/ รักโบราณ / ชายาอสรพิษ / กลับสู่จุดเริ่มต้น 4

공유

กลับสู่จุดเริ่มต้น 4

last update 최신 업데이트: 2024-12-25 19:25:53

เนื่องจากในวังมีการเลื่อนวันเข้าเฝ้า จากกำหนดเดิมคือสิบห้าวันหลังเสร็จพิธีปักปิ่นของนาง ไม่รู้เพราะเหตุอันใดจึงร่นระยะเวลาให้เหลือเพียงสามวัน

เป็นเหตุให้พวกนางต้องเร่งกลับบ้านทันทีเพื่อเข้าร่วมงานปักปิ่นที่จะจัดขึ้นก่อนกำหนดสิบห้าวัน หากว่ากันตามจริงแล้ว ถ้านางไม่ได้รับความสำคัญในครั้งนี้ขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งไม่ถูกจัดให้เข้าร่วมและเป็นหนึ่งในตัวเอกของงานแน่นอน ไม่รู้ว่าตอนนี้คนพวกนั้นจะเคียดแค้นใจมากแค่ไหนที่ต้องแบ่งพื้นที่ในจวนแก่น้องห้าอย่างนางได้ใช้สอย

“พร้อมหรือยัง”

“เจ้าค่ะ”

หลี่เฟยหยางลูบหัวนาง “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มรับ ผงกศีรษะน้อยๆ ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งในรถม้าที่จัดเตรียมไว้

ใครบอกว่านางกลัวกัน นางเฝ้ารอให้วันนี้มาถึงที่สุดต่างหาก

ด้านนอกมีหลี่เฟยหยางกับหวังซีควบม้าขนาบข้างซ้ายขวา เสี่ยวเฉินคอยกุมบังเหียนขับเคลื่อนรถม้า ส่วนนางผู้ที่สบายสุด กึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกอยู่ในรถม้า ฟังเรื่องเล่าขบขันจากสาวใช้ตัวน้อยของคนในเมืองหลี่ไปพลาง มือหยิบขนมที่เสี่ยวเซียงเตรียมไว้เข้าปากไปพลาง ส่วนหูซานกับหวังข่ายนั้นจะติดตามมาทีหลัง จำต้องจัดการลู่ทางโรงหมอที่นั่นสักพักใหญ่

ขาดก็แต่อู๋เหยียนที่หายไปตั้งแต่วันนั้น หลี่หลิงเฟิ่งเคยถามหลี่เฟยหยางครั้งหนึ่ง คำตอบที่ได้มีแค่สามพยางค์ ‘ทำธุระ’ ถ้าจะตอบแบบนี้อย่าตอบเลยยังจะดีกว่า

นางแอบลงความเห็นในใจตนเองเงียบๆ ว่าจะโดดเดี่ยวหลี่เฟยหยาง

จนแล้วจนรอด หญิงสาวก็ลืมความคิดแรกเริ่มไปเสียสนิท เมื่อหลี่เฟยหยางมักชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ร้องขอกินขนมบ้าง ดื่มน้ำแก้กระหายบ้าง สีหน้าเบิกบานตลอดทาง ทั้งยังพูดจาเอาอกเอาใจจนนางลืมไปแล้วว่าจะโกรธเขาให้นานหน่อย

ส่วนหวังซี ถึงหน้าตาจะพอนับได้ว่ามีเค้าความหล่อ นอกจากจะเงียบเป็นชีวิตจิตใจแล้ว ยังชอบตีหน้าเบื่อโลกเหลือแสนทั้งวัน พาลเอานางหมดอารมณ์จะสนทนาด้วย

ระยะทางจากเขตชายแดนไม่ไกลมากนัก เพียงนั่งรถม้ามาอย่างสบายๆ ถึงประตูเมืองเย็นวันที่สิบพอดี ตลอดเวลาที่เดินทางนับว่าเป็นช่วงผ่อนคลายที่สุดตั้งแต่นางมาเยือนบนโลกใบนี้ ทัศนียภาพที่แปลกตา เปลี่ยนแปลงตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นป่าเขา น้ำตก แหล่งที่อยู่อาศัย ผู้คนสัญจร รวมไปถึงหน้าตาหล่อเหลาของสองหนุ่มที่หมั่นเยี่ยมหน้ามาให้เห็นข้างหน้าต่างคลายความเหงา ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด จิตใจของหลี่หลิงเฟิ่งในช่วงไม่กี่วันมานี้เหมือนได้เติมพลังจนล้นปรี่

ครั้งที่ถูกขับไล่ออกจากจวน ก็เป็นกลางดึกคืนเดือนมืด ทั้งนางยังป่วยติดเตียงราวคนใกล้ตาย จึงไม่มีโอกาสได้ชมวิวทิวทัศน์ข้างทางเลยสักนิด ครั้งนี้ถือว่านางดูเกินคุ้มแล้ว

ยิ่งเข้าใกล้ตัวเมืองหลี่มากเท่าไหร่ เส้นทางสัญจรยิ่งแน่นขนัดจนบางช่วงถึงขั้นแออัดกันเลยทีเดียว หลี่หลิงเฟิ่งรู้มาว่าเมืองหลี่คล้ายกับเมืองของพ่อค้าวาณิชในปัจจุบัน หากแต่ก็ขาดเพียงการค้าทางเรือ เมืองหลี่ตั้งอยู่บนตีนเขา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของต้นกำเนิดหินแร่ เปรียบได้ว่าก่อนจะมาเป็นหินแร่นั้น ต้องงมหาเอาจากก้อนหินหน้าตาอัปลักษณ์ทั้งหลาย ถ้าโชคดีก็กะเทาะออกมาเจอหินแร่ แต่สัดส่วนที่จะเจอหินแร่นั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย เมืองนี้จึงเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ แหล่งพลังงานที่ไม่มีวันสิ้นสุด

พ่อค้าแต่ละหัวมุมเมืองหรือแม้แต่แคว้นใกล้เคียงก็นิยมมาซื้อขายต้นกำเนิดหินแร่กันที่นี่ ทั้งหมดถูกส่งออกจากเมืองแห่งนี้เสียส่วนใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นตลาดค้าขายหินแร่ขนาดใหญ่ที่สุดในแว่นแคว้น ต้นกำเนิดหินแร่ที่มาจากเมืองหลี่จะมีราคาสูงกว่าที่อื่นเป็นเท่าตัว กลายเป็นค่านิยมของทุกผู้ทุกคนไปแล้ว หินที่ดีต้องเป็นหินจากเมืองหลี่เท่านั้น

ในเมืองแห่งนี้นอกจากอาชีพพ่อค้า ยังมีหนึ่งอาชีพที่ได้รับการกล่าวขานเป็นอย่างมาก นั่นก็คือนักคว้าจับ เป็นอาชีพของผู้เชี่ยวชาญด้านการดูหินแร่ หากท่านใดมีชื่อเสียงโด่งดัง อาจได้รับโอกาสเชิญให้ไปเป็นแขกผู้มีเกียรติในตระกูลใหญ่ ถึงแม้ฐานะไม่อาจเทียบเท่าผู้หลอมโอสถทั่วไป ทว่าความสำคัญที่ได้รับไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน

ทหารยามเฝ้าประตูเมืองเห็นรถม้าของจวนเจ้าเมืองก็ปล่อยผ่านไปอย่างนอบน้อม ไม่ต้องรอตรวจเหมือนขบวนรถม้าคันอื่นๆ เมื่อเข้าเมืองหลี่ เสียงจอแจดังทั่วท้องถนน แยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร อยู่ชนบทมา

หลายปี นานแล้วที่ไม่ได้เห็นความคึกคักจอแจที่คุ้นเคยอย่างนี้ หญิงสาวเลิกม่านหน้าต่างรถม้าขึ้น ชื่นชมรอบด้านอย่างตื่นตาตื่นใจตลอดทาง

“น้องสาว ถึงหน้าจวนของเราแล้ว” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นด้านหน้าเมื่อรถม้าหยุดลง หลี่หลิงเฟิ่งก้าวออกมายืนนอกรถม้าพลันเห็นหลี่เฟยหยางยืนยิ้มละไม มือหนายื่นมาเบื้องหน้ารอรับนางอยู่ก่อนแล้ว

หวังซีเมื่อเห็นว่าหลี่หลิงเฟิ่งกลับถึงจวนอย่างปลอดภัยจึงขอแยกตัวไปอีกทาง หญิงสาวไม่ได้พูดอันใดมากนักเพียงกล่าวขอบคุณและผงกหัวเป็นเชิงรับรู้

คิดถึงครั้งที่ลืมตาดูโลกใบใหม่ครั้งแรก จากนั้นถูกตราหน้าว่าฆ่ามารดาตนเองจนต้องเนรเทศนางไปอยู่ในชนบท ถูกผู้คนลืมเลือน ใช้ชีวิตอยากยากลำบากจนเกือบตายมาหลายต่อหลายครั้ง

หวนคืนครั้งนี้...นางจะจัดการใครก่อนดี

หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น ลมอ่อนๆ โชยมาปะทะใบหน้างดงาม มือเรียวสวยวางลงบนฝ่ามือใหญ่ กระชับเข้าหากันแน่น ชายหนุ่มออกแรงดึงรั้งหญิงสาว มือข้างที่ว่างโอบเอวแผ่วเบา ส่งหลี่หลิงเฟิ่งลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล

ตั้งแต่ต้นจนจบรอยยิ้มน้อยๆ ที่ประดับตรงมุมปากหลี่หลิงเฟิ่งไม่เคยจางหายไปเลยแม้แต่น้อย ช่างสวนทางกับแววตาเยือกเย็นขึ้นทุกขณะที่ย่างก้าวเข้าสู่ประตูจวน เสี่ยวเซียงที่กระโดดโลดเต้นดีใจ รับรู้อารมณ์ผิดปกติของผู้เป็นนายพลันหยุดชะงัก สีหน้าของคุณหนูไม่มีสักเสี้ยวความปีติยินดี ออกจะ...ชวนขนหัวลุก แทรกลึกเข้าสู่ทุกอณูรูขุมขน

เพื่อนบ้านละแวกข้างๆ ต่างพากันออกมารอพบหน้าตัวไร้ค่าผู้มากวาสนาเป็นถึงคู่หมั้นคู่หมายองค์ชายรอง เมื่อได้ยลโฉมนางก็อึ้งงัน พลอยให้เสียงอื้ออึงดังขึ้นรอบด้านไม่หยุด

“ไหนว่าคุณหนูห้าตัวไร้ค่าแห่งตระกูลหลี่เป็นหญิงอัปลักษณ์อย่างไรเล่า ไฉนหน้าตาถึงงดงามราวนางฟ้านางสวรรค์ก็ไม่ปาน”

“นั่นสิ ใครมันปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียงสาวงามเยี่ยงนี้” บุรุษกลุ่มหนึ่งมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างเคลิบเคลิ้ม ตกอยู่ในภวังค์ไม่อาจคืนสติ

“งดงามแล้วอย่างไร” สตรีนางหนึ่งพูดขึ้นบ้าง น้ำเสียงอิจฉาริษยาดังขึ้น “นางก็เป็นตัวไร้ค่าอยู่ดี”

“แค่หน้าตาจะทำอันใดได้ นางก็เป็นสวะไม่มีพลังยุทธ์อยู่ดี เสียดายใบหน้าสะสวยนั่นโดยแท้”

“ต่อให้นางเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีพลังยุทธ์แล้วอย่างไร แค่ได้มองหน้านางทุกคืนวัน ข้าก็พึงใจยิ่งแล้ว”

“เจ้าพึงใจ แต่คุณสมบัติแค่นี้จะพอให้ครองตำแหน่งพระชายารึ” สตรีที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มเยาะ “นางมีปัญญาเป็นภรรยาเจ้า แต่นางไม่ดีพอจะเป็นพระชายา”

เสียงโต้แย้งยังดังขึ้นไม่ขาดสาย ส่งผลให้ถนนสายนั้นทั้งสายเนืองแน่นไปด้วยผู้คนและเสียงทะเลาะเบาะแว้งกัน หลี่หลิงเฟิ่งตัวต้นเหตุไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง หงุดหงิดใจกับเรื่องที่นางไม่เคยต้องการ

นางเคยพูดหรือว่าอยากได้ตำแหน่งพระชายาเฮงซวยนี่ ใครอยากเป็นก็เป็นไปสิ นางหาได้สนใจไม่

สิ่งที่นางเกลียดรองลงมาจากการเรืองอำนาจของคนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็คือเรื่องคลุมถุงชนนี่แหละ ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับนางจริงๆ

หลี่หลิงเฟิ่งคนก่อนคิดอย่างไรไม่อาจทราบได้ แต่หลี่หลิงเฟิ่งคนนี้ไม่ยินยอมพร้อมใจ ใครก็บังคับไม่ได้!

ขณะที่ความหงุดหงิดพุ่งสูงไร้ที่ระบายอยู่นั้น แรงบีบเบาๆ บนมือข้างซ้ายช่วยปลอบประโลมจิตใจนาง หญิงสาวเหลือบมองชายหนุ่มข้างกายแวบหนึ่ง ใบหน้ายังคงเย็นชาเหมือนเช่นที่เจอกันครั้งแรก มองตามทางข้างหน้าอย่างเฉยเมย หลี่หลิงเฟิ่งเม้มปากแน่น ไม่ฟังคำพูดเหล่านั้นอีกต่อไป เดินตามหลี่เฟยหยางเข้าจวนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“คุณชายใหญ่และคุณหนูห้ากลับมาแล้ว!” ข้ารับใช้คนหนึ่งยืนเฝ้าประตูร้องตะโกนเสียงดัง ตามธรรมเนียมของจวนตระกูลใหญ่ หลี่หลิงเฟิ่งเพ่งมองเข้าไปข้างในจากที่ไกลๆ สังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนรอต้อนรับพวกนางอยู่ 

หลี่หลิงเฟิ่งหันไปกระซิบกระซาบบอกเสี่ยวเซียง “พวกเจ้าสองคนเอาของไปเก็บที่เรือนก่อน ดูแลห้องหับให้เรียบร้อย แล้วรอจนกว่าข้าจะกลับไป”

ทั้งสองพยักหน้าอย่างว่าง่าย ช่วยกันหอบสัมภาระจำเป็นที่นำกลับมาด้วยแยกตัวออกไปยังเรือนด้านหลัง ส่วนนางเดินขนาบข้างเคียงคู่หลี่เฟยหยางไปหากลุ่มคนด้านหน้าเรือนใหญ่

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ความทรงจำเมื่อครั้งนั้นยิ่งชัดเจน ผู้ที่ยืนอยู่หน้าสุด เป็นจุดเด่นของคนกลุ่มนี้ก็คือนายหญิงแห่งจวนเจ้าเมืองหลี่ ผู้เรืองอำนาจมากที่สุดรองจากเจ้าเมืองหลี่ผู้เป็นสามี นอกจากนี้ยังมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยนางหนึ่ง อายุอานามมากกว่านางปีสองปีส่งยิ้มอ่อนๆ เปี่ยมด้วยมารยาทส่งมาให้ ถัดมายังมีอีกหนึ่งหญิงสาวหน้าตางดงามสะดุดตา ราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดสีหน้าราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใด แต่เมื่อสังเกตดีๆ จะพบว่าชายแขนเสื้อสีขาวราวหิมะมีรอยยับย่น นอกจากนี้ยังมีบุรุษหน้าตาหล่อเหลาอีกหนึ่งคนจ้องมองนางตาไม่กะพริบ

ใครกัน? หลี่หลิงเฟิ่งมองหลี่เฟยหยางอย่างใคร่รู้ คำตอบที่ได้กลับมานอกจากความเงียบก็ไม่มีสิ่งใดอีก รู้สึกว่าเสียเวลาเปล่า สีหน้าเย็นชาในยามปกติเป็นที่เล่าขานกันมา หาใช่เรื่องหลอกลวงไม่

มีตัวละครตัวใหม่เพิ่มขึ้นมางั้นหรือ หึ น่าสนุก

สายตากวาดมองเหล่าคนคุ้นตาและไม่คุ้นเคย รอยยิ้มยกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ใบหน้าหญิงสาวอบอุ่นยิ่งกว่าแสงสายันต์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า แต่เมื่อใครเผลอสบตา ก็อดรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาไม่ได้

สามปี...

นี่ที่คือบ้านของหลี่หลิงเฟิ่ง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

ข้ากลับมาแล้ว

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • ชายาอสรพิษ   อันตรายมาเยือน

    หุบเขาหยกขาวมิใช่ชื่อที่คนในแผ่นดินไร้ขอบกล่าวถึงด้วยความยินดี ถึงแม้จะมีคำว่า “หยก” และ “ขาว” อันดูสูงส่งบริสุทธิ์อยู่ในชื่อ แต่มันกลับเป็นสถานที่ที่ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นนภายังไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปลึกเกินสามลี้ที่แห่งนั้นคือเส้นแบ่งระหว่าง ความรุ่งโรจน์กับความตาย และในยามฤดูหนาวเช่นนี้ หิมะที่ปกคลุมมันก็ไม่ต่างจากผืนผ้าสะอาดที่กลบศพเน่าเปื่อยไว้ใต้รากไม้หลี่หลิงเฟิ่งเคลื่อนกายอย่างเงียบงัน ลมหายใจเป็นไอขาวราวควันจาง กลีบหิมะโปรยปรายแตะใบหน้าของนางแล้วละลายหายอย่างไม่ทันรู้สึกเย็น แต่ความเย็นกลับฝังลึกอยู่ในอกอย่างไม่ทราบสาเหตุไฉนที่นี่จึงมีหิมะตก น่าแปลกหลี่หลิงเฟิ่งเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางแคบ ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างหน้าผาสูงชันและป่ารกเรื้อ นางอยู่คนเดียว ไร้ผู้ติดตาม ไร้เสียงสนทนา มีเพียงเสียงฝีเท้าของตนที่ก้าวลงบนก้อนกรวด กับเสียงใบไม้เสียดสีกันจากกระแสลมที่ไม่หยุดนิ่ง“เงียบเกินไป…” นางพึมพำกับตัวเองนางชะลอฝีเท้า สายตามองไปรอบกาย แผ่กระจิตออกไปสำรวจ ทว่าไม่สิ่งมีชีวิตสักตัวในระแวกนี้เลยบนข้อมือข้างซ้ายของนาง มีกำไลสีแดงเข้มรูปวงแหวนมันวาวประดับอยู่ นุ่มนิ่มสิ่งมีชีวิตรูปร่

  • ชายาอสรพิษ   ภัยเงียบ

    ท้องฟ้าสีดำสนิทปราศจากแสงจันทร์และดวงดารา สายลมหนาวพัดผ่านไปทั่วอาณาเขต เงามืดเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบบนหลังคาโม่จื่อหลิงยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสูงสุดของหอสิบทิศ ดวงตาคมกริบทอดมองไปยังเมืองที่แผ่กว้างออกไปสุดสายตา ลางสังหรณ์บางอย่างบีบคั้นหัวใจของเขา คล้ายกับว่ามีพายุที่มองไม่เห็นกำลังพัดโหมเข้ามาและแล้ว...ตูม!เสียงระเบิดดังสนั่นทำลายความเงียบงันของค่ำคืน แสงเพลิงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสียงร้องของผู้คนปะปนกับเสียงอาวุธกระทบกันดังไปทั่วบริเวณ"ในที่สุด พวกมันก็มาจนได้ คนที่ควรมาก็มาแล้ว" โม่จื่อหลิงกระซิบกับตัวเอง ดวงตาของเขาเย็นเยียบไร้ซึ่งความหวาดหวั่นชายในชุดดำจำนวนมากพุ่งทะยานเข้ามาภายในหอสิบทิศ ราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก พวกมันเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ รวดเร็ว และโหดเหี้ยม"นายท่าน! หอสิบทิศถูกจู่โจม!" หนึ่งในลูกน้องของเขารีบวิ่งเข้ามารายงาน "พวกมันมีกำลังพลมหาศาล และมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงอยู่ด้วย!"โม่จื่อหลิงกวาดตามองไปรอบ ๆ แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้เป้าหมายของพวกมัน คือ สังหารเขาเสียงกระบี่ปะทะกันดังกึกก้อง ลูกธนูเพลิงถูกยิงเ

  • ชายาอสรพิษ   เบื้องหลังที่ทับซ้อน

    ในโรงน้ำชาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เสียงผู้คนกระซิบกระซาบมิขาดสาย ข่าวการแตกหักของตระกูลหนานและตระกูลหลินแพร่กระจายราวเพลิงลามป่า“ได้ยินมาว่า เจ้าสาวหายตัวไปหลังจากถูกพวกโจรลักพาตัว แต่จู่ ๆ นางกลับมาเองอย่างไร้รอยแผล”“แล้วนางก็ปฏิเสธการแต่งงานทันที! ข้ารู้สึกเหมือนเรื่องนี้มีอะไรมากกว่านั้น”“หรือว่านางมิได้ถูกลักพาตัว แต่ไปด้วยความยินยอมเอง”เสียงพูดคุยนั้นกระทบถึงหูโม่จื่อหลิง เขานั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง สวมอาภรณ์ธรรมดาไม่สะดุดตา เขามองภาพของเจ้าสาวตระกูลหลินจากที่ไกลๆ เหมือนกับภาพจากมือสอดแนมของหอสิบทิศไม่ผิดเพี้ยนในภาพนั้น หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ในสวนของตระกูลหลิน ใบหน้าเรียบสงบ ผมที่เคยสลวยถูกรวบไว้ลวก ๆ ราวผู้ที่เพิ่งผ่านบางสิ่งบางอย่างมา อย่างเช่นเหตุการณ์เฉียดตายภายในเรือนรับรองของตระกูลเป่ย หลี่หลิงเฟิ่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ไม้แกะสลัก นางจิบชาหอมกรุ่นอย่างใจเย็น ขณะที่สายตาเหลือบไปทางกลุ่มสาวใช้ที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้า “อยู่ดี ๆ เจ้าสาวของตระกูลหลินก็กลับไปโดยไม่กล่าวอะไรเลย เมื่อตระกูลหนาน

  • ชายาอสรพิษ   ผ้าแพร

    สองวันหลังจากโม่จื่อหลิงจากไป แสงอรุณในจวนตระกูลเป่ยคล้ายหม่นลงกว่าทุกวัน ลมเหนือพัดเอื่อยเฉื่อยประหนึ่งพาเอากลิ่นของบางสิ่งจากอดีตย้อนกลับมาและหลี่หลิงเฟิ่งรับรู้มันตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่ตื่นขึ้นณ ห้องคุณชายสาม นางยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงไม้แกะสลัก มือหนึ่งแตะที่ชีพจรของเป่ยเฉินหลงที่ยังคงหลับใหล ลมหายใจของเขาราบเรียบขึ้นเล็กน้อย แต่กลิ่นพลังปราณยังขุ่นมัวไม่เสื่อมคลายทว่าสิ่งที่ทำให้นางกังวล ไม่ใช่สภาพของเขา แต่เป็นเงาที่ค่อย ๆ เริ่มเผยตัวนางใช้เวลาทุกวินาทีอย่างแยบคาย เฝ้าสังเกตความผิดปกติของคนในจวน เฝ้าฟังเสียงก้าวเท้าที่ไม่ได้ยินจากทหารยาม และเฝ้ารอสิ่งที่แน่ใจว่ายังไม่สิ้นสุด อย่างการลอบสังหาร“ครั้งก่อนเจ้ามาเพื่อวางยา” นางกระซิบ ขณะบดสมุนไพร “ครั้งนี้ เจ้าจะเอาอะไรมาทิ้งร่องรอยอีกล่ะ”ระหว่างที่ปลายนิ้วนางบรรจงหยดยาแยกพิษใส่ถ้วยสมุนไพร กลิ่นหนึ่งก็ลอยเข้าจมูก กลิ่นหอมจาง ๆ ไม่ใช่จากยา ไม่ใช่จากดอกไม้ในสวน ทว่าเป็นกลิ่นที่คุ้นอย่างน่ากลัวจนรู้สึกขนลุกกลิ่นเช่นนี้ นางเคยได้กลิ่นมันในความฝันในชาติก่อนตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฝันที่ไม่มีใบหน้ามีเพียงเสียงร้องไห้ของเด็กหญิง กลิ่น

  • ชายาอสรพิษ   เงามืด

    *ขอเปลี่ยนจากตำหนักเทพธิดา เป็นตำหนักธิดาสวรรค์*คำพูดของหลี่หลิงเฟิ่งดุจสายฟ้าฟาดลงบนผิวน้ำอันสงบนิ่ง เงาสะท้อนแห่งศรัทธาที่เหล่าผู้อาวุโสเคยยึดมั่นภักดี เริ่มแตกร้าว เทพธิดาแห่งตำหนักธิดาสวรรค์มิได้ตอบกลับทันที นางยืนนิ่งราวรูปสลักกลางห้อง ศูนย์รวมแห่งความเคารพที่เคยเปล่งประกายความสง่างามไร้ราคี บัดนี้กลับถูกความเงียบห่มคลุมราวหมอกหนาอาภรณ์ขาวสะอาดที่เคยดั่งแสงจันทร์เหนือเมฆ บัดนี้ดูซีดหม่นลงในสายตาของหลายคน ม่านผ้าบางเบาที่บดบังใบหน้างดงามพลิ้วไหวไปตามแรงลมเบา ดวงตาเรียวยาวใต้ผืนผ้าทอแสงแข็งกร้าว เงาที่เคยสงบ บัดนี้กลับเจือความตึงเครียดแนบแน่นฝ่ามือเรียวงามของนางละจากจุดชีพจรของเป่ยเฉินหลง ราวกับตัดขาดพันธะบางอย่างที่มองไม่เห็น“หากพวกท่านเห็นว่า ตำหนักธิดาสวรรค์ไม่ควรข้องเกี่ยว ข้าย่อมถอย” เสียงของนางยังคงอ่อนหวานดั่งระฆังเงิน ทว่าในห้วงลึกของถ้อยคำกลับมีความเยียบเย็นที่ทำให้ผู้ฟังขนลุก “ข้ามิเคยยัดเยียดตนเข้าสู่ที่ที่ผู้คนไม่ต้อนรับ ข้าเพียงทำตามวิถีที่ควรจะเป็น หากพวกท่านมิอาจวางใจ ข้าย่อมไม่อยู่ให้เป็นภาระใจผู้ใด” แม้ถ้อยคำจะฟังดูอ่อนโยนสงบเสงี่ยม ทว่าแรงสะท้อนกลับตึงเครียดเ

  • ชายาอสรพิษ   พบศัตรูบนทางแคบ

    ปัง!เสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงฝีเท้าเร่งรีบที่ก้าวเข้ามาในห้อง"เกิดอะไรขึ้น!?" เสียงอันทรงอำนาจของบุรุษวัยกลางคนดังขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรากำลังมองนางด้วยสายตาคมกริบ ด้านหลังของเขามีชายชราผู้อาวุโสหลายคนยืนเรียงราย สีหน้าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยและวิตกกังวล"ท่านพ่อ!" ผู้อาวุโสเป่ยรีบคารวะชายผู้นั้น "นางผู้นี้เป็นหมอที่สามารถตรวจพบพิษของเฉินหลง และตอนนี้กำลังรักษาเขาอยู่ขอรับ""พิษรึ" ประมุขเป่ยขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "เจ้ากำลังจะบอกว่าเฉินหลงถูกพิษ ไม่ใช่ต้องคำสาปอย่างที่เราคิดมาโดยตลอดรึ"หลี่หลิงเฟิ่งไม่แปลกใจต่อปฏิกิริยานั้น นางจ้องประมุขเป่ยด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง "ถูกต้อง"บรรยากาศในห้องหนักอึ้งขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสหลายคนหันมองหน้ากันอย่างลังเล ทว่าเมื่อเห็นโม่จื่อหลิงในห้องก็ไม่กล้าปริปากเสียมารยาทต่อหลี่หลิงเฟิ่ง"หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าที่ผ่านมามีคนจงใจปกปิดเรื่องนี้" ผู้อาวุโสเป่ยคนหนึ่งกล่าวขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งตอบ "ข้าไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ แต่สิ่งที่ข้

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status