“เรื่องที่พระองค์คิดจะทำ มีเพียงอำนาจของบิดาหม่อมฉันที่ช่วยได้”
“…” คิ้วคมขมวดเข้าหากันเป็นปม เรื่องที่เขาคิดจะทำ สตรีนางนี้จะรับรู้ได้อย่างไรกัน
“องค์ชายทรงตรองดูให้ดีเถิด เรื่องพระมารดาของพระองค์ ผู้ใดจะกล้ายื่นมือเข้ามาเสี่ยง”
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงกล้าเสี่ยงเล่า ทั้งที่ก่อนหน้าเจ้ามิยินดีจะเฉียดกายเข้าใกล้ข้าด้วยซ้ำ”
“นั่นเพราะ…อย่างไรเสียหม่อมฉันก็แต่งให้ท่านแล้ว หากปล่อยให้องค์ชายทำเรื่องใหญ่ด้วยตนเอง แล้วเกิดผิดพลาดขึ้นมา สกุลเกาคงเดือดร้อนไปด้วย” เยี่ยนฟางลุกขึ้นมายืนประจันหน้ากับสวามี นางมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องตอบตกลงยอมรับความช่วยเหลือจากนางแน่
เพราะก่อนหน้านี้หยางจิ้งพยายามตามสืบเรื่องของมารดาและสกุลจ้าว แต่ความกลับไม่คืบหน้า อย่างไรเสียเขาย่อมต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้
“งั้นหรือ”
“ใช่เพคะ ฮึๆ เอาเป็นว่าเรามานั่งทานมื้อกลางวันไป พูดคุยเรื่องนี้ไปดีหรือไม่ องค์ชายต้องการให้หม่อมฉันช่วยอย่างไร ขอเพียงบอกมาเท่านั้น” ใบหน้าหวานพยักให้บ่าวคนสนิทตั้งโต๊ะ
อาหารรสเลิศหลายจานจึงถูกยกมาจัดเตรียมอย่างสวยงาม รอเพียงชายหญิงมานั่งทานเท่านั้น
“…”
“มาเพคะ เชิญองค์ชายนั่งตรงนี้ ว๊าย!” ใจดวงน้อยตกไปอยู่ตาตุ่ม เมื่ออยู่ๆ ก็ถูกเจ้าของเรือนอุ้มพาดบ่า แม้นางจะดิ้น จะทุบตีอีกฝ่ายอย่างไร เขาก็ไม่ยอมบ่อย กระทั่งเดินมาถึงหน้าประตูจวน
ตุ๊บ!
“โอ๊ย!” เกาเยี่ยนฟางเบ้หน้าด้วยความเจ็บ เมื่อถูกโยนลงพื้น สองบ่าวที่ติดตามมาด้วยก็รีบวิ่งมาดูผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนูเจ็บที่ใดหรือไม่เจ้าคะ”
“ขะ ข้าไม่เป็นไรๆ ฮึ้ย องค์ชายจะทำกับหม่อมฉันเกินไปแล้วนะเพคะ คอยดูเถิด-”
“เจ้าจะทำอันใด” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ
“หม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะกลับมาใหม่ จนกว่าท่านจะยอมรับหม่อมฉันอย่างไรเล่า! ลี่จู อาเป่า กลับ!” ว่าแล้วก็สะบัดหน้า เดินกะเผลกๆ ขึ้นรถม้าไป
ทำเอาหวงหยางจิ้งหลุดหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ ดูจากท่าทีที่พยายามอย่างหนักให้เขายอมรับความช่วยเหลือแล้ว เกาเยี่ยนฟางคงจะมีแผนการอะไรบางอย่าง
“องค์ชาย ทำเกินไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หากว่าคุณหนูเกาเลือดตกยางออกขึ้นมา องค์ชายจะเดือดร้อนเอาได้”
“ข้ารู้กำลังของตนเองดี และข้าไม่คิดจะสร้างเรื่องให้ตัวเอง เจ้าวางใจได้” น้ำเสียงเรียบเฉยเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันที เมื่อพูดคุยกับขันทีคนสนิท
เข่อชิงเป็นขันทีคนสนิทของเสด็จแม่ ยามที่เขาคลอดก็เป็นเข่อชิง คอยช่วยเสด็จแม่เลี้ยงดูเขา กระทั่งตอนนี้ก็ยังเป็นเข่อชิงที่อยู่ข้างกายเขาไม่ห่าง
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นองค์ชายไปนั่งรอในเรือนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบไปเก็บอาหารจากสกุลเกาทิ้ง แล้วจะตั้งสำรับใหม่โดยเร็ว”
“อย่าเลย เรามิได้ทานเนื้อตุ๋นมานานแล้วมิใช่หรือ อย่าเอาทิ้งให้เสียของเลย ไปทานด้วยกันเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่าตอบเสียงเศร้า ทั้งที่นายของเขาเป็นถึงองค์ชายใหญ่ของแคว้น กลับต้องเสียดายอาหารจากเรือนขุนนาง
ช่างน่าอดสูเสียจริง
หวงหยางจิ้งนั่งคีบอาหารเข้าปากอย่างเงียบๆ ทั้งที่เป็นอาหารรสเลิศ แต่กลับไม่รู้สึกสำราญใจเลยสักนิด
“เจ้าทานให้มากเถิด ของดีเช่นนี้ใช่ว่าจะหาทานได้ง่ายๆ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” ขันทีเฒ่ารับคำ
“…”
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไร”
“พระองค์คิดอย่างไรกับข้อเสนอของคุณหนูเกาหรือ” คำถามของคนสนิท ทำให้มือใหญ่ที่กำลังคีบอาหารชะงักนิ่ง ก่อนจะวางตะเกียบลงและหันมาสนทนากับขันทีเฒ่าอย่างจริงจัง
“เรื่องนี้ข้าเองก็คิดไม่ตก จากที่นางพูด นางคงรู้ว่าเรากำลังสืบเรื่องของเสด็จแม่และสกุลท่านตา”
“…”
“แต่ข้าไม่แน่ใจว่านางคิดจะช่วยเราด้วยใจจริง หรือมีแผนการบางอย่าง แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร”
“กระหม่อมคิดว่า หากได้อำนาจของแม่ทัพเกามาช่วย เรื่องคงจะง่ายกว่าเดิม”
หวงหยางจิ้งพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเข่อชิง ลำพังตัวเขา ที่เป็นเพียงองค์ชายไร้ศักดิ์ คงมิมีอำนาจจะสืบหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นมานานนับสิบปี แม้ในวังจะมีกำนัลขันทีที่จงรักภักดีต่อเสด็จแม่ แต่จะมีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเล่า ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
มือเล็กดึงแขนของเอกบุรุษให้ตามออกมาด้วยสีหน้าถมึงทึง เท้าเล็กกระทืบลงพื้นระบายความโมโห“หยุด! เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”“เป็นใบ้หรือไร เหตุใดไม่ตอบกลับไปเล่า” เยี่ยนฟางเดินมาหยุดที่ตรอกไร้คน พลางหันไปต่อว่าอีกฝ่ายนางทั้งโมโห ทั้งอยากหยิกคนตรงหน้า ไม่ว่าเมื่อใดเจ้าหมาโง่ของนางก็ยืนให้คนอื่นด่า ยอมให้คนอื่นหัวเราะเยาะเพราะเหตุนี้อย่างไรเล่า จึงได้เก็บกด พอมีอำนาจก็ไม่เกรงกลัวผู้ใด ทำร้ายผู้คนอย่างเลือดเย็น“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร” หยางจิ้งหรือจะไม่โกรธ เขาแทบอยากพุ่งเข้าไปบีบคอสตรีชั้นต่ำผู้นั้น แต่ในฐานะเช่นเขา จะทำสิ่งใดได้“ก็ด่าพวกเขากลับไป เอาให้หูดับไปเลยยิ่งดี”“อย่างที่เจ้าด่าข้าอยู่นี่น่ะหรือ”“ข้า- เอ่อ หม่อมฉันมิได้ด่านะเพคะ เพียง เพียงบอกองค์ชายเท่านั้น” เยี่ยนฟางอยากตบปากตนเองนัก ทั้งที่ตั้งใจจะตีสนิทอีกฝ่าย แต่นางกลับลืมตัว ด่าเขาว่าเป็นใบ้เสียอย่างนั้น“บอกว่าข้าเป็นใบ้น่ะหรือ”“หึ หยุดใช้สายตากดดันหม่อมฉันนะเพคะ ทีกับผู้อื่นเหตุใดไม่มองเช่นนี้บ้าง”“ข้ามิได้ทำ”“ทำเพคะ มองอย่างกับจะฆ่าแกงกัน อ๊ะ! จะไปที่ใดเพคะ เมื่อครู่เป็นหม่อมฉันที่ช่วยพระองค์ไว้ องค์ชายควรตอบแทนหม่อมฉั
“อาเป่า เจ้าอยากทานสิ่งใดบอกข้า วันนี้ข้าได้เงินจากพี่ใหญ่และพี่รองมาเต็มถุงเลย”เป็นเวลาเกือบเดือนที่เหล่าคุณชายสกุลเกา รับรู้ว่าน้องสาวล้มป่วย แต่หน้าที่การงานรัดตัว ต้องไปราชการต่างเมือง จึงมิได้มาปลอบใจน้องสาวในทันใดพอเกิงชุนกับจวินอู๋กลับมาเห็นท่าทีของน้องสาวเปลี่ยนไป ก็คิดว่านางคงเสียใจหนักมาก จึงเอาอกเอาใจยกใหญ่ เยี่ยนฟางอยากได้สิ่งใดก็ควักเงินให้ไปซื้ออย่างไม่ลังเล“โอ้โห คุณชายทั้งสองมีเงินทองมากมายเสียจริงขอรับ”“แน่สิ ยังเหลือพี่สามอีกหนึ่งคน ที่ข้ายังไม่ได้ขอ”“เช่นนั้นบ่าวทานเสี่ยวหลงเปาได้หรือไม่ขอรับ กลิ่นหอมมาแต่ไกล”“อาเป่า เจ้าชักจะเกินไปแล้ว” ลี่จูปรามบุตร“เจ้านี่อย่างไรลี่จู ลูกชายเจ้ากินเก่งก็ดีแล้ว ข้าเองก็จะซื้อเสี่ยวหลงเปาไปฝากองค์ชายเช่นกัน”“คะ คุณหนูยังจะไปอีกหรือเจ้าคะ ไปทีไร ก็เจ็บตัวกลับมาทุกครา” ลี่จูว่าเสียงเบา นางกับลูกตามคุณหนูไปจวนองค์ชายมานับครั้งไม่ถ้วน ไปทุกวัน คุณหนูของนางก็ถูกลาก ถูกจับโยนออกมานอกประตูจวนทุกวัน“เอาเถิดๆ อย่างน้อยองค์ชายก็ยอมแตะตัวข้า ก่อนหน้านี้เขาเคยเอาไม้เขี่ยข้าด้วยซ้ำ แสดงว่าเริ่มใจอ่อนแล้ว”“แล้วเหตุใดคุณหนูต้องทำให้องค์
“ปลดจ้าวหนิงจินลงจากตำแหน่งฮองเฮาให้เป็นเพียงสามัญชน และขังไว้ในคุกหลวงจนกว่าจะสิ้นชีวิต ชดใช้ความผิดที่ปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์”นั่นเป็นพระราชโองการที่หยางจิ้งจดจำได้มิเคยลืม ผู้คนทั้งแคว้นต่างก่นด่าว่าเสด็จแม่ของเขาจิตใจอำมหิต สังหารองค์ชายรอง หวงลู่จิว ที่มีอายุได้เพียงเจ็ดหนาว เพราะกลัวว่าองค์ชายรองที่กำเนิดจากสนมขั้นกุ้ยเฟย สนมกงลี่จิน จะมาแย่งตำแหน่งองค์รัชทายาทไปจากหยางจิ้งเหตุการณ์นั้นทำให้ชีวิตของหยางจิ้งพลิกผันจนแทบตั้งรับไม่ทัน เสด็จพ่อที่เคยอุ้มชู กลับไม่เคยมาเหลียวแล จะเดินไปที่ใดก็มีแต่คนทำท่ารังเกียจ แม้แต่พวกขันทีนางในก็ยังกล้าดูแคลนหยางจิ้งในวัยสิบเอ็ดหนาวต้องทนกับคำพูดเสียดสี ดุด่า สาปแช่ง ทั้งยังไม่เคยได้ทานอาหารอิ่มท้องเลยสักวัน บางวันถึงขั้นเป็นข้าวบูดเสียด้วยซ้ำไม่ต้องพูดถึงเรื่องออกงานสำคัญกับเสด็จพ่อและเหล่าพี่น้อง หลังจากเสด็จแม่ได้รับโทษ เขาก็ไม่เคยได้รับเชิญอีก ทั้งยังถูกขับให้ออกมาอยู่จวนนอกวังกับเข่อชิงเพียงสองคนหวงหยางจิ้งในวัยนั้นรู้สึกโกรธมารดาเป็นอย่างมาก ที่ทำให้ตนเองกลายเป็นที่รังเกียจของทุกคน แต่ก็ได้ขันทีเข่อชิงที่คอยสอน และย้ำเตือนว่าอย่างไรเสด
“เรื่องที่พระองค์คิดจะทำ มีเพียงอำนาจของบิดาหม่อมฉันที่ช่วยได้”“…” คิ้วคมขมวดเข้าหากันเป็นปม เรื่องที่เขาคิดจะทำ สตรีนางนี้จะรับรู้ได้อย่างไรกัน“องค์ชายทรงตรองดูให้ดีเถิด เรื่องพระมารดาของพระองค์ ผู้ใดจะกล้ายื่นมือเข้ามาเสี่ยง”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงกล้าเสี่ยงเล่า ทั้งที่ก่อนหน้าเจ้ามิยินดีจะเฉียดกายเข้าใกล้ข้าด้วยซ้ำ”“นั่นเพราะ…อย่างไรเสียหม่อมฉันก็แต่งให้ท่านแล้ว หากปล่อยให้องค์ชายทำเรื่องใหญ่ด้วยตนเอง แล้วเกิดผิดพลาดขึ้นมา สกุลเกาคงเดือดร้อนไปด้วย” เยี่ยนฟางลุกขึ้นมายืนประจันหน้ากับสวามี นางมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องตอบตกลงยอมรับความช่วยเหลือจากนางแน่เพราะก่อนหน้านี้หยางจิ้งพยายามตามสืบเรื่องของมารดาและสกุลจ้าว แต่ความกลับไม่คืบหน้า อย่างไรเสียเขาย่อมต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้“งั้นหรือ”“ใช่เพคะ ฮึๆ เอาเป็นว่าเรามานั่งทานมื้อกลางวันไป พูดคุยเรื่องนี้ไปดีหรือไม่ องค์ชายต้องการให้หม่อมฉันช่วยอย่างไร ขอเพียงบอกมาเท่านั้น” ใบหน้าหวานพยักให้บ่าวคนสนิทตั้งโต๊ะอาหารรสเลิศหลายจานจึงถูกยกมาจัดเตรียมอย่างสวยงาม รอเพียงชายหญิงมานั่งทานเท่านั้น“…”“มาเพคะ เชิญองค์ชายนั่งตรงนี้ ว๊าย!” ใจดวงน้อยตกไปอ
น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคอ ปากเล็กเป่าลมออกจากปาก ยืนทำใจอยู่หน้าประตูจวนหลังเก่า แม้ยามนี้หยางจิ้งจะเป็นเจ้าหมาโง่อยู่ แต่ภาพความโหดเหี้ยมของเขายังติดตานางไม่หาย“ให้บ่าวเคาะประตูเลยหรือไม่เจ้าคะ”“เอาเลย ข้าพร้อมแล้ว” เยี่ยนฟางกระชับปิ่นโตที่เอามาด้วยไว้แน่น รอให้ขันทีคนสนิทขององค์ชายออกมาเปิดประตูสามนายบ่าวยืนรอไม่นาน ประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก เมื่อขันทีเฒ่าเห็นว่าผู้ใดมา ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจทันที“คำนับท่านขันทีเข่อชิง ข้านำอาหารมาฝากองค์ชาย ไม่ทราบว่าท่านพอจะนำทางข้าไปพบองค์ชายได้หรือไม่เจ้าคะ”“…” สีหน้าโกรธเคืองเปลี่ยนเป็นงุนงงในทันใด ทั้งคำพูด รอยยิ้ม และกิริยาที่อ่อนน้อม ราวเป็นคนละคนกับคุณหนูเล็กสกุลเกาที่เขารู้จัก“ท่านขันทีขอรับ ได้ยินที่คุณหนูของข้าว่าหรือไม่”“เอ่อ ข้าคงต้องนำเรื่องนี้ไปทูลต่อองค์ชายก่อน” เมื่อถูกเด็กอ้วนท้วง ขันทีชราก็หันหลังกลับเข้าไปถามนายเหนือหัวทันทีและคำตอบก็เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้“ไล่นางกลับไป อย่าให้นางเข้ามาเหยียบในจวนเรา” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น ทั้งที่เจ้าตัวยังจดจ่ออยู่กับการวาดภาพทิวเขา“แต่…ครานี้นางมีท่าทีแปลกๆ นะพ่ะย่ะค่ะ ดูไม่เหมือนคุณหนูเ
“ฟางเอ๋อร์ ออกจากห้องได้แล้วหรือ แม่รองเป็นห่วงเจ้านัก นึกว่าเจ้าจะตรอมใจตาย เพราะองค์ชายสามจะแต่งชายาเสียแล้ว” เสียงของผินฟู่โยว ฮูหยินรองของบิดาเยี่ยนฟาง ทำเอาคนถูกทักกลอกตามองบนบุรุษมากภรรยา ย่อมต้องมีปัญหาตามมา ไม่เว้นแม้แต่สกุลเกา ที่มีฮูหยินรองเป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูง อยากทำตนเทียบชั้นกับฮูหยินเอกของสกุล ระรานเหล่าอนุของแม่ทัพเกา จนมีเรื่องปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน“เฮ้อ! ไปกันเถิด”“นับวันยิ่งทำตัวไร้มารยาท ไม่รู้ว่าฮูหยินเอกเลี้ยงดูบุตรสาวอย่างไร สู้เหรินเอ๋อร์ของป้าก็มิได้” เหรินเอ๋อร์ที่ว่า คือผินอี้เหรินหลานสาวของฮูหยินรอง ที่มาอาศัยอยู่เรือนสกุลเกามาตั้งแต่เล็กๆด้วยเหตุที่ว่าฮูหยินเอกมีบุตรชายมาแล้วถึงสองคน ฮูหยินรองเองก็คลอดบุตรชายอีกสองคน แม่ทัพเกาจึงอยากได้บุตรสาวช่างออดช่างอ้อน ผินฟู่โยวจึงพยายามอย่างหนักเพื่อเอาใจสามี ทว่าก็ไม่ทันฮูหยินเอกที่คลอดเยี่ยนฟางมาก่อนนางจึงได้แต่พาหลานสาวมาเลี้ยงดู หวังให้สามีหันมาสนใจ แต่เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ แม้เกากั๋วเฉียงจะเมตตา ให้ทุกอย่างที่ต้องการ แต่ก็ไม่เท่าบุตรสาวคนเล็ก“…”“ท่านป้า อย่าทำให้คุณหนูโมโหเลยเจ้าค่ะ”“เจ้าก็ดูเถิดเหรินเอ๋อร์