Share

บทที่ 6

"ทำห่อหมกครับป้า เอาไว้ผมจะเอาไปขายนะครับ" สิงห์ตะโกนตอบกลับไป

"เออ เอาสิ กลิ่นหอมแบบนี้น่าจะอร่อยทีเดียว เสร็จแล้วเอามาให้ป้าลองสักห่อนะ!" เสียงป้าชื่นตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี

คำพูดนั้นทำให้สิงห์ใจชื้นขึ้นมาอีกเป็นกอง เขามองลูกสาวตัวน้อยที่ยืนยิ้มแป้นอยู่ข้างเตาถ่านราวกับว่าห่อหมกเป็นสมบัติล้ำค่า ไม่นานนักห่อหมกทั้งหมดก็สุกได้ที่พอดี

ปลากริมใช้ผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ จับฝาซึ้งที่ร้อนระอุออกอย่างระมัดระวัง ไอความร้อนที่หอมกรุ่นพวยพุ่งขึ้นมาปะทะใบหน้า เนื้อห่อหมกในกระทงใบตองดูนุ่มฟู หัวกะทิที่หยอดไว้แตกมันสวยงามน่ากินเป็นที่สุด

สมองของเชฟสาวในร่างเด็กเริ่มทำงานถึงราคาขาย (ปลาช่อนตัวใหญ่มาก ได้เนื้อปลาเยอะ เราทำออกมาได้ทั้งหมด 15 กระทงพอดี...ตั้งราคาขายห่อละ 50 สตางค์ก็แล้วกัน เพราะเราใส่เนื้อปลาเยอะไม่ได้มีแต่แป้งกับผักเหมือนเจ้าอื่น)

เธอคิดในใจอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปพูดกับพ่อ

"พ่อจ๋า เราเก็บไว้กินกันสี่กระทงนะจ๊ะ คนละกระทงเลย ส่วนที่เหลืออีกสิบเอ็ดกระทง เราเอาไปขายกัน"

สิงห์พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นลูกมือของลูกสาวไปแล้ว แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดีอย่างน่าประหลาด

ก่อนจะรับฟังลูกสาวต่อ "พ่อจ๋า เอาห่อหมกกระทงนี้ไปให้ป้าชื่นก่อนเลยจ้ะ กระทงแรกของร้านเราเลยนะ เป็นการประเดิมเอาฤกษ์เอาชัย" ปลากริมบรรจงเลือกห่อหมกที่ดูสวยที่สุดส่งให้พ่อด้วยรอยยิ้มกว้าง

สิงห์รับกระทงห่อหมกที่ยังร้อนกรุ่นมาถือไว้ในมือ ความรู้สึกภาคภูมิใจแล่นปราดเข้ามาในหัวใจ ไม่นานชายหนุ่มที่เดินหายไปยังร้านป้าชื่นก็เดินนำเงินเหรียญห้าสิบสตางค์แรกที่ได้จากการขายกลับมาให้ลูกสาว ดวงตาของสองพ่อลูกสบกันอย่างมีความหมาย...นี่คือรายได้แรกจากหยาดเหงื่อแรงกายของพวกเขา

หลังจากจัดการเรื่องธุรกิจเล็ก ๆ เรียบร้อยแล้ว ปลากริมก็หันมาจัดการเรื่องปากท้องของคนในครอบครัว เธอเหลือบไปเห็นไข่ไก่ที่แม่ตั้งใจจะต้มให้เธอกับน้องแบ่งกันยังคงวางอยู่ในตะกร้า

จากนั้นเด็กหญิงก็เดินไปที่เตาถ่านที่ยังร้อนอยู่ จัดการต้มไข่ที่เหลืออยู่หนึ่งฟองนั้นจนสุก พอไข่เย็นลงเธอก็จัดการปอกเปลือกอย่างบรรจงแล้วยื่นส่งให้น้องชายที่นั่งรอตาแป๋วอยู่

"ปั้นขลิบกินนะ พี่กินห่อหมก" เธอพูดพลางลูบหัวน้องชายอย่างเอ็นดู

ปั้นขลิบรับไข่ต้มมาถือไว้ในมือเล็กแล้วฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ เหตุการณ์ทุกอย่างครอบครัวผ่านไปจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด เย็นวันนั้น...บนแคร่ไม้ไผ่เก่าหน้าบ้านมีสำรับกับข้าวง่าย ๆ ที่ดูพิเศษกว่าทุกวัน ข้าวสวยร้อน ๆ กับห่อหมกปลาช่อนฝีมือเชฟปลากริมวางอยู่ตรงหน้าทุกคนในครอบครัว

มันไม่ใช่แค่อาหารมื้อค่ำ...แต่มันคือรสชาติของความหวังและจุดเริ่มต้นใหม่ของครอบครัว ค่ายมวยสิงหราชที่กำลังจะกลับมาผงาดอีกครั้ง

ซึ่งหลังจากบัวกลับมาจากขายขนมที่ยังเหลืออยู่นิดหน่อยก็ได้แต่มองกับข้าวอย่างประหลาดใจ กระนั้นเธอก็คิดว่าควรให้ทุกคนกินให้อิ่มก่อนค่อยถาม

เมื่อมื้ออาหารแห่งความหวังผ่านพ้นไป บัวที่เก็บสำรับเรียบร้อยแล้วจึงเดินมานั่งเคียงข้างลูกสาวตัวน้อย

"ปลากริม...ลูกไปเรียนทำห่อหมกเก่งอย่างนี้มาจากไหนกันจ๊ะ แม่ไม่เคยรู้เลยว่าลูกทำกับข้าวเป็นด้วย" เธอถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ซึ่งสิงห์ที่นั่งอยู่ด้วยก็รู้สึกประหลาดใจในคำถามของเมียรัก (ไม่ใช่ว่าปลากริมบอกว่าแม่เป็นคนสอนหรอกหรือ) เขาคิดก่อนจะนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ ข้างลูกชายที่กำลังนั่งมองคนในครอบครัวตาแป๋วสลับกันไปมา

ปลากริมนิ่งไปอึดใจหนึ่ง เธอรู้ว่าคำถามนี้ต้องมาถึงและเธอก็ได้เตรียมคำตอบที่น่าจะสมเหตุสมผลที่สุดสำหรับคนในยุคนี้ไว้ในใจแล้ว เด็กหญิงสูดหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะเล่าด้วยน้ำเสียงใส ๆ แต่จริงจังที่ทำให้คนเป็นพ่อแม่ยกมือทาบอกด้วยความคาดไม่ถึงระคนตกใจ

"คืออย่างนี้จ้ะ พ่อจ๋า แม่จ๋า ตอนที่หนูสลบไปหลังจากตกน้ำ...มีคุณยายใจดีคนหนึ่ง ท่านใส่ชุดสวยมากเหมือนคนสมัยก่อนเลย ท่านจูงมือหนูพาไปเที่ยวในที่ที่สวยเหลือเกิน และที่แห่งนั้นก็มีแต่ดอกไม้กับขนมหลากหลายแบบเต็มไปหมดเลยจ้ะ จากนั้นท่านก็ถ่ายทอดเรื่องการทำของหวานของคาวให้กับหนู ท่านสอนทุกอย่างเลยนะจ๊ะ...อีกทั้งยังกำชับหนูอีกว่าให้เอาความรู้เหล่านี้มาช่วยครอบครัวของเราให้ได้"

สิ้นคำพูดของปลากริมทั้งสิงห์และบัวต่างหันมาสบตากันด้วยความตกตะลึง แววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อระคนขนลุกซู่

"คุณ...คุณยายคนนั้น...ท่านชื่ออะไรลูก ท่านบอกไหม" คนเป็นแม่ถามเสียงสั่นน้ำตาจวนเจียนจะหยด หัวใจของหล่อนเต้นแรง

ปลากริมแสร้งทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่ง "ท่านไม่ได้บอกชื่อจ้ะแต่ท่านใจดีมาก ๆ เลย"

น้ำตาของแม่บัวเริ่มไหลรินออกมา "ต้องใช่แน่ ๆ...ต้องเป็นคุณยายกระถินของลูกแน่ ๆ...ท่านคงเป็นห่วงพวกเรา" เธอพึมพำกับตัวเอง

"ท่านเป็นแม่ของแม่เองลูก...ท่านจากแม่ไปตั้งแต่แม่ยังอายุแค่สิบห้า..."

ธารามลในร่างปลากริมได้แต่พยักหน้าเออออไปตามน้ำ เพราะในนิยายไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย แต่นี่กลับกลายเป็นข้ออ้างชั้นดีที่ทำให้ความสามารถเกินวัยของเธอดูมีที่มาที่ไปอย่างน่าอัศจรรย์

หลังจากบรรยากาศซาบซึ้งระคนลี้ลับผ่านไป ปลากริมก็เปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้แม่จมอยู่กับความเศร้านาน

"พ่อจ๋า แม่จ๋า เรามานับเงินกันเถอะจ้ะ!"

เด็กหญิงเทเหรียญทั้งหมดที่ได้จากการขายห่อหมกสิบเอ็ดกระทงลงบนแคร่ไม้ มีทั้งเหรียญบาท เหรียญสลึง และเหรียญห้าสิบสตางค์ผสมปนเป เธอนับรวมกันได้ห้าบาทห้าสิบสตางค์

บัวมองกองเงินเล็ก ๆ นั้นแล้วน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาอีกรอบ แต่ครั้งนี้เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ

"เงินนี่...มันมากกว่าค่าแรงที่แม่เดินหาบขนมขายทั้งวันเสียอีกนะลูก"

ปลากริมยิ้มกว้าง เธอรวบกองเงินนั้นไว้ในอุ้งมือเล็กแล้วยื่นให้แม่ "ถ้าอย่างนั้นเงินจำนวนนี้เราเอามาเป็นทุนก้อนแรกในการทำขนมหวานของเราขายกันเองดีไหมจ๊ะแม่ เราไม่ต้องไปรับของใครมาขายแล้ว!"

ความคิดของเด็กหญิงทำให้สองสามีภรรยามองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับลูกสาวอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

"แล้ว...เราจะทำขนมอะไรขายกันดีล่ะลูก" สิงห์ถามขึ้น

ปลากริมชี้ไปยังเครือกล้วยน้ำว้าที่พ่อเพิ่งตัดมาจากดงกล้วยข้างบ้าน ซึ่งเป็นผลงานของแม่นางตานีที่เนรมิตให้เธอตามที่ผีสาวกล่าว

"เราจะทำกล้วยบวชชีกันจ้ะพ่อ! แต่...กล้วยบวชชีของปลากริมจะธรรมดาได้ยังไง!" เด็กหญิงพูดพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย ธารามลคนนี้จะใช้พิมพ์กดให้กล้วยเป็นรูปดอกไม้สวย ๆ เลยคอยดู! เธอคิดก่อนจะพูดออกมาอย่างมั่นใจ

"หนูจะทำกล้วยให้เป็นรูปดอกไม้จ้ะ รับรองไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน" ความคิดสร้างสรรค์ที่ดูเรียบง่ายแต่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในยุคนี้ทำให้พ่อกับแม่ได้แต่นึกทึ่งในตัวของลูกสาว

ดูเหมือนว่าคุณยายกระถินในความฝันคงจะมอบของขวัญล้ำค่าที่สุดมาให้ครอบครัวของพวกตนเพื่อที่จะได้พ้นจากความยากลำบาก

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 171

    คำตอบที่ชัดเจนนั้น...คือการยืนยันอย่างสมบูรณ์ว่าลูกสาวของเธอได้มองเห็นแม่นางตานีกับแม่นางกวัก สองสหายต่างภพของตัวเอง ภายในค่ำคืนนั้น...หลังจากที่ส่งลูก ๆ เข้านอนเรียบร้อย...ปลากริมก็ได้ตัดสินใจเล่าความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอให้เทวากรผู้เป็นสามีฟังเป็นครั้งแรก... ยกเว้นเรื่

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 170

    หลายปีต่อมา...ในคืนวันศุกร์ที่แสนคึกคักใจกลางย่านพระอาทิตย์...แสงไฟนีออนสีน้ำเงินนวลสาดส่องลงบนป้ายชื่อร้านที่ออกแบบอย่างมีรสนิยม... "พระอาทิตย์ บลูส์" (Phra Athit Blues) นี่คือไพรเวทแจ๊สคลับที่หรูหราและเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในพระนคร และเจ้าของคลับแห่งนี้ก็คือสองหนุ่มโสดที่เนื้อหอม

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 169

    "ต้องได้สิ!" ข้าวเหนียวตอบอย่างหนักแน่น แม้ในใจจะเริ่มรู้สึกไม่ต่างกัน "นายอย่าลืมสิว่าการทำธุรกิจมันไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ นายก็เห็นแล้วจากตัวอย่างของทั้งพ่อครูและแม่ครู ไหนจะปลากริมกับพี่เขยของนายอีก" คำพูดนี้ได้ทำให้ปั้นขลิบมีไฟขึ้นมาอีกครั้ง "พี่พูดถูก ผมจะมาท้อง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้"

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 168

    หลังจากที่สองสหายคู่ซี้อย่างข้าวเหนียวและปั้นขลิบ...ที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋...ได้เดินทางกลับมาถึงพระนครหลังจากไปทำหน้าที่อาสา พวกเขาก็ได้รับวันหยุดพักผ่อนอย่างเต็มที่ และเมื่อสองหนุ่มโสด...โปรไฟล์ดี...ผู้มีพลังงานล้นเหลือได้กลับคืนสู่เมืองหลวง...ค่ำคืนแห่งความสนุกสนาน

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 167

    สิ้นเสียงตะโกนของลูกน้อง...เสียงปืนกลก็ดังขึ้นจากแนวป่ารกทึบ! พวกเขาถูกซุ่มโจมตี! "หมอบลง! หาที่กำบัง!" เพชรตะโกนสั่งการอย่างไม่ตื่นตระหนก เขายิงต่อสู้เพื่อคุ้มกันให้ลูกน้องได้เข้าที่กำบังอย่างปลอดภัย...ทักษะการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วว่องไวราวกับเงาที่เขาได้มาจากมวยไชยา...ได้ถูกนำมาปรับใ

  • ฉันนี่แหละนักเลงขนมหวาน "ฟันน้ำนม" แห่งพระนครยุค 2500   บทที่ 166

    หลังจากเรื่องราวภายในครอบครัวผ่านพ้นมาได้ด้วยดีครอบครัวใหญ่แห่งบ้านสิงหราชก็ได้เติบโตและงอกงามขึ้นอย่างมีความสุข มะตูมและนีรนาถมีทายาทชายคนแรกเป็นโซ่ทองคล้องใจ ส่วนปลากริมและเทวากรก็มีลูกสาวตัวน้อยที่น่ารักน่าชัง... ค่ำคืนหนึ่งบนโต๊ะอาหารที่แสนอบอุ่นและคึกคักของบ้านสิงหราช เพ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status