“ปลดจ้าวหนิงจินลงจากตำแหน่งฮองเฮาให้เป็นเพียงสามัญชน และขังไว้ในคุกหลวงจนกว่าจะสิ้นชีวิต ชดใช้ความผิดที่ปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์”
นั่นเป็นพระราชโองการที่หยางจิ้งจดจำได้มิเคยลืม ผู้คนทั้งแคว้นต่างก่นด่าว่าเสด็จแม่ของเขาจิตใจอำมหิต สังหารองค์ชายรอง หวงลู่จิว ที่มีอายุได้เพียงเจ็ดหนาว เพราะกลัวว่าองค์ชายรองที่กำเนิดจากสนมขั้นกุ้ยเฟย สนมกงลี่จิน จะมาแย่งตำแหน่งองค์รัชทายาทไปจากหยางจิ้ง
เหตุการณ์นั้นทำให้ชีวิตของหยางจิ้งพลิกผันจนแทบตั้งรับไม่ทัน เสด็จพ่อที่เคยอุ้มชู กลับไม่เคยมาเหลียวแล จะเดินไปที่ใดก็มีแต่คนทำท่ารังเกียจ แม้แต่พวกขันทีนางในก็ยังกล้าดูแคลน
หยางจิ้งในวัยสิบเอ็ดหนาวต้องทนกับคำพูดเสียดสี ดุด่า สาปแช่ง ทั้งยังไม่เคยได้ทานอาหารอิ่มท้องเลยสักวัน บางวันถึงขั้นเป็นข้าวบูดเสียด้วยซ้ำ
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องออกงานสำคัญกับเสด็จพ่อและเหล่าพี่น้อง หลังจากเสด็จแม่ได้รับโทษ เขาก็ไม่เคยได้รับเชิญอีก ทั้งยังถูกขับให้ออกมาอยู่จวนนอกวังกับเข่อชิงเพียงสองคน
หวงหยางจิ้งในวัยนั้นรู้สึกโกรธมารดาเป็นอย่างมาก ที่ทำให้ตนเองกลายเป็นที่รังเกียจของทุกคน แต่ก็ได้ขันทีเข่อชิงที่คอยสอน และย้ำเตือนว่าอย่างไรเสด็จแม่ก็ไม่มีทางทำเรื่องชั่วช้าเช่นนั้นได้
พอเติบใหญ่ขึ้นมา เขาจึงคิดได้ว่าทั้งหมดอาจจะเป็นการป้ายสี เพราะคงไม่มีผู้ใดทำชั่วแล้วทิ้งหลักฐานให้โยงมาถึงตนเองอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งที่ยามนั้นเสด็จแม่ก็มีอำนาจล้นฟ้า
“…”
“องค์ชาย นึกถึงเรื่องเก่าอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นนายเหนือหัวเงียบไปนาน เข่อชิงจึงเอ่ยทัก
“อืม ข้าเพียงนึกเสียใจที่ตอนนั้นโกรธเสด็จแม่”
“จ้าวฮองเฮาต้องทรงไม่ถือโทษองค์ชายแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จแม่ใจดีกับข้าเสมอ ไม่รู้ว่ายามนี้พระนางจะเป็นเช่นไรบ้าง หากได้เข้าไปเยี่ยมเสด็จแม่สักคราคงจะดี” ทั้งนัยน์ตาและรอยยิ้มของชายหนุ่มเศร้าหมองลง เมื่อพูดถึงผู้เป็นแม่
“เรื่องนี้หากให้คุณหนูเกาช่วย อาจจะพอเป็นไปได้”
“หึ เจ้าไม่กลัวว่านางวางแผนล่อเราหรือ”
“องค์ชายของกระหม่อมใช่จะไร้สามารถ หากทางนั้นคิดไม่ซื่อจริง มีหรือองค์ชายจะไม่ทรงทราบ” ประสบการณ์ในวังหลังกว่าสามสิบปี เข่อชิงย่อมถ่ายทอดให้องค์ชายได้เรียนรู้ทั้งหมด เพียงสตรีในห้องหอนางเดียว ไหนเลยจะทำร้ายองค์ชายของเขาได้
“ข้าจะลองตรองดู ช่วงนี้ก็รอดูท่าทีของนางไปก่อน ข้าเกรงว่าหากเดินหมากผิด ไปเหยียบหางผู้มีอำนาจเข้า เราจะยิ่งแย่กว่าเดิม”
ก่อนหน้าเกาเยี่ยนฟางตามเทียวไล้เทียวขื่อกับหวงไท่ฉาง เขากลัวว่าความหวังดีของนางจะเป็นแผนการของพี่น้องน่าชังพวกนั้น
“ฟางเอ๋อร์ของแม่จะออกไปที่ใดอีกแล้ว”
“นั่นสิ วันนี้พี่ใหญ่กับพี่รองของเจ้าอุตส่าห์ได้หยุดงาน อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา” ยังไม่ทันที่เยี่ยนฟางจะย่องออกจากเรือน ก็ถูกมารดาและพี่ชายเรียกไว้เสียก่อน
“โถ่ วันนี้ข้าอยู่กับพวกท่านครึ่งวันแล้วนะเจ้าคะ ข้าอยากออกไปเที่ยวเล่นตามประสาสตรีบ้าง” เยี่ยนฟางเดินเข้ามาออดอ้อนพี่ชายคนโต
เรือนสกุลเกา มีบุตรชายถึงสี่คน คุณชายใหญ่ เกาเกิงชุน และคุณชายรอง เกาจวินอู๋ เกิดจากฮูหยินเอก คนหนึ่งเป็นราชทูตเดินทางไปเจรจากับต่างแคว้น ส่วนอีกคนก็เป็นถึงรองเสนาบดีกรมขุนนาง
คุณชายสาม เกาเต๋อคุน ที่เกิดจากฮูหยินรอง ก็มีหน้าที่การงานดีไม่แพ้กัน ได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองในหัวเมืองทางใต้ของแคว้น จะมีก็แต่คุณชายสี่ เกาโจวไฉ ที่ทำตัวเสเพล ไม่ยอมหางานทำเป็นชิ้นเป็นอัน จนมารดาอย่างผินฟู่โยวคร้านจะสอน
“คงมิได้ออกไปหาองค์ชายสามอีกใช่หรือไม่”
“พี่สี่เพิ่งเดินมาถึงก็พูดจาหยาบคายเสียแล้ว ตบปากตัวเองประเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปหาเขาด้วยเหตุใดกัน”
“แน่หรือ แล้วผู้ใดกันที่ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย” ว่าแล้วพี่ชายขี้เมาก็รินสุราขึ้นมาดื่มตั้งแต่หัววัน จนทุกคนพากันส่ายหัว ไม่เว้นแม้แต่ฮูหยินเอกของเรือน
“หากท่านเอาเรื่องเก่ามาพูด ข้าจะให้ท่านพ่อตัดเบี้ยหวัดท่าน!”
“ให้ท่านพ่อตัดเบี้ยหวัดท่าน~”
“อาไฉอย่าล้อเลียนน้อง ฟางเอ๋อร์จะไปเที่ยวเล่นที่ใดก็ไปเถิด แต่อย่าลืมกลับมาทานข้าวเย็นที่เรือนเล่า จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เย็นนี้พี่สามของเจ้าก็จะเดินทางมาถึงแล้ว” เกาจวินอู๋เอ่ยตัดบทน้องชายและน้องสาว
“เจ้าค่ะพี่รอง รับรองว่าวันนี้ต้องพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นแน่ คิกๆ”
มือเล็กดึงแขนของเอกบุรุษให้ตามออกมาด้วยสีหน้าถมึงทึง เท้าเล็กกระทืบลงพื้นระบายความโมโห“หยุด! เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”“เป็นใบ้หรือไร เหตุใดไม่ตอบกลับไปเล่า” เยี่ยนฟางเดินมาหยุดที่ตรอกไร้คน พลางหันไปต่อว่าอีกฝ่ายนางทั้งโมโห ทั้งอยากหยิกคนตรงหน้า ไม่ว่าเมื่อใดเจ้าหมาโง่ของนางก็ยืนให้คนอื่นด่า ยอมให้คนอื่นหัวเราะเยาะเพราะเหตุนี้อย่างไรเล่า จึงได้เก็บกด พอมีอำนาจก็ไม่เกรงกลัวผู้ใด ทำร้ายผู้คนอย่างเลือดเย็น“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร” หยางจิ้งหรือจะไม่โกรธ เขาแทบอยากพุ่งเข้าไปบีบคอสตรีชั้นต่ำผู้นั้น แต่ในฐานะเช่นเขา จะทำสิ่งใดได้“ก็ด่าพวกเขากลับไป เอาให้หูดับไปเลยยิ่งดี”“อย่างที่เจ้าด่าข้าอยู่นี่น่ะหรือ”“ข้า- เอ่อ หม่อมฉันมิได้ด่านะเพคะ เพียง เพียงบอกองค์ชายเท่านั้น” เยี่ยนฟางอยากตบปากตนเองนัก ทั้งที่ตั้งใจจะตีสนิทอีกฝ่าย แต่นางกลับลืมตัว ด่าเขาว่าเป็นใบ้เสียอย่างนั้น“บอกว่าข้าเป็นใบ้น่ะหรือ”“หึ หยุดใช้สายตากดดันหม่อมฉันนะเพคะ ทีกับผู้อื่นเหตุใดไม่มองเช่นนี้บ้าง”“ข้ามิได้ทำ”“ทำเพคะ มองอย่างกับจะฆ่าแกงกัน อ๊ะ! จะไปที่ใดเพคะ เมื่อครู่เป็นหม่อมฉันที่ช่วยพระองค์ไว้ องค์ชายควรตอบแทนหม่อมฉั
“อาเป่า เจ้าอยากทานสิ่งใดบอกข้า วันนี้ข้าได้เงินจากพี่ใหญ่และพี่รองมาเต็มถุงเลย”เป็นเวลาเกือบเดือนที่เหล่าคุณชายสกุลเกา รับรู้ว่าน้องสาวล้มป่วย แต่หน้าที่การงานรัดตัว ต้องไปราชการต่างเมือง จึงมิได้มาปลอบใจน้องสาวในทันใดพอเกิงชุนกับจวินอู๋กลับมาเห็นท่าทีของน้องสาวเปลี่ยนไป ก็คิดว่านางคงเสียใจหนักมาก จึงเอาอกเอาใจยกใหญ่ เยี่ยนฟางอยากได้สิ่งใดก็ควักเงินให้ไปซื้ออย่างไม่ลังเล“โอ้โห คุณชายทั้งสองมีเงินทองมากมายเสียจริงขอรับ”“แน่สิ ยังเหลือพี่สามอีกหนึ่งคน ที่ข้ายังไม่ได้ขอ”“เช่นนั้นบ่าวทานเสี่ยวหลงเปาได้หรือไม่ขอรับ กลิ่นหอมมาแต่ไกล”“อาเป่า เจ้าชักจะเกินไปแล้ว” ลี่จูปรามบุตร“เจ้านี่อย่างไรลี่จู ลูกชายเจ้ากินเก่งก็ดีแล้ว ข้าเองก็จะซื้อเสี่ยวหลงเปาไปฝากองค์ชายเช่นกัน”“คะ คุณหนูยังจะไปอีกหรือเจ้าคะ ไปทีไร ก็เจ็บตัวกลับมาทุกครา” ลี่จูว่าเสียงเบา นางกับลูกตามคุณหนูไปจวนองค์ชายมานับครั้งไม่ถ้วน ไปทุกวัน คุณหนูของนางก็ถูกลาก ถูกจับโยนออกมานอกประตูจวนทุกวัน“เอาเถิดๆ อย่างน้อยองค์ชายก็ยอมแตะตัวข้า ก่อนหน้านี้เขาเคยเอาไม้เขี่ยข้าด้วยซ้ำ แสดงว่าเริ่มใจอ่อนแล้ว”“แล้วเหตุใดคุณหนูต้องทำให้องค์
“ปลดจ้าวหนิงจินลงจากตำแหน่งฮองเฮาให้เป็นเพียงสามัญชน และขังไว้ในคุกหลวงจนกว่าจะสิ้นชีวิต ชดใช้ความผิดที่ปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์”นั่นเป็นพระราชโองการที่หยางจิ้งจดจำได้มิเคยลืม ผู้คนทั้งแคว้นต่างก่นด่าว่าเสด็จแม่ของเขาจิตใจอำมหิต สังหารองค์ชายรอง หวงลู่จิว ที่มีอายุได้เพียงเจ็ดหนาว เพราะกลัวว่าองค์ชายรองที่กำเนิดจากสนมขั้นกุ้ยเฟย สนมกงลี่จิน จะมาแย่งตำแหน่งองค์รัชทายาทไปจากหยางจิ้งเหตุการณ์นั้นทำให้ชีวิตของหยางจิ้งพลิกผันจนแทบตั้งรับไม่ทัน เสด็จพ่อที่เคยอุ้มชู กลับไม่เคยมาเหลียวแล จะเดินไปที่ใดก็มีแต่คนทำท่ารังเกียจ แม้แต่พวกขันทีนางในก็ยังกล้าดูแคลนหยางจิ้งในวัยสิบเอ็ดหนาวต้องทนกับคำพูดเสียดสี ดุด่า สาปแช่ง ทั้งยังไม่เคยได้ทานอาหารอิ่มท้องเลยสักวัน บางวันถึงขั้นเป็นข้าวบูดเสียด้วยซ้ำไม่ต้องพูดถึงเรื่องออกงานสำคัญกับเสด็จพ่อและเหล่าพี่น้อง หลังจากเสด็จแม่ได้รับโทษ เขาก็ไม่เคยได้รับเชิญอีก ทั้งยังถูกขับให้ออกมาอยู่จวนนอกวังกับเข่อชิงเพียงสองคนหวงหยางจิ้งในวัยนั้นรู้สึกโกรธมารดาเป็นอย่างมาก ที่ทำให้ตนเองกลายเป็นที่รังเกียจของทุกคน แต่ก็ได้ขันทีเข่อชิงที่คอยสอน และย้ำเตือนว่าอย่างไรเสด
“เรื่องที่พระองค์คิดจะทำ มีเพียงอำนาจของบิดาหม่อมฉันที่ช่วยได้”“…” คิ้วคมขมวดเข้าหากันเป็นปม เรื่องที่เขาคิดจะทำ สตรีนางนี้จะรับรู้ได้อย่างไรกัน“องค์ชายทรงตรองดูให้ดีเถิด เรื่องพระมารดาของพระองค์ ผู้ใดจะกล้ายื่นมือเข้ามาเสี่ยง”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงกล้าเสี่ยงเล่า ทั้งที่ก่อนหน้าเจ้ามิยินดีจะเฉียดกายเข้าใกล้ข้าด้วยซ้ำ”“นั่นเพราะ…อย่างไรเสียหม่อมฉันก็แต่งให้ท่านแล้ว หากปล่อยให้องค์ชายทำเรื่องใหญ่ด้วยตนเอง แล้วเกิดผิดพลาดขึ้นมา สกุลเกาคงเดือดร้อนไปด้วย” เยี่ยนฟางลุกขึ้นมายืนประจันหน้ากับสวามี นางมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องตอบตกลงยอมรับความช่วยเหลือจากนางแน่เพราะก่อนหน้านี้หยางจิ้งพยายามตามสืบเรื่องของมารดาและสกุลจ้าว แต่ความกลับไม่คืบหน้า อย่างไรเสียเขาย่อมต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้“งั้นหรือ”“ใช่เพคะ ฮึๆ เอาเป็นว่าเรามานั่งทานมื้อกลางวันไป พูดคุยเรื่องนี้ไปดีหรือไม่ องค์ชายต้องการให้หม่อมฉันช่วยอย่างไร ขอเพียงบอกมาเท่านั้น” ใบหน้าหวานพยักให้บ่าวคนสนิทตั้งโต๊ะอาหารรสเลิศหลายจานจึงถูกยกมาจัดเตรียมอย่างสวยงาม รอเพียงชายหญิงมานั่งทานเท่านั้น“…”“มาเพคะ เชิญองค์ชายนั่งตรงนี้ ว๊าย!” ใจดวงน้อยตกไปอ
น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคอ ปากเล็กเป่าลมออกจากปาก ยืนทำใจอยู่หน้าประตูจวนหลังเก่า แม้ยามนี้หยางจิ้งจะเป็นเจ้าหมาโง่อยู่ แต่ภาพความโหดเหี้ยมของเขายังติดตานางไม่หาย“ให้บ่าวเคาะประตูเลยหรือไม่เจ้าคะ”“เอาเลย ข้าพร้อมแล้ว” เยี่ยนฟางกระชับปิ่นโตที่เอามาด้วยไว้แน่น รอให้ขันทีคนสนิทขององค์ชายออกมาเปิดประตูสามนายบ่าวยืนรอไม่นาน ประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก เมื่อขันทีเฒ่าเห็นว่าผู้ใดมา ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจทันที“คำนับท่านขันทีเข่อชิง ข้านำอาหารมาฝากองค์ชาย ไม่ทราบว่าท่านพอจะนำทางข้าไปพบองค์ชายได้หรือไม่เจ้าคะ”“…” สีหน้าโกรธเคืองเปลี่ยนเป็นงุนงงในทันใด ทั้งคำพูด รอยยิ้ม และกิริยาที่อ่อนน้อม ราวเป็นคนละคนกับคุณหนูเล็กสกุลเกาที่เขารู้จัก“ท่านขันทีขอรับ ได้ยินที่คุณหนูของข้าว่าหรือไม่”“เอ่อ ข้าคงต้องนำเรื่องนี้ไปทูลต่อองค์ชายก่อน” เมื่อถูกเด็กอ้วนท้วง ขันทีชราก็หันหลังกลับเข้าไปถามนายเหนือหัวทันทีและคำตอบก็เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้“ไล่นางกลับไป อย่าให้นางเข้ามาเหยียบในจวนเรา” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น ทั้งที่เจ้าตัวยังจดจ่ออยู่กับการวาดภาพทิวเขา“แต่…ครานี้นางมีท่าทีแปลกๆ นะพ่ะย่ะค่ะ ดูไม่เหมือนคุณหนูเ
“ฟางเอ๋อร์ ออกจากห้องได้แล้วหรือ แม่รองเป็นห่วงเจ้านัก นึกว่าเจ้าจะตรอมใจตาย เพราะองค์ชายสามจะแต่งชายาเสียแล้ว” เสียงของผินฟู่โยว ฮูหยินรองของบิดาเยี่ยนฟาง ทำเอาคนถูกทักกลอกตามองบนบุรุษมากภรรยา ย่อมต้องมีปัญหาตามมา ไม่เว้นแม้แต่สกุลเกา ที่มีฮูหยินรองเป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูง อยากทำตนเทียบชั้นกับฮูหยินเอกของสกุล ระรานเหล่าอนุของแม่ทัพเกา จนมีเรื่องปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน“เฮ้อ! ไปกันเถิด”“นับวันยิ่งทำตัวไร้มารยาท ไม่รู้ว่าฮูหยินเอกเลี้ยงดูบุตรสาวอย่างไร สู้เหรินเอ๋อร์ของป้าก็มิได้” เหรินเอ๋อร์ที่ว่า คือผินอี้เหรินหลานสาวของฮูหยินรอง ที่มาอาศัยอยู่เรือนสกุลเกามาตั้งแต่เล็กๆด้วยเหตุที่ว่าฮูหยินเอกมีบุตรชายมาแล้วถึงสองคน ฮูหยินรองเองก็คลอดบุตรชายอีกสองคน แม่ทัพเกาจึงอยากได้บุตรสาวช่างออดช่างอ้อน ผินฟู่โยวจึงพยายามอย่างหนักเพื่อเอาใจสามี ทว่าก็ไม่ทันฮูหยินเอกที่คลอดเยี่ยนฟางมาก่อนนางจึงได้แต่พาหลานสาวมาเลี้ยงดู หวังให้สามีหันมาสนใจ แต่เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ แม้เกากั๋วเฉียงจะเมตตา ให้ทุกอย่างที่ต้องการ แต่ก็ไม่เท่าบุตรสาวคนเล็ก“…”“ท่านป้า อย่าทำให้คุณหนูโมโหเลยเจ้าค่ะ”“เจ้าก็ดูเถิดเหรินเอ๋อร์