เพราะคำขอของฮองเฮาพระองค์ก่อนทำให้ตอนนี้เหล่าองค์ชายรวมถึงองค์หญิงเหยาลี่เซียนที่ถึงวัยแต่งงานยังไม่ยอมที่จะเลือกคู่ครองของตน ทำให้ไทเฮาและหลัวฮองเฮาวิตกกังวล จึงได้ขอให้ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้โดยแยกระหว่างเหล่าขุนนางที่ออกเรือนแล้ว กับเหล่าบุรุษสตรีที่ยังไม่ออกเรือนให้แยกกันฉลอง
ถึงปกติไทเฮาและหลัวฮองเฮาจะมีการจัดงานเลี้ยงชมบุปผาเพื่อให้องค์ชายทั้งสามและองค์หญิงเหยาลี่เซียนได้พบเจอกับเหล่าลูกหลานของบรรดาขุนนางอยู่แล้ว แต่เหล่าองค์ชายทั้งหลายก็มักมีข้ออ้างไม่ยอมมาร่วมงานเลี้ยงอยู่ร่ำไป แต่งานเลี้ยงครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะองค์ชายทั้งสามไม่อาจปฏิเสธไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้ และยังมีลูกหลานตระกูลขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์หลายคนที่อยู่ห่างไกลมาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย จึงไม่เหมือนงานเลี้ยงครั้งอื่น ๆที่จัดขึ้น
แน่นอนเรื่องที่ใช้งานเลี้ยงในครั้งนี้เพื่อดูตัวบุตรสาวบุตรชายของเหล่าขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์เพื่อมาเกี่ยวดองกับราชวงศ์ฟางหนิงหลินย่อมรู้อยู่ก่อนแล้ว เพราะนางคือสหายคนสนิทขององค์หญิงเหยาลี่เซียน พระธิดาเพียงองค์เดียวของฮ่องเต้กับฮองเฮาองค์ปัจจุบัน เพราะเป็นองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวจึงถูกตามใจจากฮ่องเต้และหลัวฮองเฮาจนใคร ๆก็ล้วนต้องเกรงกลัวนาง
ความจริงงานเลี้ยงในครั้งนี้ฟางหนิงหลินตั้งหน้าตั้งตาคอยมาตั้งแต่รู้ข่าวจากเหยาลี่เซียน ไม่ว่าจะเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับนางล้วนสั่งทำใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นที่โดดเด่น แต่ไม่ใช่เพื่อให้ใคร ๆหันมาสนใจนาง เพราะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นางอยากให้เขาหันมามอง นั่นก็คือเหยาหวังเหว่ย
เหยาหวังเหว่ยเป็นพระโอรสองค์รองของฮ่องเต้ที่เกิดจากฮองเฮาพระองค์ก่อนที่สวรรคตไปแล้ว หลังจากชนะสงครามครั้งนี้ก็ได้แต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ความจริงแล้วมีขุนนางมากมายที่สนับสนุนให้เขาเป็นไท่จื่อ[1]แต่เขากลับปฏิเสธ ทำให้เหยาซีฮันพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้ที่เกิดจากหลัวฮองเฮาได้เป็นองค์รัชทายาท
เมื่อฟางหนิงหลินเดินเข้ามาในงานนางก็ตกเป็นเป้าสายตาของบุรุษหลายคน ชุดสีชมพูอ่อนแสนหวานชายกระโปรงปักลายผีเสื้อหลากสีสันเมื่อยามเดินดูราวผีเสื้อขยับปีกโบยบิน ชุดตัดเย็บเข้ารูปพอดีตัวเผยให้เห็นสัดส่วนของสตรีที่ถึงวัยออกเรือนอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากอมชมพูพวงแก้มแต่งแต้มด้วยสีชมพูจาง ๆดูเป็นธรรมชาติ ไม่เพียงบุรุษที่หันมามอง แม้แต่สตรีด้วยกันก็ยังต้องเหลียว เพราะวันนี้นางดูอ่อนหวานละมุนน่าทะนุถนอมต่างจากปกติที่จะแต่งตัวด้วยสีสันฉูดฉาด
ความจริงมีบุรุษมากมายที่หมายอยากเกี่ยวดองกับฟางหนิงหลินเพราะไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่ไม่เป็นรองสตรีใดในเมืองหลวง ฐานะทางบ้านของนางก็ถือว่าเป็นฐานอำนาจที่มั่นคงมากทีเดียว เพราะบิดาของนางฟางรั่วซานเป็นแม่ทัพผู้บัญชาการใหญ่รักษาเมืองหลวง ส่วนท่านตาเป็นราชครู และยังมีท่านลุงเป็นเสนาบดีกรมคลังอีกด้วย
แต่ที่ไม่มีบุรุษหนุ่มผู้ใดเกี้ยวพาราสีนางนั้น เป็นเพราะนางแสดงออกและเอ่ยอย่างชัดเจนว่านางชื่นชอบเหยาหวังเหว่ย จึงไม่มีผู้ใดคิดจะเชื่อมสัมพันธ์กับนาง ทุกคนทำได้เพียงแต่มองนางยามที่นางเผยตัวในสถานที่ต่าง ๆเท่านั้น
“หนิงหลินเจ้ามาได้เสียที”เหยาลี่เซียนเอ่ยเรียกสหายคนสนิทเมื่อเห็นหน้า
เหยาลี่เซียนถึงจะเป็นองค์หญิงที่มีสตรีมากมายอยากเป็นสหาย แต่คนที่นางนับเป็นสหายสนิทนั้นก็มีเพียงฟางหนิงหลินเท่านั้น เพราะนางเติบโตมาด้วยการถูกตามใจตั้งแต่เล็ก ไม่ว่านางทำอันใดก็ไม่เคยถูกขัดใจมาก่อน แต่เมื่อมาเจอกับฟางหนิงหลินที่กล้าพูดกับนางตรงไปตรงมา ทำให้นางรู้สึกไม่เคยพบใครที่จริงใจกับนางเช่นนี้ นางจึงชอบที่จะพูดคุยกับฟางหนิงหลิน เมื่อวันเวลาผ่านไปจึงกลายเป็นความสนิทและผูกพันราวพี่น้อง
เสียงดีอกดีใจขององค์หญิงเหยาลี่เซียนทำให้ทุกคนหันมอง ยิ่งทำให้ฟางหนิงหลินที่เดินมากลายเป็นจุดเด่นมากขึ้นไปอีก แน่นอนแม้แต่องค์ชายทั้งสามที่นั่งดื่มสุราอยู่กับเหล่าสหายก็หันมามองเช่นกัน
เหยาลี่เซียนเดินมาจับมือของฟางหนิงหลินและพาเดินไปยังที่เสด็จพี่ของนางนั่งอยู่ เพื่อเปิดโอกาสให้สหายคนสนิทได้มีโอกาสพูดคุยกับบุรุษที่เฝ้าคะนึงหามาหลายเดือน แต่เหยาลี่เซียนกลับต้องประหลาดใจเมื่อสิ่งที่นางคิดไว้ไม่เป็นดั่งคาด นางคิดว่าฟางหนิงหลินจะต้องรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่สีหน้าของสหายกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เพียงฟางหนิงหลินได้เห็นใบหน้าของเหยาหวังเหว่ย ในใจของนางก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที ถึงนั่นจะเป็นความฝันแต่สิ่งที่นางได้รับจากเขาเมื่อทบทวนดูแล้วก็ไม่ต่างจากความฝันนั้นเลยสักส่วน ทุกครั้งที่เขาเห็นหน้าของนางก็มักจะเมินเฉยสีหน้าราวไม่รู้ร้อนรู้หนาวอันใด ไม่ว่านางจะมอบสิ่งใดให้เขาก็เพียงแค่รับเอาไว้แต่หาเคยยินดีหรือกล่าวชมอันใดไม่ เหมือนรับไว้เพียงเพื่อตัดความรำคาญเท่านั้น
ไม่เพียงแค่เหยาลี่เซียนที่ประหลาดใจ แต่คนที่นั่งอยู่ทั้ง5คนนั้นก็ต่างรู้สึกว่าฟางหนิงหลินดูแปลกไปเช่นกัน ทุกคนรู้ดีว่าเมื่อฟางหนิงหลินเห็นเหยาหวังเหว่ยสีหน้าของนางจะยิ้มแย้มเบิกบานราวกับดอกทานตะวันที่บานสะพรั่ง แววตาทอประกายราวแสงดาวระยิบระยับ นางจะจ้องมองเหยาหวังเหว่ยอย่างไม่วางตา และทำราวกับคนที่อยู่รอบกายเป็นเพียงอากาศ แต่บัดนี้ใบหน้าของนางกลับไม่มีรอยยิ้มประดับอยู่เลย สีหน้าของนางหดหู่ สายตาของนางมองต่ำราวกับไม่อยากเห็นหน้าผู้ใด สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
“หลินเอ๋อร์ เจ้าไม่สบายอย่างนั้นหรือ” สวีจื้อซานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นท่าทางของนางดูซึมเศร้าไม่ร่าเริง
สวีจื้อซานเปรียบเสมือนพี่ชายของฟางหนิงหลิน เพราะเขาเห็นนางมาตั้งแต่แรกเกิด จวนของทั้งคู่อยู่ติดกันอีกทั้งบิดาของทั้งสองคนนั้นยังเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน ความผูกพันของทั้งสองจึงแน่นแฟ้น บิดาของเขาเป็นเสนาบดีสำนักตรวจการส่วนเขาเป็นองครักษ์
ที่สวีจื้อซานได้มานั่งร่วมโต๊ะกับเหล่าองค์ชาย เพราะเขานั้นเคยเป็นสหายร่วมเรียนกับองค์ชายทั้งสามมาก่อน และเขายังสนิทกับเหยาซีฮันมากเป็นพิเศษอีกด้วย
“อ๋อ! ข้าไม่เป็นไร” ฟางหนิงหลินหันไปตามเสียงที่คุ้นเคยพร้อมเอ่ยตอบก่อนที่จะส่งยิ้มให้สวีจื้อซาน
ทุกคนที่นั่งอยู่เผลอเลิกคิ้วด้วยสีหน้าประหลาดใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้เห็นสายตาและสีหน้าที่ฟางหนิงหลินใช้มองสวีจื้อซาน สีหน้าของนางเบิกบานขึ้นมาทันที
[1] ไท่จื่อ = องค์รัชทายาท
“จะว่าหม่อมฉันได้เช่นไรเพคะ ต้องโทษพระองค์ที่ทำตัวไม่เหมาะ ทั้งรถม้าเอย ทั้งเรือนนอกเมืองเอย อีกทั้งยังส่งองครักษ์คนสนิทไปคอยดูแลไหนเลยใครเห็นจะไม่เข้าใจผิด พระองค์รู้หรือไม่ยามนี้คนทั่วเมืองต่างพากันสงสัยแล้วว่าท่านอ๋องหรือท่านองครักษ์ซูที่เป็นบิดาของเด็กในท้อง จนถึงขั้นเปิดเดิมพันที่โรงพนันหลินหลงแล้วเพคะ”“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะส่งซูโม่อี้ไปลงพนันกับพวกเขาเสียหน่อย แต่ว่ายามนี้ข้าอยากพักผ่อนแล้ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงในช่วงท้าย“เช่นนั้นก็นอนเถอะเพคะ หม่อมฉันจะไปเตรียมยากับอาหารไว้ให้” ฟางหนิงหลินระบายยิ้มอ่อน ๆ ส่งให้สามี พร้อมกับลุกขึ้นความหมายคำว่า ‘พักผ่อน’ ของเหยาหวังเหว่ยนั้นมิได้หมายความว่าเขาจะนอน เมื่อเห็นภรรยาตัวนอนลุกขึ้นเขาจึงรีบคว้ามือของนางทันที พร้อมเอ่ยกับภรรยาตัวน้อยด้วยเสียงออดอ้อน“หนิงหลินเจ้าจะเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ข้าจะเฝ้าเจ้าคลอดลูก เช่นนั้นเจ้าคลอดบุตรชายบุตรสาวให้ข้าได้หรือไม่”ใบหน้าของฟางหนิงหลินขึ้นสีเล็กน้อย นางค่อย ๆ พยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ เพียงได้คำตอบจากภรรยา สวามีตัวสูงก็ดึงแขนภรรยาตัวน้อยลงมาพร้
ตลอดทางที่อยู่ในรถม้า คนตัวสูงได้แต่นอนพิงคนตัวเล็กกว่าจนหลับไป ฟางหนิงหลินน้ำตาไหลเพราะนึกว่าเขานั้นหมดสติ นางเร่งคนขับรถม้าให้เพิ่มความเร็วขึ้น สารถีเมื่อได้ยินน้ำเสียงร้อนรนของพระชายาก็เร่งความเร็วขึ้นตามผู้เป็นนายสั่งฟางหนิงหลินพยายามปลุกเหยาหวังเหว่ยให้ตื่น แต่ทว่าบุรุษตัวโตไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมาเพื่อให้นางสบายใจ เหยาหวังเหว่ยมิใช่ไม่ได้สติแต่เขานั้นอยากเอาคืนนางเสียหน่อยที่นางนั้นมิยอมเชื่อใจเขา และไม่แม้แต่จะฟังเขาอธิบายเมื่อมาถึงตำหนักเหล่าองครักษ์ก็พากันมาแบกเหยาหวังเหว่ยเข้าไปยังในตำหนัก เหยาหวังเหว่ยยังคงแกล้งไม่ได้สติจนกระทั่งหมอที่ซูโม่อี้ตามมาทำความสะอาดแผลพร้อมกับใส่ยาและพันแผลให้เหยาหวังเหว่ยเสร็จ เขาจึงแสร้งทำเป็นได้สติและลืมตาขึ้น“พระชายาอย่าได้เป็นกังวลไปพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องมีพระวรกายแข็งแรงไม่ช้าก็จะหายดี เพียงแต่ช่วงนี้อย่าให้ท่านอ๋องออกแรงมากมิเช่นนั้นแผลอาจฉีกอีก และระวังอย่าให้เป็นไข้มิเช่นนั้นอาจมีโรคอื่นแทรกซ้อนนะพ่ะย่ะค่ะ” หมอชราเอ่ยพร้อมยิ้มให้ฟางหนิงหลินก่อนจะกลับ“ขอบคุณท่านหมอมาก” ฟางหนิงหลินเอ่ยจบก็ยิ้มตอบ“ท่านหมอเ
“หลินเอ๋อร์เจ้าใจเย็นก่อน เดี๋ยวพี่จะไปจัดการเขาให้เอง” สวีจื้อซานรีบเอ่ย ถึงเรื่องที่เหยาหวังเหว่ยมีอนุเขานั้นไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งได้ แต่เรื่องที่เหยาหวังเหว่ยได้ใหม่ลืมเก่ารังแกน้องสาวของเขาเช่นนี้เขาย่อมไม่อยู่เฉยฟางหนิงหลินมิได้เอ่ยตอบ นางหมุนตัวเพื่อเดินกลับเข้าไปด้านหลังร้าน เพราะไม่อยากให้ผู้ใดเห็นน้ำตาความรู้สึกผิดหวังถาโถมใส่กลางใจหญิงสาวเมื่อเดินมาถึงเรือนหลังร้านน้ำตาก็ไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังไหลรินเงียบ ๆ ไม่มีเสียงสะอื้นไห้ แต่ทว่าความเจ็บปวดร้าวนั้นทำนางแทบจะขาดใจหลังจากที่ฟางหนิงหลินเดินหายเข้าไปหลังร้าน เสียงซุบซิบภายในร้านก็ดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน สวีจื้อซานกับเหยาซิงอีและเสิ่นหลิวหยางรับปากกับเหล่าสตรีว่าพวกเขานั้นจะไปคุยกับเหยาหวังเหว่ยให้รู้เรื่อง ให้พวกนางใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งวู่วามแต่ยังไม่ทันที่เหล่าบุรุษจะก้าวเท้าออกไป บุรุษที่เพิ่งก้าวเท้าออกจากร้านไปก็เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมมุ่งหน้าตรงไปยังหลังร้าน เพื่อไปหาภรรยาของเขาทั้งสตรีทั้งบุรุษที่เป็นสหายเดินตามเหยาหวังเหว่ยเข้ามาถึงห
เหยาซิงอีจ้องมองดวงตาของสตรีตรงหน้าที่กำลังสั่นไหว นัยน์ตาของนางดูเศร้าราวกับโลกที่เคยเบิกบานของนางทลายลง ความเสียใจทั้งหมดทั้งมวลแสดงออกมาทางใบหน้า เขาทนไม่ไหวที่จะเห็นนางเป็นเช่นนี้ โทสะที่บังเกิดขึ้นก่อนหน้าหายไปเพียงแค่ได้เห็นตาและจมูกที่เปลี่ยนสีเป็นสีแดงระเรื่อ ท่าทางที่เหมือนกับนางกำลังจะร้องไห้ทำให้เขาต้องรีบเอ่ยประโยคที่ยังไม่ทันได้เอ่ยโดยพลัน“เพราะมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เราจะให้เกียรติเป็นพระชายาของเรา เช่นนั้นจะให้เราให้เกียรติเจ้าเหมือนสตรีนางอื่นได้เช่นไร”ดวงตาของลี่อินเบิกกว้างอย่างตกตะลึง นางนั้นพยายามตั้งสติเพราะคิดว่าตนเองอาจหูฝาดไป แต่เมื่อได้ยินคำอวยพรรวมทั้งคำยินดีจากสหายและลูกค้าที่อยู่ในร้านก็ทำให้นางรู้ว่าที่นางนั้นได้ยินไม่ผิด ใบหน้าหวานของนางขึ้นสีระเรื่อ ลี่อินเบือนหน้าหนีแสร้งหลบตาอย่างเขิน ๆท่วงท่าเขินอายของลี่อินเสริมเสน่ห์ให้นางจนเหยาซิงอีนั้นยากจะอดใจไหว เขาจับคางเล็กให้เงยขึ้นก่อนจะประกบปากลงไปจุมพิตริมฝีปากงาม โดยไม่สนใจสายตาของคนในร้านแม่นางน้อยใหญ่ที่อยู่ในร้านเมื่อได้เห็นการแสดงความรักของจวิ้นอ๋องเหยาซิงอีก็ต่างพากัน
ยามนี้เป็นเวลาทำงานของสวีจื้อซาน กว่าคนของเขาจะฝากคนส่งข่าวเข้ามารายงานได้ก็กินเวลาไปเกือบ2เค่อแล้ว และกว่าที่เขานั้นจะออกมาจากพระราชวังได้ก็ป่าไปเกือบครึ่งชั่วยามทางด้านเหยาซิงอีที่เมื่อคืนร้อนใจจนนอนไม่หลับจึงได้ชวนเสิ่นหลิวหยางดื่มสุราด้วยกันที่จวนของเขานั้น เมื่อได้ยินรายงานจากคนของตนก็ไม่รอช้ารีบออกจากจวนไปทันที โดยมีเสิ่นหลิวหยางตามติดมาด้วยตอนแรกเหยาซิงอีจะไปหาลี่อินแต่เช้า แต่เสิ่นหลิวหยางบอกให้รอเหยาหวังเหว่ยมาจัดการเรื่องทุกอย่างก่อน ไม่เช่นนั้นที่ลี่อินเพียงแค่หมางเมินใส่อาจจะกลายเป็นทะเลาะกันก็เป็นได้ เหยาซิงอีจึงเชื่อคำของสหายไม่ไปหาลี่อินแต่เช้ากว่าเหยาซิงอีกับเสิ่นหลิวหยางจะมาถึง เหล่าสตรีก็นั่งพักจิบน้ำชากินขนมที่โรงน้ำชาไป่เหอกันเสียแล้ว เพียงพวกเขาทั้งสองเดินเข้ามาในโรงน้ำชา สายตาของพวกเขาทั้งสองก็มุ่งตรงไปยังกลุ่มของสตรีทั้งห้าคนทันที ถึงบุรุษทั้งสองจะมิใช้สายตามองผู้ใดนอกจากสตรีทั้งห้า แต่ทว่าบุรุษที่อยู่ในร้านที่จ้องมองพวกนางอยู่นั้นก็รีบเก็บสายตาและหันหน้าหนีทันทีทันใด เพราะไอสังหารที่แผ่ออกมาจากบุรุษทั้งสองนั้นมีมากพอที่จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวเหยาซิงอีเมื่อมาถ
วันต่อมาลี่อินกับเสี่ยวเยาตื่นแต่เช้า พวกนางออกมาจ่ายตลาดเพื่อจะได้เตรียมอาหารเช้าให้สตรีคนอื่น ๆ ที่ยังคงนอนไม่ตื่น และอีกอย่างเพราะเจียงเจียวซินออกมาค้างคืนข้างนอกกะทันหัน ยาบำรุงที่ควรจะดื่มในทุกวันจึงไม่ได้เอาออกมาด้วย เสี่ยวเยาจึงต้องมาโรงหมอที่เคยมารับยาทุกครั้ง เพื่อซื้อยาบำรุงให้คุณหนูของนาง“ข้ามาหาท่านหมออี้” เสี่ยวเยาเอ่ยถามเด็กรับใช้ที่อยู่ในโรงหมอ“ขอโทษทีขอรับ เมื่อคืนนี้ทั้งท่านหมออี้และอี้ฮูหยินออกไปนอกเมือง ถึงยามนี้ก็ยังไม่กลับมาขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบแขกผู้มาเยือนด้วยท่าทีนอบน้อม“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านหมออี้ไปทำอะไรที่นอกเมืองและจะกลับมาเมื่อใด” เสี่ยวเยาเอ่ยถาม เพราะถ้าหากกลับช้าคุณหนูของนางอาจจะกินยาบำรุงไม่ตรงเวลา เช่นนั้นนางคงต้องกลับไปจวนตระกูลสวีเพื่อเอายา“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ ข้าน้อยรู้แต่ว่าทหารของตำหนักชินอ๋องมาเชิญท่านหมออี้และอี้ฮูหยินไปทำคลอดให้สตรีที่อยู่นอกเมืองขอรับ ส่วนจะกลับมาเมื่อไรนั้นข้าน้อยไม่อาจคาดเดาได้”เพียงได้ยินคำตอบลี่อินและเสี่ยวเยาก็ต่างมองหน้ากัน พวกนางรู้เหตุผลแล้วว่าใยเมื่อคืนนี้ชินอ๋องเหยาหวังเหว่ยจึงไม่รีบกลับมาง้อฟางหนิ