“เจ้ากล้าหรือ”
“แน่นอนในเมื่อคิดว่าข้าอยากแต่งกับท่านสิ่งเดียวที่ข้าจะทำเพื่อลบล้างคำพูดที่ว่าอยากจะได้ท่านเป็นสามีจนตัวสั่น ข้าก็ควรหย่ากับท่านเสีย เพราะชินหวางอ๋องผู้สูงส่งทำแบบนี้ไม่ให้เกียรติข้าแม้แต่น้อย”
“เจ้ากล้าดีอย่างไร ข้าเสียอีกควรขอหย่าจากเจ้า หญิงอัปลักษณ์เช่นเจ้ายังกล้าขอหย่าสามี หย่าแล้วคิดว่าใครเขาจะอยากรับเจ้าเป็นภรรยาต่อจากข้าทั้งหม้ายทั้ง…อัปลักษณ์” โมโหอย่างที่สุดก็ควรเป็นเขาสินะที่ต้องขอหย่าจากนางเขายังไม่กล้าทูลฝ่าบาทรื่องนี้หากเขากล้าฝืนบัญชาฝ่าบาทมิสู้ไม่ขอแต่งนางตั้งแต่แรกแล้วหรือ
“ท่านไม่ต้องห่วงดีไหมเรื่องแบบนี้ ข้าแบกรับเพียงลำพังยินดีที่จะต้องทนให้ท่านพูดว่าข้าตั้งใจให้ท่านพ่อกดดันฝ่าบาทให้ประทานอนุญาตข้าแต่งกับท่าน” ชินหวางอ๋องกัดฟันจนเป็นสันนูน สะบัดชายเสื้อจากไป
ตำหนักไทเฮา
“ชิงหวานอ๋องทำแบบนี้ไม่ให้เกียรติชายารองแม้แต่น้อยข้าอยากจะลดทอนความหยิ่งยโสของตระกูลหยางลง จึงไม่ให้ชินหวางอ๋องแต่งกับหยางฟางหรานคนนั้น
แต่ดูสิ่งที่เขาทำ ไม่แม้แต่จะแตะตัวชายารองผู้น่าสงสาร”
“ไทเฮาเพฮะนาง…เอ่อชายารองของชินหวางอ๋องมีใบหน้า ไม่พึงประสงค์ชินหวางอ๋องก็บุรุษก็ย่อมชื่นชอบหญิงงาม”
“ดีพูดได้ดี ต่อไปจะต้องไปที่จวนชินหวางอ๋องทุกวันเพื่อตรวจหารอยโลหิต ชินหวางอ๋องเองเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมข้าควรจะไปที่นั่นด้วยตัวเองดูสิว่าเขาจะดิ้นหลุดอย่างไรข้าล่ะไม่สู้ชอบใจนักบุรุษที่ตีค่าสตรีแค่ความงดงามภายนอก” ขันทีข้างกายยิ้มเจื่อนๆ
“แต่กระหม่อมกลับคิดว่าท่านอ๋องก็แค่ปุถุชนทั่วไปเพราะชายารองท่านอ๋องคนนี้ใบหน้านางไม่สู้จะน่ามองนัก” จะบอกว่าอัปลักษณ์ก็กลัวว่าไทเฮาจะทรงกริ้วเลยเลี่ยงคำนั้นเสีย แต่คำว่าอัปลักษณ์ไม่เกินจริง
เสี่ยวไป๋เดินถือถาดขนมก้อนมาวางตรงหน้าซีหรูที่กำลังบรรจงเย็บถุงหอมให้กับใครกัน ใบหน้าอัปลักษณ์บัดนี้กลับใช้ผ้าแพรปิดไว้เสีย แต่ปิดผ้าแพรไว้แบบนี้ก็ดีเพราะเสี้ยวหน้าหวานที่ไม่มีผ้าแพรสีชมพูอ่อนหวานปิดบังไว้กลับลึกลับงดงาม แต่ทว่าดวงตาหม่นเศร้า ถึงกระนั้นก็ยังงดงามเสี่ยวไป๋ถอนหายใจยาวหากสวรรค์ไม่กลั่นแกล้งพระชายารองจะต้องงดงามเกินใครแน่ๆ ด้วยวัยสาวที่กำลังผ่านเข้ามาเสี่ยวไป๋คิดแบบนั้น
“พระชายา”
“วางไว้ แล้วเจ้าก็กินด้วยกัน” เสี่ยวไป๋ยิ้มน้อยๆ
“นี่เป็นของว่างยามบ่ายของจวนอ๋องเจ้าค่ะสำหรับพระชายา..รอง”
“เราสองคนมากินด้วยกันดีไหมข้ามาอยู่ที่นี่ไม่มีใครแย้มยิ้มไม่มีใครพูดคุยกับข้ายกเว้นเจ้าข้าถือว่าเจ้าเป็นสหายดีไหม”
“เสี่ยวไป๋มิบังอาจ”
“อย่าเกรงใจมากินด้วยกันลุกขึ้นไปดันหลังเสี่ยวไป๋ให้ลุกขึ้นมานั่งตรงกันข้าม
“เสี่ยวไป๋ ออกไป” เสียงดังประกาศิตดังมาตั้งแต่ยังไม่เห็นตัวด้วยซ้ำก่อนที่ร่างสูงจะก้าวยาวๆ เข้ามาในห้อง
เสี่ยวไป๋กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ
“เสี่ยวไป๋ไม่ต้องไป” ซีหรูพูดเบาๆ
“นี่เจ้า” น้ำเสียงบ่งบอกอารมณ์
“เสี่ยวไป๋กล้าขัดคำสั่งข้าหรือ” หันไปเล่นงานเสี่ยวไป๋ ซีหรูกำมือเสี่ยวไป๋ไว้แน่น เสี่ยวไป๋หน้าเสียกลืนน้ำลายลงคอยากเย็น
“พระชายาให้เสี่ยวไป๋ไปเถิดเจ้าค่ะทรงอ๋องทรงกริ้วแล้ว”
“เขามาทีหลังเจ้าอยู่ก่อนนี่คือที่ส่วนตัวของข้าข้าอนุญาตใครไม่อนุญาตใครเขาก็ไม่มีสิทธิ์ อยากได้อะไรต้องการอะไรมีธุระอะไรพูดมาแล้วท่านรีบไปเสีย”
“เจ้า…. ช่างเถอะข้าก็ไม่ได้อยากจะมา ข้าแค่มาชวนไปยกชาให้กับฮองเฮายามบ่ายนี้หากเจ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องพิธีรีตอง เพราะฮองเฮาเองก็คงไม่อยากจะพบหน้าเจ้าสักเท่าไหร่ อย่าว่าแต่ฮองเฮาเลยคนอื่นก็ไม่มีใครอยากพบเจ้ารวมทั้งข้า” คำพูดเจ็บแปลบเข้าไปในใจทำไมไม่รู้จักรักษาน้ำใจกันบ้าง
“ไปเสีย” น้ำเสียงเรียบเฉยเย็นเฉียบ
“กล้าไล่ข้าหรือ”
“ไปเสีย ในเมื่อท่านตัดสินแล้วท่านคิดไว้แบบนั้นข้าก็ควรจะเชื่อตามที่ท่านคิดไม่มีใครอยากพบหน้าข้ารวมทั้งฮองเฮาการแต่งงานนี้ถือว่าเป็นโมฆะไม่มีการเปิดผ้าคลุมหน้าไม่มีการยกน้ำชาให้ญาติฝ่ายสามี และไม่มีการกลับไปเยี่ยมตระกูลเดิมของข้า เช่นนั้นถือว่าการแต่งงานนี้ไม่เคยเกิดขึ้นข้าก็ไม่ใช่ชายารองอะไรนั่นแค่ข้ามาเปลี่ยนที่นอนอีกไม่กี่วันก็จะกลับไปนอนที่ตระกูลเสิ่นเช่นเดิม” แม้น้ำเสียงจะหวานหยดทว่าทุกคำพูดล้วนเจือไปด้วยความเจ็บปวด
“ใครบอกเจ้า เราคารวะญาติสามีคารวะญาติภรรยาและเราคำนับกันเองและ…คำนับฟ้าดินเรียบร้อยแล้วเจ้าคิดเราไม่ใช่สามีภรรยาอีกหรือ” ซีหรูยิ้มหยัน
“ท่าน …คิดไปเองเพียงลำพัง ไหนบอกไม่อยากแต่งข้า แล้วยังอยากจะเป็นสามีภรรยากับข้าไปทำไม หรือว่าแค่อยากเอาชนะ เช่นไรท่านก็แพ้เพราะข้าพูดมาทั้งหมดคือเรื่องจริง”
“เสี่ยวไป๋ออกไป” หันไปไล่เสี่ยวไป๋
“ท่านกลับมาแล้ว...” ซุนเจ๋อหนี่เอ่ยเบา ๆ เสียงแผ่วราวกลัวว่าหากพูดดังเกินไป เขาจะหายไปเหมือนความฝันเขาก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว สายตาไม่ละไปจากใบหน้างามแม้แต่น้อย“ข้าไม่ได้มาเพราะหน้าที่... ไม่ใช่เพราะคำสั่งของใคร ข้ากลับมา... เพราะใจของข้าเอง เพราะใจของข้าอยู่ที่นี่”ซุนเจ๋อหนี่เบือนหน้าหลบ แต่เสวี่ยเต๋ออ๋องกลับยื่นมือออกมาสัมผัสไหล่นางเบา ๆ“เจ้ารู้หรือไม่ ตลอดเวลาที่ข้าอยู่ไกลจากเจ้า สิ่งเดียวที่คิดถึงมากที่สุด... คือรอยยิ้มของเจ้า” เขายิ้มบางๆ แต่จริงใจยิ่งแล้ว“แม้ก่อนนั้นเจ้าจะเย่อหยิ่ง และกิริยาไม่ได้งดงามเหมือนหญิงอื่นใด แต่ทุกสิ่งนั้น ข้าชอบมันทั้งหมด และรักหมดทั้งสิ้น”ซุนจ๋อหนี่อมยิ้มก่อนส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ จะเล็ดลอดจากริมฝีปาก “ท่านเรียกว่านั่นคือความรักงั้นหรือ”“อืม..แน่นอนสำหรับองค์หญิงนักรบสิ่งนั้นข้าเรียกว่าความรัก” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกก้าว ดวงตาสบประสาน “และจะไม่ปล่อยให้มันจุกอกข้าคนเดียวแน่”ซุนเจอ๋อหนี่ยังไม่ตอบทันที ดวงตาคู่งามขององค์หญิงมีแววสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะก้มหน้าและพยักหน้าช้าๆ“ข้า... ก็จุกอกเช่นกัน เสวี่ยเต๋ออ๋อง คิดว่าท่าจะไม่มาแล้วคิดแค่เพีย
“ป้ายหยกนี่หมายความว่าอย่างไร”“ท่านจำหยกนี่ได้หรือไม่” ชินหวางอ๋องยิ้มบางๆ ดวงตาเป็นประกาย“คุณหนูผู้นั้นคือเจ้าหรอกหรือ คุณหนูที่ใจดียอมมอบขนมให้ข้าเพื่อไปให้กับหญิงที่หมายปองใช่ไหม” ซีหรูพยักหน้ายิ้มๆ ชินหวางอ๋องรีบเข้าไปประคองร่างอวบมานั่งที่แท่นหินในสวน“แล้วเหตุใดจึงนำหยกนี่มาคืนข้า ตอนนั้นเจ้าเองยื่นมันคืนมาให้กับข้า แต่อีกหลายวันต่อมาข้าก็ฝากหยกนี่ไว้กับพ่อค้าขนมเพราะข้าไปรอเจ้าที่นั่นทุกวันเพื่อมบบมัน แต่เจ้ากลับไม่เคยไปที่ร้านขนมอีกเลย และในที่สุดมันก็อยู่ในมือเจ้าสินะ”“เพราะครั้งหนึ่งชินหวางอ๋องเคยสัญญาว่าหากข้ามีเรื่องใดที่อยากจะให้ช่วย”“แน่นอนข้าฝากคำพูดนี้ไว้กับพ่อค้าร้านขนมและยังจ่ายเงินค่าขนมให้เจ้าทั้งปี” ซีหรูยิ้มบางๆ“ข้าแค่ขอแลกมันกับชีวิตของหยางฟางหรานและบิดา ท่านเนรเทศเขาเสียก็พอไม่ต้องถึงทำร้ายชีวิตเขา” ชินหวางอ๋องถอนหายใจ ยกมือโอบรอบไหล่บาง“เจ้ากล้าขอข้ากล้าให้ แต่บอกไว้ก่อนหากข้าเห็นนางกับบิดาเมื่อไหร่ข้าจะฆ่าพวกเขาทันทีแบบไม่ถามไถ่”“ทำไม”“เพราะข้าปกป้องเจ้าอย่างไรเล่า” ซีหรูยิ้มชินหวางอ๋องกอดรวบร่างอวบไว้ในอ้อมแขนแนบแน่น“เพราะเจ้าและลูกคือดวงใจของข้าข้าจ
“หม่อมฉันคิดว่า... มารดาของหม่อมฉันบนสวรรค์คงอยากให้ข้าซีหรูที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ใจที่เต็มไปด้วยความแค้น”อี้หรานสะอื้นเงียบ ๆ แล้วค้อมตัวลงต่ำ… คำนับอย่างแท้จริง ไม่ใช่ด้วยฐานันดร ไม่ใช่ด้วยพิธี แต่เป็นการคำนับด้วยหัวใจที่สำนึกผิด“ขอบคุณที่ให้อภัย...”ซีหรูมองภาพนั้นด้วยแววตาสงบ ความเจ็บปวดในอดีต... เริ่มเบาบางลงในเงาของการให้อภัยยามเฉิน (ประมาณ 7 โมงเช้า) เรือนหยกหอมแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าทอลงผ่านผ้าม่านโปร่งลายเมฆบนหน้าต่าง เสียงเคลื่อนไหวในครัวเล็ก ๆ หลังเรือนดังขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างมากนัก ไอน้ำจากหม้อโจ๊กเดือดเบา ๆ ลอยกรุ่นกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วเรือนร่างสูงในชุดสบาย ๆ กำลังใช้ทัพพีคนข้าวในหม้ออย่างตั้งอกตั้งใจ ใบหน้าที่เคร่งขรึมยามรบพุ่ง บัดนี้กลับอ่อนโยนจนผิดตาชินหวางอ๋อง ที่ใคร ๆ ต่างกล่าวว่าเย็นชาไร้หัวใจ เวลานี้กลับกำลังบรรจงวางตะกร้าผักสด ใส่ข้าวต้มเครื่องหอม ๆ ลงถ้วยเคลือบลายมังกร พร้อมไข่ลวกหนึ่งฟองจัดไว้อย่างประณีตเสียงฝีเท้าของเสี่ยวตูดังขึ้นเบา ๆ พร้อมเสียงไฉ่หานที่เอ่ยตามมา“ท่านอ๋องเองหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ… เอ่อข้าน้อยทั้งสองคิดว่าเป็นโจรร้ายเส
ณ คุกหลวงใต้พระราชวังหลวง เสียงโซ่ตรวนกระทบกันเบา ๆ พร้อมลมหายใจอ่อนแรงของหญิงงามที่เคยงามเลิศในเมืองหลวง เวลานี้กลับซูบซีด ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าไร้สีเลือด ร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ หยางฟางหรานยืนพิงผนังหินเย็นเฉียบด้วยสายตาว่างเปล่า"ท่านพ่อ..." เสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมาใต้เท้าหยางซูซินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เงยหน้าขึ้นจากความคิดอันรุงรัง ใบหน้าชราภาพลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับชั่วคืนเดียวกลืนกินความเย่อหยิ่งทั้งหมดที่เคยมี"ข้าขอโทษ...พ่อขอโทษลูกพ่อ"หยางซูซินเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า "ข้าไม่น่าดึงเจ้าลงมาด้วยเลย...เจ้าควรมีคืนวันที่งดงามกว่านี้"หยางฟางหรานหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่น้ำตาไหลริน "ถ้าข้าไม่อยากจะทำ ข้าคงไม่ทำ... ท่านไม่ต้องแบกรับความผิดแทนข้า ท่านพ่อมาถึงขั้นนี้แล้วจะต้องพูดอะไรอีก"เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงฝีเท้าของทหารจะดังขึ้น...ประตูเหล็กของคุกหลวงถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า แสงตะเกียงสาดลอดเข้ามาในห้องขังเล็ก ๆ"ถึงเวลาแล้ว" ทหารยามประกาศด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้ประหารชีวิตในรุ่งสางวันพรุ่งนี้"หยางฟางหรานหลับตาลงช้า ๆ น้ำตาหยดสุดท้ายร่วงหล่น"ท่านคงเกลียดข
ท้องพระโรงยามสายบรรยากาศกลับตึงเครียด"ชินหวางอ๋อง" ยืนอยู่กลางท้องพระโรง ใบหน้านิ่งสงบ แววตาแน่วแน่ ใต้ชุดคลุมขาวสะอาดตายามนี้ไม่มีสิ่งใดสั่นคลอนจิตใจของเขา"เสวี่ยเต๋ออ๋อง" ผู้เคยเร้นกาย ณ ชายแดน ยืนอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ในฉลองพระองค์เต็มยศ นัยน์ตาของเขาทอแววหนักแน่นและสำนึกผิด"เสวี่ยเต๋ออ๋องถวายพระพรฝ่าบาท ข้ากลับมาแล้ว" เสวี่ยเต๋ออ๋องกล่าวเสียงหนักแน่น “อืมมมม” ชินเตอหลางกล่าวเพียงเบาๆ ในใจเคลือบแคลงอยู่8ในสิบส่วนกับคำพูดซัดทอดของหยางซูซิน"มิใช่เพื่อชี้แจง มิใช่เพื่อร้องขอ แต่เพื่อแสดงความจริงใจให้แคว้นและฝ่าบาทเห็น ว่าข้ายังภักดีต่อราชสำนัก และไม่เคยคิดทรยศ"ชินหวางอ๋องหรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ไม่กล่าวคำใด ทว่าแววตากลับวัดความจริงในคำพูดของเสวี่ยเต๋ออ๋องอย่างไม่ปิดบัง"แล้วเหตุใดในตอนนั้น เจ้าจึงร่วมเดินหมากกับใต้เท้าหยางคำพูดนี้ไม่เกินจริงใช่หรือไม่" น้ำเสียงของชินหวางอ๋องเย็นเยียบแต่ไม่โกรธเกรี้ยวเสวี่ยเต๋ออ๋องหลุบตาลงชั่วครู่ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แน่วแน่ "เพราะข้าโง่... เสวี่ยเต๋ออ๋องหลงผิดไปชั่วขณะ การกลับมาครั้งนี้เพื่อยืนยันว่าข้ามิได้มีใจกบฏและพร้อมยอมให้ฝ่าบาทและชิ
ท้องพระโรงเงียบงันเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างก้มหน้าเงียบกริบ เมื่อเสียงของชินหวางอ๋องดังกังวานกลางห้องบัลลังก์“ขอฝ่าบาทโปรดไตร่ตรอง…ข้ากระหม่อมชินหวาง ขอไขความจริงในคดีเมื่อยี่สิบปีก่อนและคดีที่เกิดขึ้นกับพระชายาซีหรูตลอดช่วงที่ผ่านมา”สายตาของทุกผู้คนเบิกกว้างเมื่อชินหวางอ๋องกล่าวต่อ“การวางเพลิงสังหารอย่างอำมหิตในคืนหนึ่งของฤดูหนาวเมื่อยี่สิบปีก่อน เบื้องหลังคือคนผู้หนึ่งที่ใครเล่าจะคาดถึงนั่นคือสวีเหยี่ยน...ซึ่งเป็นฮูหยินรองในตอนนั้น”เสียงฮือฮาดังขึ้นระลอกหนึ่ง สีหน้าของฮองเฮาอี้หรานซีดเผือดทันที น้ำตาไหลซึมลงจากดวงตาโดยไม่ทันรู้ตัว“ฮูหยินสวีเหยี่ยนต้องการกำจัดภรรยาเอกของใต้เท้าเสิ่น…เพื่อเปิดทางให้เป็นหนึ่งในตระกูลเสิ่น และบุตรีนั่นคือชายาของข้าเสิ่นซีหรู…ก็เป็นหนึ่งเดียวของผู้ที่รอดชีวิตจากเปลวเพลิงในคืนนั้น” เขาหยุดสูดลมหายใจพลางกำหมัดแน่น“ไม่เพียงเท่านั้น สวีเหยี่ยนฮูหยินคนนั้นยังเป็นผู้วางยาซีหรูถึงสองครั้ง และอีกผู้หนึ่ง…หยางฟางหราน บุตรีของใต้เท้าหยางซูซิน ใช้เล่ห์กลวางยา ลอบสังหาร และจับตัวพระชายาซีหรูเพื่อหวังตำแหน่งชายาเอกในภายภาคหน้า—ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง”ชินเต