LOGIN“ข้าไม่มีหลานดื้อด้านอย่างเจ้า”
ข้ายังจำวาจาตอกกลับของอีกฝ่ายได้ดี
“ว่าอย่างไรไอ้หนู ไขปัญหาที่ข้าถามได้แล้วรึ”
ตาเฒ่าที่นางกล่าวถึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดแหบ ใบหน้าครึ้มไปด้วยหนวดเคราที่ไม่ได้รับการโกนเป็นปี
ข้าอยู่กับตาเฒ่าผู้นี้ตั้งแต่เด็ก หนวดยามนั้นเท่าไหร่ก็ยาวเท่านั้นมาเสมอ คงเป็นเพราะไม่มั่นใจในใบหน้าที่แท้จริงของตนเองกระมังจึงไม่โกนหนวดออกให้เรียบร้อย
ข้าล่ะเสียดายแทนจริง ๆ ขนาดมองภายนอกดูตอนนี้ข้ายังคิดว่าความจริงแล้วอีกฝ่ายต้องหล่อเหล่าเอาการเชียวแหละ
“ยังเจ้าค่ะ ขะ...”
ปึก ไม้เท้าที่เคยนอนสงบเสงี่ยมข้างกายเจ้าของบัดนี้ถูกตาเฒ่าโยนออกมากระทบเหม่งข้าพอดี แรงขนาดไม่หนักเกินไปทว่าก็ไม่เบาจนคนหนังหนาอย่างข้าไม่รู้สึก ทำให้ข้ายกมือขึ้นมาลูบบริเวณที่โดนปอย ๆ
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าหากไขปัญหามิได้ไม่ต้องมาหาข้า...หากอยากเป็นบัณฑิตยอมไม่ควรผิดคำสัญญาต่อผู้ใด”
“แต่ข้า...”
“ออกไป เดี๋ยว! นี้!”
“ข้ามีเรื่องสำคัญมาบอกท่านนะเจ้าคะ เรื่องนี้หยวน ๆกันมิได้หรือ”
สุดท้ายข้าก็ต้องวิ่งเปิดเปิงออกมาเมื่อตาเฒ่าตั้งท่าจะสาดน้ำในขันใส่ข้า
เป็นแบบนี้ทุกที นอกจากจะเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดแล้ว เขายังเป็นบุคคลที่จริงจังยิ่งนัก ไม่เคยปรานีข้าเลยสักครั้งไม่ว่าข้าจะใช้ลูกอ้อนใดก็ตาม
ราวหนึ่งครั้งต่อเดือนข้าจะได้รับปริศนาที่แสนยากมาหนึ่งข้อ หากข้าตอบไม่ได้ตาเฒ่าก็จะไม่สอนอะไรข้าต่อ แต่หากตอบได้ก็จะสามารถขอให้สอนอะไรก็ได้หนึ่งอย่างตามที่ข้าต้องการ
สตรีบ้านป่าอย่างข้าเคยเรียนพิณก็เพราะชายผู้นี้นี่แหละ
ช่วงนี้ข้ายุ่งอยู่กับเรื่องปล่อยข่าวลือตัวเองจึงไม่มีเวลาไขปริศนาข้อล่าสุดเสียที
ข้าได้แต่ถอนหายใจและก็เดินออกมานั่งที่โขดหินไม่ไกลจากกระท่อมหลังน้อย มือบางเรียวของข้าล้วงเข้าไปในหน้าอกเสื้อเพื่อหยิบแผ่นกระดาษที่ถูกเขียนปริศนาเอาไว้
ข้ายอมรับแต่โดยดีว่าตั้งแต่ได้รับปริศนามายังไม่ได้เปิดดูเลยสักครั้ง ครานี้นับเป็นครั้งแรกที่เห็น
ตัวอักษรจีนลายมือของท่านอาจารย์สวยงามและมั่นคงดุจหินผายิ่งนัก ข้ามองกี่ทีก็รู้สึกชื่นชม
ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามข้าก็สามารถไขปริศนาในกระดาษได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แปลก ปริศนาครานี้ง่ายยิ่งนัก ข้ามองแปบเดียวก็เห็นทางสว่างแล้ว
ไม่รอช้าข้าวิ่งเข้าไปเคาะประตูสานอย่างไม่รีบร้อน
“ตาเฒ่าเจ้าคะ ปริศนาท่านง่ายดายยิ่งนัก ข้าปลอกกล้วยเข้าปากยังลำบากกว่านี้อีกเจ้าค่ะหรือเพราะท่านอายุมากแล้วจึงคิดคำถามไม่ออก คราวหลังไม่ต้องลำบากท่านก็ได้เจ้าค่ะ ข้าจะได้ไม่ต้องคิดด้วย”
ข้าพูดเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อย หนึ่งคือต้องการกวนโมโหเจ้าของบ้านจะได้รีบมาเปิด สองคือเจ้าบ้านจะได้ไม่เหงา ไม่เศร้าโศกกับเรื่องราวในอดีตเลิกเก็บตัวเองจากผู้อื่นเสียที
โถ่ ข้าเดาว่าร้อยทั้งร้อยบุรุษที่หนีจากเมืองหลวงเข้าป่าเข้าดงเช่นนี้คงหนีไม่พ้นโดนสาวหักอกมานั่นแหละ
พลั่ก
ประตูถูกกระชากเปิดก่อนที่กระดาษในมือข้าที่เขียนคำตอบลงไปแล้วถูกดึงไปเช่นกัน
ตาเฒ่าไล่สายตาอ่านคำตอบไม่นานมุมปากท่ามกลางเคราดกดำก็กระตุกยิ้มขึ้นเป็นอันบ่งบอกว่าคำตอบข้าถูกต้อง
“ปริศนาง่ายลงเรื่อย ๆเลยนะเจ้าคะ หากท่านอายุมากก็ควรพักผ่อนมิใช่ให้การบ้านศิษย์รักเยอะแยะมากมายเช่นนี้ เนี่ยข้าหวังดีนะเจ้าคะ ข้ายังสาวแรงมีมากทำการบ้านให้ท่านไม่เดือดร้อนอันใดอยู่แล้ว แต่ข้าทำ ท่านก็ต้องมานั่งตรวจอีก เลิกเถอะเจ้าค่ะการบงการบ้านน่ะ โอ๊ย....ข้าเจ็บนะเจ้าคะ”
คราวนี้ข้าโดนมะเหงกลูกโตซ้ำรอยเดิม ใบหน้าน่ารักธรรมชาติของข้าจึงเบะปากราวกับเด็กน้อยโดนเพื่อนแกล้ง
“ข้าสอนให้เจ้ามาเถียงข้าเช่นนี้หรือ ส่วนที่ว่าข้อสอบมันง่ายมิใช่เพราะข้าคิดปริศนาง่ายขึ้นแต่เป็นเพราะเจ้าคิดเป็นมากขึ้น คลังความรู้ในหัวมีมากขึ้นต่างหากเล่า...เรื่องแค่ทำไมต้องให้ข้าบอก”
ข้ายิ้มแหย ๆส่งไปให้พร้อมกับส่งสายตาปริบ ๆ
“มาเข้ามา มีเรื่องใดจะบอกข้ารึ”
ข้าเดินตามเจ้าบ้านเข้าไปนั่งหน้ากองหนังสือกองหนึ่ง
“พรุ่งนี้ข้าจะต้องไปเมืองหลวงแล้วนะเจ้าคะ”
ปึก หนังสือในมือตาเฒ่าตกลงบนพื้น ข้าสังเกตเห็นแววตาของอีกฝ่ายสั่นระริก
ข้ามิเคยบอกเรื่องพลังของข้าและเรื่องเกิดใหม่ของข้ากับผู้ใดรวมถึงชายเบื้องหน้าด้วย....คงตกใจที่อยู่ดี ๆก็จะจากไป
หากข้าไม่ได้คิดเข้าข้างตนเอง ตาเฒ่าคงรู้สึกผูกพันกับเด็กกะโปโลเช่นข้าไม่น้อย
“โถ นี่ท่านตกใจหรือกลัวคิดถึงข้ากันเจ้าคะถึงกับทำตำราตกเชียว”
“เจ้า เจ้าจะไปทำไมที่นั่น”
“ข้าเป็นผู้วิเศษเจ้าค่ะ ขออภัยที่ข้ามิได้บอกเรื่องนี้กับท่าน”
“ผู้วิเศษรึ อย่างเจ้าเนี่ยนะ”
“เจ้าค่ะ ทางการหาตัวข้าเจอแล้วจึงส่งขบวนมารับข้า อีกหน่อยข้าไม่อยู่ท่านต้องเหงาแน่ ๆเลย หากอยากคุยกับใครก็เดินเข้าไปหาเพื่อนที่หมู่บ้านก็ได้นะเจ้าคะ คนที่นี่มิเหมือนคนเมือง ทั้งคุยง่าย น้ำใจงาม ไม่หน้าเนื้อใจเสืออย่างที่ท่านเคยเจอหรอกเจ้าค่ะ”
“....”
ข้ายังคงไม่หยุดพูดเมื่อเห็นตาเฒ่ายังคงมีสีหน้ามิใคร่ดีเท่าไหร่นัก
“ท่านมิต้องเป็นห่วงถึงข้าเป็นเด็กบ้านป่าแต่ข้าก็เรียนสิ่งที่จำเป็นต่าง ๆมากมายจากท่านมาจนครบแล้ว ข้ามั่นใจว่าข้าจะอยู่รอด ท่านอย่าลืมนะเจ้าคะว่าข้าคือใคร”
ข้ายืนตัวขึ้น ยืดอกทุบกำปั้นตัวเองที่อกสองที
“อย่างเซียวเฟยเจิน มิยอมให้ผู้ใดมารังแกง่าย ๆหรอกเจ้าค่ะ ลองเข้ามาสิ ขาข้าก็มี มือข้าก็มีข้าจะจัดการมิให้เหลือเลย”
ตาเฒ่ามองข้านิ่ง ๆ ดวงตาฉายแววกังวลชัดเจน
“คนในเมืองหลวงหน้าซื่อใจคด พูดอีกอย่างทำอีกอย่าง หากเจ้ามีผลประโยชน์เจ้าจะได้รับการสนับสนุน แต่หากเจ้าขัดประโยชน์ใครเข้าล่ะก็แม้ชีวิตมันก็สามารถกำจัดได้ง่าย ๆ
ยิ่งในวังหลวงขุนนางเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่หนึ่ง หากใครสามารถเป็นบันไดใช้ปีนป่ายได้มันก็จะเหยียบให้ตัวเองขึ้นไปโดยไม่สนใด ๆทั้งสิ้น ผู้ใดที่ไม่มีพวกอยู่มิได้ง่าย ๆหรอกนะ
การที่คนผู้หนึ่งมิมีหัวนอนปลายเท้าแต่กลับก้าวเข้าสู่ตำแหน่งใหญ่โตเช่นเจ้า เจ้าคิดว่าชะตากรรมของเจ้าภายในวังหลวงจะเป็นเยี่ยงใด
หากเจ้าคิดว่าตนเองจะมีหน้ามีตา ร่ำรวยได้เสวยสุขกับเงินทองที่ฮ่องเต้ประทานให้ เจ้าคิดเหรอว่าจะเป็นเช่นนั้นได้ มีใครในโลกนี้ให้ของเจ้าโดยมิหวังสิ่งใดบ้าง เหอะ”
ข้าตั้งใจฟังผู้ใหญ่พูดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทำไมข้าจะไม่รู้ในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกมา ข้าอ่านนิยายเล่มนี้มาก่อนนะ ทำไมข้าจะไม่รู้เรื่องซับซ้อนในวังหลวง แต่ข้ามีภารกิจเป็นของตัวเองที่แลกมากับหนึ่งชีวิตในชาตินี้ที่ต้องจัดการให้สำเร็จ
ข้าจึงเลือกเดินเข้าไปในกองไฟที่ไม่รู้จะมอดไหม้ตัวข้าหรือเปล่า
“ข้าจะจำคำสอนท่านให้มั่นเจ้าค่ะ หากมีโอกาสข้าจะกลับมาเยี่ยมเยียนท่านนะเจ้าคะ”
“เจ้าไม่ไปไม่ได้หรือ”
น้ำเสียงแหบทุ้มประกอบกับดวงตาจริงจังทำให้ข้าได้แต่ถอนหายใจ
“มิได้หรอกเจ้าค่ะ สวรรค์กำหนดเอาไว้แล้ว”
เฮ้อ ข้าได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนหายใจยาว ก่อนหันหลังกลับไปค้นหาบางสิ่งในกล่องสมบัติของตนเอง
ไม่นานป้ายหยกเนื้อดีข้างล่างห้อยด้วยพู่สีเขียวเข้มก็ถูกส่งมาตรงหน้าข้า
“ข้าให้เจ้าติดตัวไป มันเป็นเหมือนเครื่องลางไว้คุ้มกันภัย ห้อยติดตัวไว้ตลอดเวลานะศิษย์ข้า”
ข้ารับของชิ้นนั้นมาเพ่งพิศดูอยู่นาน
ของชิ้นนี้นอกจากมันคือหยกเนื้อดี ไม่ต้องพูดถึงราคาคนป่าอย่างนางคงไม่มีปัญญาซื้อได้แน่ ๆ บนแผ่นหยกนั้นถูกแกะสลักลวดลายสัตว์ประหลาดที่นางไม่เคยเห็น โดยรวมแล้วนางถูกใจของชิ้นนี้ยิ่งนัก
“ขอบคุณเจ้าค่ะ สวยมากข้าจะห้อยติดตัวตลอดเวลาเลยเจ้าค่ะ งั้นข้าลาก่อนนะเจ้าคะ หวังว่าเรามีบุญวาสนาได้พบกันอีกครั้งเจ้าค่ะ”
ข้าดีใจกับของขวัญชิ้นนี้ยิ่งนัก ข้ารีบลุกและออกจากกระท่อมอย่างรีบร้อนจึงมิได้ยินประโยคสุดท้ายของตาเฒ่า
“ข้ากลับหวังว่า เราอย่าได้เจอกันอีกเลย”
ค่ำคืนนี้ก็เช่นกันเฉิงหย่งจื้อเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะยิ่งไม่นอนใจยิ่งนึกถึงใบหน้าดื้อดึงที่มีนิสัยมิย่อมใครของหญิงคนรักดวงจันทร์วันนี้เกือบเต็มดวงเหลืองนวลลอยเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว เฉิงหย่งจื้อนอนเอาแขนก่ายหน้าผาก เปิดหน้าเอาไว้เช่นนี้ทุกค่ำคืนเพื่อให้ดวงจันทราอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงาแกร็ก แกร็กมีผู้บุกรุกมือหยาบที่มิได้จับอาวุธมานานของเฉิงหย่งตวัดไปจับมีดสั้นใต้หมอนของตนเองที่เอาไว้ในกรณีฉุกเฉินซึ่งเขามิได้มีโอกาสได้ใช้มันเลยตลอดสามเดือนนี้ชายหนุ่มแสร้งเป็นนอนหลับตาลง พยายามหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเพื่อให้ผู้บุกรุกตายใจคิดว่าเขานอนหลับสู่นิทราแล้ว พอมันตายใจเข้ามาในเขตแดนเตียงของเขาเมื่อไหร่เมื่อนั้นแหละถึงคราวฆาตของมันกลิ่นหอมหวานอันแสนคิดถึงลอยผ่านสายลมอ่อนเข้ามาแตะจมูกของชายหนุ่มที่แกล้งนอนหลับอยู่บนเตียงทำให้เฉิงหย่งจื้อเผลอใจเต้นรัวทั้งที่พยายามหายใจสม่ำเสมอให้เหมือนคนหลับ เปลือกตาหรี่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็มิให้มากจนเกินไปเพื่อมองตามเสียงเดินแผ่วเบาที่กำลังย่องเข้ามาใกล้เตียงของเขา บัดนี้มือหนาคลายจากมีดใต้หมอนเรียบร้อยแล้วได้แต่จิกผ้าปูที่นอนเพื่อระงับความตื่นเต้นที่กำลังท่วม
บทส่งท้าย“นี่เป็นจดหมายที่นางฝากคนใช้ให้มามอบให้พระองค์พะย่ะค่ะ คนของเราเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติจึงรีบส่งมาให้ข้าพะย่ะค่ะ แต่ข้าน้อยมิบังอาจเปิดอ่านจึงเลือกแจ้งพระองค์ดีกว่าพะย่ะค่ะ”กระดาษพับขนาดเท่าฝ่ามือถูกมอบให้เฉิงหย่งจื้อที่รีบขอตัวออกมาจากห้องอักษรของบิดาเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของสตรีคนรักเขารับจดหมายนั้นมาก่อนจะคลี่กระดาษเปิดอ่านข้อความข้างใน ‘ลาก่อน หมดหน้าที่หลักของข้าแล้ว หลังจากนี้ขอให้พวกเราได้ทำในสิ่งที่ประสงค์อยากทำ ขอให้ใช้ชีวิตเป็นอิสระอย่างที่ใจต้องการ ข้าขอไปตามทางของข้าในที่ที่ข้าอยากไป และสำหรับท่านก็เช่นกันเซียวเฟยเจิน’หมายความว่าเช่นไร...ไยนางจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ให้ข้าเฉิงหย่งจื้อละสายตาจากข้อความในกระดาษ“เฟยเจินยังอยู่ที่เรือนนางหรือไม่”ฉีหมิงที่อยู่ดีดีก็โดนยิงคำถามแปลก ๆ ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตั้งสติและตอบคำถามเจ้านายเท่าที่ชายหนุ่มรู้“ข้าน้อยมิรู้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนนางหรอกขอรับหากมิโดนเรียกเข้าไปใช้งาน...เกิดเรื่องอันใดหรือพะย่ะค่ะท่านอ๋อง”“นาง...หนีข้าไปแล้ว”ดวงตาสีดำสนิทจ้องเหม่อมองออกไปยังที่อันแสนไกล น้ำเสียงและแววตาตัดพ้อราว
และก็เป็นอย่างที่ฝ่ายเฉิงหย่งจื้อคาดการไว้ทางฝั่งฮ่องเต้เมื่อได้รู้จากเลี่ยงกงกงว่าลูกชายคนรองของตนขอเข้าเฝ้า จากที่ตอนแรกประทับอยู่ในห้องหนังสือเพื่ออ่านฎีกาที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะก็เตรียมตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้“บอกเจ้าสามว่าข้าไม่สะดวกให้เข้าเฝ้าวันนี้ วันอื่นค่อยให้มาใหม่ ข้าจะพักผ่อนเร็วหน่อยวันนี้”ฮ่องเต้กล่าวกับกงกงที่ทำสีหน้าลำบากใจอยู่เบื้องหน้าเสร็จก็เตรียมตวัดชายแขนเสื้อเพื่อหันหลังเดินออกทางประตูด้านหลังแทนที่จะเป็นประตูหลักข้างหน้าดั่งปกติ“ฝะ...ฝ่าบาท เกรงว่าครานี้จะไม่ทันเสียแล้วพะย่ะค่ะ ท่านอ๋องสามรออยู่ทะ...ไม่ทันแล้ว”ชายชราเลี่ยงกงกงยังพูดไม่ทันจบดี เจ้านายของตนที่ไม่รอฝั่งคำเขาจึงเดินออกทางประตูหลังเรียบร้อยแล้ว และก็เจอลูกชายของตนที่รู้ทันพ่อของตนหลังจากโดนผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายคราดักรอที่ประตูข้างหลังเฉิงหย่งจื้อในอาภรณ์ดำขลิบทองยืนมองบิดาตนด้วยใบหน้านิ่งสนิท ดวงตาสีดำเช่นเดียวกับสีผมมองมาที่คนอายุมากกว่าตรงหน้าเขม็ง ดุคมราวกับเหยี่ยวกำลังจ้องมองเพื่อจับผิดอีกฝ่าย“ลูกมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเสด็จใช้เวลาไม่นานหรอกพะย่ะค่ะ”“พ่อ...”แม้บนหน้าของเจ้าแผ่นดินจะไม่มีเม็ด
“เจ้ากำลังคิดถึงเรื่องอันอยู่รึ ไยจึงนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเช่นนั้น”ข้ามิรู้ตัวว่าตนเองกำลังนั่งท้าวคางบนมือของตนอยู่บนโต๊ะน้ำชารับแขกในเรือนตนเอง ใบหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่างที่กำลังเปิดอ้าอยู่ เวลาเย็นแดดจึงไม่จัดมาก ลมพัดโชยเข้ามาอ่อน ๆ นอกหน้าต่างไม่มีนก หรือแมลงบินตอมดอกไม้ให้ข้าได้ดูและทำให้ข้ายิ้มได้ ชายหนุ่มผู้ถือวิสาสะเดินเข้ามาในเรือนผู้อื่นแม้อยู่ในจวนตนเองก็เถอะจึงเอ่ยทักข้าอย่างฉงนใจเจือด้วยความไม่พอใจเนือง ๆ เพราะชายหนุ่มกลัวว่าที่ข้ายิ้มอาจเพราะคิดถึงบุรุษอื่นใบหน้าหล่อเหลาทว่าติดดุเข้มมของเฉิงหย่งจื้อโผล่เข้ามาในสายตาข้า ระยะห่างระหว่างใบหน้าเราห่างเพียงหนึ่งฝ่ามือทำให้ข้าผงะถอยหลังเล็กน้อย“ท่านเข้ามาในเรือนข้าได้อย่างไร...ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงฝีเท้าเลย” ประโยคหลังข้าบนพึมพำกับตนเองเบา ๆดวงตาคู่ดำสนิทไล่สายตาขึ้นลงราวกับกำลังไล่สำรวจเครื่องหน้าของข้าหากข้ามองไม่ผิด ดวงตาคู่ตรงหน้าเวลานี้คมราวกับเหยี่ยวสอดส่ายไล่เก็บภาพหญิงสาวคนรักตรงหน้า“ยังมิชินอีกหรือ เมื่อหลายวันก่อนเจ้ายังไม่เห็นขัดที่จะอยู่ห้องนอนเดียวกับข้าอยู่เลย”“นั่นมันตอนข้าแปลงเป็นบุรุษและเราทั้งสองคนกำล
“ข้ามีข้อตกลงเพิ่ม ข้าต้องการให้เจ้าเผยรูปโฉมที่แท้จริงออกมาด้วยหากเจ้าจริงใจอยากช่วยมิใช่เพื่อลวงหลอกให้ข้าเดินตามแผนของพวกเจ้า”ที่ข้าต้องการดูรูปโฉมที่แท้จริงเป็นเพราะข้าคิดว่าที่ข้าจำมิได้จากนิยายต้นฉบับอาจมีสาเหตุมาจากอีกฝ่ายปลอมตัว หากข้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงข้าอาจระบุตัวละครตัวนี้ได้และหากข้าระบุตัวตนของอีกฝ่ายได้นั่นเท่ากับข้าจะได้เลือกถูกว่าควรเลือกเชื่อนางดีหรือไม่นางระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ ข่มกลั้นความรู้สึกที่อัดอั้นข้างในอก“ได้ หากนั่นจะทำให้ท่านเชื่อว่าข้าหวังดี”มือบางที่คล้ำหมองเพราะพอกผงสีดำพลางตัวเพื่อแปลงกลายยกขึ้นมาทั้งสองข้าง นางจัดการลอกหน้ากากหนังบนใบหน้านางออก รอยแผล รอยดำเป็นปื้นบนแก้มทั้งสองของนางเป็นของปลอม เมื่อหน้ากากหนังอัปลักษณ์ถูกลอกออกใบหน้าที่แท้จึงของสตรีตรงหน้าข้าจึงถูกเปิดเผยดวงหน้างามหวาน ผิวขาวผุดผ่องแม้เวลานี้จะดูซีด มีรอยย่นตามอายุของเจ้าตัวก็มิอาจปิดบังความงามของหญิงสาวได้เลยข้าที่เห็นการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์นี้อดมิได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดปาก ดวงตากลมโตของข้าจ้องอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจโดยมิปิดบัง“แม่นางงามนัก ข้าไม่แปลกใจหากท่านต้องแปลงกาย
ปึงประตูบ้านปิดเองอาจด้วยเพราะกลไกธรรมชาติ อาจเป็นลมหรือความตั้งใจของเจ้าบ้านอันนี้ข้าก็มิรู้ แต่ข้าที่นั่งหันหลังให้พอได้ยินเสียงถึงกับสะดุ้งตัวขึ้นเพราะตกใจก่อนจะหันหลังไปมอง ข้ากลืนน้ำลายก่อนหันกลับมาประจันหน้ากับเจ้าของบ้านเช่นเดิมสตรีขี้เหร่มิได้มีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม นางเพียงยิ้มและยกชาถ้วยตนขึ้นมาจิบมีแต่ข้าที่พยายามรักษาใบหน้ามิให้แสดงอาการตื่นกลัวทว่าเหงื่อที่ออกบนมือมิสามารถห้ามได้ มือที่บีบกันแน่นของข้าจึงชุ่มไปด้วยเหงื่อใจเย็นไว้เฟยเจิน แค่ประตูปิด“ข้าพอจะเดาได้ว่าท่านตั้งใจมาหาข้าโดยเฉพาะและพอจะเดาสิ่งที่ท่านต้องการจากข้าได้”“รู้ว่าข้ามาหาทำไมงั้นรึ เจ้าดูมั่นใจยิ่งนักว่าตนเองเดาใจข้าได้ สิ่งที่จ้าคิดอาจมิใช่ ใครจะไปรู้”“นั่นก็จริง งั้นเชิญเอ่ยเรื่องของท่านมาเถิด หากไม่เกินความสามารถข้าย่อมช่วยเต็มที่”“แม่นางรู้จักพ่อค้านาม ติงเอ๋าซีหรือไม่”“รู้จักเมื่อไม่นานมานี้”“และแม่นางรู้จักเซี่ยฮองเฮาหรือไม่”“ย่อมรู้จัก” ข้าสังเกตเห็นนางกำชายเสื้อตนเอง“ประชาชนอาณาจักนี้มีใครบ้างไม่รู้พระนางผู้เป็นพระมารดาของแผ่นดิน”“ข้าหมายถึงรู้จักเป็นการส่วนตัวแบบที่มิใช่สถานะประชาชน







