Masukโรงพยาบาลเสียเหอ
ภายในห้องพักคนไข้ ร่างระหงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีเพียงสายน้ำเกลือให้ทางเส้นเลือดเพื่อทำให้เธอไม่อ่อนเพลีย ทว่าฟางเซียนหลับใหลประหนึ่งเจ้าหญิงนิทราก้าวเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว หญิงสาวยังคงนอนหลับไม่ยอมลืมตาขึ้นมาแม้แต่น้อย ท่ามกลางความห่วงใยของพ่อและแม่ของเธอ ซึ่งรีบรุดเดินทางสู่แผ่นดินจีนทันทีที่ได้ทราบข่าวจากทางมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ท่ามกลางสายตาของคนเป็นพ่อหวังจิ้นหยางและคนเป็นแม่หวังเจิ้นลี่ ทั้งสองคอยผลัดเปลี่ยนดูแลแก้วตาดวงใจของเขาซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลหวังด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ แม้นว่าทั้งคู่จะมีอาชีพแพทย์ด้วยกันทั้งคู่ก็ตา แต่ก็ไม่สามารถหาสาเหตุการหลับใหลดั่งเช่นเจ้าหญิงนินทราของบุตรสาวเพียงคนเดียวได้ สร้างความทุกข์ใจให้กับคนเป็นพ่อและแม่อย่างยิ่งยวด “คุณคะ ทำไมฟางเซียนถึงได้หลับนานถึงเพียงนี้ นี่ก็เข้าห้าวันแล้ว ทำไมลูกของเรายังไม่ตื่นอีก เมื่อไรลูกจะตื่นเสียทีคะคุณ” เจิ้นลี่คร่ำครวญอยู่ตรงหน้าสามีก่อนจะยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาตัวเอง ท่ามกลางเสียงถอนหายใจของผู้เป็นสามีเมื่อเห็นภรรยาตกอยู่ในความเศร้าโศกเช่นนั้น “ถ้าลูกของเรายังหลับไม่ยอมตื่นแบบนี้เห็นทีคงต้องพาลูกกลับอเมริกา บางทีลูกอาจจะฟื้นขึ้นมาก็ได้ถ้าไม่ได้อยู่ที่แผ่นดินจีนต่อไป” เจิ้นลี่เงยหน้ามองสามีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “คุณหมายความว่ายังไงฉันไม่เข้าใจ อธิบายให้ชัดเจนและให้เข้าใจอีกครั้งได้ไหมคุณ” เธอบอกสามีสีหน้าบ่งบอกถึงความกังวลมิใช่น้อย จิ้นหยางมองหน้าภรรยาของเขาก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องราวเมื่อสิบเก้าปีก่อน เหตุการณ์ที่เขาไม่เคยลืมเลือนไปตลอดชีวิตนับตั้งแต่ที่เขาเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นในวินาทีที่ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาได้เกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้ “เมื่อสิบเก้าปีก่อนวันที่ฟางเซียนเกิด ผมเห็นผู้ชายในชุดนักรบโบราณยืนมองฟางเซียนตอนที่เธอเกิดมาในขณะที่คุณกำลังอุ้มอยู่ในห้องผ่าตัด ตอนแรกผมนึกว่าตาฝาดแต่คุณเชื่อไหมว่า ผมเห็นผู้ชายในชุดนักรบโบราณคนนั้นทุกวันทุกคืนเขาจะคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ฟางเซียนอยู่ตลอดเวลา และนี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงย้ายไปอยู่อเมริกา เพราะผมกลัวว่าสักวันหนึ่งผู้ชายคนนั้นจะมาเอาลูกของเราไป” จิ้นหยางเล่าเหตุการณ์ที่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นพบให้ภรรยาคู่ชีวิตได้ล่วงรู้ คำกล่าวของสามีเล่นเอาเจิ้นลี่ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ทำไมคุณไม่เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง เก็บเอาไว้ทำไมคนเดียวแต่บางทีสิ่งที่คุณเห็นอาจเป็นวิญญาณของบรรพบุรุษทางคุณหรือทางฉันก็ได้นะคะ ที่คอยตามปกป้องลูกของเรา “ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิ แต่ตรงข้ามมันไม่ใช่เลย” คำกล่าวของสามีทำให้ภรรยาคู่ชีวิตถึงกับยกมือขึ้นทาบอกตัวเอง “คุณหมายความว่ายังไงจิ้นหยาง” เธอถามพร้อมมองหน้าสามีเพื่อรอคอยคำตอบ จิ้นหยางเงียบงันไปเพียงครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาเมื่อนึกถึงคำกล่าวเมื่อสิบเก้าปีก่อนของดวงวิญญาณนักรบที่เขาเห็น “นักรบโบราณคนนั้นเขาบอกกับผมว่า ฟางเซียนเป็นของเขา เมื่อถึงเวลาเธอจะต้องไปอยู่กับเขาตลอดกาล” สิ้นเสียงกล่าวของสามีเจิ้นลี่แทบจะไร้สิ้นเรี่ยวแรง คำกล่าวที่แลดูเลื่อนลอยแทบไม่มีสาระและไม่สามารถเชื่อได้หากเป็นชนชาติอื่นย่อมไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน แต่ชาวจีนนั้นไม่ใช่เพราะพวกเขานับถือบรรพบุรุษและดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วอย่างยิ่งยวด ดังนั้นสิ่งนี้จึงถูกสอนมานับรุ่นต่อรุ่น “แล้วทำไมคุณถึงไม่ทัดทานยายหนูของเรา ปล่อยลูกเราให้มาที่นี่ทำไมในเมื่อล่วงรู้ว่าสักวันเขาจะมาเอาลูกของเราสองคนไป” “เพราะผมไม่อยากขัดใจลูก แกอยากมาเรียนและอยากมาอยู่ที่นี่ทำด้วยตัวเองจนสำเร็จ เราสามารถปฏิเสธได้เหรอ อีกอย่างเพราะผมคิดว่า เรื่องมันผ่านมานานแล้วมันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกระมัง แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่ไม่กี่วันลูกก็กลายมาเป็นแบบที่เราเห็นอยู่ตอนนี้” จิ้นหยางพูดพร้อมส่ายหน้าไปมาก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองเพื่อสะกดกลั้นน้ำตาแห่งความเสียใจของเขา จนภรรยาคู่ชีวิตก้าวเข้ามาสวมกอดพร้อมปลอบโยน “ลูกเรายังไม่ตาย เธอเพียงแค่กำลังหลับยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาเท่านั้นเอง ถ้าวิญญาณนักรบที่คุณเห็นจะเอาลูกไปอยู่ด้วยจริงๆ ป่านนี้ยายหนูคงไม่อยู่ในสภาพนี้ เราสองคนจะต้องจัดงานศพให้ลูกเสียมากกว่า บางทีอาจมีปาฏิหาริย์ก็ได้นะคุณฉันเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น” เจิ้นลี่บอกกับสามีด้วยความมั่นใจ แววตาของเธอในขณะนี้มีความมุ่งมั่นเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดผิดกับตอนแรก สองสามีภรรยาต่างสวมกอดกันภายในห้องพักของคนไข้ สายตาของทั้งคู่เฝ้ามองร่างระหงตรงหน้าที่กำลังหลับใหลอยู่ในขณะนี้ให้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตื่นมาพบกับพ่อและแม่ของเธอ หากแม้นดวงวิญญาณของลูกสถิตอยู่ที่ร่าง ขอจงรับรู้ไว้เถิดว่าพ่อและแม่เฝ้ารอคอยให้เจ้าฟื้นขึ้นมา แต่หากแม้นดวงวิญญาณล่องลอยไม่ได้สถิตอยู่ที่ร่างแล้วไซร้ ขอพ่อและแม่ได้รู้ว่าเจ้าอยู่แห่งหนใด ทั้งสองจะติดตามเอาดวงวิญญาณของลูกน้อยให้กลับคืนสู่ร่างงามนี้ดั่งเดิมในเวลาต่อมา ร่างงามที่อยู่เบื้องหน้าค่อยๆ เคลื่อนไหวขึ้นมาทีละน้อยทีละน้อย ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อและสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่อดวงตาที่ปิดสนิทมาอย่างยาวนานบัดนี้กำลังกลอกกลิ้งไปมาบ่งบอกให้ล่วงรู้ว่า ร่างตรงหน้ากำลังตื่นจากการหลับใหล เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นดวงตากลมโตที่กำลังกะพริบขึ้นลงติดๆ กันเพื่อขับไล่ภาพที่พร่ามัวก่อนจะค่อยๆ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างอย่างชัดเจน พระจันทร์ดวงใหญ่ลอยอยู่บนฟ้า ส่องแสงเหลืองนวลให้ความสว่างไปทั่วผืนแผ่นดินมังกร “โอ้โห! พระจันทร์สวยจังเลย ไม่เคยเห็นดวงใหญ่ขนาดนี้มาก่อน” สิ้นเสียงรำพึง เสียงของทุกคนที่อยู่หน้าเรือนนอนต่างร้องออกมาพร้อมกัน “ลี่เซียน! ลี่เซียนฟื้นแล้ว!” จางฮูหยินและอี้หานพร้อมสาวใช้ลี่อิงต่างรีบก้าวเดินเข้าไปหา จางฮูหยินโผเข้าสวมกอดร่างอรชรตรงหน้าด้วยความดีใจเป็นยิ่งนักเมื่อเห็นลูกสาวคนสุดท้องได้สติฟื้นขึ้นมาเสียที โดยมีอี้หานประคองร่างน้อยๆ จากพื้นให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมลูบเส้นผมยาวสลวยของน้องไปมาด้วยความดีใจเช่นกัน “แม่ดีใจเหลือเกินลี่เซียน ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นมาเส
คฤหาสน์ตระกูลจาง คืนวันพระจันทร์เต็มดวง ภายหลังที่หลวงจีนหนุ่มจางเฟยเทียนได้นำน้ำทิพย์บนยอดเขาดอกบัวจากเทือกเขาหวงซานหยดลงไปในปากให้กับลี่เซียนน้องสาวคนสุดท้องของตระกูลไปแล้วนั้น ตั้งแต่วันนั้นเวลาล่วงเลยผ่านไปสามวัน คืนพระจันทร์เต็มดวงก็ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเบื้องบน พระจันทร์ในค่ำคืนนี้ดวงใหญ่โตกว่าที่เคยเห็นมากมายยิ่งนัก อีกทั้งสุกสกาวส่องแสงเป็นประกายจนผืนแผ่นดินเบื้องล่างสว่างเรืองรองแม้จะอยู่ในช่วงเวลาแห่งรัตติกาลก็ตาม “ท่านพ่อ! ท่านแม่! พวกท่านมาดูพระจันทร์ในค่ำคืนนี้สิ ช่างแลดูใหญ่โตกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา สวยงามยิ่งนัก” คำกล่าวของจางอี้หานทำให้ประมุขของบ้านพยุงร่างฮูหยินก้าวเข้ามาในบริเวณพื้นที่หน้าลานกลาง บ้านซึ่งจัดเป็นสวนย่อม สองสามีภรรยาแหงนหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้าตามคำกล่าวของบุตรชายพร้อมเสียงรำพึง “เฟยเทียนบอกว่าวันใดที่พระจันทร์เต็มดวงและมีดวงใหญ่กว่าทุกครั้งวันนั้นคือวันที่ลี่เซียนจะฟื้นขึ้นมาใช่หรือไม่ท่านพี่” ฮูหยินจางเอ่ยถามสามีเพื่อความแน่ใจ หยวนฟู่พยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันแทนคำตอบของตนพร้อมเอ่ยขึ้น “เฟยเทียนไปอยู่เสียที่ใดกันเล่า พวกเจ้าเห็นคุณชายเล็กหรือไม่”
พระราชวังต้าหมิงกง ตำหนักองค์ชายหลี่หลงจี พระวรกายสูงใหญ่ของโอรสสวรรค์ พระนามหลี่หลงจี กำลังทอด พระเนตรภาพเขียนสีตรงหน้าด้วยความพึงพอพระทัยเป็นยิ่งนัก ด้วยภาพวาดดังกล่าวปรากฏเป็นภาพอิสตรีที่กำลังยืนชมดอกโบตั๋น ภาพวาดที่ขึ้นเป็นมันวาวยิ่งขับให้อิสตรีที่อยู่ในภาพดังกล่าวงดงามอย่างยิ่งยวด เสียงฝีเท้าของคนกำลังเดินก้าวเข้ามาใกล้พระตำหนัก พร้อมเสียงพูดคุยกับทหารรักษาการณ์อยู่หน้าตำหนักเพียงครู่ก่อนจะปรากฏร่างของแม่ทัพใหญ่จ้าวเทียนอี้หยุดยืนอยู่หน้าประตู “องค์ชายมีรับสั่งให้กระหม่อมเข้าเฝ้ามีสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยทูลถามพร้อมพระวรกายขององค์ชายหันกลับมาทอดพระเนตรแม่ทัพหนุ่มรูปงาม “ทหารหลวงไปตามเจ้าทันเวลา หาไม่แล้วเจ้าคงจะออกเดินทางไปแล้วสินะ” รับสั่งถามกลับไป “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ... ว่าแต่องค์ชายมีเหตุสิ่งใดหรือที่เรียกกระหม่อมเข้าเฝ้า” จ้าวเทียนอี้กราบทูลถามด้วยความสงสัย ก่อนจะเหลือบสายตาเห็นภาพวาดที่อยู่ในพระหัตถ์ และกำลังถูกยื่นให้ตรงหน้า “ข้าต้องการให้เจ้าตามหาหญิงงามในภาพวาดนี้ให้กับข้า มันเป็นภาพวาดที่ถูกส่งมาจากหัวเมืองไม่รู้ว่าเป็นหัวเมืองไหน เจ้ามีฝ่ายข่าวฝีมือดีมา
นครฉางอาน ปีที่ 2 ในรัชสมัยจักรพรรดิถังรุ่ยจง เมืองหลวงใหญ่แห่งแผ่นดินต้าถังในเวลานี้เต็มไปด้วยชาวเมืองฉางอานมากมาย กำลังยืนมุงเพื่ออ่านแผ่นประกาศของวังหลวง เนื่องจากมีข่าวลือแพร่สะพัดมานานไม่ต่ำกว่าสองเดือนแล้ว ว่าฮ่องเต้ถังรุ่ยจง จะทรงสละราชสมบัติให้กับพระโอรสองค์ที่สามพระนามว่า เจ้าชายหลี่หลงจี ทั้งนี้เพราะเหตุการณ์ในวังหลวงช่างสลับซับซ้อนยิ่งนัก ภายหลังรัชกาลของบูเช็กเทียน สภาพการเมืองภายในราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย เนื่องจากถังจงจงอ่อนแอ อำนาจทั้งมวลตกอยู่ในมือของเหวยฮองเฮา ที่คิดจะยิ่งใหญ่ได้เช่นเดียวกับบูเช็กเทียน เหวยฮองเฮาหาเหตุประหารรัชทายาท จากนั้นได้วางยาพิษสังหารถังจงจงฮ่องเต้ โอรสองค์ที่สามของถังรุ่ยจง นามหลี่หลงจีภายใต้การสนับสนุนขององค์หญิงไท่ผิงชิงนำกำลังทหารบุกเข้าวังหลวงสังหารเหวยฮองเฮาและพวก ภายหลังเหตุการณ์องค์หญิงไท่ผิงหนุนถังรุ่ยจงขึ้นครองราชย์ แต่งตั้งหลี่หลงจีเป็นรัชทายาท แต่แล้วองค์หญิงไท่ผิงพยายามเข้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่เกิดขัดแย้งกับรัชทายาทหลี่หลงจี ดังนั้นเพื่อตัดปัญหาและจะมีเหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้ ในปี 712 จักรพรรดิถังรุ่ยจงจึงสละราชย์สมบัติให้กั
หนึ่งเดือนผ่านไป บ้านตระกูลจางในยามนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ บ่าวไพร่นับร้อยทั้งชายหญิงต่างเฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรคุณหนูเล็กของตระกูลจะฟื้นขึ้นมาเสียที นับตั้งแต่พลัดตกลงไปในบ่อน้ำจนกระทั่งถูกช่วยขึ้นมา หมอยาที่ว่าเก่งกาจจากทั่วทุกสารทิศถูกเกณฑ์มารักษาคุณหนูบ้านตระกูลจางคนแล้วคนเล่า แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้จางลี่เซียนฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย ยังคงหลับใหลทอดกายอยู่บนฟูกนอนมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว “ท่านพี่ลี่เซียนนอนอยู่แบบนี้มาเดือนหนึ่งแล้ว มิมีทีท่าว่าลูกจะฟื้นขึ้นมาเสียที ข้าเป็นห่วงลูกใจจะขาดยิ่งแล้ว ทำไมนะเหตุใดจึงต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ด้วย” จางฮูหยินกล่าวพร้อมยกผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยซับน้ำตาของตัวเองด้วยความทุกข์ใจยิ่งนัก ท่อนแขนใหญ่ของผู้เป็นสามีตรงเข้าโอบกอดร่างอวบอิ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อปลอบประโลม สีหน้าของผู้นำตระกูลจางในขณะนี้มีแต่ความทุกข์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน “ทำใจดีๆ ไว้ฮูหยิน ลี่เซียนของเราจะต้องฟื้นขึ้นมา ลูกของเราต้องฟื้น ซึ่งข้าเองก็หวังไว้เช่นนั้น” “แต่นี่หนึ่งเดือนเข้าไปแล้วนะท่านพี่ยังไม่มีวี่แววที่ลูกจะฟื้นเลย ถ้าหากไม่ตื่นขึ้นมาเลยจะทำเช่นไรต่อไปดี โธ่ ลูกรักของแม่ ตื่นขึ้
ดวงวิญญาณของฟางเซียนจากยุคปัจจุบันได้มาปรากฏอยู่ในยุคอดีตที่กาลเวลาย้อนกลับไปกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี ในรัชสมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง กษัตริย์องค์ที่หกแห่งราชวงศ์ถัง ดวงวิญญาณของฟางเซียนถูกนำกลับมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เมื่อคนทางวังหลวงได้มาพบหญิงงามที่สุดในแผ่นดินต้าถังและถูกเรียกตัวเขาวังเพื่อถวายตัวให้กับจักรพรรดิถังเสวียนจง ทำให้เกิดเรื่องราวมากมายทั้งความรัก ริษยาและการแย่งชิงภายในราชสำนักฝ่ายใน และทำให้จางลี่เซียนในชาติอดีตพบจุดจบอย่างน่าเวทนา และร่างของคุณหนูจางลี่เซียนก็คืออดีตชาติของเธอนั่นเอง ดวงวิญญาณของหญิงสาวถูกแรงดึงดูดมหาศาลดึงดวงวิญญาณของเธอเข้าไปในร่างของคุณหนูเล็กแห่งบ้านตระกูลจางอย่างรวดเร็ว ทำให้ดวงวิญญาณจากยุคปัจจุบันและดวงวิญญาณจากยุคอดีตซึ่งเป็นอดีตซาติของเธอหลอมเข้ากลายเป็นดวงจิตและดวงวิญญาณดวงเดียวกัน ล่วงรู้ภพอดีตชาติและภพอนาคตอย่างไม่คาดฝัน ท่ามกลางความงุนงงและสับสนของหญิงสาวที่ไม่รู้ว่าบัดนี้เธอมาอยู่ ณ ที่แห่งหนใดกันหนอ “นี่ฉันอยู่ที่ไหน! ฉันอยู่ที่ไหน!” สิ้นเสียงรำพึง ฟางเซียนสิ้นสติไปทันทีพร้อมกับร่างงามก็เริ่มจมดิ่งลงไปอยู่ที่ก้นบ่อ กระดองเต่าที่สลักจา







