“คุณหนูเจ้าขา ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ หากไม่ตื่นอีกจะไม่ทันแล้วนะเจ้าคะ”
ลี่อินสาวรับใช้ของฟางหนิงหลินเรียกคุณหนูของนางให้ตื่น เพื่อลุกขึ้นมาแต่งตัวให้ทันไปงานเลี้ยงในวังหลวงที่จัดขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะจากการทำสงครามกับแคว้นเหลียง และร่วมแสดงความยินดีกับการแต่งตั้งองค์รัชทายาทและเลื่อนตำแหน่งให้กับเหล่าผู้กล้าที่มีความดีความชอบในการศึกครั้งนี้ด้วย
ลี่อินเห็นว่าเรียกฟางหนิงหลินเท่าใดก็ไม่ยอมตื่นเสียที อีกทั้งใบหน้าของคุณหนูของนางก็ยังมีเหงื่อผุดออกมาเป็นเม็ด ๆสีหน้าของฟางหนิงหลินราวกับคนกำลังเศร้าเสียใจอยู่ก็ไม่ปาน ลี่อินจึงคิดว่าคุณหนูของนางคงจะฝันร้ายอยู่เป็นแน่ นางจึงได้เขย่าแขนเพื่อให้คุณหนูของนางตื่นจากฝันร้ายนั้น
เมื่อหญิงสาวที่หลับใหลลืมตาตื่นจากภวังค์ นางรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมสาดสายตามองไปรอบ ๆห้องนอนทันที เมื่อรู้ว่านางเพียงหลับฝันไปหนึ่งตื่นเท่านั้น นางก็ระบายลมหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ
“นี้ข้าฝันไปอย่างนั้นหรือ” ฟางหนิงหลินหันมาเอ่ยกับลี่อิน
“คุณหนูฝันร้ายอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ไม่เป็นไรนะเจ้าคะมันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ตอนนี้ท่านรีบแต่งตัวดีหรือไม่ วันนี้ท่านจะได้เห็นบุรุษที่ท่านเฝ้ารอมาตลอดหลายเดือนแล้วนะเจ้าคะ” ลี่อินพูดด้วยรอยยิ้มและกล่าวถึงบุรุษที่ฟางหนิงหลินมีใจถวิลหาเพื่อให้นางผ่อนคลายจากฝันร้าย
แต่ฟางหนิงหลินกลับไม่ลุกขึ้น นางยังคงนั่งคิดถึงความรู้สึกเจ็บปวดทรมานทั้งร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวในฝัน นางหลับไปเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยามแต่ในฝันช่างยาวนานราวกับเกิดขึ้นจริง ๆนางนั่งทบทวนเรื่องราวในฝันอยู่พักหนึ่ง จนได้ยินเสียงเร่งเร้าจากสาวใช้คนสนิทดังขึ้น นางจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว
ตลอดเวลาที่สาวใช้คอยปรนนิบัติอาบน้ำแต่งตัวให้นาง นางก็ยังคงไม่เลิกคิดถึงเรื่องราวในฝันนั้น จนสาวรับใช้ข้างกายทั้งสองสังเกตความผิดปกติของคุณหนูของพวกนางได้อย่างชัดเจน
“คุณหนูท่านเป็นกังวลเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถามฟางหนิงหลินด้วยความเป็นห่วง
ฟางหนิงหลินมองเงาลี่จินกับลี่อินสาวใช้คนสนิททั้งสองในกระจก หน้าตาของพวกนางแสดงออกถึงความสงสัยและเป็นห่วง ในฝันนั้นฟางหนิงหลินเองก็ได้เห็นจุดจบของพวกนางเช่นกัน เพราะลี่อินกับลี่จินยอมรับผิดแทนนางว่าเป็นคนวางยากำหนัดองค์รัชทายาทและเจียงเจียวซิน ทำให้ทั้งสองถูกโบยจนตาย ส่วนนางที่เป็นเจ้านายก็ถูกลงโทษกักบริเวณเพราะดูแลคนของตนเองได้ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือความจริงฟางหนิงหลินก็เชื่อว่าสาวใช้ทั้งสองจะยอมตายเพื่อนางได้จริง ๆ เพราะทั้งสองเป็นราวพี่สาวที่เติบโตมาพร้อมกับนาง
ฟางฮูหยินมารดาของฟางหนิงหลินรับลี่จินกับลี่อินมาเลี้ยงตั้งแต่พวกนางอายุได้ราวห้าหกหนาวเท่านั้น ขณะที่ทั้งสองถูกขายให้หอนางโลมฟางฮูหยินได้ไปพบเข้า ฟางฮูหยินเห็นเด็กทั้งสองคนกับผู้เป็นแม่ร่ำไห้กอดกันอย่างน่าเวทนาจึงนึกสงสาร จึงได้ขอซื้อตัวเด็กทั้งสองมาจากหอนางโลม
ฟางฮูหยินไม่เพียงแต่รับซื้อลี่จินกับลี่อินมา ยังขอซื้อแม่ของพวกนางทั้งสองมาจากพ่อที่ติดการพนันของพวกนางอีกด้วย ถึงทั้งสามคนจะเข้ามาอยู่ในจวนในฐานะสาวใช้ แต่พวกนางก็อยู่ดีกินดีมีเสื้อผ้าสะอาดและที่นอนอันอบอุ่น อีกทั้งยังได้นั่งเรียนเขียนอักษรกับฟางหนิงหลินในตอนวัยเยาว์อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้แม่ของทั้งสองได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว เพราะร่างกายที่อ่อนแอจากโรคเก่าที่รุมเร้ามายาวนาน
“พวกเจ้าคิดว่าความฝันจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่” ฟางหนิงหลินเอ่ยถามสาวใช้ทั้งสองด้วยท่าทางจริงจัง
“คุณหนูยังกังวลเรื่องความฝันอย่างนั้นหรือเจ้าคะ อย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ คุณหนูเพียงฟังเรื่องเล่าจากร้านน้ำชาเมื่อวานและเก็บไปฝันเท่านั้น” ลี่อินเอ่ยตอบ
“ฝันนั้นน่ากลัวมากเลยหรือเจ้าคะ ทั้งที่เมื่อวานหลังจากคุณหนูกลับมาจากร้านน้ำชา คุณหนูยังบอกอยู่เลยว่าความฝันก็คือความฝันไม่มีทางเป็นจริง แต่วันนี้คุณหนูกลับไม่มั่นใจในสิ่งที่คิดแล้วอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถามฟางหนิงหลิน
“นั่นสิความฝันก็คือความฝัน คงเพราะมันน่ากลัวจนเกินไป แม้ตื่นนอนขึ้นมาแล้วความรู้สึกก็ยังติดค้างอยู่ในใจ จนข้าไม่อาจลืมภาพที่เกิดขึ้นในฝันได้” ฟางหนิงหลินทำหน้าเศร้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้ลี่จินและลี่อินผ่านเงาในกระจก
“คุณหนูอย่ากังวลไปเลยเจ้าคะ มันเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น เลิกขมวดคิ้วได้แล้วเจ้าค่ะ หากยังทำหน้าเช่นนี้จะไม่สวยนะเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“หากคุณหนูกลัวว่าเรื่องในฝันจะเกิดขึ้น ท่านก็เพียงป้องกันไว้ก่อนก็ได้หนิเจ้าคะ หรือจะหลบเลี่ยงไม่เผชิญหน้าก็ย่อมทำได้” ลี่อินเอ่ยเพื่อปลอบประโลมฟางหนิงหลินให้นางคลายกังวล
“จริงด้วยเจ้าค่ะ หลังจากกลับมาจากงานเลี้ยงคุณหนูค่อยมาเล่าเรื่องราวในฝันให้พวกเราฟังและช่วยกันหาทางแก้ดีหรือไม่เจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าฟางหนิงหลินพยักหน้าตอบรับนางจึงเอ่ยต่อ
“ดีเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้คุณหนูต้องปล่อยวางความฝันนั้นลงก่อน และกลับมาเป็นคุณหนูที่สดใสไร้กังวลคนเดิมของพวกเราก่อนนะเจ้าคะ”
ฟางหนิงหลินยกยิ้มขึ้นและนั่งนิ่งให้ทั้งสองแต่งหน้าทำผมให้จนเสร็จ เมื่อถึงเวลาฟางหนิงหลินก็เดินทางไปยังวังหลวงพร้อมบิดาและมารดาของนางตามเทียบเชิญ
ณ.วังหลวง
เมื่อรถม้าจอดเทียบที่หน้าประตูวังเหล่าขุนนางและครอบครัวก็ต่างพากันเดินเข้ามาภายในวังที่ถูกจัดเตรียมงานไว้เป็นอย่างดี งานนี้เหตุผลที่จัดขึ้นนอกจากจะฉลองชัยชนะและสรรเสริญเหล่าผู้กล้าในสงคราม ยังมีเหตุผลอีกอย่างที่เชิญเหล่าครอบครัวขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย นั่นก็คือการดูตัว
ไทเฮาและฮองเฮาต้องการให้เหล่าองค์ชายและองค์หญิงได้มีโอกาสพบเห็นสตรีและบุรุษที่เป็นลูกหลานขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ เพื่อจะได้เลือกมาเป็นชายาและเป็นราชบุตรเขยในอนาคต
เพราะฮ่องเต้ทรงรับปากฮองเฮาพระองค์ก่อนไว้ว่าจะไม่บังคับให้เหล่าองค์หญิงและองค์ชายแต่งพระชายาหรือราชบุตรเขยอย่างไม่เต็มใจ ถึงไทเฮาและฮองเฮาองค์ปัจจุบันจะไม่เห็นด้วยแต่จะคัดค้านคำขอสุดท้ายของคนใกล้ตายได้อย่างไร เพียงแต่ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อพระวงศ์ พระชายาเอกและราชบุตรเขยย่อมต้องมาจากตระกูลสูงศักดิ์หรือไม่ก็ตระกูลขุนนางขั้นสูง ถึงจะบังคับตรง ๆไม่ได้ แต่สามารถเปิดโอกาสให้องค์หญิงและองค์ชายได้เจอเหล่าบุตรหลานขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ได้
“คุณหนูเจ้าขา ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ หากไม่ตื่นอีกจะไม่ทันแล้วนะเจ้าคะ”
ลี่อินสาวรับใช้ของฟางหนิงหลินเรียกคุณหนูของนางให้ตื่น เพื่อลุกขึ้นมาแต่งตัวให้ทันไปงานเลี้ยงในวังหลวงที่จัดขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะจากการทำสงครามกับแคว้นเหลียง และร่วมแสดงความยินดีกับการแต่งตั้งองค์รัชทายาทและเลื่อนตำแหน่งให้กับเหล่าผู้กล้าที่มีความดีความชอบในการศึกครั้งนี้ด้วย
ลี่อินเห็นว่าเรียกฟางหนิงหลินเท่าใดก็ไม่ยอมตื่นเสียที อีกทั้งใบหน้าของคุณหนูของนางก็ยังมีเหงื่อผุดออกมาเป็นเม็ด ๆสีหน้าของฟางหนิงหลินราวกับคนกำลังเศร้าเสียใจอยู่ก็ไม่ปาน ลี่อินจึงคิดว่าคุณหนูของนางคงจะฝันร้ายอยู่เป็นแน่ นางจึงได้เขย่าแขนเพื่อให้คุณหนูของนางตื่นจากฝันร้ายนั้น
เมื่อหญิงสาวที่หลับใหลลืมตาตื่นจากภวังค์ นางรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมสาดสายตามองไปรอบ ๆห้องนอนทันที เมื่อรู้ว่านางเพียงหลับฝันไปหนึ่งตื่นเท่านั้น นางก็ระบายลมหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ
“นี้ข้าฝันไปอย่างนั้นหรือ” ฟางหนิงหลินหันมาเอ่ยกับลี่อิน
“คุณหนูฝันร้ายอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ไม่เป็นไรนะเจ้าคะมันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ตอนนี้ท่านรีบแต่งตัวดีหรือไม่ วันนี้ท่านจะได้เห็นบุรุษที่ท่านเฝ้ารอมาตลอดหลายเดือนแล้วนะเจ้าคะ” ลี่อินพูดด้วยรอยยิ้มและกล่าวถึงบุรุษที่ฟางหนิงหลินมีใจถวิลหาเพื่อให้นางผ่อนคลายจากฝันร้าย
แต่ฟางหนิงหลินกลับไม่ลุกขึ้น นางยังคงนั่งคิดถึงความรู้สึกเจ็บปวดทรมานทั้งร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวในฝัน นางหลับไปเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยามแต่ในฝันช่างยาวนานราวกับเกิดขึ้นจริง ๆนางนั่งทบทวนเรื่องราวในฝันอยู่พักหนึ่ง จนได้ยินเสียงเร่งเร้าจากสาวใช้คนสนิทดังขึ้น นางจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว
ตลอดเวลาที่สาวใช้คอยปรนนิบัติอาบน้ำแต่งตัวให้นาง นางก็ยังคงไม่เลิกคิดถึงเรื่องราวในฝันนั้น จนสาวรับใช้ข้างกายทั้งสองสังเกตความผิดปกติของคุณหนูของพวกนางได้อย่างชัดเจน
“คุณหนูท่านเป็นกังวลเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถามฟางหนิงหลินด้วยความเป็นห่วง
ฟางหนิงหลินมองเงาลี่จินกับลี่อินสาวใช้คนสนิททั้งสองในกระจก หน้าตาของพวกนางแสดงออกถึงความสงสัยและเป็นห่วง ในฝันนั้นฟางหนิงหลินเองก็ได้เห็นจุดจบของพวกนางเช่นกัน เพราะลี่อินกับลี่จินยอมรับผิดแทนนางว่าเป็นคนวางยากำหนัดองค์รัชทายาทและเจียงเจียวซิน ทำให้ทั้งสองถูกโบยจนตาย ส่วนนางที่เป็นเจ้านายก็ถูกลงโทษกักบริเวณเพราะดูแลคนของตนเองได้ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือความจริงฟางหนิงหลินก็เชื่อว่าสาวใช้ทั้งสองจะยอมตายเพื่อนางได้จริง ๆ เพราะทั้งสองเป็นราวพี่สาวที่เติบโตมาพร้อมกับนาง
ฟางฮูหยินมารดาของฟางหนิงหลินรับลี่จินกับลี่อินมาเลี้ยงตั้งแต่พวกนางอายุได้ราวห้าหกหนาวเท่านั้น ขณะที่ทั้งสองถูกขายให้หอนางโลมฟางฮูหยินได้ไปพบเข้า ฟางฮูหยินเห็นเด็กทั้งสองคนกับผู้เป็นแม่ร่ำไห้กอดกันอย่างน่าเวทนาจึงนึกสงสาร จึงได้ขอซื้อตัวเด็กทั้งสองมาจากหอนางโลม
ฟางฮูหยินไม่เพียงแต่รับซื้อลี่จินกับลี่อินมา ยังขอซื้อแม่ของพวกนางทั้งสองมาจากพ่อที่ติดการพนันของพวกนางอีกด้วย ถึงทั้งสามคนจะเข้ามาอยู่ในจวนในฐานะสาวใช้ แต่พวกนางก็อยู่ดีกินดีมีเสื้อผ้าสะอาดและที่นอนอันอบอุ่น อีกทั้งยังได้นั่งเรียนเขียนอักษรกับฟางหนิงหลินในตอนวัยเยาว์อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้แม่ของทั้งสองได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว เพราะร่างกายที่อ่อนแอจากโรคเก่าที่รุมเร้ามายาวนาน
“พวกเจ้าคิดว่าความฝันจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่” ฟางหนิงหลินเอ่ยถามสาวใช้ทั้งสองด้วยท่าทางจริงจัง
“คุณหนูยังกังวลเรื่องความฝันอย่างนั้นหรือเจ้าคะ อย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ คุณหนูเพียงฟังเรื่องเล่าจากร้านน้ำชาเมื่อวานและเก็บไปฝันเท่านั้น” ลี่อินเอ่ยตอบ
“ฝันนั้นน่ากลัวมากเลยหรือเจ้าคะ ทั้งที่เมื่อวานหลังจากคุณหนูกลับมาจากร้านน้ำชา คุณหนูยังบอกอยู่เลยว่าความฝันก็คือความฝันไม่มีทางเป็นจริง แต่วันนี้คุณหนูกลับไม่มั่นใจในสิ่งที่คิดแล้วอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถามฟางหนิงหลิน
“นั่นสิความฝันก็คือความฝัน คงเพราะมันน่ากลัวจนเกินไป แม้ตื่นนอนขึ้นมาแล้วความรู้สึกก็ยังติดค้างอยู่ในใจ จนข้าไม่อาจลืมภาพที่เกิดขึ้นในฝันได้” ฟางหนิงหลินทำหน้าเศร้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้ลี่จินและลี่อินผ่านเงาในกระจก
“คุณหนูอย่ากังวลไปเลยเจ้าคะ มันเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น เลิกขมวดคิ้วได้แล้วเจ้าค่ะ หากยังทำหน้าเช่นนี้จะไม่สวยนะเจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“หากคุณหนูกลัวว่าเรื่องในฝันจะเกิดขึ้น ท่านก็เพียงป้องกันไว้ก่อนก็ได้หนิเจ้าคะ หรือจะหลบเลี่ยงไม่เผชิญหน้าก็ย่อมทำได้” ลี่อินเอ่ยเพื่อปลอบประโลมฟางหนิงหลินให้นางคลายกังวล
“จริงด้วยเจ้าค่ะ หลังจากกลับมาจากงานเลี้ยงคุณหนูค่อยมาเล่าเรื่องราวในฝันให้พวกเราฟังและช่วยกันหาทางแก้ดีหรือไม่เจ้าคะ” ลี่จินเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าฟางหนิงหลินพยักหน้าตอบรับนางจึงเอ่ยต่อ
“ดีเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้คุณหนูต้องปล่อยวางความฝันนั้นลงก่อน และกลับมาเป็นคุณหนูที่สดใสไร้กังวลคนเดิมของพวกเราก่อนนะเจ้าคะ”
ฟางหนิงหลินยกยิ้มขึ้นและนั่งนิ่งให้ทั้งสองแต่งหน้าทำผมให้จนเสร็จ เมื่อถึงเวลาฟางหนิงหลินก็เดินทางไปยังวังหลวงพร้อมบิดาและมารดาของนางตามเทียบเชิญ
ณ.วังหลวง
เมื่อรถม้าจอดเทียบที่หน้าประตูวังเหล่าขุนนางและครอบครัวก็ต่างพากันเดินเข้ามาภายในวังที่ถูกจัดเตรียมงานไว้เป็นอย่างดี งานนี้เหตุผลที่จัดขึ้นนอกจากจะฉลองชัยชนะและสรรเสริญเหล่าผู้กล้าในสงคราม ยังมีเหตุผลอีกอย่างที่เชิญเหล่าครอบครัวขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย นั่นก็คือการดูตัว
ไทเฮาและฮองเฮาต้องการให้เหล่าองค์ชายและองค์หญิงได้มีโอกาสพบเห็นสตรีและบุรุษที่เป็นลูกหลานขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ เพื่อจะได้เลือกมาเป็นชายาและเป็นราชบุตรเขยในอนาคต
เพราะฮ่องเต้ทรงรับปากฮองเฮาพระองค์ก่อนไว้ว่าจะไม่บังคับให้เหล่าองค์หญิงและองค์ชายแต่งพระชายาหรือราชบุตรเขยอย่างไม่เต็มใจ ถึงไทเฮาและฮองเฮาองค์ปัจจุบันจะไม่เห็นด้วยแต่จะคัดค้านคำขอสุดท้ายของคนใกล้ตายได้อย่างไร เพียงแต่ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อพระวงศ์ พระชายาเอกและราชบุตรเขยย่อมต้องมาจากตระกูลสูงศักดิ์หรือไม่ก็ตระกูลขุนนางขั้นสูง ถึงจะบังคับตรง ๆไม่ได้ แต่สามารถเปิดโอกาสให้องค์หญิงและองค์ชายได้เจอเหล่าบุตรหลานขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ได้
“จะว่าหม่อมฉันได้เช่นไรเพคะ ต้องโทษพระองค์ที่ทำตัวไม่เหมาะ ทั้งรถม้าเอย ทั้งเรือนนอกเมืองเอย อีกทั้งยังส่งองครักษ์คนสนิทไปคอยดูแลไหนเลยใครเห็นจะไม่เข้าใจผิด พระองค์รู้หรือไม่ยามนี้คนทั่วเมืองต่างพากันสงสัยแล้วว่าท่านอ๋องหรือท่านองครักษ์ซูที่เป็นบิดาของเด็กในท้อง จนถึงขั้นเปิดเดิมพันที่โรงพนันหลินหลงแล้วเพคะ”“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะส่งซูโม่อี้ไปลงพนันกับพวกเขาเสียหน่อย แต่ว่ายามนี้ข้าอยากพักผ่อนแล้ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงในช่วงท้าย“เช่นนั้นก็นอนเถอะเพคะ หม่อมฉันจะไปเตรียมยากับอาหารไว้ให้” ฟางหนิงหลินระบายยิ้มอ่อน ๆ ส่งให้สามี พร้อมกับลุกขึ้นความหมายคำว่า ‘พักผ่อน’ ของเหยาหวังเหว่ยนั้นมิได้หมายความว่าเขาจะนอน เมื่อเห็นภรรยาตัวนอนลุกขึ้นเขาจึงรีบคว้ามือของนางทันที พร้อมเอ่ยกับภรรยาตัวน้อยด้วยเสียงออดอ้อน“หนิงหลินเจ้าจะเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ข้าจะเฝ้าเจ้าคลอดลูก เช่นนั้นเจ้าคลอดบุตรชายบุตรสาวให้ข้าได้หรือไม่”ใบหน้าของฟางหนิงหลินขึ้นสีเล็กน้อย นางค่อย ๆ พยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ เพียงได้คำตอบจากภรรยา สวามีตัวสูงก็ดึงแขนภรรยาตัวน้อยลงมาพร้
ตลอดทางที่อยู่ในรถม้า คนตัวสูงได้แต่นอนพิงคนตัวเล็กกว่าจนหลับไป ฟางหนิงหลินน้ำตาไหลเพราะนึกว่าเขานั้นหมดสติ นางเร่งคนขับรถม้าให้เพิ่มความเร็วขึ้น สารถีเมื่อได้ยินน้ำเสียงร้อนรนของพระชายาก็เร่งความเร็วขึ้นตามผู้เป็นนายสั่งฟางหนิงหลินพยายามปลุกเหยาหวังเหว่ยให้ตื่น แต่ทว่าบุรุษตัวโตไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมาเพื่อให้นางสบายใจ เหยาหวังเหว่ยมิใช่ไม่ได้สติแต่เขานั้นอยากเอาคืนนางเสียหน่อยที่นางนั้นมิยอมเชื่อใจเขา และไม่แม้แต่จะฟังเขาอธิบายเมื่อมาถึงตำหนักเหล่าองครักษ์ก็พากันมาแบกเหยาหวังเหว่ยเข้าไปยังในตำหนัก เหยาหวังเหว่ยยังคงแกล้งไม่ได้สติจนกระทั่งหมอที่ซูโม่อี้ตามมาทำความสะอาดแผลพร้อมกับใส่ยาและพันแผลให้เหยาหวังเหว่ยเสร็จ เขาจึงแสร้งทำเป็นได้สติและลืมตาขึ้น“พระชายาอย่าได้เป็นกังวลไปพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องมีพระวรกายแข็งแรงไม่ช้าก็จะหายดี เพียงแต่ช่วงนี้อย่าให้ท่านอ๋องออกแรงมากมิเช่นนั้นแผลอาจฉีกอีก และระวังอย่าให้เป็นไข้มิเช่นนั้นอาจมีโรคอื่นแทรกซ้อนนะพ่ะย่ะค่ะ” หมอชราเอ่ยพร้อมยิ้มให้ฟางหนิงหลินก่อนจะกลับ“ขอบคุณท่านหมอมาก” ฟางหนิงหลินเอ่ยจบก็ยิ้มตอบ“ท่านหมอเ
“หลินเอ๋อร์เจ้าใจเย็นก่อน เดี๋ยวพี่จะไปจัดการเขาให้เอง” สวีจื้อซานรีบเอ่ย ถึงเรื่องที่เหยาหวังเหว่ยมีอนุเขานั้นไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งได้ แต่เรื่องที่เหยาหวังเหว่ยได้ใหม่ลืมเก่ารังแกน้องสาวของเขาเช่นนี้เขาย่อมไม่อยู่เฉยฟางหนิงหลินมิได้เอ่ยตอบ นางหมุนตัวเพื่อเดินกลับเข้าไปด้านหลังร้าน เพราะไม่อยากให้ผู้ใดเห็นน้ำตาความรู้สึกผิดหวังถาโถมใส่กลางใจหญิงสาวเมื่อเดินมาถึงเรือนหลังร้านน้ำตาก็ไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังไหลรินเงียบ ๆ ไม่มีเสียงสะอื้นไห้ แต่ทว่าความเจ็บปวดร้าวนั้นทำนางแทบจะขาดใจหลังจากที่ฟางหนิงหลินเดินหายเข้าไปหลังร้าน เสียงซุบซิบภายในร้านก็ดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน สวีจื้อซานกับเหยาซิงอีและเสิ่นหลิวหยางรับปากกับเหล่าสตรีว่าพวกเขานั้นจะไปคุยกับเหยาหวังเหว่ยให้รู้เรื่อง ให้พวกนางใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งวู่วามแต่ยังไม่ทันที่เหล่าบุรุษจะก้าวเท้าออกไป บุรุษที่เพิ่งก้าวเท้าออกจากร้านไปก็เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมมุ่งหน้าตรงไปยังหลังร้าน เพื่อไปหาภรรยาของเขาทั้งสตรีทั้งบุรุษที่เป็นสหายเดินตามเหยาหวังเหว่ยเข้ามาถึงห
เหยาซิงอีจ้องมองดวงตาของสตรีตรงหน้าที่กำลังสั่นไหว นัยน์ตาของนางดูเศร้าราวกับโลกที่เคยเบิกบานของนางทลายลง ความเสียใจทั้งหมดทั้งมวลแสดงออกมาทางใบหน้า เขาทนไม่ไหวที่จะเห็นนางเป็นเช่นนี้ โทสะที่บังเกิดขึ้นก่อนหน้าหายไปเพียงแค่ได้เห็นตาและจมูกที่เปลี่ยนสีเป็นสีแดงระเรื่อ ท่าทางที่เหมือนกับนางกำลังจะร้องไห้ทำให้เขาต้องรีบเอ่ยประโยคที่ยังไม่ทันได้เอ่ยโดยพลัน“เพราะมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เราจะให้เกียรติเป็นพระชายาของเรา เช่นนั้นจะให้เราให้เกียรติเจ้าเหมือนสตรีนางอื่นได้เช่นไร”ดวงตาของลี่อินเบิกกว้างอย่างตกตะลึง นางนั้นพยายามตั้งสติเพราะคิดว่าตนเองอาจหูฝาดไป แต่เมื่อได้ยินคำอวยพรรวมทั้งคำยินดีจากสหายและลูกค้าที่อยู่ในร้านก็ทำให้นางรู้ว่าที่นางนั้นได้ยินไม่ผิด ใบหน้าหวานของนางขึ้นสีระเรื่อ ลี่อินเบือนหน้าหนีแสร้งหลบตาอย่างเขิน ๆท่วงท่าเขินอายของลี่อินเสริมเสน่ห์ให้นางจนเหยาซิงอีนั้นยากจะอดใจไหว เขาจับคางเล็กให้เงยขึ้นก่อนจะประกบปากลงไปจุมพิตริมฝีปากงาม โดยไม่สนใจสายตาของคนในร้านแม่นางน้อยใหญ่ที่อยู่ในร้านเมื่อได้เห็นการแสดงความรักของจวิ้นอ๋องเหยาซิงอีก็ต่างพากัน
ยามนี้เป็นเวลาทำงานของสวีจื้อซาน กว่าคนของเขาจะฝากคนส่งข่าวเข้ามารายงานได้ก็กินเวลาไปเกือบ2เค่อแล้ว และกว่าที่เขานั้นจะออกมาจากพระราชวังได้ก็ป่าไปเกือบครึ่งชั่วยามทางด้านเหยาซิงอีที่เมื่อคืนร้อนใจจนนอนไม่หลับจึงได้ชวนเสิ่นหลิวหยางดื่มสุราด้วยกันที่จวนของเขานั้น เมื่อได้ยินรายงานจากคนของตนก็ไม่รอช้ารีบออกจากจวนไปทันที โดยมีเสิ่นหลิวหยางตามติดมาด้วยตอนแรกเหยาซิงอีจะไปหาลี่อินแต่เช้า แต่เสิ่นหลิวหยางบอกให้รอเหยาหวังเหว่ยมาจัดการเรื่องทุกอย่างก่อน ไม่เช่นนั้นที่ลี่อินเพียงแค่หมางเมินใส่อาจจะกลายเป็นทะเลาะกันก็เป็นได้ เหยาซิงอีจึงเชื่อคำของสหายไม่ไปหาลี่อินแต่เช้ากว่าเหยาซิงอีกับเสิ่นหลิวหยางจะมาถึง เหล่าสตรีก็นั่งพักจิบน้ำชากินขนมที่โรงน้ำชาไป่เหอกันเสียแล้ว เพียงพวกเขาทั้งสองเดินเข้ามาในโรงน้ำชา สายตาของพวกเขาทั้งสองก็มุ่งตรงไปยังกลุ่มของสตรีทั้งห้าคนทันที ถึงบุรุษทั้งสองจะมิใช้สายตามองผู้ใดนอกจากสตรีทั้งห้า แต่ทว่าบุรุษที่อยู่ในร้านที่จ้องมองพวกนางอยู่นั้นก็รีบเก็บสายตาและหันหน้าหนีทันทีทันใด เพราะไอสังหารที่แผ่ออกมาจากบุรุษทั้งสองนั้นมีมากพอที่จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวเหยาซิงอีเมื่อมาถ
วันต่อมาลี่อินกับเสี่ยวเยาตื่นแต่เช้า พวกนางออกมาจ่ายตลาดเพื่อจะได้เตรียมอาหารเช้าให้สตรีคนอื่น ๆ ที่ยังคงนอนไม่ตื่น และอีกอย่างเพราะเจียงเจียวซินออกมาค้างคืนข้างนอกกะทันหัน ยาบำรุงที่ควรจะดื่มในทุกวันจึงไม่ได้เอาออกมาด้วย เสี่ยวเยาจึงต้องมาโรงหมอที่เคยมารับยาทุกครั้ง เพื่อซื้อยาบำรุงให้คุณหนูของนาง“ข้ามาหาท่านหมออี้” เสี่ยวเยาเอ่ยถามเด็กรับใช้ที่อยู่ในโรงหมอ“ขอโทษทีขอรับ เมื่อคืนนี้ทั้งท่านหมออี้และอี้ฮูหยินออกไปนอกเมือง ถึงยามนี้ก็ยังไม่กลับมาขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบแขกผู้มาเยือนด้วยท่าทีนอบน้อม“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านหมออี้ไปทำอะไรที่นอกเมืองและจะกลับมาเมื่อใด” เสี่ยวเยาเอ่ยถาม เพราะถ้าหากกลับช้าคุณหนูของนางอาจจะกินยาบำรุงไม่ตรงเวลา เช่นนั้นนางคงต้องกลับไปจวนตระกูลสวีเพื่อเอายา“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ ข้าน้อยรู้แต่ว่าทหารของตำหนักชินอ๋องมาเชิญท่านหมออี้และอี้ฮูหยินไปทำคลอดให้สตรีที่อยู่นอกเมืองขอรับ ส่วนจะกลับมาเมื่อไรนั้นข้าน้อยไม่อาจคาดเดาได้”เพียงได้ยินคำตอบลี่อินและเสี่ยวเยาก็ต่างมองหน้ากัน พวกนางรู้เหตุผลแล้วว่าใยเมื่อคืนนี้ชินอ๋องเหยาหวังเหว่ยจึงไม่รีบกลับมาง้อฟางหนิ