บทที่ 2
เจรจา
อาณาจักรตงอวิ๋นอันรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ ประกอบไปด้วย 5 แคว้น ได้แก่ แคว้นเฉา แคว้นอู๋ แคว้นเหลียง แคว้นฮั่วและแคว้นเว่ย
ทั้ง 5 แคว้นอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรตงอวิ๋น ซึ่งมีจักรพรรดิพระองค์เดียว
ผู้ปกครองแคว้นทั้ง 5 ล้วนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นอ๋อง แม้จะไม่ได้สืบเชื้อสายจากราชวงศ์ก็ตาม
ตำแหน่งอ๋องจะสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น คอยสนับสนุนอาณาจักรตงอวิ๋นให้รุ่งเรือง
แต่ทว่า...
ราวๆ หนึ่งเดือนก่อน อาณาจักรตงอวิ๋นได้สูญสิ้นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งตั้งผู้สืบทอด
ผู้ครองแคว้นทั้ง 5 ได้ถกเถียงกันว่าจะเลือกองค์ชายใหญ่หรือองค์ชายรองขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป
เกาอ๋อง เจ้าดินแดนแคว้นเฉาใช้โอกาสที่อาณาจักรตงอวิ๋นยังไม่มีจักรพรรดิ สั่งให้แม่ทัพหวัง หวังเฝิงยกทัพมาโจมตีเมืองกัวหลินของแคว้นอู๋
หากยึดเมืองกัวหลินมาครองได้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะขยายอาณาเขต
แน่นอนว่า กองทัพของหวังเฝิงยึดเมืองกัวหลินที่เป็นเมืองหน้าด่านไม่สำเร็จ
ก่อนที่จะเสียกำลังรบไปมากกว่านี้ หวังเฝิงยอมยกธงขาว อ้างว่าทหารของแคว้นอู๋ก้าวล้ำเข้ามาในอาณาเขตของแคว้นเฉาอย่างน่าสงสัย
ตระกูลหวังชดใช้ความเสียหายเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง และยังยกบุตรสาวคนที่สามให้แต่งกับจ้าวอ๋องอีกด้วย
บรรณาการล้ำค่าจากหวังเฝิง ถึงเป็นจ้าวเฟยอู๋ก็ทำใจปฏิเสธไม่ทำลง
หากพูดถึงแคว้นอู๋ แม้มีกำลังรบที่แข็งแกร่ง แต่กลับขาดแคลนเงิน
สรุปก็คือซิ่วอิงแต่งเข้ามาด้วยความจำใจนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อหวยออกที่ซิ่วอิง สิ่งเดียวที่จะทำให้นางอยู่แคว้นอู๋ได้อย่างสบายใจ มีเพียงต้องเจรจากับผู้มีอำนาจอันสูงสุดของแคว้นอู๋เท่านั้น
คนคนนั้นก็คือ…จ้าวเฟยอู๋!
หลังจากตัดสินใจแล้ว เช้าวันถัดมา ซิ่วอิงลุกขึ้นจากเตียงด้วยจิตใจอันแน่วแน่
หงถงเข้ามารับใช้ซิ่วอิงเหมือนทุกที
พอซิ่วอิงอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ สักครู่หนึ่ง หมอชราที่ประจำกองทัพเมืองกัวหลินก็เข้ามาตรวจดูบาดแผลที่ศีรษะ สอบถามอาการ และยังเปลี่ยนยาตัวใหม่ให้กับซิ่วอิง
“ดูจากบาดแผลของพระชายา แผลสมานตัวเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ซ้ำไม่มีอาการแทรกซ้อน ขอแค่พระชายาดื่มยาให้ครบและหมั่นทายาบ่อยๆ บาดแผลก็หายดี ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณท่านหมอเจ้าค่ะ”
“หากไม่สบายตรงไหน สามารถเรียกกระหม่อมได้ตลอดเวลา กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นหงถงก็เดินไปส่งท่านหมอชราตรงหน้าประตู
ตอนที่หงถงเดินกลับมา ซิ่วอิงก็เอ่ยถามนางทันที
“ท่านอ๋องอยู่ที่ค่ายใช่หรือไม่?”
หลังจากเกิดเรื่องในคืนเข้าหอ จ้าวเฟยอู๋กับซิ่วอิงก็แยกกันอยู่
สถานที่ที่ซิ่วอิงพักอยู่นี้เป็นตำหนักหลักของจ้าวอ๋องที่อยู่ส่วนหลังของค่ายทหาร ซิ่วอิงเดาว่าจ้าวเฟยอู๋อาจไปนอนห้องอื่น
“ท่านอ๋องบรรทมที่ห้องทรงงานเพคะ” หงถงตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ
ได้ยินคำตอบ ซิ่วอิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
หวังซิ่วอิงคนเก่าสร้างเรื่องให้กับจ้าวเฟยอู๋อย่างหนักหนา ถูกเขาหลบหน้าก็ไม่แปลก
“ข้าอยากพบเขา เจ้าช่วยพาข้าไปหน่อยได้หรือไม่”
คำพูดของซิ่วอิงทำเอาหงถงร้อง 'เอ๊ะ' ด้วยสีหน้าตระหนก แต่เมื่อเห็นแววตาอันแน่วแน่ของซิ่วอิง หงถงถึงยอมตอบว่า “ได้...ได้เพคะ”
…..
…..
ไม่นานจากนั้น หงถงก็นำทางซิ่วอิงมาถึงห้องทรงงานของจ้าวอ๋อง ซึ่งอาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณของค่ายทหาร
“ทางนั้นคือห้องทรงงานของท่านอ๋องเพคะ”
บนทางเดินที่ทอดยาว หงถงชี้ไปที่ห้องห้องหนึ่ง
ซิ่วอิงพยักหน้าตอบ “อืม” แล้วทั้งสองก็ก้าวต่อไป
จังหวะที่ซิ่วอิงยื่นมือจะเคาะประตู จู่ๆ ชายร่างกำยำสวมชุดเกราะคนหนึ่งก็โผล่พรวดออกมา กางแขนออกมาขวางทาง
“ว้าย!” หงถงร้องลั่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปาก
“โผล่มาไม่ให้สุ่มให้เสียง ใจหายใจคว่ำหมด” ซิ่วอิงตบหน้าอกตัวเองเบาๆ
ชายสวมเกราะเปลี่ยนท่ามายืนกอดอกพร้อมกับตั้งคำถาม
“มาหาใคร”
พอสงบสติอารมณ์ได้ ซิ่วอิงแหงนหน้ามองชายตรงหน้าที่เหมือนยักษ์เฝ้าประตู
“สูงจัง กินเสาไฟเข้าไปหรือ”
ชายตรงหน้าขมวดคิ้ว “เสาไฟคืออะไร”
ซิ่วอิงยิ้มแห้งๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ข้ามาหาท่านอ๋อง”
“เข้าไปไม่ได้”
ถูกปฏิเสธซึ่งๆ หน้า หงถงยิ้มฝาดเฝื่อนให้กับชายสวมเกราะ
“แม่ทัพเจิ้ง ทางนี้คือพระชายา นางต้องการพบท่านอ๋องสักประเดี๋ยวหนึ่งน่ะ”
“อ้อ เช่นนั้น...คารวะพระชายา”
แม้ว่าแม่ทัพเจิ้งหมิงจะประสานหมัด ก้มศีรษะแสดงความเคารพ แต่กลับยังยืนนิ่ง ทำหน้าที่เฝ้าประตูอย่างเคร่งครัด
ซิ่วอิงเงยหน้าจ้องมองแม่ทัพเจิ้งอย่างนิ่งสงบ
เจิ้งหมิงเองก็เอาแต่เงียบมองซิ่วอิงเช่นกัน
ความเงียบโรยตัวลงมาเมื่อทั้งสองเอาแต่จ้องหน้ากันอย่างไม่มีฝ่ายไหนยอมลดละ
ในที่สุด เจิ้งหมิงก็ถอนหายใจเหมือนยอมแพ้ ขยับเท้าไปยืนด้านข้างเพื่อหลีกทาง
“เชิญพระชายา”
ซิ่วอิงยิ้มเล็กน้อยให้เจิ้งหมิง ก่อนเคาะประตูสามครั้ง แล้วบอกคนด้านใน
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันซิ่วอิง ขอเข้าไปนะเพคะ”
ยืนรอสักครู่ เสียงทุ้มทรงอำนาจก็ดังออกมาจากข้างใน
“เข้ามา”
หลังจากหญิงสาวสูดหายใจลึก นางก็เปิดประตูเดินเข้าไป
ทันทีที่มาหยุดหน้าโต๊ะทำงานของจ้าวอ๋อง ซิ่วอิงรู้สึกถึงความหนาวเย็นและแรงกดดันที่แผ่จากร่างของชายหนุ่ม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองนางเลยก็ตาม
“คารวะท่านอ๋องเพคะ”
ซิ่วอิงย่อกายให้จ้าวเฟยอู๋ พร้อมกับยิ้มการละคร
จ้าวเฟยอู๋ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตอบรับสั้นๆ ว่า 'อืม' สายตาไม่ขยับไปจากกองเอกสาร
หญิงสาวหุบยิ้มลง ชะโงกมองเอกสารบนโต๊ะแวบหนึ่ง ก่อนจะลอบสังเกตชายหนุ่ม
ใบหน้าของจ้าวเฟยอู๋คมคายหล่อเหลา ราวกับถูกสลักด้วยช่างแกะสลักฝีมือขั้นเทพ คิ้วหนาเฉียงขึ้นเหมือนกระบี่ ดวงตาลึกล้ำ จมูกโด่ง ริมฝีปากบางได้รูป ร่างกายกำยำ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกน่าหลงใหล อายุของจ้าวเฟยอู๋น่าจะยี่สิบกว่าๆ เท่านั้น
คิดจบ ซิ่วอิงกระแอมทำคอให้โล่ง ชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ตัวที่ตั้งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของจ้าวอ๋อง
“หม่อมฉันขอนั่งตรงนั้นได้หรือไม่เพคะ”
จ้าวอ๋องเหลือบตาขึ้นมองซิ่วอิงแวบหนึ่งแล้วมองเก้าอี้ ก่อนจะบอก “เชิญ”
แม้น้ำเสียงของจ้าวเฟยอู๋ให้รู้สึกถึงความเย็นชา แต่ซิ่วอิงคิดว่าก็เข้ากับบุคลิกนิ่งๆ ของเขาดี
หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างมิตร แต่ไม่ดูประจบมากเกินไป
จ้าวเฟยอู๋อึ้งไปชั่วขณะเมื่อเห็นรอยยิ้มของซิ่วอิง เพียงครู่ เขาก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“มีธุระอะไร”
“หม่อมฉันเข้าประเด็นเลยนะเพคะ”
“ว่ามา”
“หม่อมฉันมาเพราะต้องการให้ท่านอ๋องทรงอภัยให้เพคะ”
“หา?”
“ในคืนเข้าหอ หม่อมฉันทำตัวหยาบคายใส่ท่านอ๋อง นั่นก็เพราะว่าหม่อมฉันมาจากต่างถิ่น ทั้งหวาดกลัวและทำตัวไม่ถูก เลยแข็งกระด้างใส่พระองค์”
หญิงสาวแกล้งตีหน้าเศร้า บทพูดก็จำมาจากละครที่เพิ่งฉาย
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นพลันกลั้นใจ ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
“คืนเข้าหอ เจ้าบอกว่าไม่เต็มใจ”
“เพคะ?” นางพยักหน้ารับฟัง
เขาพูดต่อ “เจ้าคร่ำครวญว่าจะตายให้ได้ แล้วก็วิ่งเอาหัวชนเสา หยุดหายใจไปพักหนึ่ง”
นั่นคือหวังซิ่วอิงคนเก่า ไม่ใช่ซิ่วอิงที่ต้องการอยู่ในโลกนี้อย่างสันติสุขเสียหน่อย
แต่นางก็พูดเหตุผลนั้นออกมาไม่ได้ เพราะตนเข้ามาสวมร่างนี้แล้ว
“เพราะว่า...ตอนนั้นหม่อมฉันหวาดกลัวจนไม่ใคร่ครวญให้ดี เพราะงั้นหม่อมฉันถึงมาที่นี่เพื่อให้ท่านอ๋องอภัยให้ยังไงเพคะ”
“….”
เขาทำหน้าไม่เชื่อ
“ท่านอ๋องคงสงสัยในคำพูดของหม่อมฉัน แต่ว่า…เพราะผ่านความตายมาก่อน หม่อมฉันเลยคิดได้เพคะ”
“คิดได้หรือ”
“เดิมทีหม่อมฉันเป็นคนรักบ้านเกิด ถึงขั้นยอมตายดีกว่าถูกส่งมาต่างแคว้น ท่านพ่อรู้นิสัยของหม่อมฉัน แต่ก็ยังส่งหม่อมฉันมาแต่งงานกับท่านอ๋อง แทนที่จะเป็นพี่รอง บางที ท่านพ่ออาจรู้ว่าหม่อมฉันจะต้องฆ่าตัวตาย และใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างก่อสงครามอีกเป็นแน่”
ในยุคที่เน้นการสู้รบเป็นหลัก ข้ออ้างนิดเดียวก็ทำให้เกิดสงครามได้แล้ว
เกาอ๋องอยากขยายอาณาเขตเลยหาข้ออ้างโจมตีแคว้นอู๋มาตลอด ครั้งนี้คงใช้นางเป็นหมาก
จ้าวเฟยอู๋ย่นหัวคิ้วเมื่อตระหนักได้
ซิ่วอิงพูดต่อ “ท่านอ๋องไม่สังเกตหรือเพคะ ท่านพ่อส่งหม่อมฉันมา แต่ไม่ให้สาวใช้มาด้วยสักคน ฐานะของหม่อมฉันตอนนี้คือหมากที่ถูกใช้แล้วทิ้ง ที่จะพูดก็คือ ตอนนี้พวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้วเพคะ”
หากคิดตามคำพูดของนางก็เห็นว่าจริง
หวังเฝิงนำของมีค่าและเจ้าสาวมาส่งถึงมือจ้าวเฟยอู๋ แต่ตอนกลับ ฝ่ายนั้นไม่ได้ทิ้งใครไว้สักคน ยกเว้นเพียงเจ้าสาว
ตอนนั้นจ้าวเฟยอู๋คิดว่าดีแล้ว หากหวังเฝิงทิ้งคนของตัวเองไว้ที่นี่ คงอดคิดไม่ได้ว่าคนเหล่านั้นเป็นสายลับ
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง...
คิดจบ จ้าวเฟยอู๋ก็ตอบกลับสั้นๆ ว่า “เข้าใจแล้ว”
บทที่ 21จับหนู (2) “ดะ เดี๋ยวนะเพคะ นี่มัน...หมายความว่ายังไงเพคะ พระชายา!?” ใบหน้าของซุยเหลียนเต็มไปด้วยความสงสัยขณะถามซิ่วอิง “ไม่นานนี้ข้ากับหงถงเห็น ‘หนู’ แอบเข้ามาในตำหนักหมิง กลัวว่าข้าวของมีค่าในตำหนักจะถูกหนูตัวนั้นลักขโมยหรือทำให้เสียหาย เลยให้หงถงตรวจดูให้ทั่ว ถึงจะจับหนูไม่ได้ แต่กลับเจอกระดาษพวกนี้ซ่อนเต็มห้อง” ซิ่วอิงอธิบาย ซุยเหลียนไม่ได้โง่ ย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของพระชายา หนูตัวนั้นคงเป็นใครสักคนในที่นี้ ระหว่างที่ซุยเหลียนรับยันต์มาดู เจียวจูก็แค่นเสียงหัวเราะออกมา “พี่สะใภ้พูดตลกเสียจริง ท่านกำลังจะบอกว่าหนูตัวนั้นแอบเอายันต์พวกนี้มาซ่อนในตำหนักหมิงหรือเจ้าคะ สัตว์เดรัจฉานจะทำแบบนั้นได้หรือ” “นั่นสินะ สัตว์ทำแบบนั้นไม่ได้ แต่สาวใช้ของเจ้าทำได้นี่เนอะ” ขณะพูด ใบหน้าของซิ่วอิงประดับรอยยิ้มบางๆ แต่สายตากดดันอย่างมาก ทำเอาสาวใช้ที่ยืนหลับหลังเจียวจูถึงกับตื่นกลัวตัวสั่น “สาวใช้ของข้า เกี่ยวอะไรด้วยเจ้าคะ” เจียวจูย้อนถาม “ดูที่มือของนาง เดี๋ยวก็ร
บทที่ 20จับหนู (1) ย้อนกลับมาที่ซิ่วอิง หญิงสาวรู้เห็นทุกอย่าง ตั้งแต่สาวใช้ของเรือนเจียวจูแอบทำลับๆ ล่อๆ ในตำหนักหมิง ทั้งยังแอบย่องเข้ามาในห้องนอนใหญ่ ถึงไม่รู้ว่าสาวใช้คนนั้นกำลังทำอะไร แต่ซิ่วอิงก็ปล่อยเลยตามเลย ไม่ได้เปิดโปงในทันที เพราะอยากรู้ว่าเจียวจูวางแผนจะทำอะไรกันแน่ ทันทีที่สาวใช้คนนั้นออกจากตำหนักหมิงไปแล้ว ซิ่วอิงกับหงถงก็ก้าวออกมาจากห้องห้องหนึ่งที่อยู่ติดกับห้องนอนใหญ่ “หงถง เจ้าตรวจดูให้ทั่วห้อง ดูสิว่ามีของหายหรือไม่” “เพคะ” เมื่อรับคำสั่งแล้ว หงถงก็ค้นหาทั่วห้องนอน แน่นอนว่า ของมีค่าของพระชายากับท่านอ๋องไม่ได้หาย แต่กลับเจอยันต์หน้าตาแปลกประหลาดถูกซ่อนไว้ใต้หมอนกับใต้เตียง “พระชายาเพคะ หม่อมฉันเจอยันต์หน้าตาประหลาด” หงถงพูดจบก็ยื่นกระดาษสีเหลืองที่เขียนด้วยอักขระยึกๆ ยือๆ หนำซ้ำ หมึกบนกระดาษยังมีรอยเปื้อน เหมือนว่าน้ำหมึกยังไม่ทันแห้งดีก็ถูกพับเก็บเสียแล้ว “ยันต์หรือ?” ซิ่วอิงรับยันต์เหล่านั้นมาดู ไม่รู้ว่
บทที่ 19เจียวจูลงมือแล้ว! ภาพของจ้าวเฟยอู๋อุ้มซิ่วอิงกลับตำหนักฝังอยู่ในหัวของเจียวจูตลอดคืน ทำให้นางนอนไม่หลับ เมื่อเย็นวาน หลังจากที่เจียวจูไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยง นางก็สั่งบ่าวคนหนึ่งคอยสอดส่องว่างานเลี้ยงจะเลิกเมื่อใด ผ่านยามไฮ่ (21.00 - 22.59 น.) มาแล้ว งานเลี้ยงก็ยังไม่เลิก เหตุนี้เอง เจียวจูจึงมายังเรือนรับรองด้วยตัวเอง ตอนมาถึง เป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นจ้าวเฟยอู๋อุ้มซิ่วอิงออกจากเรือนรับรอง จ้าวอ๋องมองหญิงสาวในอ้อมแขนด้วยแววตาหยาดเยิ้มในขณะที่พากลับตำหนักหนิง ภาพนั้นทำเอาดวงตาของเจียวจูแดงก่ำ สองมือกำแน่น ทั้งเจ็บใจทั้งรู้สึกอิจฉา เจียวจูหลงรักจ้าวเฟยอู๋ตั้งแต่เข้าสู่วัยแรกรุ่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บุตรชายตระกูลขุนนางมากมายส่งเทียบมาสู่ขอ นางจะปฏิเสธกลับไปทั้งหมด ด้วยหวังใจว่าจะได้ครองรักกับจ้าวอ๋อง แต่ว่า จ้าวเฟยอู๋กลับไม่เคยมองนางในฐานะหญิงสาว ในทางกลับกัน เขาคิดกับนางแค่เพียงน้องสาวเท่านั้น เจียวจูจึงทำได้แค่แอบรักจ้าวเฟยอู๋ต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับคิดเข้าข้า
บทที่ 18ผู้ชายคุณภาพสูง! งานเลี้ยงเลิกประมาณ 23.00 น. ตอนกลับมายังตำหนักหมิง ซิ่งอิงเมาแอ๋ แถมยังถูกจ้าวเฟยอู๋อุ้มกลับมา “ถึงแล้ว” จ้าวเฟยอู๋บอกเสียงนุ่มนวล สายตาที่มองหญิงสาวในอ้อมแขนทั้งลึกล้ำทั้งเอ็นดู “อืม” แม้ซิ่วอิงจะตอบรับอย่างนั้น แต่สองแขนของนางกลับคล้องรอบลำคอแกร่งไม่ยอมปล่อย มิหนำซ้ำ ดวงตาคู่สวยยังเอาแต่จ้องมองใบหน้าของจ้าวเฟยอู๋อย่างไม่ละสายตา “เป็นอะไรไป” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย ซิ่งอิงส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ เห็นท่าทางของหญิงสาวแบบนั้น ทำให้ชายหนุ่มอยากรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ เขาจึงถามนางออกไปตรงๆ “เป็นอะไรไป ไม่พอใจอะไรในตัวข้าหรือ” “ท่านเป็นคนที่หล่อมาก!” ทันทีที่ซิ่วอิงโพล่งออกมา ทำเอาจ้าวเฟยอู๋ถึงกับเบิกตาเล็กน้อย ไม่เพียงแค่นั้น หญิงสาวยังกล่าวต่อไปอีก “ท่านทั้งสุขุม ทั้งนิสัยดี ร่างกายสูงกำยำและสมส่วน จัดอยู่ในกลุ่มผู้ชายคุณภาพสูง ไม่แปลกหรอกที่จะมีผู้หญิงมากมายหลงใหล” ได้ยินเช่นนั้น ด
บทที่ 17สร้างความประทับใจ เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาในงานเลี้ยง นายทหารยศขุนพลและเหล่าขุนนางต่างลุกขึ้นยืน ทำความเคารพอย่างให้เกียรติ มิหนำซ้ำ สายตาที่มองซิ่วอิงให้ความเคารพและเลื่อมใส ชัดเจนว่าทุกคนไม่ได้มีอคติใดๆ กับหญิงสาว ซิ่วอิงรอยยิ้มเป็นเชิงตอบรับ แล้วนั่งลงเคียงข้างจ้าวเฟยอู๋ บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด แม้จะเป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่หน้าตาดูน่าทาน ผัดเต้าหู้รสเผ็ด น้ำแกงปลา ไก่ผัดสมุนไพร ผัดผักดองใส่ไข่ แม้ที่นี่จะเป็นจวนจ้าวอ๋อง แต่ประมุขของจวนก็ไม่กินหรูอยู่แพง อาหารทุกอย่างใช้วัตถุดิบธรรมดาที่หาได้ง่าย เพราะว่าจ้าวเฟยอู๋รู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากของชาวบ้าน ขณะที่ซิ่วอิงกำลังจะหยิบตะเกียบ ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งลุกขึ้นยืน พร้อมยกจอกสุราแล้วหันมาพูดกับหญิงสาว “กระหม่อมนามว่าซุนอี้ ดูแลคลังเสบียงภายในเมืองหลวง ได้ยินว่าพระชายาช่วยคลี่คลายปัญหาเรื่องขาดแคลนอาหารที่เมืองกัวหลิน สุราจอกนี้ กระหม่อมขอคารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำของขุนนางอาวุโสท่านนั้น ซิ่วอิงหันมองจ้าวเฟยอู๋อย่างขอความเห็น
บทที่ 16สตรีที่น่ากลัว จ้าวเฟยอู๋กลับมาที่ตำหนักหมิงในตอนเย็น หลังจากล้างเนื้อล้างตัวและเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ชายหนุ่มก็มานั่งโต๊ะกินข้าว “ได้ยินว่าเจ้าสั่งให้เจียวจูคัดลอกกฎระเบียบ 100 จบ?” “เพคะ” ซิ่วอิงตอบหน้าตาเฉย ทั้งยังคีบหมูสามชั้นใส่ถ้วยข้าว “ก็แค่เล่นเกมกันสนุกๆ อีกอย่าง เจียวจูเป็นคนตั้งกฎขึ้นมาเองว่า ‘คนแพ้ต้องฟังคำสั่งของคนชนะ’ ” “อย่างนี้เอง” จ้าวเฟยอู๋บอก “น่าสนุกใช่ไหมเพคะ” จ้าวเฟยอู๋ตอบว่า “อืม” จากนั้นก็นั่งกินข้าวต่ออย่างเงียบเฉียบ ซิ่วอิงเองก็พูดเรื่องของเจียวจูอีก ประเดี๋ยวจะหมดอร่อย หญิงสาวคีบกับข้าวให้จ้าวอ๋องอย่างเอาใจ ทั้งยังเปลี่ยนมาคุยเรื่องรสชาติของอาหาร อันที่จริง ตอนบ่ายวันนี้ เจียวจูวิ่งโร่มาหาจ้าวเฟยอู๋ถึงห้องหนังสือ ฟ้องเรื่องที่ซิ่วอิงสั่งให้ตนคัดลอกกฎระเบียบ 100 จบ จ้าวเฟยอู๋ไม่ได้โง่ คิดว่าสิ่งที่ซิ่วอิงทำไปนั้นต้องมีเหตุผล อีกอย่างหนึ่ง เขาสงสัยมานานแล้วว่าคนอยู่เบื้องหลังเฉินเหนียงก็คือเจียวจู