั่วสวาท ไม่เหลือเค้าชัญญ่าที่ขี้อายก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย“ญ่า เดี๋ยวจะเจ็บเอา” เมื่ออีกฝ่ายพยายามใช้ความเปียกปอนของเธอถูไถกับหัวบากนั้นช้า ๆ เหมือนจะเข้าแต่ก็ไม่เข้า เชาวน์ชลิตได้แต่ข่มความอึดอัดเอาไว้ไม่อยากจะกระแทกสวนขึ้นไปแรง ๆ เขาอยากจะทะนุถนอมคนตรงหน้าให้เหมาะสมกับที่ชัญญ่าคอยดูแลเขาเสมอมา ชัญญ่าก้มลงไปจูบตรงซอกคอไล่ลงมายังหน้าอกขาวที่เหมือนจะซูบผอมล
“ขอบคุณนะคะ” เชาวน์ชลิตที่หลังจากฟังคำตัดสินก็โล่งใจและกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และความกะล่อนก็เริ่มมีให้เห็น“ญ่ารับคำขอบคุณไว้ก็ได้ค่ะ แต่ว่าพี่เชาวน์ต้องกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง”“นี่คอนโดพี่”“งั้นญ่ากลับเอง” เรื่องอะไรเธอจะยอมให้เขากินฟรี แม้ว่าเธออยากจะกินเขาจนตัวสั่น ทำทีสงวนตัวเล็กน้อยแต่พองามย่อมเรียกคะแนนความน่ารักน่าเอ็นดูเพิ่มขึ้นเป็นกองข้อมือขาวถูกจับไว้หลวม ๆ พร้อมกับวางทาบไว้ที่หน้าอกซ้าย“พี่เพิ่งผ่านเหตุการณ์หน้าเสียวหน้าขวานมา ญ่านอนเป็นเพื่อนพี่ได้หรือเปล่า”“อ้อนวอนหรือคะ”“ใช่”“แล้วให้ญ่านอนในฐานะอะไร”“แล้วญ่าอยากได้ฐานะอะไรล่ะ” ชัญญ่าทำสีหน้าครุ่นคิด“ขอคิดดูก่อนละกัน”“อย่าคิดนานพี่แก่แล้ว”“เหอ ๆ ญ่าไม่ใช่ของตายนะคะ”“พี่ไม่เคยเห็นญ่าเป็นของตาย เพียงแต่เมื่อก่อน…” เชาวน์ชลิตหลุบตา“เราอายุห่างกันมากขนาดนั้น” ชัญญ่ายักไหล่“ก็จริง…อีกอย่างเด็กหนุ่มมหาลัยกับเด็กสาวม.ต้นก็ยังไง ๆ อยู่”“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก อีกอย่างเรามีศักดิ์เป็นน้องไอ้จิด้วย เอาน้องเพื่อนเป็นแฟนก็ยังไงอยู่ ตอนนั้นพี่เองไม่มีความคิดจะหยุดที่ใคร”“เหรอคะ…ตอนนี้ล่ะ”“พี่ว่าตอนนี้ถูกที่ถูกเวลา และพี่







