Home / รักโบราณ / ชายาอสรพิษ / กลับสู่จุดเริ่มต้น 4

Share

กลับสู่จุดเริ่มต้น 4

last update Last Updated: 2024-12-25 19:25:53

เนื่องจากในวังมีการเลื่อนวันเข้าเฝ้า จากกำหนดเดิมคือสิบห้าวันหลังเสร็จพิธีปักปิ่นของนาง ไม่รู้เพราะเหตุอันใดจึงร่นระยะเวลาให้เหลือเพียงสามวัน

เป็นเหตุให้พวกนางต้องเร่งกลับบ้านทันทีเพื่อเข้าร่วมงานปักปิ่นที่จะจัดขึ้นก่อนกำหนดสิบห้าวัน หากว่ากันตามจริงแล้ว ถ้านางไม่ได้รับความสำคัญในครั้งนี้ขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งไม่ถูกจัดให้เข้าร่วมและเป็นหนึ่งในตัวเอกของงานแน่นอน ไม่รู้ว่าตอนนี้คนพวกนั้นจะเคียดแค้นใจมากแค่ไหนที่ต้องแบ่งพื้นที่ในจวนแก่น้องห้าอย่างนางได้ใช้สอย

“พร้อมหรือยัง”

“เจ้าค่ะ”

หลี่เฟยหยางลูบหัวนาง “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มรับ ผงกศีรษะน้อยๆ ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งในรถม้าที่จัดเตรียมไว้

ใครบอกว่านางกลัวกัน นางเฝ้ารอให้วันนี้มาถึงที่สุดต่างหาก

ด้านนอกมีหลี่เฟยหยางกับหวังซีควบม้าขนาบข้างซ้ายขวา เสี่ยวเฉินคอยกุมบังเหียนขับเคลื่อนรถม้า ส่วนนางผู้ที่สบายสุด กึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกอยู่ในรถม้า ฟังเรื่องเล่าขบขันจากสาวใช้ตัวน้อยของคนในเมืองหลี่ไปพลาง มือหยิบขนมที่เสี่ยวเซียงเตรียมไว้เข้าปากไปพลาง ส่วนหูซานกับหวังข่ายนั้นจะติดตามมาทีหลัง จำต้องจัดการลู่ทางโรงหมอที่นั่นสักพักใหญ่

ขาดก็แต่อู๋เหยียนที่หายไปตั้งแต่วันนั้น หลี่หลิงเฟิ่งเคยถามหลี่เฟยหยางครั้งหนึ่ง คำตอบที่ได้มีแค่สามพยางค์ ‘ทำธุระ’ ถ้าจะตอบแบบนี้อย่าตอบเลยยังจะดีกว่า

นางแอบลงความเห็นในใจตนเองเงียบๆ ว่าจะโดดเดี่ยวหลี่เฟยหยาง

จนแล้วจนรอด หญิงสาวก็ลืมความคิดแรกเริ่มไปเสียสนิท เมื่อหลี่เฟยหยางมักชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ร้องขอกินขนมบ้าง ดื่มน้ำแก้กระหายบ้าง สีหน้าเบิกบานตลอดทาง ทั้งยังพูดจาเอาอกเอาใจจนนางลืมไปแล้วว่าจะโกรธเขาให้นานหน่อย

ส่วนหวังซี ถึงหน้าตาจะพอนับได้ว่ามีเค้าความหล่อ นอกจากจะเงียบเป็นชีวิตจิตใจแล้ว ยังชอบตีหน้าเบื่อโลกเหลือแสนทั้งวัน พาลเอานางหมดอารมณ์จะสนทนาด้วย

ระยะทางจากเขตชายแดนไม่ไกลมากนัก เพียงนั่งรถม้ามาอย่างสบายๆ ถึงประตูเมืองเย็นวันที่สิบพอดี ตลอดเวลาที่เดินทางนับว่าเป็นช่วงผ่อนคลายที่สุดตั้งแต่นางมาเยือนบนโลกใบนี้ ทัศนียภาพที่แปลกตา เปลี่ยนแปลงตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นป่าเขา น้ำตก แหล่งที่อยู่อาศัย ผู้คนสัญจร รวมไปถึงหน้าตาหล่อเหลาของสองหนุ่มที่หมั่นเยี่ยมหน้ามาให้เห็นข้างหน้าต่างคลายความเหงา ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด จิตใจของหลี่หลิงเฟิ่งในช่วงไม่กี่วันมานี้เหมือนได้เติมพลังจนล้นปรี่

ครั้งที่ถูกขับไล่ออกจากจวน ก็เป็นกลางดึกคืนเดือนมืด ทั้งนางยังป่วยติดเตียงราวคนใกล้ตาย จึงไม่มีโอกาสได้ชมวิวทิวทัศน์ข้างทางเลยสักนิด ครั้งนี้ถือว่านางดูเกินคุ้มแล้ว

ยิ่งเข้าใกล้ตัวเมืองหลี่มากเท่าไหร่ เส้นทางสัญจรยิ่งแน่นขนัดจนบางช่วงถึงขั้นแออัดกันเลยทีเดียว หลี่หลิงเฟิ่งรู้มาว่าเมืองหลี่คล้ายกับเมืองของพ่อค้าวาณิชในปัจจุบัน หากแต่ก็ขาดเพียงการค้าทางเรือ เมืองหลี่ตั้งอยู่บนตีนเขา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของต้นกำเนิดหินแร่ เปรียบได้ว่าก่อนจะมาเป็นหินแร่นั้น ต้องงมหาเอาจากก้อนหินหน้าตาอัปลักษณ์ทั้งหลาย ถ้าโชคดีก็กะเทาะออกมาเจอหินแร่ แต่สัดส่วนที่จะเจอหินแร่นั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย เมืองนี้จึงเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ แหล่งพลังงานที่ไม่มีวันสิ้นสุด

พ่อค้าแต่ละหัวมุมเมืองหรือแม้แต่แคว้นใกล้เคียงก็นิยมมาซื้อขายต้นกำเนิดหินแร่กันที่นี่ ทั้งหมดถูกส่งออกจากเมืองแห่งนี้เสียส่วนใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นตลาดค้าขายหินแร่ขนาดใหญ่ที่สุดในแว่นแคว้น ต้นกำเนิดหินแร่ที่มาจากเมืองหลี่จะมีราคาสูงกว่าที่อื่นเป็นเท่าตัว กลายเป็นค่านิยมของทุกผู้ทุกคนไปแล้ว หินที่ดีต้องเป็นหินจากเมืองหลี่เท่านั้น

ในเมืองแห่งนี้นอกจากอาชีพพ่อค้า ยังมีหนึ่งอาชีพที่ได้รับการกล่าวขานเป็นอย่างมาก นั่นก็คือนักคว้าจับ เป็นอาชีพของผู้เชี่ยวชาญด้านการดูหินแร่ หากท่านใดมีชื่อเสียงโด่งดัง อาจได้รับโอกาสเชิญให้ไปเป็นแขกผู้มีเกียรติในตระกูลใหญ่ ถึงแม้ฐานะไม่อาจเทียบเท่าผู้หลอมโอสถทั่วไป ทว่าความสำคัญที่ได้รับไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน

ทหารยามเฝ้าประตูเมืองเห็นรถม้าของจวนเจ้าเมืองก็ปล่อยผ่านไปอย่างนอบน้อม ไม่ต้องรอตรวจเหมือนขบวนรถม้าคันอื่นๆ เมื่อเข้าเมืองหลี่ เสียงจอแจดังทั่วท้องถนน แยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร อยู่ชนบทมา

หลายปี นานแล้วที่ไม่ได้เห็นความคึกคักจอแจที่คุ้นเคยอย่างนี้ หญิงสาวเลิกม่านหน้าต่างรถม้าขึ้น ชื่นชมรอบด้านอย่างตื่นตาตื่นใจตลอดทาง

“น้องสาว ถึงหน้าจวนของเราแล้ว” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นด้านหน้าเมื่อรถม้าหยุดลง หลี่หลิงเฟิ่งก้าวออกมายืนนอกรถม้าพลันเห็นหลี่เฟยหยางยืนยิ้มละไม มือหนายื่นมาเบื้องหน้ารอรับนางอยู่ก่อนแล้ว

หวังซีเมื่อเห็นว่าหลี่หลิงเฟิ่งกลับถึงจวนอย่างปลอดภัยจึงขอแยกตัวไปอีกทาง หญิงสาวไม่ได้พูดอันใดมากนักเพียงกล่าวขอบคุณและผงกหัวเป็นเชิงรับรู้

คิดถึงครั้งที่ลืมตาดูโลกใบใหม่ครั้งแรก จากนั้นถูกตราหน้าว่าฆ่ามารดาตนเองจนต้องเนรเทศนางไปอยู่ในชนบท ถูกผู้คนลืมเลือน ใช้ชีวิตอยากยากลำบากจนเกือบตายมาหลายต่อหลายครั้ง

หวนคืนครั้งนี้...นางจะจัดการใครก่อนดี

หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น ลมอ่อนๆ โชยมาปะทะใบหน้างดงาม มือเรียวสวยวางลงบนฝ่ามือใหญ่ กระชับเข้าหากันแน่น ชายหนุ่มออกแรงดึงรั้งหญิงสาว มือข้างที่ว่างโอบเอวแผ่วเบา ส่งหลี่หลิงเฟิ่งลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล

ตั้งแต่ต้นจนจบรอยยิ้มน้อยๆ ที่ประดับตรงมุมปากหลี่หลิงเฟิ่งไม่เคยจางหายไปเลยแม้แต่น้อย ช่างสวนทางกับแววตาเยือกเย็นขึ้นทุกขณะที่ย่างก้าวเข้าสู่ประตูจวน เสี่ยวเซียงที่กระโดดโลดเต้นดีใจ รับรู้อารมณ์ผิดปกติของผู้เป็นนายพลันหยุดชะงัก สีหน้าของคุณหนูไม่มีสักเสี้ยวความปีติยินดี ออกจะ...ชวนขนหัวลุก แทรกลึกเข้าสู่ทุกอณูรูขุมขน

เพื่อนบ้านละแวกข้างๆ ต่างพากันออกมารอพบหน้าตัวไร้ค่าผู้มากวาสนาเป็นถึงคู่หมั้นคู่หมายองค์ชายรอง เมื่อได้ยลโฉมนางก็อึ้งงัน พลอยให้เสียงอื้ออึงดังขึ้นรอบด้านไม่หยุด

“ไหนว่าคุณหนูห้าตัวไร้ค่าแห่งตระกูลหลี่เป็นหญิงอัปลักษณ์อย่างไรเล่า ไฉนหน้าตาถึงงดงามราวนางฟ้านางสวรรค์ก็ไม่ปาน”

“นั่นสิ ใครมันปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียงสาวงามเยี่ยงนี้” บุรุษกลุ่มหนึ่งมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างเคลิบเคลิ้ม ตกอยู่ในภวังค์ไม่อาจคืนสติ

“งดงามแล้วอย่างไร” สตรีนางหนึ่งพูดขึ้นบ้าง น้ำเสียงอิจฉาริษยาดังขึ้น “นางก็เป็นตัวไร้ค่าอยู่ดี”

“แค่หน้าตาจะทำอันใดได้ นางก็เป็นสวะไม่มีพลังยุทธ์อยู่ดี เสียดายใบหน้าสะสวยนั่นโดยแท้”

“ต่อให้นางเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีพลังยุทธ์แล้วอย่างไร แค่ได้มองหน้านางทุกคืนวัน ข้าก็พึงใจยิ่งแล้ว”

“เจ้าพึงใจ แต่คุณสมบัติแค่นี้จะพอให้ครองตำแหน่งพระชายารึ” สตรีที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มเยาะ “นางมีปัญญาเป็นภรรยาเจ้า แต่นางไม่ดีพอจะเป็นพระชายา”

เสียงโต้แย้งยังดังขึ้นไม่ขาดสาย ส่งผลให้ถนนสายนั้นทั้งสายเนืองแน่นไปด้วยผู้คนและเสียงทะเลาะเบาะแว้งกัน หลี่หลิงเฟิ่งตัวต้นเหตุไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง หงุดหงิดใจกับเรื่องที่นางไม่เคยต้องการ

นางเคยพูดหรือว่าอยากได้ตำแหน่งพระชายาเฮงซวยนี่ ใครอยากเป็นก็เป็นไปสิ นางหาได้สนใจไม่

สิ่งที่นางเกลียดรองลงมาจากการเรืองอำนาจของคนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็คือเรื่องคลุมถุงชนนี่แหละ ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับนางจริงๆ

หลี่หลิงเฟิ่งคนก่อนคิดอย่างไรไม่อาจทราบได้ แต่หลี่หลิงเฟิ่งคนนี้ไม่ยินยอมพร้อมใจ ใครก็บังคับไม่ได้!

ขณะที่ความหงุดหงิดพุ่งสูงไร้ที่ระบายอยู่นั้น แรงบีบเบาๆ บนมือข้างซ้ายช่วยปลอบประโลมจิตใจนาง หญิงสาวเหลือบมองชายหนุ่มข้างกายแวบหนึ่ง ใบหน้ายังคงเย็นชาเหมือนเช่นที่เจอกันครั้งแรก มองตามทางข้างหน้าอย่างเฉยเมย หลี่หลิงเฟิ่งเม้มปากแน่น ไม่ฟังคำพูดเหล่านั้นอีกต่อไป เดินตามหลี่เฟยหยางเข้าจวนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“คุณชายใหญ่และคุณหนูห้ากลับมาแล้ว!” ข้ารับใช้คนหนึ่งยืนเฝ้าประตูร้องตะโกนเสียงดัง ตามธรรมเนียมของจวนตระกูลใหญ่ หลี่หลิงเฟิ่งเพ่งมองเข้าไปข้างในจากที่ไกลๆ สังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนรอต้อนรับพวกนางอยู่ 

หลี่หลิงเฟิ่งหันไปกระซิบกระซาบบอกเสี่ยวเซียง “พวกเจ้าสองคนเอาของไปเก็บที่เรือนก่อน ดูแลห้องหับให้เรียบร้อย แล้วรอจนกว่าข้าจะกลับไป”

ทั้งสองพยักหน้าอย่างว่าง่าย ช่วยกันหอบสัมภาระจำเป็นที่นำกลับมาด้วยแยกตัวออกไปยังเรือนด้านหลัง ส่วนนางเดินขนาบข้างเคียงคู่หลี่เฟยหยางไปหากลุ่มคนด้านหน้าเรือนใหญ่

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ความทรงจำเมื่อครั้งนั้นยิ่งชัดเจน ผู้ที่ยืนอยู่หน้าสุด เป็นจุดเด่นของคนกลุ่มนี้ก็คือนายหญิงแห่งจวนเจ้าเมืองหลี่ ผู้เรืองอำนาจมากที่สุดรองจากเจ้าเมืองหลี่ผู้เป็นสามี นอกจากนี้ยังมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยนางหนึ่ง อายุอานามมากกว่านางปีสองปีส่งยิ้มอ่อนๆ เปี่ยมด้วยมารยาทส่งมาให้ ถัดมายังมีอีกหนึ่งหญิงสาวหน้าตางดงามสะดุดตา ราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดสีหน้าราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใด แต่เมื่อสังเกตดีๆ จะพบว่าชายแขนเสื้อสีขาวราวหิมะมีรอยยับย่น นอกจากนี้ยังมีบุรุษหน้าตาหล่อเหลาอีกหนึ่งคนจ้องมองนางตาไม่กะพริบ

ใครกัน? หลี่หลิงเฟิ่งมองหลี่เฟยหยางอย่างใคร่รู้ คำตอบที่ได้กลับมานอกจากความเงียบก็ไม่มีสิ่งใดอีก รู้สึกว่าเสียเวลาเปล่า สีหน้าเย็นชาในยามปกติเป็นที่เล่าขานกันมา หาใช่เรื่องหลอกลวงไม่

มีตัวละครตัวใหม่เพิ่มขึ้นมางั้นหรือ หึ น่าสนุก

สายตากวาดมองเหล่าคนคุ้นตาและไม่คุ้นเคย รอยยิ้มยกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ใบหน้าหญิงสาวอบอุ่นยิ่งกว่าแสงสายันต์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า แต่เมื่อใครเผลอสบตา ก็อดรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาไม่ได้

สามปี...

นี่ที่คือบ้านของหลี่หลิงเฟิ่ง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

ข้ากลับมาแล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ชายาอสรพิษ   รังมังกรดิน 1

    สามร่างบินฝ่าความมืดลึกลงไปอีกหลายพันลี้ดำดิ่งลงมาถึงใจกลางส่วนลึก เบื้องหน้าทั้งสามคือโลกอีกใบ ดินแดนซ่อนอยู่ใต้ผืนพิภพเหวินเจิ้งกวาดตามองรอบตัวตาแทบถลน “ที่นี่คือรังของมันจริงหรือ”โม่เจี้ยนหมิงอุทานด้วยความตื่นเต้น “สมกับเป็นมังกรหมื่นปี อู้ฟู่ไม่เบา สมบัติของมันรวมกันรวยเท่าแคว้นๆ นึงได้เลยนะ พี่สะใภ้ข้าขอกลับคำ ท่านเป็นดาวนำโชคกลับชาติมาเกิดของแท้ ข้าเข้ามาเสี่ยงโชควาสนาตั้งหลายครั้ง ยังไม่เท่ากับที่มากับท่านครั้งเดียวเลยขอรับ”โม่เจี้ยนหมิงเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครเข้าใจไปกว่าเขาว่าตอนนี้มีความสุขแค่ไหน ดูวิมานพวกนี้สิวิบวับแสบตาไปหมด ทองคำ ทองคำทั้งนั้น!ไม่ทันขาดคำ ร่างสองร่างกลิ้งหลุนๆ ออกมาจากตัวของหลี่หลิงเฟิ่ง เจ้าเก่าเจ้าเดิม จอมแทะทั้งสองกร้วม กร้วมเสียงกัดแทะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หลี่หลิงเฟิ่งไม่ห้ามเนื่องด้วยนางรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เยี่ยงนี้ต้องเกิดขึ้น เสี่ยวไป๋นั้นไม่ต้องพูดถึง เจ้าตัวนี้ชอบลับฟันตนเองเป็นประจำ แต่เพื่อนร่วมวงที่ชอบนอนขี้เกียจอย่างเสี่ยวจูจูไวกว่ามันมาก อาหารอันโอชะมาถึงหน้าประตู เป็นใครก็อดใจไม่ไหวแน่นอนนางไม่สนใจทองคำพวกนี้เพราะในม

  • ชายาอสรพิษ   จอมแทะ

    หลังศึกมังกรดินผ่านไปหลายวัน หิมะยังไม่หยุดตก หลี่หลิงเฟิ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ในการฟื้นฟูพลังและรักษาบาดแผล นางนั่งขัดสมาธิ หายใจเป็นจังหวะช้า ร่างกายเหมือนกลับมาสงบ แต่พลังในมิติมายายังปั่นป่วนอยู่บ้างในขณะที่นางสงบนิ่ง เสียงครางอื้ออึงดังขึ้นจากด้านหลัง “อือ...เจ็บชะมัด อย่างกับถูกฟาดด้วยภูเขา เดี๋ยวก่อน! นี่ข้ายังไม่ตายรึ จำได้ว่าตอนสุดท้ายโดนหางมังกรฟาดเข้าเต็มๆ”“เสียดาย” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำตาไม่ลืม “ข้าเริ่มคิดว่าความสงบจะอยู่ได้นานหน่อย”“ฮ่าๆ พวกเรายังมีชีวิตอยู่ พวกเรารอดแล้ว!” เสียงของโม่เจี้ยนหมิงแหบพร่า เหมือนคนฝันร้ายกลับมาหายใจอีกครั้ง พลางสำรวจตัวเองและรอบข้างอย่างดีอกดีใจเหวินเจิ้งที่นอนพิงผนังฝั่งหนึ่งเริ่มขยับ “เกิดอะไรขึ้น...มังกรดินล่ะ”หญิงสาวลืมตาช้า ๆ เปลือกตาสีซีดไหววูบ “เสียงสวดกลืนลงท้องไปแล้ว”เงียบทั้งถ้ำพลันไร้เสียง มีเพียงลมหายใจหนัก ๆ ของสองชายหนุ่มที่เพิ่งฟื้นโม่เจี้ยนหมิงกลืนน้ำลาย “เสียงสวดนั้นอีกแล้ว?”

  • ชายาอสรพิษ   มิติสอดแทรก

    เสียงระเบิดของเปลวเพลิงปะทะกับแรงสั่นสะเทือนจากธาตุดินดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนหิมะโลกสีขาวโพลนที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นสนามรบระหว่างมนุษย์สามคนกับอสูรหมื่นปีหิมะละลายกลายเป็นไอร้อนในชั่วลมหายใจเดียว ลมหนาวที่เคยปกคลุมทั่วฟ้าถูกแรงกดดันจากใต้ดินกวาดหายจนหมดสิ้นโม่เจี้ยนหมิงตะโกน “ข้าจะเปิดช่องขวา!”ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม กระบี่ในมือหมุนวนก่อเกิดแรงกดอากาศเป็นเกลียว เหวินเจิ้งใช้กำลังผลักพลังยุทธ์เข้าฝ่ามือ ทุบพลังธาตุดินที่กระแทกเข้ามาแตกกระจาย“อย่าใช้แรงปะทะโดยตรง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียเปรียบ” เสียงของหลี่หลิงเฟิ่งดังขึ้นเรียบเย็น นางเหยียบพื้นหิมะแล้วทะยานขึ้นกลางอากาศ เส้นไหมแดงร้อยเส้นแตกตัวเป็นประกายเพลิง สะท้อนเข้ากับแสงของฟ้าหิมะจนเหมือนมีพระอาทิตย์อีกดวงลุกขึ้นตรงหน้าแต่ทว่าพลังที่พวกนางปล่อยออกไปนั้น กลับถูกบางสิ่งใต้พื้นดูดซับราวทะเลกลืนสายฝนแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพี พื้นดินแตกออกเป็นเส้นรอยแผล ลาวาสีทองปนดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าสะเทือนจากใจกลางของความมืดนั้น ร่างยักษ์มหึมาผุดขึ้นจากดิน เกล็ดของมันมีลวดลายเหมือนรอยหินลาวา แต

  • ชายาอสรพิษ   มังกรดินใต้พิภพ

    กว่าสิบเดือนที่พวกนางเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้ามจนเข้าสู่ช่วงเหมันต์ ในช่วงห้าเดือนหลังนี้ หิมะเริ่มตกทำให้ทั่วทั้งดินแดนกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามได้ปักหลักฝึกยุทธ์อยู่ ณ ริมขอบค่ายกลที่โอบล้อมสัตว์อสูรไว้ภายใน ตอนนี้ทั้งสามคนรุดหน้าไปมากโม่เจี้ยนหมิงและเหวินเจิ้งตัดสินใจทำลายค่ายกลอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนผ่านมาเช่นนี้ ค่ายกลพลังอสูรกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากอยู่มานาน อะไรที่ควรสัมผัสได้ล้วนรับรู้ได้หมด ตัวอันตรายใต้ดินนั่นเริ่มจะทนไม่ไหวอยากขึ้นหาพวกเขาเต็มแก่ ทั้งสามตึงเครียดยิ่งนักแม้ตอนนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอต่อกรกับมัน ทว่าไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรที่ถูกกักขังในค่ายกลเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ยังไม่พร้อมพวกเขาจำเป็นต้องลงมือเพียงแต่ ตลอดเวลานั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินยังคงเฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ รอเวลาตะปบเหยื่อ“เหยื่ออันโอชะของข้า อยากตายก่อนเวลาเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าเปี่ยมอำนาจดังก้องเข้าโสตประสาตของทุกคน ก่อนแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนพวกนางต้องเหาะเหินหลบขึ้นกลางอากาศ เงาดำมหึมาครอบคลุมบริเวณแถบนี้

  • ชายาอสรพิษ   เหล่าสัตว์อสูร 2

    ในที่ซึ่งเงียบเกินไป บางครั้งเสียงของความเงียบก็ดังกว่าทุกสิ่ง เงียบจนอื้ออึงในโสตประสาท ราวกับโลกกลืนกินเสียงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นเหวินเจิ้งตามมาด้านหลัง เขากระชับอาวุธที่พาดอยู่บนหลังไว้แน่น เสียงโลหะดังเคล้ากับลมหายใจที่สม่ำเสมอของโม่เจี้ยนหมิง ผู้เดินล้อมท้ายขบวนทั้งสามไม่ได้พูดกันสักคำ ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณว่าคำพูดที่เล็ดลอดจะถูกบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนระยะหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งหยุดเท้า ดวงตาของนางกะพริบวูบหนึ่ง แสงแดงหม่นสะท้อนในม่านตากำลังรอการจุดประกาย“รู้สึกจะเป็นข้างหน้านี้” เสียงของนางเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจโม่เจี้ยนหมิงชะงัก กระบี่ในมือตวัดลงมาตั้งรับโดยสัญชาตญาณ “ท่านรู้สึกได้?”นางไม่ตอบ แต่ค้อมตัวลงแตะปลายนิ้วกับพื้น แผ่นดินที่เย็นชื้นสะท้อนแรงสั่นแผ่วกลับมาราวหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่เต้นอยู่ลึกลงไปใต้รากไม้ ไอพลังบางอย่างแผ่ออกจากจุดนั้น ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่เป็นลมหายใจของสิ่งมีชีวิตตนอื่น ที่สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้หลี่หลิงเฟิ่งแผ่กระแสจิต คลื่นพ

  • ชายาอสรพิษ   เหล่าสัตว์อสูร 1

    ทั้งคู่เคลื่อนตัวฝ่าร่องเขาที่โล่งจนเห็นท้องฟ้าผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหมอกตอนนี้แห้งแตกระแหง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในอากาศ ลมพัดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพร้อมเสียงระเบิดพลังยุทธ์แว่วไกลตูม!เสียงปะทะกันดัง ตามด้วยเสียงร้องคำรามของใครบางคน หลี่หลิงเฟิ่งหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง “มีการต่อสู้ข้างหน้า”โม่เจี้ยนหมิงชักกระบี่ขึ้น “พวกเงาโลหิตแน่ ข้าจำวิธีการของพวกมันได้”เขาหันไปมองหน้านาง “จะอ้อมหรือเข้าไปช่วย”หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ “เข้าไป”กลุ่มคนห้าหกคนกำลังสู้กับกลุ่มเงาโลหิตอีกฝั่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ดินใต้เท้าเปียกแฉะด้วยพลังยุทธ์ที่แตกกระจายชายร่างสูงในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเงาโลหิตกำลังฟาดอาวุธใส่ชายอีกคนที่บาดเจ็บหนัก เขาเป็นหนึ่งในคนของสำนักพันธสาน เสื้อคลุมฉีกขาด แขนขวาไหม้เกรียมโม่เจี้ยนหมิงมองอยู่จากเนิน“พวกนั้นเป็นศิษย์ของหุบเขาชาง ดูนั่นมีตราโลหะอยู่บนคอเสื้อเด่นชัดมาก น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสำนักใหญ่พวกนั้น อย่างนั้นข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ถ้

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status