วันเวลาผันผ่านไปดุจสายน้ำไหล ฤดูสารทค่อยๆคลี่คลาย บรรยากาศในจวนแม่ทัพจวิน แม้ภายนอกจะยังคงดำเนินไปตามครรลองปกติ แต่ภายในกลับเกิดระลอกคลื่นใต้น้ำอันเงียบงัน ที่สัมผัสได้จากรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไป
ที่เรือนจื่อเถิง อาจารย์หลิน บัณฑิตผู้ทรงภูมิ มาสอนหนังสือให้จวินซิงเฉินอย่างสม่ำเสมอตามคำสั่งที่ส่งผ่านพ่อบ้านเฉียน อุปกรณ์การเรียนชุดใหม่ ทั้งพู่กันขนพังพอนชั้นดี แท่นฝนหมึกหินต้วนซี กระดาษเซวียนจื่อเนื้อละเอียด และตำราพื้นฐานอีกหลายเล่ม ถูกจัดเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ จวินซิงเฉินแม้จะยังคงมีท่าทีสงบนิ่งและระแวดระวังอยู่บ้าง แต่แววตาที่จับจ้องตำรากลับฉายประกายมุ่งมั่นและสนใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขามิได้เอ่ยปากขอบคุณผู้ใด แต่การที่เขาใช้พู่กันด้ามใหม่อย่างทะนุถนอม และตั้งใจฟังคำสอนของอาจารย์หลินมากขึ้น ก็ถือเป็นการยอมรับในความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างเงียบๆ
ส่วนจวินเสวี่ยอันนั้น บัดนี้นางมีอาจารย์หญิงผู้หนึ่งนาม ซูอี๋เหนียง มาสอนสั่ง ซูอี๋เหนียงเป็นสตรีวัยกลางคน ท่าทางอ่อนโยน พูดจาแช่มช้อย มีความสามารถทั้งด้านการวาดภาพทิวทัศน์และอักษรวิจิตร นางเริ่มต้นจากการสอนให้เสวี่ยอันวาดภาพง่ายๆ และฝึกคัดอักษรด้วยพู่กันด้ามเล็ก เด็กน้อยในตอนแรกยังคงขี้อายและประหม่า แต่ความใจเย็นและความเมตตาของซูอี๋เหนียงก็ค่อยๆทลายกำแพงในใจนางลงทีละน้อย เสวี่ยอันเริ่มสนุกกับการผสมสี และหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นตนเองคัดอักษรได้งดงามขึ้น
บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ซูอี๋เหนียงกำลังเก็บอุปกรณ์การวาดภาพ จวินเสวี่ยอันก็รวบรวมความกล้าเอ่ยถามจางมามาที่นั่งปักผ้าอยู่ใกล้ๆ ด้วยเสียงเบาหวิว "จางมามาเจ้าขา... ท่าน... ท่านแม่เป็นคนเลือกอาจารย์ซูมาหรือเจ้าคะ?"
จางมามาเงยหน้าขึ้น มองเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูระคนแปลกใจ นางพยักหน้าช้าๆ "ใช่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู ฮูหยินเป็นผู้สั่งให้พ่อบ้านเฉียนไปเชิญอาจารย์ซูมาสอนคุณหนูเป็นพิเศษ" นางตอบตามความจริง แต่ก็สังเกตปฏิกิริยาของเด็กน้อยอย่างระมัดระวัง
จวินเสวี่ยอันก้มหน้างุด ใช้นิ้วน้อยๆวาดวนไปมาบนตัก ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ แต่ความเงียบงันนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความคิดอันซับซ้อนเกินวัย
การเปลี่ยนแปลงมิได้เกิดขึ้นเพียงในเรือนจื่อเถิง เหออวี้หลันเองก็ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของนางเช่นกัน นางใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาตำราแพทย์ที่ให้คนไปหามา และเริ่มเรียนรู้การบริหารจัดการจวนอย่างจริงจัง นางเรียกพ่อบ้านเฉียนมาตรวจดูบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด ตัดทอนรายจ่ายฟุ่มเฟือยส่วนตัวที่ไม่จำเป็นลงหลายส่วน แต่กลับกำชับให้ดูแลเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าของบ่าวไพร่ทุกคนอย่างทั่วถึง มิให้ขาดตกบกพร่อง ความยุติธรรมและความใส่ใจในรายละเอียดที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้นางค่อยๆได้รับความเคารพยำเกรงจากเหล่าบ่าวไพร่มากขึ้นทีละน้อย
ยามค่ำคืน ในห้องหนังสืออันเงียบสงบ จวินเหยียนซีนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ แสงเทียนสาดส่องใบหน้าคมคาย เผยให้เห็นแววตาครุ่นคิดล้ำลึก พ่อบ้านเฉียนเพิ่งนำบัญชีรายจ่ายประจำเดือนมารายงาน และรายละเอียดที่เขารับรู้ก็ยิ่งตอกย้ำความเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาดของภรรยาเอก นางลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวลงอย่างน่าใจหาย แต่กลับเพิ่มงบประมาณในการดูแลความเป็นอยู่และจ้างอาจารย์ให้บุตรทั้งสองอย่างเต็มที่
ภาพของเหออวี้หลันคนใหม่ซ้อนทับกับภาพของนางในอดีต และภาพของอดีตภรรยาผู้ล่วงลับ ผู้ซึ่งเคยดูแลจวนแห่งนี้ด้วยความเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ ความรู้สึกสับสนและขัดแย้งก่อตัวขึ้นในใจแม่ทัพหนุ่ม
นางกำลังเล่นละครอะไรอยู่กันแน่? การแสดงความเมตตาเหล่านี้มีจุดประสงค์ใดแอบแฝง? หรือว่าการเจ็บป่วยครั้งนั้นจะเปลี่ยนนางไปได้ถึงเพียงนี้จริงๆ? เขาถอนหายใจเบาๆ ปัดความคิดวุ่นวายทิ้งไป แล้วหันไปสนใจรายงานการทหารบนโต๊ะต่อ แต่สายตาก็อดเหลือบมองไปยังทิศทางของเรือนหยกเย็นไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง
หลายวันต่อมา ขณะที่เหออวี้หลันกำลังเดินตรวจดูความเรียบร้อยบริเวณโรงครัว นางพลันได้ยินเสียงบ่าวหญิงสองนางที่กำลังคัดแยกผักอยู่ใกล้ๆ ซุบซิบกันด้วยเสียงอันดังพอที่นางจะได้ยิน
"ก็แค่ลูกเมียเก่าจะใส่ใจไปไย วันๆเอาแต่เก็บตัวเงียบเชียบ คงไม่มีวันได้ดีเหมือนคุณชายจากตระกูลใหญ่ๆหรอก"
"นั่นสิ ข้าว่านะที่ฮูหยินทำดีด้วยตอนนี้ ก็คงแค่เสแสร้งไปอย่างนั้นเอง เดี๋ยวพอเบื่อๆก็คงกลับไปร้ายเหมือนเดิม"
วาจาดูหมิ่นและไร้ความยั้งคิดเหล่านั้น ทำให้ใบหน้าของเหออวี้หลันเย็นเยียบลงทันที ความทรงจำในอดีตที่นางเคยเมินเฉยต่อคำพูดทำนองนี้ผุดขึ้นมา แต่บัดนี้นางไม่อาจทนฟังได้! ความรู้สึกปกป้องบุตรทั้งสองพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรง
"พวกเจ้าสองคน!" เสียงของนางไม่ดัง แต่กลับเฉียบขาดและเต็มไปด้วยอำนาจ ทำให้บ่าวหญิงทั้งสองสะดุ้งสุดตัว หันมาเห็นนายหญิงยืนหน้าตึงอยู่ก็หน้าซีดเผือด รีบคุกเข่าลงทันที
"ฮู... ฮูหยินเจ้าขา บะ... บ่าวผิดไปแล้ว…"
เหออวี้หลันมองทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา "ในจวนแม่ทัพแห่งนี้ ทุกชีวิตล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน คุณชายน้อยและคุณหนูน้อยคือบุตรธิดาที่ท่านแม่ทัพทรงโปรดปราน การที่พวกเจ้าบังอาจนำเรื่องของนายในบ้านมากล่าววาจาดูหมิ่นและคาดเดาไปในทางเสียหายเช่นนี้ ถือเป็นความผิดร้ายแรง! แสดงให้เห็นถึงความไม่จงรักภักดีและจิตใจอันต่ำทราม!"
นางไม่ได้เกรี้ยวกราดหรือตวาดเสียงดัง แต่ทุกถ้อยคำกลับหนักแน่นและน่าเกรงขามยิ่งกว่า "ชุนเถา!"
"เจ้าค่ะ นายหญิง!" ชุนเถาที่เดินตามมาขานรับทันที
"ลงโทษตัดเงินเดือนบ่าวสองคนนี้คนละสามเดือน ให้ไปทำงานหนักในโรงซักล้างเป็นเวลาหนึ่งเดือน และให้รายงานเรื่องนี้ต่อหัวหน้าแม่บ้าน ให้ลงบันทึกความผิดไว้ หากมีครั้งต่อไปให้ไล่ออกจากจวนทันที!" นางสั่งการเสียงเรียบ แต่เด็ดขาด "จงจำไว้ให้ดี ว่าหน้าที่ของบ่าวคือรับใช้และภักดีต่อเจ้านายทุกคนในจวนนี้ ไม่ใช่จับกลุ่มนินทาให้ร้าย!"
บ่าวหญิงทั้งสองตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว ได้แต่โขกศีรษะรับโทษอย่างไม่อาจโต้แย้ง
เหออวี้หลันไม่แม้แต่จะชายตามองพวกนางอีก นางหันหลังเดินจากไปทันที ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและความตระหนกตกใจ บรรดาบ่าวไพร่คนอื่นๆที่อยู่ในบริเวณนั้นและเห็นเหตุการณ์ ต่างก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง เหตุการณ์นี้ได้ส่งสารอย่างชัดเจนไปทั่วทั้งจวนว่านายหญิงคนใหม่อาจดูใจดีขึ้น แต่ความเด็ดขาดและอำนาจของนางยังคงอยู่ และที่สำคัญที่สุดก็คือนางจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาดูหมิ่นบุตรเลี้ยงทั้งสองเป็นอันขาด!
เหออวี้หลันเดินกลับเรือนอวี้ฮั่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางรู้สึกเหนื่อยล้ากับการต้องมารับมือเรื่องเหล่านี้ แต่ก็รู้ดีว่ามันจำเป็น การปกป้องเด็กทั้งสองจากคำพูดและการกระทำอันมุ่งร้ายของผู้อื่น ก็เป็นหน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่นางต้องทำ หน้าที่ของมารดาที่นางกำลังพยายามเรียนรู้ที่จะเป็น
เมื่อเหมันต์อันยาวนานและเยือกเย็นได้โบกมืออำลาไปอย่างแท้จริง วสันตฤดูอันแสนสดใสก็หวนกลับมาเยือนจวนแม่ทัพจวินอีกครั้ง คราวนี้มิใช่เพียงธรรมชาติภายนอกที่ผลิบาน แต่หัวใจของผู้อยู่อาศัยภายในจวนแห่งนี้ก็คล้ายจะเบ่งบานไปด้วยไอรักและความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนการดูแลเอาใจใส่ของจวินเหยียนซีในช่วงที่เหออวี้หลันล้มป่วยลงนั้น เปรียบเสมือนหยาดน้ำทิพย์สุดท้ายที่หลอมละลายกำแพงน้ำแข็งในใจของคนทั้งสองจนหมดสิ้น ความเคลือบแคลงสงสัย ความไม่เข้าใจ และความห่างเหินที่เคยมี บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความไว้วางใจ ความเข้าใจ และความรู้สึกผูกพันอันลึกซึ้งอย่างแท้จริงกิจวัตรประจำวันของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด การร่วมโต๊ะเสวยกลายเป็นเรื่องปกติที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและรอยยิ้ม การดื่มชายามค่ำคืนในศาลากลางสวนกลายเป็นช่วงเวลาของการแบ่งปันความคิดและความรู้สึกอย่างเปิดอกมากขึ้น พวกเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา และรับฟังซึ่งกันและกันด้วยหัวใจที่เปิดกว้างจวินเหยียนซีดูจะผ่อนคลายและแสดงความรู้สึกออกมามากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยยิ้มจางๆที่เคยหาได้ยากยิ่ง บัดนี้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายนั้
ภายหลังจากค่ำคืนในการเผชิญหน้าอันตึงเครียดในโรงเก็บฟืนเก่า บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพจวินก็คล้ายจะถูกแช่แข็งไว้ด้วยความเงียบงันอันน่าอึดอัดยิ่งกว่าเดิม แม้จวินเหยียนซีจะมิได้เอ่ยปากขับไล่ หรือแสดงท่าทีรังเกียจนางอย่างเปิดเผย แต่ความห่างเหินและสายตาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและคำถามที่ไร้คำตอบของเขานั้น ก็เป็นดั่งกำแพงที่มองไม่เห็น แต่กลับสูงตระหง่านและเย็นเยียบยิ่งกว่าครั้งไหนๆเหออวี้หลันเข้าใจดีว่านางกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง และครั้งนี้หนักหนากว่าเดิมหลายเท่านัก ความไว้วางใจที่เพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น บัดนี้ได้พังทลายลงไปแล้วด้วยความลับและการปิดบังของนางเอง คำพูดของเขาที่ว่า "ข้าจะตัดสินเจ้าจากการกระทำของเจ้าในปัจจุบันและอนาคต" คือโอกาสสุดท้ายที่นางได้รับ โอกาสสุดท้ายที่นางต้องรักษาไว้ให้จงได้นางทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับการทำหน้าที่ของตนเองยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา นางตื่นแต่เช้าตรู่ เข้านอนดึกดื่น ตรวจตราดูแลทุกซอกทุกมุมของจวนด้วยความใส่ใจและความละเอียดลออที่ไม่เคยมีใครเทียบได้ ตั้งแต่การจัดสรรเสบียงในคลัง การดูแลความเป็นอยู่ของบ่าวไพร่ การบริหารจัดการงบประมาณ ไปจนถึง
เหมันต์ยังคงทอดเงาทาบทับจวนแม่ทัพจวิน อากาศเย็นเยียบจับขั้วหัวใจแต่กลับมิอาจเทียบเท่าความหนาวเหน็บที่เกาะกุมจิตใจของเหออวี้หลันได้เลยนับตั้งแต่การปรากฏตัวของชิวเยว่ในอดีตชาติ แม้นางจะพยายามรักษาความสงบ ทำหน้าที่ฮูหยินและมารดาเลี้ยงอย่างมิได้ขาดตกบกพร่อง แต่ความหวาดระแวงและความกลัวก็กัดกินใจนางอยู่ทุกขณะลมหายใจนางเฝ้าสังเกตการณ์ชิวเยว่ผู้นั้นอย่างลับๆมาตลอด แต่สตรีผู้นั้นก็ยังคงทำงานของตนไปอย่างเงียบๆ ขยันขันแข็ง ไม่แสดงพิรุธใดๆออกมา ความสงบเสงี่ยมนั้นเองที่ยิ่งทำให้นางหวาดผวา มันเหมือนความเงียบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำ หรือเหมือนอสรพิษที่ซ่อนตัวนิ่งรอจังหวะที่จะฉกกัดความอดทนของเหออวี้หลันใกล้จะถึงขีดสุด นางไม่อาจทนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวเช่นนี้ได้อีกต่อไป นางต้องรู้ให้แน่ชัด... ว่าชิวเยว่ต้องการสิ่งใดกันแน่!จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่นางกำลังตรวจดูผ้าปูที่นอนที่เพิ่งซักเสร็จใหม่ๆในห้องเก็บผ้าใกล้โรงซักล้าง สายตาของนางก็พลันสะดุดเข้ากับบางสิ่ง ปมเชือกสีแดงเส้นเล็กๆที่ถูกผูกซ่อนไว้ในเนื้อผ้าอย่างแนบเนียน เป็นปมแบบเดียวกันกับที่นางเคยใช้ผูกของเล่นชิ้นโปรดของเสวี่ยอัน แล้วโยนทิ้งไปด้วยคว
เหมันตฤดูยังคงดำเนินไปอย่างเนิบนาบ วันคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้าภายใต้ท้องฟ้าสีเทาหม่น เหออวี้หลันพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยและความเป็นปกติสุขภายในจวนแม่ทัพไว้ให้มั่นคงที่สุด แต่นางก็รู้ดีว่าภายใต้ความสงบนั้นมีพายุร้ายกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ... พายุที่มาจากอดีตของนางเองชิวเยว่ในชาติก่อนยังคงทำงานอยู่ในส่วนซักล้างและงานจิปาถะอื่นๆ อย่างขยันขันแข็งและดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยใดๆ นางพูดน้อย ยิ้มยาก และมักจะก้มหน้าก้มตาทำงานของตนไปเงียบๆไม่สุงสิงกับผู้ใดเป็นพิเศษ แต่ยิ่งนางดูสงบเสงี่ยมมากเท่าใด เหออวี้หลันก็ยิ่งรู้สึกหวาดระแวงมากขึ้นเท่านั้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนอยู่ภายในว่าสตรีผู้นี้มิได้มาที่นี่โดยบังเอิญอย่างแน่นอนความหวาดระแวงนั้นได้รับการยืนยันในเวลาต่อมา...วันหนึ่งหลี่มามา บ่าวอาวุโสผู้รับใช้ตระกูลจวินมานานได้เข้ามาพบเหออวี้หลันเป็นการส่วนตัวด้วยสีหน้าที่ดูครุ่นคิดเล็กน้อย "เรียนฮูหยินเจ้าคะ บ่าวมีเรื่องประหลาดใจเล็กน้อยจะเรียนให้ทราบ""เรื่องอันใดหรือหลี่มามา?" เหออวี้หลันถาม พยายามควบคุมไม่ให้หัวใจเต้นแรงจนผิดสังเกต"คือ... ชิวเยว่ คนงานใหม่ในโรงซักล้างน่ะเจ้า
เหมันตฤดูแผ่ปกคลุมจวนแม่ทัพจวินด้วยไอเย็นยะเยือก หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งคราว แต่งแต้มให้หลังคาและกิ่งก้านของต้นไม้กลายเป็นสีขาวโพลน ชีวิตภายในจวนดำเนินไปอย่างอบอุ่นและสงบสุขภายใต้การดูแลของเหออวี้หลันและจวินเหยียนซี ความสัมพันธ์ของทั้งสองแน่นแฟ้นขึ้นตามลำดับ ความรักและความเข้าใจค่อยๆถักทอสายใยอันมั่นคงขึ้นมาแทนที่ความเย็นชาในอดีต เด็กทั้งสองเติบโตขึ้นอย่างร่าเริงและมั่นคงภายใต้ร่มเงาแห่งความรักของครอบครัวทว่าความสงบสุขที่ดูเหมือนจะยั่งยืนนี้ กลับมีอันต้องสั่นคลอน... เมื่ออดีตที่ไม่คาดฝันได้หวนกลับมาทวงถามเนื่องด้วยขนาดของจวนที่กว้างขวางและจำนวนบ่าวไพร่ที่มีอยู่เดิมเริ่มไม่เพียงพอ ประกอบกับมีบ่าวบางส่วนลาออกหรือถึงวัยเกษียณ พ่อบ้านเฉียนจึงได้นำเสนอเรื่องการว่าจ้างบ่าวรับใช้ระดับล่างเพิ่มเติมสองสามตำแหน่ง เช่น คนงานในโรงซักล้าง หรือคนสวนชั้นผู้น้อย เขาได้คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นเหมาะสมมาหลายคน และนำรายชื่อพร้อมประวัติย่อมาให้เหออวี้หลันในฐานะฮูหยินเป็นผู้พิจารณาอนุมัติขั้นสุดท้าย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการบริหารจัดการจวนเหออวี้หลันรับรายชื่อมาตรวจดูอย่างละเอียดตามปกติ นาง
ค่ำคืนงานเลี้ยงรับรองมาถึง จวนแม่ทัพจวินสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากโคมไฟนับร้อยดวง บรรยากาศโอ่อ่าสง่างามสมเกียรติ แขกเหรื่อผู้ทรงเกียรติ ทั้งขุนนางผู้ใหญ่ นายทหารระดับสูง และฮูหยินต่างทยอยเดินทางมาถึงด้วยรถม้าคันหรูจวินเหยียนซีและเหออวี้หลันยืนรอต้อนรับแขกอยู่ที่โถงทางเข้าหลัก เคียงข้างกันอย่างสง่างาม เขาสวมชุดขุนนางเต็มยศสีน้ำเงินเข้มดูน่าเกรงขาม ส่วนนางอยู่ในชุดสีทองอ่อนอันงดงาม ขับเน้นความงามอันสุขุมและสูงศักดิ์ ทั้งสองเป็นดั่งหยกคู่งามที่เปล่งประกาย สร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนตั้งแต่แรกเห็นเหออวี้หลันทำหน้าที่เจ้าบ้านได้อย่างไร้ที่ติ นางกล่าวต้อนรับแขกแต่ละคนด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและเป็นมิตร สามารถจดจำชื่อและตำแหน่งของทุกคนได้อย่างแม่นยำ สนทนาด้วยถ้อยคำที่เหมาะสมและแสดงความใส่ใจทำให้นางได้รับคำชื่นชมในความอ่อนน้อมและความเฉลียวฉลาดจากเหล่าแขกเหรื่อ โดยเฉพาะบรรดาฮูหยินทั้งหลายที่เคยมีอคติต่อนางมาก่อนส่วนจวินเหยียนซีนั้นเขารับหน้าที่ดูแลต้อนรับแขกฝ่ายชาย สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเหล่าขุนนางและนายทหารด้วยท่าทีที่สุขุมและน่าเชื่อถือ เขาสังเกตการณ์ปฏิกิริยาและท่าทีของแขกแต่ละคนอย่