“คุณหนูเจ้าขา ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ หากไม่ตื่นอีกจะไม่ทันแล้วนะเจ้าคะ”
ลี่อินสาวรับใช้ของฟางหนิงหลินเรียกคุณหนูของนางให้ตื่น เพื่อลุกขึ้นมาแต่งตัวให้ทันไปงานเลี้ยงในวังหลวงที่จัดขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะจากการทำสงครามกับแคว้นเหลียง และร่วมแสดงความยินดีกับการแต่งตั้งองค์รัชทายาทและเลื่อนตำแหน่งให้กับเหล่าผู้กล้าที่มีความดีความชอบในการศึกครั้งนี้ด้วย
ลี่อินเห็นว่าเรียกฟางหนิงหลินเท่าใดก็ไม่ยอมตื่นเสียที อีกทั้งใบหน้าของคุณหนูของนางก็ยังมีเหงื่อผุดออกมาเป็นเม็ด ๆสีหน้าของฟางหนิงหลินราวกับคนกำลังเศร้าเสียใจอยู่ก็ไม่ปาน ลี่อินจึงคิดว่าคุณหนูของนางคงจะฝันร้ายอยู่เป็นแน่ นางจึงได้เขย่าแขนเพื่อให้คุณหนูของนางตื่นจากฝันร้ายนั้น
เมื่อหญิงสาวที่หลับใหลลืมตาตื่นจากภวังค์ นางรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมสาดสายตามองไปรอบ ๆห้องนอนทันที เมื่อรู้ว่านางเพียงหลับฝันไปหนึ่งตื่นเท่านั้น นางก็ระบายลมหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ
“นี้ข้าฝันไปอย่างนั้นหรือ” ฟางหนิงหลินหันมาเอ่ยกับลี่อิน
“คุณหนูฝันร้ายอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ไม่เป็นไรนะเจ้าคะมันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ตอนนี้ท่านรีบแต่งตัวดีหรือไม่ วันนี้ท่านจะได้เห็นบุรุษที่ท่านเฝ้ารอมาตลอดหลายเดือนแล้วนะเจ้าคะ” ลี่อินพูดด้วยรอยยิ้มและกล่าวถึงบุรุษที่ฟางหนิงหลินมีใจถวิลหาเพื่อให้นางผ่อนคลายจากฝันร้าย
แต่ฟางหนิงหลินกลับไม่ลุกขึ้น นางยังคงนั่งคิดถึงความรู้สึกเจ็บปวดทรมานทั้งร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวในฝัน นางหลับไปเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยามแต่ในฝันช่างยาวนานราวกับเกิดขึ้นจริง ๆนางนั่งทบทวนเรื่องราวในฝันอยู่พักหนึ่ง จนได้ยินเสียงเร่งเร้าจากสาวใช้คนสนิทดังขึ้น นางจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว
ตลอดเวลาที่สาวใช้คอยปรนนิบัติอาบน้ำแต่งตัวให้นาง นางก็ยังคงไม่เลิกคิดถึงเรื่องราวในฝันนั้น จนสาวรับใช้ข้างกายทั้งสองสังเกตความผิดปกติของคุณหนูของพวกนางได้อย่างชัดเจน
“คุณหนูท่านเป็นกังวลเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถามฟางหนิงหลินด้วยความเป็นห่วง
ฟางหนิงหลินมองเงาลี่จินกับลี่อินสาวใช้คนสนิททั้งสองในกระจก หน้าตาของพวกนางแสดงออกถึงความสงสัยและเป็นห่วง ในฝันนั้นฟางหนิงหลินเองก็ได้เห็นจุดจบของพวกนางเช่นกัน เพราะลี่อินกับลี่จินยอมรับผิดแทนนางว่าเป็นคนวางยากำหนัดองค์รัชทายาทและเจียงเจียวซิน ทำให้ทั้งสองถูกโบยจนตาย ส่วนนางที่เป็นเจ้านายก็ถูกลงโทษกักบริเวณเพราะดูแลคนของตนเองได้ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือความจริงฟางหนิงหลินก็เชื่อว่าสาวใช้ทั้งสองจะยอมตายเพื่อนางได้จริง ๆ เพราะทั้งสองเป็นราวพี่สาวที่เติบโตมาพร้อมกับนาง
ฟางฮูหยินมารดาของฟางหนิงหลินรับลี่จินกับลี่อินมาเลี้ยงตั้งแต่พวกนางอายุได้ราวห้าหกหนาวเท่านั้น ขณะที่ทั้งสองถูกขายให้หอนางโลมฟางฮูหยินได้ไปพบเข้า ฟางฮูหยินเห็นเด็กทั้งสองคนกับผู้เป็นแม่ร่ำไห้กอดกันอย่างน่าเวทนาจึงนึกสงสาร จึงได้ขอซื้อตัวเด็กทั้งสองมาจากหอนางโลม
ฟางฮูหยินไม่เพียงแต่รับซื้อลี่จินกับลี่อินมา ยังขอซื้อแม่ของพวกนางทั้งสองมาจากพ่อที่ติดการพนันของพวกนางอีกด้วย ถึงทั้งสามคนจะเข้ามาอยู่ในจวนในฐานะสาวใช้ แต่พวกนางก็อยู่ดีกินดีมีเสื้อผ้าสะอาดและที่นอนอันอบอุ่น อีกทั้งยังได้นั่งเรียนเขียนอักษรกับฟางหนิงหลินในตอนวัยเยาว์อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้แม่ของทั้งสองได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว เพราะร่างกายที่อ่อนแอจากโรคเก่าที่รุมเร้ามายาวนาน
“พวกเจ้าคิดว่าความฝันจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่” ฟางหนิงหลินเอ่ยถามสาวใช้ทั้งสองด้วยท่าทางจริงจัง
“คุณหนูยังกังวลเรื่องความฝันอย่างนั้นหรือเจ้าคะ อย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ คุณหนูเพียงฟังเรื่องเล่าจากร้านน้ำชาเมื่อวานและเก็บไปฝันเท่านั้น” ลี่อินเอ่ยตอบ
“ฝันนั้นน่ากลัวมากเลยหรือเจ้าคะ ทั้งที่เมื่อวานหลังจากคุณหนูกลับมาจากร้านน้ำชา คุณหนูยังบอกอยู่เลยว่าความฝันก็คือความฝันไม่มีทางเป็นจริง แต่วันนี้คุณหนูกลับไม่มั่นใจในสิ่งที่คิดแล้วอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถามฟางหนิงหลิน
“นั่นสิความฝันก็คือความฝัน คงเพราะมันน่ากลัวจนเกินไป แม้ตื่นนอนขึ้นมาแล้วความรู้สึกก็ยังติดค้างอยู่ในใจ จนข้าไม่อาจลืมภาพที่เกิดขึ้นในฝันได้” ฟางหนิงหลินทำหน้าเศร้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้ลี่จินและลี่อินผ่านเงาในกระจก
“คุณหนูอย่ากังวลไปเลยเจ้าคะ มันเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น เลิกขมวดคิ้วได้แล้วเจ้าค่ะ หากยังทำหน้าเช่นนี้จะไม่สวยนะเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“หากคุณหนูกลัวว่าเรื่องในฝันจะเกิดขึ้น ท่านก็เพียงป้องกันไว้ก่อนก็ได้หนิเจ้าคะ หรือจะหลบเลี่ยงไม่เผชิญหน้าก็ย่อมทำได้” ลี่อินเอ่ยเพื่อปลอบประโลมฟางหนิงหลินให้นางคลายกังวล
“จริงด้วยเจ้าค่ะ หลังจากกลับมาจากงานเลี้ยงคุณหนูค่อยมาเล่าเรื่องราวในฝันให้พวกเราฟังและช่วยกันหาทางแก้ดีหรือไม่เจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าฟางหนิงหลินพยักหน้าตอบรับนางจึงเอ่ยต่อ
“ดีเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้คุณหนูต้องปล่อยวางความฝันนั้นลงก่อน และกลับมาเป็นคุณหนูที่สดใสไร้กังวลคนเดิมของพวกเราก่อนนะเจ้าคะ”
ฟางหนิงหลินยกยิ้มขึ้นและนั่งนิ่งให้ทั้งสองแต่งหน้าทำผมให้จนเสร็จ เมื่อถึงเวลาฟางหนิงหลินก็เดินทางไปยังวังหลวงพร้อมบิดาและมารดาของนางตามเทียบเชิญ
ณ.วังหลวง
เมื่อรถม้าจอดเทียบที่หน้าประตูวังเหล่าขุนนางและครอบครัวก็ต่างพากันเดินเข้ามาภายในวังที่ถูกจัดเตรียมงานไว้เป็นอย่างดี งานนี้เหตุผลที่จัดขึ้นนอกจากจะฉลองชัยชนะและสรรเสริญเหล่าผู้กล้าในสงคราม ยังมีเหตุผลอีกอย่างที่เชิญเหล่าครอบครัวขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย นั่นก็คือการดูตัว
ไทเฮาและฮองเฮาต้องการให้เหล่าองค์ชายและองค์หญิงได้มีโอกาสพบเห็นสตรีและบุรุษที่เป็นลูกหลานขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ เพื่อจะได้เลือกมาเป็นชายาและเป็นราชบุตรเขยในอนาคต
เพราะฮ่องเต้ทรงรับปากฮองเฮาพระองค์ก่อนไว้ว่าจะไม่บังคับให้เหล่าองค์หญิงและองค์ชายแต่งพระชายาหรือราชบุตรเขยอย่างไม่เต็มใจ ถึงไทเฮาและฮองเฮาองค์ปัจจุบันจะไม่เห็นด้วยแต่จะคัดค้านคำขอสุดท้ายของคนใกล้ตายได้อย่างไร เพียงแต่ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อพระวงศ์ พระชายาเอกและราชบุตรเขยย่อมต้องมาจากตระกูลสูงศักดิ์หรือไม่ก็ตระกูลขุนนางขั้นสูง ถึงจะบังคับตรง ๆไม่ได้ แต่สามารถเปิดโอกาสให้องค์หญิงและองค์ชายได้เจอเหล่าบุตรหลานขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ได้
“คุณหนูเจ้าขา ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ หากไม่ตื่นอีกจะไม่ทันแล้วนะเจ้าคะ”
ลี่อินสาวรับใช้ของฟางหนิงหลินเรียกคุณหนูของนางให้ตื่น เพื่อลุกขึ้นมาแต่งตัวให้ทันไปงานเลี้ยงในวังหลวงที่จัดขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะจากการทำสงครามกับแคว้นเหลียง และร่วมแสดงความยินดีกับการแต่งตั้งองค์รัชทายาทและเลื่อนตำแหน่งให้กับเหล่าผู้กล้าที่มีความดีความชอบในการศึกครั้งนี้ด้วย
ลี่อินเห็นว่าเรียกฟางหนิงหลินเท่าใดก็ไม่ยอมตื่นเสียที อีกทั้งใบหน้าของคุณหนูของนางก็ยังมีเหงื่อผุดออกมาเป็นเม็ด ๆสีหน้าของฟางหนิงหลินราวกับคนกำลังเศร้าเสียใจอยู่ก็ไม่ปาน ลี่อินจึงคิดว่าคุณหนูของนางคงจะฝันร้ายอยู่เป็นแน่ นางจึงได้เขย่าแขนเพื่อให้คุณหนูของนางตื่นจากฝันร้ายนั้น
เมื่อหญิงสาวที่หลับใหลลืมตาตื่นจากภวังค์ นางรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมสาดสายตามองไปรอบ ๆห้องนอนทันที เมื่อรู้ว่านางเพียงหลับฝันไปหนึ่งตื่นเท่านั้น นางก็ระบายลมหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ
“นี้ข้าฝันไปอย่างนั้นหรือ” ฟางหนิงหลินหันมาเอ่ยกับลี่อิน
“คุณหนูฝันร้ายอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ไม่เป็นไรนะเจ้าคะมันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ตอนนี้ท่านรีบแต่งตัวดีหรือไม่ วันนี้ท่านจะได้เห็นบุรุษที่ท่านเฝ้ารอมาตลอดหลายเดือนแล้วนะเจ้าคะ” ลี่อินพูดด้วยรอยยิ้มและกล่าวถึงบุรุษที่ฟางหนิงหลินมีใจถวิลหาเพื่อให้นางผ่อนคลายจากฝันร้าย
แต่ฟางหนิงหลินกลับไม่ลุกขึ้น นางยังคงนั่งคิดถึงความรู้สึกเจ็บปวดทรมานทั้งร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวในฝัน นางหลับไปเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยามแต่ในฝันช่างยาวนานราวกับเกิดขึ้นจริง ๆนางนั่งทบทวนเรื่องราวในฝันอยู่พักหนึ่ง จนได้ยินเสียงเร่งเร้าจากสาวใช้คนสนิทดังขึ้น นางจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว
ตลอดเวลาที่สาวใช้คอยปรนนิบัติอาบน้ำแต่งตัวให้นาง นางก็ยังคงไม่เลิกคิดถึงเรื่องราวในฝันนั้น จนสาวรับใช้ข้างกายทั้งสองสังเกตความผิดปกติของคุณหนูของพวกนางได้อย่างชัดเจน
“คุณหนูท่านเป็นกังวลเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถามฟางหนิงหลินด้วยความเป็นห่วง
ฟางหนิงหลินมองเงาลี่จินกับลี่อินสาวใช้คนสนิททั้งสองในกระจก หน้าตาของพวกนางแสดงออกถึงความสงสัยและเป็นห่วง ในฝันนั้นฟางหนิงหลินเองก็ได้เห็นจุดจบของพวกนางเช่นกัน เพราะลี่อินกับลี่จินยอมรับผิดแทนนางว่าเป็นคนวางยากำหนัดองค์รัชทายาทและเจียงเจียวซิน ทำให้ทั้งสองถูกโบยจนตาย ส่วนนางที่เป็นเจ้านายก็ถูกลงโทษกักบริเวณเพราะดูแลคนของตนเองได้ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือความจริงฟางหนิงหลินก็เชื่อว่าสาวใช้ทั้งสองจะยอมตายเพื่อนางได้จริง ๆ เพราะทั้งสองเป็นราวพี่สาวที่เติบโตมาพร้อมกับนาง
ฟางฮูหยินมารดาของฟางหนิงหลินรับลี่จินกับลี่อินมาเลี้ยงตั้งแต่พวกนางอายุได้ราวห้าหกหนาวเท่านั้น ขณะที่ทั้งสองถูกขายให้หอนางโลมฟางฮูหยินได้ไปพบเข้า ฟางฮูหยินเห็นเด็กทั้งสองคนกับผู้เป็นแม่ร่ำไห้กอดกันอย่างน่าเวทนาจึงนึกสงสาร จึงได้ขอซื้อตัวเด็กทั้งสองมาจากหอนางโลม
ฟางฮูหยินไม่เพียงแต่รับซื้อลี่จินกับลี่อินมา ยังขอซื้อแม่ของพวกนางทั้งสองมาจากพ่อที่ติดการพนันของพวกนางอีกด้วย ถึงทั้งสามคนจะเข้ามาอยู่ในจวนในฐานะสาวใช้ แต่พวกนางก็อยู่ดีกินดีมีเสื้อผ้าสะอาดและที่นอนอันอบอุ่น อีกทั้งยังได้นั่งเรียนเขียนอักษรกับฟางหนิงหลินในตอนวัยเยาว์อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้แม่ของทั้งสองได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว เพราะร่างกายที่อ่อนแอจากโรคเก่าที่รุมเร้ามายาวนาน
“พวกเจ้าคิดว่าความฝันจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่” ฟางหนิงหลินเอ่ยถามสาวใช้ทั้งสองด้วยท่าทางจริงจัง
“คุณหนูยังกังวลเรื่องความฝันอย่างนั้นหรือเจ้าคะ อย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ คุณหนูเพียงฟังเรื่องเล่าจากร้านน้ำชาเมื่อวานและเก็บไปฝันเท่านั้น” ลี่อินเอ่ยตอบ
“ฝันนั้นน่ากลัวมากเลยหรือเจ้าคะ ทั้งที่เมื่อวานหลังจากคุณหนูกลับมาจากร้านน้ำชา คุณหนูยังบอกอยู่เลยว่าความฝันก็คือความฝันไม่มีทางเป็นจริง แต่วันนี้คุณหนูกลับไม่มั่นใจในสิ่งที่คิดแล้วอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถามฟางหนิงหลิน
“นั่นสิความฝันก็คือความฝัน คงเพราะมันน่ากลัวจนเกินไป แม้ตื่นนอนขึ้นมาแล้วความรู้สึกก็ยังติดค้างอยู่ในใจ จนข้าไม่อาจลืมภาพที่เกิดขึ้นในฝันได้” ฟางหนิงหลินทำหน้าเศร้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้ลี่จินและลี่อินผ่านเงาในกระจก
“คุณหนูอย่ากังวลไปเลยเจ้าคะ มันเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น เลิกขมวดคิ้วได้แล้วเจ้าค่ะ หากยังทำหน้าเช่นนี้จะไม่สวยนะเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“หากคุณหนูกลัวว่าเรื่องในฝันจะเกิดขึ้น ท่านก็เพียงป้องกันไว้ก่อนก็ได้หนิเจ้าคะ หรือจะหลบเลี่ยงไม่เผชิญหน้าก็ย่อมทำได้” ลี่อินเอ่ยเพื่อปลอบประโลมฟางหนิงหลินให้นางคลายกังวล
“จริงด้วยเจ้าค่ะ หลังจากกลับมาจากงานเลี้ยงคุณหนูค่อยมาเล่าเรื่องราวในฝันให้พวกเราฟังและช่วยกันหาทางแก้ดีหรือไม่เจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าฟางหนิงหลินพยักหน้าตอบรับนางจึงเอ่ยต่อ
“ดีเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้คุณหนูต้องปล่อยวางความฝันนั้นลงก่อน และกลับมาเป็นคุณหนูที่สดใสไร้กังวลคนเดิมของพวกเราก่อนนะเจ้าคะ”
ฟางหนิงหลินยกยิ้มขึ้นและนั่งนิ่งให้ทั้งสองแต่งหน้าทำผมให้จนเสร็จ เมื่อถึงเวลาฟางหนิงหลินก็เดินทางไปยังวังหลวงพร้อมบิดาและมารดาของนางตามเทียบเชิญ
ณ.วังหลวง
เมื่อรถม้าจอดเทียบที่หน้าประตูวังเหล่าขุนนางและครอบครัวก็ต่างพากันเดินเข้ามาภายในวังที่ถูกจัดเตรียมงานไว้เป็นอย่างดี งานนี้เหตุผลที่จัดขึ้นนอกจากจะฉลองชัยชนะและสรรเสริญเหล่าผู้กล้าในสงคราม ยังมีเหตุผลอีกอย่างที่เชิญเหล่าครอบครัวขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย นั่นก็คือการดูตัว
ไทเฮาและฮองเฮาต้องการให้เหล่าองค์ชายและองค์หญิงได้มีโอกาสพบเห็นสตรีและบุรุษที่เป็นลูกหลานขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ เพื่อจะได้เลือกมาเป็นชายาและเป็นราชบุตรเขยในอนาคต
เพราะฮ่องเต้ทรงรับปากฮองเฮาพระองค์ก่อนไว้ว่าจะไม่บังคับให้เหล่าองค์หญิงและองค์ชายแต่งพระชายาหรือราชบุตรเขยอย่างไม่เต็มใจ ถึงไทเฮาและฮองเฮาองค์ปัจจุบันจะไม่เห็นด้วยแต่จะคัดค้านคำขอสุดท้ายของคนใกล้ตายได้อย่างไร เพียงแต่ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อพระวงศ์ พระชายาเอกและราชบุตรเขยย่อมต้องมาจากตระกูลสูงศักดิ์หรือไม่ก็ตระกูลขุนนางขั้นสูง ถึงจะบังคับตรง ๆไม่ได้ แต่สามารถเปิดโอกาสให้องค์หญิงและองค์ชายได้เจอเหล่าบุตรหลานขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ได้
“ไม่มีทาง หลินเอ๋อร์ไม่มีทางใช้วิธีการชั้นต่ำเช่นนี้ กระหม่อมเอาหัวเป็นประกันพ่ะย่ะค่ะ” ตู้ไท่ฝูเอ่ยเสียงแข็ง“ท่านอาจารย์ข้ารู้อยู่แล้วว่านางไม่มีทางทำเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นข้าคงลงโทษนางไปแล้วที่กล้าวางยาโอรสของข้า”“แล้วฝ่าบาทได้ตรัสถามนางแล้วหรือไม่” ตู้ไท่ฝูขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยยังไม่ทันที่เฉิงเฟิงฮ่องเต้จะเอ่ยตอบ ไป๋กงกงเดินมาพร้อมกับสตรีที่ทั้งสองคนกำลังเอ่ยถึง นางยอบกายคารวะเฉิงเฟิงฮ่องเต้และตู้ไท่ฝูด้วยท่าทางโซเซไม่มั่นคงใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นเต็มใบหน้า นางก้มหน้าหลุบตาลงเพื่อหลบสายตาบุรุษทั้งสองที่มองมายังนาง“คุกเข่า” ตู้ไท่ฝูเอ่ยเสียงดังฟางหนิงหลินคุกเข่าลงทันทีอย่างรู้ผิด เพราะเรื่องเช่นนี้แม้ไม่ถูกเล่าลือออกไป เพราะเฉิงเฟิงฮ่องเต้ส่งสั่งห้ามเอาไว้แต่เพียงมีผู้คนรู้เห็นก็ทำให้ท่านตาของนางและตระกูลฟางต้องอับอายที่มีลูกหลานไร้ยางอายเช่นนาง“เจ้าตอบข้ามาตามความจริง เจ้าได้วางยาชินอ๋องหรือไม่” บุรุษผมสองสีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฉะฉาน&ld
แน่นอนว่ายามนี้งานเลี้ยงที่จัดขึ้นนั้นได้เลิกราไปแล้ว รถม้าของแขกที่เชิญมาล้วนทยอยออกไปจนลานหน้าวังเริ่มโล่ง เหลือเพียงรถม้าของตู้ไท่ฝู ฟางจี้ต๋า และฟางรั่วซานเท่านั้นที่ยังคงจอดนิ่งสนิทอยู่ด้านหน้าวัง เพียงเพราะสตรีร่วมสายเลือดยังไม่ออกมาจากวังฟางรั่วซานเดินวนไปวนมาอยู่หน้ารถม้าของตนอย่างร้อนรน ด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว หลังจากที่นางกำนัลขององค์หญิงเหยาลี่เซียนมาแจ้งว่าฟางหนิงหลินไม่ได้อยู่ที่ตำหนักขององค์หญิง ถึงองค์หญิงเหยาลี่เซียนจะฝากนางกำนัลมาบอกว่าจะตามหาบุตรสาวของตนให้ แต่เขาก็ยังคงร้อนใจไม่คลายฟางจี้ต๋าเสนาบดีกรมคลังท่านลุงของฟางหนิงหลินพี่ชายของฟางรั่วซานที่ยืนอยู่หน้ารถม้าของเขา ก็รู้สึกเป็นห่วงหลานสาวคนเดียวของเขาเช่นกัน แต่อาจจะไม่เท่ากับฮูหยินของเขาที่ยืนจับมือกับน้องสะใภ้ชะเง้อหน้ารอฟางหนิงหลินอยู่ข้างประตูวังถึงฟางรั่วซานน้องชายของเขาจะแยกจวนออกไป แต่เพราะฮูหยินของเขาอยากมีบุตรสาวแต่ทว่าที่จวนของฟางจี้ต๋านั้นกลับมีแต่บุรุษมาเกิด ฮูหยินของเขาจึงเทียวไปหาหลานสาวคนนี้ที่จวนอยู่บ่อยครั้ง จนเกิดความรักใคร่ดั่งเช่นบุตรสาวแท้ ๆ ของตนก็ไม่ปาน และทุกครั้
งานเลี้ยงค่ำคืนนี้เมื่อชาติก่อนหลังจากที่ฟางหนิงหลินได้ไปแสดงความยินดีกับเหล่าองค์ชายทั้งสามและเสิ่นหลิวหยางที่ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว นางก็มานั่งดื่มกินกับเหล่าสตรีคนอื่น ๆ ตรงที่เหยาลี่เซียนได้จัดเตรียมไว้ให้แน่นอนว่าที่ตรงนี้ที่องค์หญิงเหยาลี่เซียนจัดไว้นั้น ฟางหนิงหลินย่อมมองเห็นเสด็จพี่ของนางเหยาหวังเหว่ยได้อย่างชัดเจน เพราะสหายคนสนิทมีหรือจะไม่รู้ใจกัน เหยาลี่เซียนรู้ดีว่าหากมีเสด็จพี่รองอยู่ขอเพียงมีที่นั่งให้สหายของนางได้นั่งดูให้เห็นใบหน้าของเสด็จพี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับฟางหนิงหลินขณะที่ฟางหนิงหลินนั่งมองเหยาหวังเหว่ยอยู่นั้น นางก็เห็นว่าเหยาหวังเหว่ยลุกเดินออกไปจากงานด้วยท่าทางไม่ดีนัก นางจึงเดินตามไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อนางเห็นว่าเขาเดินเซไปมาคล้ายทรงตัวไม่อยู่จึงรีบเข้าไปพยุงตัวของเขาเอาไว้ไม่ให้ล้มลง ถึงคราแรกเขาจะปฏิเสธไม่ยอมให้ฟางหนิงหลินแตะต้องตัว แต่เพียงผ่านไปไม่นานกลับกลายเป็นเขาที่อุ้มฟางหนิงหลิน และพาเข้าไปในห้องรับรองแขกที่หลัวฮองเฮาทรงสั่งให้นางกำนัลจัดเตรียมไว้ขณะนั้นเจียงเจียวซินที่ดักรอเหยาหวังเหว่ยอยู่ก็ต้องรีบห
“ได้ เจ้าว่าเช่นไร ข้าล้วนเห็นด้วย” เหยาหวังเหว่ยคลี่ยิ้มอย่างคลายกังวลเขารู้ดีว่านางมีแผนการบางอย่างซ่อนเร้นเอาไว้ แต่เขาก็ยังยินดียอมตกลงไปในบ่อที่นางขุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ปานสุนัขจิ้งจอกของนาง ถึงอดีตนางพยายามจะใช้มารยาของสตรีในเรือนหอหลายครั้งเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา แต่แววตาของนางหาได้เป็นเช่นนี้ นางเป็นเพียงสตรีในเรือนหอที่ไร้เดียงสา ดวงตาที่นางมองมาที่เขาเป็นเพียงแววตาที่สตรีใช้มองบุรุษที่ตนรักเท่านั้น แตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง“เช่นนั้นท่านอ๋องปล่อยข้าน้อยก่อนได้หรือไม่ หากมีใครมาเห็นเกรงว่าจะดูไม่เหมาะนะเพคะ” นางเอ่ยเสียงหวานเหยาหวังเหว่ยค่อย ๆ คลายแขนออกจากสตรีบอบบางอย่างช้า ๆ ราวกับว่าเขายังอยากมีนางไว้ในอ้อมแขนให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ในเมื่อเขารับปากนางแล้วย่อมต้องทำให้นางเห็น จึงไม่คิดฝืนใจนาง“ท่านอ๋องเพคะ พวกเรากลับเข้าไปในงานเลี้ยงดีหรือไม่เพคะ” หญิงสาวส่งยิ้มหวาน“ใจข้าอยากอยู่กับเจ้าเช่นนี้อีกสักครู่ แต่ในเมื่อเจ้าต้องการ ข้าก็จะไม่ฝืน เพียงแต่ข้าขอกอดเจ้าอีกสักคราได้หรือไม่” เขาเอ่ยเสียงอ่อย ๆ ในประโยคท้ายราวกับกระด้างอายที่จะเ
เหยาหวังเหว่ยอยากหยั่งเชิงนางเสียหน่อยว่าสาเหตุที่นางเปลี่ยนไปนั้นเป็นดั่งที่เขาคิดไว้หรือไม่ เพราะหากว่าเขาพูดออกไป หากไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ นางคงคิดว่าเขาเสียสติพูดจาเลอะเลือนก็เป็นได้“เจ้าคงวางแผนจะตกน้ำเพื่อให้ข้าช่วยเจ้าสินะ ดีใจหรือไม่ที่เจ้าทำสำเร็จแล้ว” เขาเอียงหน้าและเอ่ยกระซิบที่ข้างใบหูของนาง น้ำเสียงแหบพร่าเบา ๆ ที่เขาเอ่ยราวกับจะยั่วให้นางอายใบหน้าของนางแดงขึ้นมาทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงลมร้อนอุ่นที่กระทบใบหู สติที่เตลิดไปไกลกลับมาทันที นางพยายามดันตัวเขาให้ถอยห่างแต่กลับไม่เป็นผล เขากลับยิ่งกระชับเอวนางให้แนบชิดร่างกายของเขายิ่งกว่าเก่าเจียงเจียวซินที่เดินกลับมายังงานเลี้ยงบังเอิญได้ยินเสียงกรีดร้องของสตรี จึงได้เดินมาตามเสียงด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อนางเดินมาถึงสระบัวก็เห็นบุรุษและสตรีคู่หนึ่งยืนกอดกันแน่น นางถลึงตาเหลือกโตดวงตาของนางราวกับมีเปลวเพลิงโหมลุกไหม้ นางกำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อ เจียงเจียวซินเม้มริมฝีปากแน่นเพื่ออดทนไม่กรีดร้องออกมา เพราะหากมีผู้ใดมาเห็นและนำเรื่องนี้ไปเล่าลือกันจนถึงหูฮองเฮาหรือไทเฮา ฟางหนิงหลินย่อมต้องได้เป็นชายาชินอ๋องดั่ง
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ“หม่อมฉันเพียงรู้สึกว่าดื่มสุรามากไปจึงมาพักที่ตำหนักสักครู่เพื่อให้สร่างเมาเพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยตอบเสียงสั่นเล็กน้อย“อื้ม” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยเสียงสั้น ๆในลำคอ ก่อนที่จะหันไปเปิดประตูเจียงเจียวซินเห็นสีหน้าของเหยาหวังเหว่ยที่ขึ้นสีแดงระเรื่อและมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่นางวางแผนมานั้นใกล้สำเร็จลุล่วงแล้ว แต่ตอนนี้ยากำหนัดที่เหยาหวังเหว่ยได้กินเข้าไปนั้นคงยังออกฤทธิ์ไม่มากพอ สิ่งที่นางต้องทำคือยื้อเวลาไว้ เพื่อให้เขาทนพิษยากำหนัดนี้ไม่ไหว“ชินอ๋องเพคะ พระองค์เป็นอันใดอย่างนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันเห็นสีหน้าของพระองค์ไม่สู้ดีนัก มีเรื่องอันใดที่หม่อมฉันช่วยได้หรือไม่” นางเอ่ยเสียงหวาน“ไม่จำเป็น เราเพียงดื่มสุรามากเกินไปเท่านั้น” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยพร้อมก้าวเท้าเดินเข้าประตูไป“ชินอ๋องเดี๋ยวก่อนเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าพระพักตร์ของพระองค์มีเหงื่อไหลซึมออกมา และแถวนี้ไม่มีนางกำนัลขันทีอยู่เลย หม่อมฉันไม่วางใจให้พระองค์อยู่ลำพัง เช่นนั้นให้หม่อมฉันอยู่เป็นเพื่อนพระองค์สักครู่ดีหรือไม่เพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยเสียงหวาน