Share

บทที่ 4

เช้าวันต่อมา ยังไม่ทันที่ฟ้าจะสว่างผู้คนมากมายแต่ละครัวเรือนก็เริ่มทยอยเดินออกจากบ้าน การกินข้าวของคนในยุคนี้จะกินกันช่วงเที่ยงจากนั้นก็จะกินอีกครั้งหลังเลิกงาน

สาเหตุที่พวกเขาต้องรีบไปลงไร่ลงนาแต่เช้าเนื่องจากอากาศยังไม่ร้อนหากสายกว่านี้ก็จะต้องใช้แรงมากขึ้น

เพราะแสงแดดระหว่างวันเริ่มสาดแสงถึงแม้ว่าช่วงนี้จะยังมีลมเย็นพัดมาก็ตาม กระนั้นสำหรับคนทำงานกลางแจ้งย่อมต้องเหนื่อยล้ากว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว

คนบ้านกู้ในตอนนี้ทั้งซานไห่กับเอ๋อกั๋วต่างแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสีเข้มรองเท้าหนังซึ่งเป็นคู่เก่าเก็บที่คนทั้งสองต่างทะนุถนอมมาอย่างดีเพราะรองเท้าคู่นี้เป็นน้ำพักน้ำแรงของพี่ชายคนโตที่ใช้เลือดเนื้อแลกกับเงินส่งมาให้ทางบ้าน

กล่าวถึงบุตรชายคนโตของนางโม่กับสามีผู้ตายจาก บุตรคนนี้ได้สมัครเข้าร่วมกองทัพเมื่อปี1950 ซึ่งนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็สิบปีเต็ม สิ่งที่ผู้เป็นแม่ได้รับหลังจากบุตรชายจากไปสามปีคือจดหมายรวมถึงเงินที่เขามักจะส่งมาทุกเดือนไม่เคยขาด

แม้นางโม่จะดีใจที่ได้รับจดหมายจากลูกทว่าสิ่งที่นางปรารถนามากที่สุดก็คือหวังให้ลูกชายกลับมาหาตนอย่างปลอดภัยโดยเร็ววันอย่าได้โชคร้ายตายจากเหมือนกับผู้เป็นพ่อ

ย้อนกลับไปในวันที่นางได้ทราบข่าวถึงการเสียชีวิตของสามี จำได้ว่าตอนนั้นนางแทบล้มทั้งยืนแม้ว่าจะทำใจไว้บ้างแล้วก็ตามเช่นเดียวกับลูกชายทั้งสาม

และยังไม่ทันที่ความเสียใจต่อจากการจากไปของผู้เป็นพ่อจะคลายลงพี่ชายผู้ที่แก่กว่าซานไห่ถึงห้าปีก็ไปแอบสมัครเข้าร่วมกับกองทัพในปีถัดมา ซึ่งในตอนนั้นเขากับพี่รองยังเรียนหนังสืออยู่

“อาไห่ แกคิดอะไรอยู่พี่เรียกตั้งนานก็ไม่ขาน” เอ๋อกั๋วยกมือจับบ่าของน้องชายพลางถามออกมาด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรครับ พวกเรารีบไปกันเถอะหากไปช้ามากกว่านี้ได้เดินเข้าเมืองกันแน่” ซานไห่ส่ายศีรษะตอบปฏิเสธ

“อืม แต่ก่อนไปพี่ขอเข้าไปบอกหลานสาวตัวน้อยก่อนนะ รับรองพวกเราย่อมโชคดีตลอดวัน” เอ๋อกั๋วไม่รอให้น้องชายตอบรับ เจ้าตัวก็รีบสาวเท้ามุ่งไปทางห้องของมารดาเสียแล้วโดยมีซานไห่มองตามด้วยรอยยิ้มขัน

“ไปหอมแก้มลูกน้อยบ้างดีกว่า” เขาพึมพำพลางเดินตามพี่คนรองไปติด ๆ

“แม่ครับ หลานน้อยตื่นหรือยัง” เอ๋อกั๋วส่งเสียงออกไปก่อนตัว “จะเสียงดังทำไม หากหลานสาวของฉันตกใจขึ้นมาละก็ฉันจะตีแก” โม่โฉวกล่าวขู่ออกมาจากภายในห้อง

ฟางซินส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา ผู้เป็นย่าถึงกับดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ

“อาไห่ อากั๋ว แกรีบเปิดประตูเข้ามาเร็วเข้า เป่าเป้ย” น้ำเสียงอันแตกตื่นของผู้เป็นแม่ยังพูดไม่ทันจบ

เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น “แม่ เป่าเป้ยเป็นอะไร” น้ำเสียงของซานไห่เริ่มร้อนรน

“เธอหัวเราะ” “ห๊ะ! แม่ว่าอะไรนะ เป่าเป้ยหัวเราะไม่ใช่ว่าแม่หูฝาดหรอกหรือ” จบคำของลูกชายคนรอง เสียงเพียะ! ก็ดังขึ้นที่ต้นแขนของเขาทันที

“แม่ตีผมทำไม” เอ๋อกั๋วถามขึ้นสีหน้าแหยเก

“ก็สมควรไหมล่ะ จู่ ๆ มาหาว่าแม่หูฝาด แกลองไปดูที่เตียงสิอาไห่ยังหยอกล้อกับลูกอยู่เลย”

เอ๋อกั๋วจึงได้เดินเข้าไปและก็ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจของหลานตัวน้อยเข้าจริง ๆ เด็กหญิงหัวเราะเริงร่าตีแขนขา ป้อม ๆ ไปมาอย่างถูกใจยามพ่อของตนแลบลิ้นปลิ้นตา

“แม่ หลานน้อยหัวเราะ”

นางโม่ส่งค้อนให้บุตรชายคนกลางก่อนมองเมินไม่สนใจเขาอีก “เป่าเป้ย หลานหิวหรือยัง” ฟางซินส่งเสียงร้องออกมาสามครั้ง “หิวแล้วสินะ ย่าจะพาหลานไปกินนม ว่าแต่แกสองคนไม่รีบไปรายงานตัวอย่างนั้นหรือ”

คำถามของผู้เป็นแม่ได้ทำให้สองพี่น้องมองหน้ากันไปมา “ไปครับ แต่จะมาขอโชคจากหลานน้อยก่อน” เอ๋อกั๋วยกมือลูบท้ายทอยด้วยท่าทางเก้อเขิน

“ถ้าอย่างนั้นก็บอกกับหลานสิ” โม่โฉวอุ้มเด็กตัวเล็กเข้าไปใกล้ใบหน้าของลูกชายทั้งสองคน “เป่าเป้ยอวยพรให้พ่อกับลุงโชคดีด้วยนะครับ” ซานไห่พูดกับลูกสาวเสียงนุ่ม

“เป่าเป้ย หากลุงกับพ่อทำงานได้ราบรื่นได้เงินมาเมื่อไหร่ลุงจะซื้อไก่มาตุ๋นให้กินนะ” หลังเอ๋อกั๋วพูดจบประโยคชายหนุ่มก็ถูกสายตาพิฆาตของมารดามองแรง

“หลานยังกินได้แต่นมเผื่อแกลืม” โม่โฉวพูดดักคอ ฟางซินหัวเราะออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าคล้ายร้องไห้ของคนเป็นลุง เสียงคิกคักของเด็กหญิงทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสามพากันอารมณ์ดี

“ไปได้แล้ว แม่ก็ขอให้แกสองคนโชคดีเช่นกัน หากพี่ใหญ่ของแกได้กลับมาก็คงดี” นางโม่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มทว่าน้ำเสียงตอนท้ายค่อนข้างแผ่วเบาจนทำให้คนฟังรู้สึกเศร้า

“แม่ครับ ผมเชื่อว่าอีกไม่นานพี่ใหญ่จะต้องได้กลับมาแน่” ซานไห่กล่าวปลอบใจมารดาก่อนที่จะหันไปทางลูกน้อยที่นิ่งคล้ายฟังการสนทนาของพวกเขารู้เรื่อง “หากลุงใหญ่ของลูกรู้ว่าตัวเองมีหลานสาวเขาจะต้องรีบกลับมาดูหนูเป็นแน่”

โม่โฉวดวงตาเป็นประกาย “ใช่แล้ว แม่ยังไม่ได้ให้แกเขียนจดหมายถึงพี่เลยนี่ อาไห่แกรีบไปเขียนจดหมายส่งไปบอกข่าวดีนี่กับเจ้าใหญ่ด้วย ทำไมแม่ลืมเสียสนิท”

“ครับ ผมจะรีบทำตามคำสั่งเดี๋ยวนี้เลย” คำตอบอันแสนทะเล้นของบุตรชายคนเล็กทำให้เกิดเสียงหัวเราะภายในห้องขึ้นอีกครั้ง

คล้อยหลังสองพี่น้องเดินออกจากบ้านไปไกลแล้ว นางโม่ก็หันมากล่าวกับเด็กน้อยในอ้อมแขน “พวกเราไปทุ่งนากันเถอะ แม่ของหลานกับป้าสะใภ้รองรวมถึงพี่ ๆ ต่างก็ไปที่นั่นกันนานแล้ว”

คำพูดของคนเป็นย่าทำให้ฟางซินรู้สึกสะดุดใจแบบแปลก ๆ (คงไม่ใช่อย่างที่เราคิดหรอกใช่ไหม)

สายตากลมดำราวเมล็ดองุ่นของหลานสาวที่จ้องตาของตนทำให้นางโม่หัวใจอ่อนยวบ “หลานหิวมากไหม อดทนหน่อยนะย่าจะรีบเดิน”

ฟางซินพยายามส่งเสียงอ้อแอ้ (แปลได้ว่าย่าไม่ต้องรีบ หนูทนได้) ทว่าเสียงนี้กลับไปไม่ถึงหูของผู้เป็นย่า นางโม่รีบเดินไปทางไร่ข้าวโพดโดยไม่หยุดพัก

เมื่อเจ้าตัวมาถึงก็เห็นหลานชายสามคนยกเว้นต้าโถวกับกู้เอ่อที่ไปโรงเรียน “ต้าซวนแม่ของหลานอยู่ตรงไหน”

“ย่า น้องหิวหรือครับผมจะไปตามแม่ให้” เจ้าของชื่อหยุดขีดเขียนบนพื้นดินแหงนหน้าพลางถามคนเป็นย่า

“ใช่ น้องสาวของหลานหิวแล้วว่าแต่พวกหลานหิวกันไหม เมื่อย่ากลับไปย่าจะเผามันให้กิน” โม่โฉวตอบพร้อมกับถามหลานชายทั้งสามคนที่มีรูปร่างผอมอย่างเป็นห่วง

แม้ยุคนี้จะต้องประหยัดอาหารแต่กับหลาน ๆ นั้นนางไม่อยากให้พวกเขาอยู่อย่างลำบากและทนหิวเช่นผู้ใหญ่

“หิวครับ” สามเด็กชายเอามือลูบท้องตอบออกมาพร้อมกัน

ฟางซินฟังบทสนทนาด้วยหัวใจอันหวาดหวั่น (ในตอนนี้ฉันอยู่ยุคไหนกันแน่ เหตุใดถึงต้องกินมันเทศเผาแทนข้าว) คำถามซึ่งไร้คำตอบทำให้ใบหน้าของเด็กน้อยเริ่มไม่น่าดู

“ได้ หลังจากน้องสาวของหลานกินนมอิ่มย่าจะกลับไปเผามันเทศให้คนละหัว” นางโม่ตอบรับหลานชายโดยไม่เกี่ยงงอน

“อัยย๊ะ! คนบ้านกู้นี่ช่างน่าอิจฉาเสียจริงลูกชายคนโตก็ได้เป็นทหารมีเงินส่งมาทุกเดือน

ส่วนคนรองกับคนเล็กก็ยังได้ทำงานโรงงานอีก ถึงว่าในยุคที่ผู้คนกำลังประหยัดหล่อนยังกล้าเผามันให้หลาน ๆ ได้กินคนละหัว

เป็นฉันละคงไม่กล้าหรอกทำเพียงต้องนำมาหั่นต้มรวมกับข้าวเท่านั้นแหละช่างมือเติบเสียจริง” น้ำเสียงแสดงความอิจฉาดังออกมาจากปากของคู่ปรับเจ้าเดิมตั้งแต่สมัยที่นางโม่แต่งเข้าบ้านกู้มาใหม่ ๆ ดังขึ้น

“เสียงนกเสียงกานี่ช่างน่ารำคาญเสียจริง เป่าเป้ยหลานอย่าไปฟังนะ” นางโม่ลอยหน้าลอยตาพูดขึ้นราวชมนกชมไม้

ส่วนคนฟังก็ได้แต่กระทืบเท้าอย่างขัดใจ เพราะผู้ที่ตนตั้งใจต่อว่าหาได้สนใจในตัวเองไม่

และในขณะที่เจ้าตัวกำลังจะเปิดปากอีกครั้งก็มีเสียงดังของแม่สามีดังขึ้นจากด้านหลัง “หล่อนจะยืนอู้อีกนานไหม รีบไปทำงาน หากค่าแรงถูกตัดละน่าดู”

สะใภ้บ้านอู๋ที่ยังปากดีอยู่เมื่อครู่ทำท่าทางคล้ายแมวหวาดกลัวหนู เธอจึงได้รีบเดินไปทำงานของตนทันที

“ย่า พวกเราไปหาปลาได้ไหม” คำถามของซีห่าวทำให้ โม่โฉวหันมาสนใจหลานชายอีกครั้ง

“ย่าไปด้วยก็แล้วกัน เอาเป็นว่าพวกแกกลับบ้านไปกับย่าก่อนหลังจากกินมันเผาพวกเราค่อยไปจับปลา”

“ดีครับ” เด็กสองคนไม่มีใครค้าน

เวลาผ่านไปราวสิบนาที ร่างของต้าซวนก็เดินเคียงข้างมากับลี่จิน “เป่าเป้ย แม่ของหลานมาแล้ว” ลี่จินคิดจะรับตัวลูกสาวทว่าแม่สามีกลับไม่ยอมส่งให้ “ไปล้างมือก่อน จากนั้นค่อยไปหาที่ลับ ๆ ให้นมเป่าเป้ย”

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำอย่างว่าง่าย พร้อมกันนั้นก็มองมือของตนไปด้วยและเมื่อเห็นสภาพมือของตนเธอก็รู้สึกอายเพราะมันเลอะคราบดินคราบโคลนทั้งสองข้าง

หลังจากลูกสะใภ้เดินไปทางริมลำธาร นางโม่ก็พาหลานทั้งสี่คนรวมเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนไปนั่งยังร่มไม้ใหญ่

ทางด้านลี่จินหล่อนรีบล้างมือจนเจ้าตัวเห็นว่าทั้งหน้าและหลังสะอาดดี หล่อนจึงได้เดินไปหาแม่สามีกับบุตรชายหญิง “เอาละแม่กับเด็ก ๆ จะกั้นผ้าให้ลูกรีบให้นมเป่าเป้ยซะ”

แม่สามีผู้รอบคอบได้นำผ้าที่เธอนำใส่ตะกร้าหวายสะพายหลังขึงออกเป็นผืนยาวซึ่งผ้าผืนนี้เธอซื้อมาด้วยเงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว

ลี่จินพยักหน้าด้วยความซาบซึ้งในสิ่งที่แม่สามีกระทำให้กับตนเป็นอย่างมาก (จะมีสักกี่คนที่รอบคอบและดีกับลูกสะใภ้เช่นแม่สามีของหล่อนกัน) หญิงสาวคิดในขณะเปิดเต้าให้ลูกน้อยได้ดื่มด่ำกับมื้ออาหารของเจ้าตัว

ฟางซินดูดกลืนน้ำนมจากอกของมารดาทั้งสองข้างจนเต้าเต่งตึงของผู้เป็นแม่เริ่มแฟบเด็กหญิงจึงได้หยุดปาก

“ลูกรัก อิ่มหรือไม่” ลี่จินถามเมื่อเห็นว่าบุตรสาวปล่อยเต้าของตนออกจากปาก ฟางซินอยากจะตอบเหลือเกินว่าอิ่มมากแต่ก็ต้องจนใจ

เมื่อลี่จินไม่เห็นว่าลูกของตนจะกินอีกหล่อนจึงได้อุ้มลูกขึ้นพาดบ่าและลูบหลังให้เบา ๆ เสียงเรอของคนตัวเล็กทำให้ผู้เป็นแม่ยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข

“อิ่มแล้วสินะ” นางโม่พูด จากนั้นหล่อนจึงได้พับผ้าเก็บใส่ตะกร้าตามเดิม

“แม่ไปแล้วนะ ตอนเที่ยงจะเอาข้าวมาส่งบอกกับเสี่ยวเซียนด้วย” โม่โฉวพูดขึ้นในขณะรับหลานน้อยมาแนบอก

“ค่ะ”

เด็กชายสามคนก็เดินตามย่ากลับบ้านราวลูกเป็ดเดินตามแม่ ทั้งสามคนพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน

“เอาละพวกหลานดูแลน้องสาวให้ดีนะ ย่าจะไปเผามันมาให้กิน จากนั้นเราจะไปจับปลากัน” นางโม่พูดขึ้นเมื่อเดินมาถึงบ้านและวางหลานสาวลงบนเก้าอี้หวายตัวเก่าซึ่งเป็นของสามีผู้ลาลับ

“ครับ” เด็กชายสามคนตอบรับเสียงดัง ในเวลานี้ฟางซินดวงตาเริ่มมองเห็นชัดขึ้น

เธอถึงกับตกใจเมื่อมองเห็นสภาพของพี่ชายทั้งสามคนที่ผอมบางราวกับกระดาษผิวของแต่ละคนก็เป็นสีทองแดง

“น้องสาว พี่คือพี่ใหญ่นะชื่อกู้ซีซวน” ต้าซวนพูดไปยิ้มไปให้น้องสาวผู้น่ารักราวตุ๊กตาในภาพวาดช่วงปีใหม่

“ผมพูดกับน้องด้วย น้องสาวพี่ชื่อกู้ซีห่าวนะครับเป็นพี่รอง” เด็กชายผู้มีใบหน้าคล้ายพี่ชายคนโตกล่าวด้วยรอยยิ้มจนตาปิด

“ให้พี่แนะนำตัวบ้าง น้องสาวพี่คือกู้ซานเหมาเป็นลูกของกู้เอ๋อกั๋วลุงรองของน้องนะพวกเราเป็นพี่น้องกัน”

ฟางซินส่งยิ้มออกมาให้พวกเขาจนน้ำลายไหลย้อยออกมาจากมุมปาก “อาห่าวไปหาผ้าเช็ดหน้ามา” ซีซวนบอกน้องชายเมื่อเห็นน้ำลายของน้องสาว “ครับ”

ผ้าเช็ดหน้าสีเข้มจากมือของน้องชายส่งให้กับคนเป็นพี่ ซีซวนรับผ้ามาเช็ดน้ำลายให้น้องน้อยอย่างเบามือ

“น้องสาวพี่จะคอยดูแลน้องเอง” เจ้าตัวพูดขึ้นพลางมองใบหน้าขาวเนียนของน้องน้อยด้วยรอยยิ้มเป็นสุข

“พี่ก็ด้วย” สองเด็กชายไม่ยอมน้อยหน้าจึงได้พูดออกมาบ้าง

โม่โฉวยืนมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มกว้างด้วยความชื่นใจที่หลาน ๆ ของตนเป็นเด็กดีและรู้ความกันทุกคน

“มันเผาได้แล้วมากินก่อนเถอะ” น้ำเสียงของย่าทำให้เด็กชายทั้งสามหันไปมองพร้อมกัน “ครับ เป่าเป้ยพี่ไปกินมันเผาก่อนนะเอาไว้เมื่อไหร่น้องโตขึ้นพี่จะเผาให้น้องกินเหมือนกัน”

ฟางซินทำเพียงยิ้มหวานให้พี่ชายคนโตของตน หลังจากเด็กทั้งสามกินมันเทศเผาลงท้องเรียบร้อย นางโม่ก็เดินมาอุ้ม ฟางซินโดยมีตะกร้าสะพายหลังตามเดิม

ผู้เป็นย่าพาหลานชายทั้งสามเดินลัดเลาะไปทางป่าริมภูเขาซึ่งเป็นคนละฝั่งกับแปลงข้าวโพด “จะไปไหนกัน” เสียงทักทายจากเพื่อนบ้านถามขึ้นตามประสาคนคุ้นเคย

“ว่าจะไปจับปลา ไปก่อนนะ” นางโม่ตอบตามจริง สองเท้าของนางพาหลาน ๆ เดินลัดเลาะไปตามท้องทุ่งจนถึงริมลำธารแห่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างลับตา

“เอาละจับปลากันตรงนี้แหละน้ำค่อนข้างตื้นปลาก็เยอะ พวกหลานดูน้องนะย่าจะลงน้ำเอง” นางโม่ไม่พูดเปล่านางได้ส่งหลานตัวน้อยให้กับต้าซวน จากนั้นจึงได้พับขากางเกงขึ้นเหนือหัวเข่า

ฟางซินตัวน้อยนอนคิดถึงความฝันของเมื่อวานเจ้าตัวจึงได้ตั้งสมาธิและนึกถึงปลาในน้ำ

“พวกเจ้าที่คิดว่าตัวใหญ่กระโดดขึ้นมาเดี๋ยวนี้ขอสักห้าตัว” สิ้นคำพูดนี้ยังไม่ทันที่คนเป็นย่าจะเดินลงน้ำ

ปลาตัวใหญ่คะเนจากสายตาน้ำหนักน่าจะราวสองถึงสามชั่งก็กระโดดขึ้นมาจากน้ำถึงห้าตัว “ย่า! ปะ...ปลา มีแต่ตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ว่าแต่ทำไมพวกมันถึงกระโดดขึ้นมาจากน้ำได้ล่ะครับ” ซีห่าวเรียกย่าเสียงดังพร้อมกับถามขึ้นอย่างตกใจ

“ย่าเองก็ไม่รู้” นางโม่พูดขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้นต้าซวนก็พูดขึ้นเมื่อมองเห็นใบหน้าแย้มยิ้มของน้องสาวในอ้อมแขน “ย่า น้องสาวยิ้ม”

นางโม่รีบเดินเข้าไปหาหลานตัวน้อยก่อนถามขึ้นอย่างโง่งม “เป่าเป้ยเรื่องนี้เกิดเพราะหลานหรือไม่” นางคิดว่าตัวเองช่างเหลวไหลไปใหญ่แล้ว

แต่ทว่าเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอืออาของคนตัวเล็กนางก็ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตื่นตระหนก

“รีบไปหาเถาวัลย์มาร้อยปลาเตรียมกลับบ้าน จำไว้ว่าปลาพวกนี้ย่าเป็นคนจับและห้ามพูดเรื่องของน้องสาวออกไปโดยเด็ดขาด เพราะหากมีคนรู้พวกเราจะไม่ได้เห็นหน้าน้องสาวอีกเข้าใจไหม” นางโม่รีบกล่าวกำชับหลานชายทั้งสามเสียงเครียด

“ครับ ปลาพวกนี้ย่าเป็นคนจับ” เด็กทั้งสามกล่าวออกมาพร้อมกันเพียงแค่พวกเขาคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าของน้องสาวตัวน้อยอีกเด็กทั้งสามก็พากันตัวสั่น

“เป่าเป้ยหากหลานจะทำอะไรแบบนี้อีกหลานต้องระวังให้มากอย่าให้คนอื่นเห็นนะเข้าใจไหม” แม้ว่าโม่โฉวจะยังไม่มั่นใจในเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพราะหลานสาวคนเล็ก ก็ตามแต่นางจำต้องกล่าวเตือนออกมาก่อน ฟางซินกะพริบตาส่งเสียงอื้ออ้ารับคำ

(หลานสาวของฉันน่าทึ่งเกินไปหรือไม่) นางโม่ได้แต่คิดพลางโอบอุ้มหลานสาวแนบอกอย่างปกป้อง

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   บทที่ 257

    “แต่ผมก็ยังมองว่าลูกยังเด็กอยู่ดีนะครับ นี่ลูกโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” คำแก้ตัวของคู่ชีวิตทำให้ฟางซินส่งยิ้มคล้ายอ่อนอกอ่อนใจ วันคืนเปลี่ยนผัน จนกระทั่งคนทั้งคู่ผมเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน แม้จะเป็นอย่างนี้ทว่าร่างกายของมู่เฉินกลับยังคงแข็งแรงแม้ว่าเขาจะมีอายุมากกว่าภรรยารักถึงสิบปีเต็ม

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   บทที่ 256

    หน้าสมุดบันทึกเล่มหนึ่งภายในนั้นได้มีตัวอักษรงดงามเรียบเรียงเอาไว้อย่างงดงามเป็นระเบียบ ลมจากทางหน้าต่างหอบใหญ่ได้พลิกหน้ากระดาษหลายหน้านั้นขึ้น จนทำให้หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้กำลังสาละวนอยู่กับการนำสิ่งของมากมายออกจากกล่องต้องรีบลุกขึ้นมาหยิบสมุดเล่มดังกล่าว “เฮ้อ! ดีนะที่ไม่เส

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   บทที่ 255

    ฟางซินนั่งลงเอาศีรษะของตนซบลงบนตักของหญิงชราอย่างเศร้าสร้อยแม้ว่าเธอในตอนนี้จะไร้ซึ่งพลังแห่งจิตวิญญาณแต่เธอรู้ดีว่าหญิงชราจะสื่อถึงอะไร ปีก่อน ๆ อาจารย์ปู่ใหญ่กับเจิ้งลู่ก็ทยอยล้มหายจากไปกันทีละคนตามสังขารมาบัดนี้ย่าผู้ชราก็ยังมาพูดแบบนี้อีกแม้ว่าหล่อนจะทราบดีว่าเรื่องเช่นนี้ย่อมต้องเกิ

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   บทที่ 254

    สวัสดีครับ ผมคือกู้ซินเซิงหรือคนในครอบครัวมักจะเรียกว่าเสี่ยวเซิง ผมหาใช่ลูกหลานตระกูลกู้อย่างแท้จริงไม่แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลยในเรื่องของความรักและความกตัญญูที่ผมมีต่อคนในครอบครัวนี้ ทั้งนี้เป็นเพราะนับตั้งแต่วันที่พี่สาวคนดีของผมได้ช่วยให้รอดจากความตายตั้งแต่ครั้งยังเป็น

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   บทที่ 253

    “หล่อนท้องได้สิบสัปดาห์แล้วมากกว่าเป่าเป้ยเล็กน้อยไปฝากท้องพร้อมกันเถอะ” ใบหน้าของคนภายในห้องโถงต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากเป่าเป้ยตั้งครรภ์มู่เฉินคอยดูแลภรรยาของตนเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับบรรดาพี่ชายของหญิงสาว เพราะหลังจากฟางซินตั้งครรภ์จู่หว่านเองก็กำลังตั้งครรภ์กับเมิ่งกวา

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   บทที่ 252

    “พ่อบุญธรรมรีบเลยครับ ผมช่วยอุ้มดีไหม” เจียอินแทบจะทำตามที่พูดเมื่อเห็นว่าพ่อผู้ชรายังนั่งคล้ายไม่ทุกข์ร้อนอยู่ที่เดิม “เฮ้อ! แกนี่นะโตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวไม่มีสติอีก ดูเจ้าตัวเขายังไม่ร้อนใจขนาดแกเลย หล่อนต้องเดินเข้ามาหาฉันสิ แกลืมแล้วเหรอว่าฉันอายุเท่าไหร่แล้ว” เหตุที่อู๋เหยียนไม่รู้

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status