หลิวลี่เซียนเอื้อมมือไปคว้าสิ่งของที่จับได้ง่ายเพื่อจะนำมาเป็นอาวุธป้องกันตัว นางหยิบกล่องเหล็กใส่หยกที่ได้มาจากหอเป่าชิงขึ้นมาวางไว้แนบอก
เสียงฝีเท้านั้นชัดเจนว่าเข้ามาใกล้นางเรื่อยๆ หลิวลี่เซียนมีความรู้สึกว่ามันใกล้ตัวนางเข้ามาทุกขณะ
หลิวลี่เซียนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะกำกล่องหยกในมือไว้แน่นและหันกลับไป นางยกมือขึ้นตั้งท่าเตรียมพร้อม ใครมันกล้าทำอันตรายนางก็ลองดูสิ นางสู้ตาย!!!
แขนของหลิวลี่เซียนค้างกลางอากาศ พร้อมกับฝ่ามืออุ่นๆ ที่รั้งข้อมือนางเอาไว้ นางค่อยๆ พิจารณาชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางตอนนี้ เขาสวมผ้าสีขาวคลุมใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง
เหมือนเคยเห็นที่ไหนกันนะ?
ชายหนุ่มตรงหน้าหลิวลี่เซียนค่อยๆ ปลดผ้าคลุมหน้าออกจนเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นน่ากลัวเมื่อสองสามวันก่อน บัดนี้มันบางเบาและจางลงเหลือเพียงริ้วรอยจางๆ เท่านั้น
"จิ้นหมิง"
"ใช่ข้าเอง เจ้าคิดว่าเป็นใคร"
จ้าวจิ้งเทียนปล่อยข้อมือของหลิวลี่เซียนลง นางเดินถือกล่องไปโยนไว้ที่ปลายเตียง ก่อนจะหันมามองจ้าวจิ้งเทียนด้วยแววตาไม่พอใจเล็กน้อย
"ข้าก็คิดว่าเป็นพวกโรคจิตถ้ำมองสาวงาม"
"โรคจิต?"
จ้าวจิ้งเทียนมองหลิวลี่เซียนด้วยแววตาไม่เข้าใจ หลิวลี่เซียนถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะคิดได้ว่ายุคนี้มันยุคโบราณ หมอนี่ไม่มีทางเข้าใจภาษาของโลกอนาคตเป็นแน่
"ท่านเข้ามาในจวนข้าได้ยังไง?"
"อ้อ ข้าทุบคนที่เฝ้าจวนเจ้าจนสลบแล้วกระโดดเข้ามาที่เรือนเจ้า"
"รู้ด้วยว่าข้าอยู่ที่เรือนนี้?"
หลิวลี่เซียนมองจ้าวจิ้งเทียนด้วยแววตาหวาดระแวงและเหลือเชื่ออย่างเห็นได้ชัด ความจริงสำหรับองค์รัชทายาทเช่นเขาไม่ยากเลยที่จะสืบหาเรื่องราวของนาง ชุนหลางองครักษ์คนสนิทของเขารายงานเรื่องของชิงชิงให้เขารู้ทุกอย่าง นางมีนามว่าหลิวลี่เซียน มีน้องสาวฝาแฝดที่ชื่อว่าหลิวลี่ซือ
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่เขามาหานางวันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญยิ่งกว่านั้น
"มาหาข้ามีเรื่องอะไร? รีบๆ พูดธุระของท่านมาแล้วรีบกลับไปซะ ก่อนที่ท่านพ่อของข้าจะรู้เข้าแล้วสับท่านเป็นชิ้นๆ"
จ้าวจิ้งเทียนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เขาลอบยิ้มเยาะหลิวลี่เซียนในใจ ถ้าหากว่าบิดาของเจ้ามาเห็นว่าเราอยู่ในเรือนด้วยกันสองคน คงจะรีบให้เจ้ามาถวายตัวเป็นภรรยาของข้าเป็นแน่
"ข้าอยากได้ใบบัวบกเพิ่มอีกสักหน่อย วิธีที่เจ้าบอกใช้ได้ผลดียิ่ง"
หลิวลี่เซียนมองจ้าวจิ้งเทียนด้วยแววตาสงสัย แปลกคนพิลึก วิธีก็บอกไปจนหมดแล้ว แค่ใบบัวบกเขาไม่มีความสามารถไปหาซื้อมันเลยรึไง?
"ทำไมท่านไม่ไปหาซื้อ ข้าเห็นมันมีขายเกลื่อนตลาด ข้าไม่มีให้ท่านหรอก ที่ข้าได้มาวันนั้นก็ยกให้ท่านไปจนหมดแล้ว"
จ้าวจิ้งเทียนมีสีหน้าปั้นยาก อันที่จริงเขาไม่ได้มาเพราะเรื่องสมุนไพรนี้หรอก แค่ใบบัวบกเขาวานให้องครักษ์ไปหาซื้อก็ได้แล้ว
แต่ความจริงคือไข่มุกสุยโหวที่เขาสัญญากับหลิวลี่เซียนไว้ว่าจะให้นางหนึ่งเม็ดที่เหลือนั่น เขาเผลอใช้มันจนหมด
"ว่าอย่างไร มีอะไรจะพูดอีกหรือไม่ ท่านอยู่ในห้องนอนสตรีเป็นนานสองนาน ไม่ละอายแก่ใจบ้างรึไง?"
จ้าวจิ้งเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองไปที่หลิวลี่เซียน
"ข้าจะมาบอกเจ้าเรื่องไข่มุกสุยโหว"
เมื่อได้ยินคำว่า 'ไข่มุกสุยโหว' ดวงตาของหลิวลี่เซียนก็พลันเป็นประกาย นางหันไปมองจ้าวจิ้งเทียนพร้อมกับยิ้มตาหยี
"ท่านนำอีกหนึ่งเม็ดที่เหลือมาให้ข้าใช่รึไม่?"
หลิวลี่เซียนยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจ ไข่มุกสุยโหวที่นางใฝ่ฝัน ราชินีความงามของนาง นางกำลังจะได้ครอบครองมันแล้ว
จ้าวจิ้งเทียนยื่นกล่องไม้กลมๆ เหมือนกล่องใส่อาหารมาให้หลิวลี่เซียน นางรับมันมาด้วยสายตาสงสัยก่อนจะเปิดออกดูด้วยความเบิกบานใจ
แต่ทว่า
มะ ไม่ใช่ไข่มุกสุยโหว แต่เป็นขนม
หลิวลี่เซียนเงยหน้าไปมองจ้าวจิ้งเทียนด้วยแววตาไม่พอใจ
"จิ้นหมิง! ท่านเล่นตลกอะไรกับข้า?"
จ้าวจิ้งหมิงมองมาที่หลิวลี่เซียนด้วยแววตารู้สึกผิดอย่างจริงใจ "ชิงชิง ข้าอยากให้รอยแผลบนใบหน้าของข้าหายโดยไว ข้าจึงเผลอใช้มันจนหมด"
ประโยคสุดท้ายของจ้าวจิ้งเทียนเบาลงเล็กน้อย แต่สีหน้าของเขาตอนนี้เริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติเช่นเดิม
"คนเลว!"
"เจ้าว่าอย่างไรนะ?"
"คนเลว ท่านหลอกลวงข้าให้ข้าบอกวิธีรักษาท่าน แต่ท่านกลับไม่ทำตามสัญญา แล้วยังเอาขนมมาหลอกล่อข้า ท่านเห็นข้าเป็นคนเห็นแก่กินรึ!!!"
"ชิงชิง แต่ขนมนี่มันมีทั้งน้ำตาลกับไข่ไก่"
"หุบปาก!!!"
หลิวลี่เซียนกัดฟันพูดผ่านไรฟันและมองจ้าวจิ้งเทียนด้วยความหงุดหงิด
จ้าวจิ้งเทียนลอบสบถในใจ ให้ตายเถอะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครแสดงท่าทางแบบนี้ใส่เขาเลยสักครั้งเดียว เขาเป็นถึงองค์รัชทายาทนะ แต่ช่างเถอะ! นางไม่รู้นี่ว่าเขาเป็นใคร
กลับไปข้าจะไปจัดการชุนหลางองครักษ์ทรยศนั่นที่เป็นคนบอกวิธีนี้กับเขา ชุนหลางบอกว่าหากกลัวว่าสตรีจักโกรธให้นำขนมไปมอบให้นางเป็นการไถ่โทษ ขนม 'หิมะลอยน้ำ' นี่เขาอุตส่าห์นั่งเคี่ยวมันครึ่งค่อนวันเพื่อนำมาให้นางด้วยมือตนเอง
แต่ทว่าเมื่อเขาหันไปมองกลับเห็นหลิวลี่เซียนกำลังตัก หิมะลอยน้ำเข้าปากคำแล้วคำเล่า แต่ใบหน้าของนางยังคงมองมาที่เขาด้วยแววตาโกรธอย่างเห็นได้ชัด
"ขนมนี่มีชื่อว่า หิมะลอยน้ำ"
หลิวลี่เซียน "..."
"มันทำมาจากเห็ดหูหนูขาวต้มน้ำตาลใส่ไข่ไก่แป้งมัน เจ้าชอบรึไม่?"
ไม่มีเสียงตอบรับจากหลิวลี่เซียนนอกจากเสียงซดน้ำขนมจากปากนาง
หลังจากครบกำหนดที่เจินเซียงกลับมาจากวัดต้าฝู นางได้เดินทางกลับจวนเจ้ากรมกลาโหมเพื่อเตรียมตัวอภิเษกกับจ้าวจิ้งเทียน หนึ่งเดือนต่อมาเมื่อเข้าสู่สายลมแห่งฤดูหนาว ขบวนเจ้าสาวจากตระกูลเจินเจ้ากรมกลาโหมพร้อมสินสอดที่ยาวนับพันลี้ก็ได้เคลื่อนขบวนเข้าสู่วังหลวงหลิวลี่เซียนได้เข้าวังหลวงไปพร้อมกับจวิ้นอ๋องและพระชายาในฐานะพระญาติ ส่วนหลิวลี่ซือไปในฐานะว่าที่คู่หมั้นของจ้าวเฟยหรงองค์ชายรองพิธีอภิเษกสมรสเป็นไปด้วยความราบรื่น จนกระทั่งส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอ หลิวลี่เซียนนำของขวัญเป็นปิ่นปักผมทองและเวชสำอางที่นางทำขึ้นเองมอบให้แก่เจินเซียงที่ตอนนี้ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อเฟย' ตำแหน่งองค์หญิงพระชายา พระชายาเอกในองค์รัชทายาท ด้านจ้าวจิ้งเทียนเมื่อเข้าพิธีอภิเษกแล้วเขาก็ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อ' องค์รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างชอบธรรม"ยินดีด้วยเพคะหวงไท่จื่อเฟย ขอให้พระองค์ทรงเกษมสำราญเพคะ""ขอบใจเจ้ายิ่งนักลี่เซียน"หวงไท่จื่อเฟยจากตระกูลเจินยิ้มจนตาหยี นางมีความสุขยิ่งนัก นางตั้งใจว่านับตั้งแต่วันนี้นางจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุขหลังจากดื่มสุรามงคลและได้ฤกษ์เข้าหอแล้ว เหล่าพระญ
หลังจากที่ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ เสนาบดีหลิวที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะเป็นจวิ้นอ๋องก็ได้ย้ายครอบครัวตระกูลหลิวของตนมาพำนักที่จวนอ๋องพระราชทาน ซึ่งเป็นจวนอ๋องที่ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยตั้งใจสร้างเอาไว้เผื่อพระนัดดาทั้งหลายในอนาคตพระชายาจวิ้นอ๋องหลิวลี่หยางยังไม่ค่อยคุ้นชินกับที่อยู่ใหม่มากนัก นางค่อนข้างคิดถึงบ้านเก่าไม่น้อย บางวันจึงกลับไปพักผ่อนที่จวนตระกูลหลิวและรับสั่งให้บ่าวไพร่ดูแลจวนให้ดีจวิ้นอ๋องค่อนข้างปลื้มใจกับบุตรสาวของเขาไม่น้อย เขาได้สอบถามเรื่องราวแต่แรกเริ่มว่าเป็นมาเช่นไร หลิวลี่เซียนสามารถรักษาพระพักตร์องค์รัชทายาทได้อย่างไร หลิวลี่เซียนเองก็เต็มใจเล่าให้ผู้เป็นบิดามารดาฟัง และนางยังได้รู้อีกด้วยว่า แท้จริงแล้วจวนตระกูลหลิวของบิดาเป็นพระญาติใกล้ชิดกับฮ่องเต้มิน่าเล่าทั้งฮ่องเต้และจ้าวฮวงโหวต่างมีใบหน้าเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของนาง ที่แท้ก็เป็นบรรพบุรุษของนางนี่เองหลิวลี่ซือลอบเบ้ปากเล็กน้อย นางขี้เกียจจะฟังเรื่องราวพวกนี้ อีกอย่างตอนนี้ตระกูลนางก็ไม่ใช่ขุนนางธรรมดาทั่วไปอีกแล้ว เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่จะได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาอีกขั้นไม่นานนักข่าวเรื่องอ
หลิวลี่เซียนมองฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยด้วยแววตาที่ตกใจไม่น้อย แต่เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นสายตานี้ของนางก็หายไป เหลือเพียงความเคารพที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์หนึ่งเท่านั้นภพปัจจุบันเขาอาจจะเป็นพ่อของนาง แต่ในภพนี้เขาเป็นฮ่องเต้ที่สูงส่ง นางต้องให้ความเคารพเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยมองหลิวลี่เซียนด้วยแววตาล้ำลึกครั้งหนึ่งบุตรสาวของเสนาบดีหลิวนางทำไมช่างดูคุ้นตา เหมือนกับว่าเขาเคยพบเจอนางที่ใดมาก่อน"ไปเชิญเสนาบดีหลิวเทียนเฉิงมาพบข้าที่ตำหนัก"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยเอ่ยพลางสะบัดชายเสื้อมังกรให้ขันทีไปตามเสนาบดีหลิว ก่อนจะหันมามองหลิวลี่เซียนเสนาบดีหลิวรั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง ดูแลเรื่องการจัดเก็บภาษีรายได้ของแผ่นดิน เบิกจ่ายงบประมาณของราชสำนัก เป็นขุนนางตงฉินผู้ซื่อสัตย์น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเสนาบดีหลิวผู้นี้เป็นพระญาติฝั่งมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟย เขาเป็นบุตรชายคนโตของน้องสาวไทเฮาองค์ปัจจุบัน นั่นก็คือมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยนั่นเองไทเฮาตระกูลหลิวพระองค์นี้ทรงอภิเษกกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน และได้รับการสถาปนาให้ขึ้นเป็นจ้าวฮวงโหว ก่อนจะมีพระประสูติการพระโอรสนามว่าจ้าวชิงเฟยแล
หลังจากที่จับตัวหนิงซานกับหวาเยียนเข้าคุกหลวงเรียบร้อยแล้ว จ้าวจิ้งเทียนได้ส่งคนไปแจ้งเรื่องราวต่อจ้าวฮวงโหว นางรู้สึกเหมือนดั่งมรสุมใหญ่ได้ลอยหายไปในพริบตา พลันยกยิ้มมุมปาก มเหสีรองเหมย เจ้าไม่มีทางมีชัยชนะเหนือข้าได้หรอกฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยที่กำลังว่าราชการในท้องพระโรงเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น กำลังเดินทางกลับตำหนักมังกร พลันสายตาของเขาได้หันไปพบกับจ้าวจิ้งเทียน พระราชโอรสองค์โตของเขาที่มายืนรออยู่ที่หน้าตำหนัก"ถวายบังคมเสด็จพ่อ"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยหันไปมองด้านหลังของจ้าวจิ้งเทียน จึงพบเข้ากับเจินเซียงและหญิงสาวอีกหนึ่งคน ดูจากการแต่งกายแล้วคงจะเป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนางเป็นแน่ หลิวลี่เซียนที่ก้มหน้าตลอดเวลาไม่ได้เงยหน้าไปมอง แต่ก็รับรู้ได้ว่าฮ่องเต้กำลังมองมาที่นางอยู่"เจ้ามีเรื่องอันใดถึงมาพบข้าที่นี่?""ลูกมีเรื่องกราบทูลเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ"จ้าวชิงเฟยพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเข้ามาในตำหนัก ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยทรงให้เหล่านางกำนัลขันทีออกไปให้หมดเหลือเพียงราชเลขาคนสนิทเพียงคนเดียว ตอนนี้ภายในตำหนักจึงเหลือคนไม่มาก จ้าวจิ้งเทียนเงยหน้าขึ้นมองเสด็จพ่อของเขาเล็กน้อย"ลูกขอให้เสด็จพ่อทรงเชิญเสด็จแ
"ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไปจิ้นหมิง"หลิวลี่เซียนหันไปเอ่ยถามจ้าวจิ้งเทียน ก่อนจะโยนองุ่นที่นางแอบหยิบมาจากหอโคมแดงตอนที่เดินออกมาจากประตูโยนขึ้นและอ้าปากงับมาเคี้ยวอย่างอารมณ์ดี จ้าวจิ้งเทียนมองหลิวลี่เซียนด้วยสายตาที่เอ็นดูนางไม่น้อย เด็กน้อยผู้นี้ของเขาช่างดูสดใสนัก เขาที่ใช้ชีวิตมาจนอายุสิบแปดปีไม่เคยพบเจอหญิงในใต้หล้าใดที่น่ารักน่าชังเท่านาง"พรุ่งนี้ข้าคงต้องให้เจ้าไปพบเจินเซียงที่จวนเจ้ากรมกลาโหม เจ้าต้องพานางออกมาให้ได้ ข้าต้องการให้เจินเซียงได้พบกับหวาเยียน หลังจากนั้นข้าจะให้นางไปสารภาพผิดกับเสด็จพ่อ แล้วข้าจะเป็นผู้ทวงคืนความยุติธรรมให้น้องสาวของข้าด้วยตนเอง"หลิวลี่เซียนพยักหน้าเล็กน้อย พ่อหนุ่มคนนี้ช่างรอบคอบจริงๆ"เจ้าพักผ่อนเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่ไปกับข้าในวันนี้""เป็นพระกรุณาเพคะองค์รัชทายาท"หลิวลี่เซียนโค้งกายคารวะ ก่อนจะปิดประตูหน้าต่างใส่หน้าจ้าวจิ้งเทียน เขายกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยพลางคิด นี่นางเคารพเขาจริงๆ งั้นหรือ?จวนเจ้ากรมกลาโหมหลังจากที่แต่งกายเรียบร้อย หลิวลี่เซียนก็ออกจากจวนแต่เช้าเพื่อไปที่จวนเจ้ากรมกลาโหม"ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งเจ้าก่อนว่าข้าจะมา""ไม่เป็นไร รีบ
รุ่งเช้าหลิวลี่เซียนไปที่เรือนของฮูหยินลี่หยางเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่เรือนของมารดา ฮูหยินลี่หยางเอ่ยปากชมว่าหม่าล่าที่นางนำมาให้กินนั้นแปลกตาและอร่อยยิ่ง ส่วนหลิวลี่ซือที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยนั้นลอบบิดเบ้มุมปากตนด้วยความริษยาตั้งแต่ที่พี่สาวนางตกน้ำครานั้นก็ดูเปลี่ยนไป เมื่อก่อนนางช่างอ่อนแอและขี้โรคนัก โดนลมเพียงนิดก็ไม่สบายต้องนอนรักษาตัวอยู่ในจวนเป็นนานแรมเดือน แต่ตอนนี้นางดูแข็งแรงไม่เจ็บป่วยไข้เหมือนแต่ก่อน ซ้ำยังดูงดงามสดใสยิ่งน่าถลกหนังหน้านางให้มันพังพินาศไปเสียหลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว หลิวลี่ซือก็เดินออกมาจากเรือนฮูหยินลี่หยาง ก่อนจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าออกนอกจวนไปที่หอเป่าชิงเพื่อหาซื้อเครื่องประดับหลิวลี่ซือเป็นคนรักสวยรักงามยิ่ง นางชอบสะสมเครื่องประดับอัญมณีที่งดงามหลากหลายเมื่อเลือกเครื่องประดับได้ตามที่ต้องการแล้ว หลิวลี่ซือเตรียมให้อวี้จู้สาวรับใช้คนสนิทจ่ายค่าเครื่องประดับของนาง แต่ทว่ามีมือปริศนาข้างหนึ่งยื่นมาก่อน"แม่นาง ค่าเครื่องประดับนี้นายของข้าจะเป็นคนจ่ายให้ท่านเอง"หลิวลี่ซือหันไปมองก่อนจะพบกับบุรุษผู้หนึ่ง เขาแต่งกายคล้ายองครักษ์ในวังหลวง"นายของเจ
จ้าวจิ้งเทียนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ชายารองงั้นหรือ หญิงสาวเช่นชิงชิงไม่ใช่คนที่จะพาเข้าวังหลวงมาเป็นภรรยาได้ง่ายดายเช่นนั้น"เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกเชื่อว่าด้วยนิสัยของนางไม่มีทางยอมรับตำแหน่งที่ท่านแม่ทรงมอบให้แน่นอน ตั้งแต่ที่ลูกรู้จักนางมา นางเป็นหญิงสาวที่รักอิสระยิ่งพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าจึงถูกตาต้องใจนาง?"จ้าวจิ้งเทียนหมดคำจะพูด เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีต่อหลิวลี่เซียน เขากลัวว่านางจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกันกับเขา จ้าวฮวงโหวย่อมต้องอ่านความคิดของจ้าวจิ้งเทียนออก นางยิ้มออกมาเล็กน้อยคล้ายไม่ได้ติดใจอันใดมากนัก"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แม่เป็นคนไม่ชอบบังคับใจใคร เรื่องที่เจ้ารักษาใบหน้าจนหายดีแล้วนั้น ต้องกราบทูลต่อเสด็จพ่อเจ้าเสีย""พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ ความลับที่เขาตั้งใจจะไม่ยอมเปิดเผยก็จำต้องยอมเสียแล้วหลังจากที่กลับจากวังหลวงหลิวลี่เซียนก็เข้าไปพูดคุยเล่นกับเสนาบดีหลิวและฮูหยินลี่หยางเกี่ยวกับเรื่องที่เข้าวังหลวงวันนี้เพียงเล็กน้อย หลิวลี่ซือก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน นางพยายามที่จะถามหลิวลี่เซียนว่าเข้าวังหลวงไปด้วยเหตุใด
ตำหนักจ้าวฮวงโหวจ้าวจิ้งเทียนคิดไตร่ตรองเรื่องของเจินเซียงมาสักพักก่อนจะเข้าไปขอพบกับจ้าวฮวงโหวเสด็จแม่ของเขา"ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ""ลุกขึ้นเถิด มานั่งข้างแม่เร็วเข้า จิ้นหมิง"จ้าวจิ้งเทียนลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างพระวรกายของจ้าวฮวงโหว เขามองพระพักตร์ของเสด็จแม่ตนเองอย่างลำบากใจเรื่องนี้หนักหนาเกินกว่าเขาจะแก้ไขเองจริงๆ"ว่าอย่างไรจิ้นหมิง""ที่ลูกมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่วันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญสองเรื่องอยากกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ""ไหนเจ้าว่ามาสิ"จ้าวจิ้งเทียนหันไปมองเหล่านางกำนัลเป็นเชิงให้ออกไปให้หมด ก่อนจะยกมือขึ้นไปปลดผ้าคลุมใบหน้าของเขาออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้างดงามราวกับเทพเซียนของเขา รอยแผลบนใบหน้าจางหายไปจนหมดสิ้นแทบไม่ทิ้งร่องรอยใดเหลือไว้ ราวกับว่าไม่เคยมีบาดแผลน่ารังเกียจนั่นอยู่บนใบหน้าของเขามาก่อน"จิ้นหมิง!!! ลูกแม่ นี่เจ้า หมอเทวดารักษาเจ้าจนหายดีแล้วหรือ สวรรค์ช่างเมตตายิ่งนัก!!!"จ้าวฮวงโหวยื่นมือมาจับที่ใบหน้าของจ้าวจิ้งเทียนอย่างดีใจปนตกใจ น้ำตาของนางเอ่อคลออย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จ้าวจิ้งเทียนกุมมือของพระมารดาเอาไว้ด้วยความรักใคร่ ก่อนจะยิ้มให้จ้าวฮวงโห
ตำหนักพระมเหสีรองเหมย"ถวายพระพรพระมเหสีรองเพคะ"เหมยฮวาชิงย่อกายทำความเคารพมเหสีรองเหมยท่านอาของนาง พระมเหสีรองเหมยพระองค์นี้เข้าวังมาได้ห้าปีแล้ว แต่ยังไม่มีพระโอรสและพระธิดาแม้สักพระองค์เดียว เพราะสุขภาพของนางค่อนข้างไม่สู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เพราะราชสำนักยังต้องพึ่งพากำลังทางทหารของจวนโหวตระกูลเหมย มเหสีรองเหมยแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยน ไม่มีปากมีเสียงกับใคร แต่ลึกๆ ภายในใจของนางซ่อนความโหดเหี้ยมเอาไว้ไม่น้อยนางริษยาจ้าวฮวงโหวกับพระสนมเอกยิ่งนัก ทั้งที่พวกนางไม่ใช่คนโปรดของฮ่องเต้สักเท่าใด แต่วาสนากลับทำให้พวกนางมีพระโอรส แล้วนางเล่า นางเป็นที่โปรดปราน แต่สวรรค์กลั่นแกล้งนางถึงเพียงนี้เพราะเหตุใดกัน"รีบลุกขึ้นเถิดหลาน เจ้าไม่ต้องมากพิธีการ""ขอบพระทัยเพคะพระมเหสีรอง"พระมเหสีรองเหมยโบกมือเป็นการไล่บ่าวรับใช้นางกำนัลออกไปจากตำหนักให้หมด เหลือเพียงแม่นมคนสนิทของนางกับเหมยฮวาชิงและชิงฮุ่ย"ท่านอารู้ข่าวของตระกูลเจินรึยังเพคะ"เหมยฮวาชิงเป็นคนเริ่มบทสนทนาเรื่องของเจินเซียงกับพระมเหสีรองเหมยก่อน พระมเหสีรองเหมยยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย พลางหัวเราะออกมาอย่างอารมณ