แชร์

บทที่ 2 เจรจา

ผู้เขียน: ฮาจิฮาจิ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-05 11:20:12

บทที่ 2

เจรจา

            อาณาจักรตงอวิ๋นอันรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ ประกอบไปด้วย 5 แคว้น ได้แก่ แคว้นเฉา แคว้นอู๋ แคว้นเหลียง แคว้นฮั่วและแคว้นเว่ย

            ทั้ง 5 แคว้นอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรตงอวิ๋น ซึ่งมีจักรพรรดิพระองค์เดียว

            ผู้ปกครองแคว้นทั้ง 5 ล้วนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นอ๋อง แม้จะไม่ได้สืบเชื้อสายจากราชวงศ์ก็ตาม

            ตำแหน่งอ๋องจะสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น คอยสนับสนุนอาณาจักรตงอวิ๋นให้รุ่งเรือง

            แต่ทว่า...

            ราวๆ หนึ่งเดือนก่อน อาณาจักรตงอวิ๋นได้สูญสิ้นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งตั้งผู้สืบทอด

            ผู้ครองแคว้นทั้ง 5 ได้ถกเถียงกันว่าจะเลือกองค์ชายใหญ่หรือองค์ชายรองขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป

            เกาอ๋อง เจ้าดินแดนแคว้นเฉาใช้โอกาสที่อาณาจักรตงอวิ๋นยังไม่มีจักรพรรดิ สั่งให้แม่ทัพหวัง หวังเฝิงยกทัพมาโจมตีเมืองกัวหลินของแคว้นอู๋ 

            หากยึดเมืองกัวหลินมาครองได้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะขยายอาณาเขต

            แน่นอนว่า กองทัพของหวังเฝิงยึดเมืองกัวหลินที่เป็นเมืองหน้าด่านไม่สำเร็จ

            ก่อนที่จะเสียกำลังรบไปมากกว่านี้ หวังเฝิงยอมยกธงขาว อ้างว่าทหารของแคว้นอู๋ก้าวล้ำเข้ามาในอาณาเขตของแคว้นเฉาอย่างน่าสงสัย  

            ตระกูลหวังชดใช้ความเสียหายเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง และยังยกบุตรสาวคนที่สามให้แต่งกับจ้าวอ๋องอีกด้วย

            บรรณาการล้ำค่าจากหวังเฝิง ถึงเป็นจ้าวเฟยอู๋ก็ทำใจปฏิเสธไม่ทำลง

            หากพูดถึงแคว้นอู๋ แม้มีกำลังรบที่แข็งแกร่ง แต่กลับขาดแคลนเงิน

            สรุปก็คือซิ่วอิงแต่งเข้ามาด้วยความจำใจนั่นเอง 

            อย่างไรก็ตาม ในเมื่อหวยออกที่ซิ่วอิง สิ่งเดียวที่จะทำให้นางอยู่แคว้นอู๋ได้อย่างสบายใจ มีเพียงต้องเจรจากับผู้มีอำนาจอันสูงสุดของแคว้นอู๋เท่านั้น

            คนคนนั้นก็คือ…จ้าวเฟยอู๋!

            หลังจากตัดสินใจแล้ว เช้าวันถัดมา ซิ่วอิงลุกขึ้นจากเตียงด้วยจิตใจอันแน่วแน่

            หงถงเข้ามารับใช้ซิ่วอิงเหมือนทุกที

            พอซิ่วอิงอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ สักครู่หนึ่ง หมอชราที่ประจำกองทัพเมืองกัวหลินก็เข้ามาตรวจดูบาดแผลที่ศีรษะ สอบถามอาการ และยังเปลี่ยนยาตัวใหม่ให้กับซิ่วอิง

            “ดูจากบาดแผลของพระชายา แผลสมานตัวเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ซ้ำไม่มีอาการแทรกซ้อน ขอแค่พระชายาดื่มยาให้ครบและหมั่นทายาบ่อยๆ บาดแผลก็หายดี ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

            “ขอบคุณท่านหมอเจ้าค่ะ”

            “หากไม่สบายตรงไหน สามารถเรียกกระหม่อมได้ตลอดเวลา กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”

            จากนั้นหงถงก็เดินไปส่งท่านหมอชราตรงหน้าประตู

            ตอนที่หงถงเดินกลับมา ซิ่วอิงก็เอ่ยถามนางทันที

            “ท่านอ๋องอยู่ที่ค่ายใช่หรือไม่?”

            หลังจากเกิดเรื่องในคืนเข้าหอ จ้าวเฟยอู๋กับซิ่วอิงก็แยกกันอยู่

            สถานที่ที่ซิ่วอิงพักอยู่นี้เป็นตำหนักหลักของจ้าวอ๋องที่อยู่ส่วนหลังของค่ายทหาร ซิ่วอิงเดาว่าจ้าวเฟยอู๋อาจไปนอนห้องอื่น 

            “ท่านอ๋องบรรทมที่ห้องทรงงานเพคะ” หงถงตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ 

            ได้ยินคำตอบ ซิ่วอิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้

            หวังซิ่วอิงคนเก่าสร้างเรื่องให้กับจ้าวเฟยอู๋อย่างหนักหนา ถูกเขาหลบหน้าก็ไม่แปลก

            “ข้าอยากพบเขา เจ้าช่วยพาข้าไปหน่อยได้หรือไม่”

            คำพูดของซิ่วอิงทำเอาหงถงร้อง 'เอ๊ะ' ด้วยสีหน้าตระหนก แต่เมื่อเห็นแววตาอันแน่วแน่ของซิ่วอิง หงถงถึงยอมตอบว่า “ได้...ได้เพคะ”

            …..

            …..

            ไม่นานจากนั้น หงถงก็นำทางซิ่วอิงมาถึงห้องทรงงานของจ้าวอ๋อง ซึ่งอาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณของค่ายทหาร

            “ทางนั้นคือห้องทรงงานของท่านอ๋องเพคะ”

            บนทางเดินที่ทอดยาว หงถงชี้ไปที่ห้องห้องหนึ่ง

            ซิ่วอิงพยักหน้าตอบ “อืม” แล้วทั้งสองก็ก้าวต่อไป

            จังหวะที่ซิ่วอิงยื่นมือจะเคาะประตู จู่ๆ ชายร่างกำยำสวมชุดเกราะคนหนึ่งก็โผล่พรวดออกมา กางแขนออกมาขวางทาง

            “ว้าย!” หงถงร้องลั่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปาก

            “โผล่มาไม่ให้สุ่มให้เสียง ใจหายใจคว่ำหมด” ซิ่วอิงตบหน้าอกตัวเองเบาๆ

            ชายสวมเกราะเปลี่ยนท่ามายืนกอดอกพร้อมกับตั้งคำถาม

            “มาหาใคร”

            พอสงบสติอารมณ์ได้ ซิ่วอิงแหงนหน้ามองชายตรงหน้าที่เหมือนยักษ์เฝ้าประตู

            “สูงจัง กินเสาไฟเข้าไปหรือ”

            ชายตรงหน้าขมวดคิ้ว “เสาไฟคืออะไร”

            ซิ่วอิงยิ้มแห้งๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ข้ามาหาท่านอ๋อง”

            “เข้าไปไม่ได้”

            ถูกปฏิเสธซึ่งๆ หน้า หงถงยิ้มฝาดเฝื่อนให้กับชายสวมเกราะ

            “แม่ทัพเจิ้ง ทางนี้คือพระชายา นางต้องการพบท่านอ๋องสักประเดี๋ยวหนึ่งน่ะ”

            “อ้อ เช่นนั้น...คารวะพระชายา”

            แม้ว่าแม่ทัพเจิ้งหมิงจะประสานหมัด ก้มศีรษะแสดงความเคารพ แต่กลับยังยืนนิ่ง ทำหน้าที่เฝ้าประตูอย่างเคร่งครัด

            ซิ่วอิงเงยหน้าจ้องมองแม่ทัพเจิ้งอย่างนิ่งสงบ

            เจิ้งหมิงเองก็เอาแต่เงียบมองซิ่วอิงเช่นกัน

            ความเงียบโรยตัวลงมาเมื่อทั้งสองเอาแต่จ้องหน้ากันอย่างไม่มีฝ่ายไหนยอมลดละ

            ในที่สุด เจิ้งหมิงก็ถอนหายใจเหมือนยอมแพ้ ขยับเท้าไปยืนด้านข้างเพื่อหลีกทาง

            “เชิญพระชายา”

            ซิ่วอิงยิ้มเล็กน้อยให้เจิ้งหมิง ก่อนเคาะประตูสามครั้ง แล้วบอกคนด้านใน

            “ท่านอ๋อง หม่อมฉันซิ่วอิง ขอเข้าไปนะเพคะ”

            ยืนรอสักครู่ เสียงทุ้มทรงอำนาจก็ดังออกมาจากข้างใน

            “เข้ามา”

            หลังจากหญิงสาวสูดหายใจลึก นางก็เปิดประตูเดินเข้าไป

            ทันทีที่มาหยุดหน้าโต๊ะทำงานของจ้าวอ๋อง ซิ่วอิงรู้สึกถึงความหนาวเย็นและแรงกดดันที่แผ่จากร่างของชายหนุ่ม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองนางเลยก็ตาม

            “คารวะท่านอ๋องเพคะ”

            ซิ่วอิงย่อกายให้จ้าวเฟยอู๋ พร้อมกับยิ้มการละคร

            จ้าวเฟยอู๋ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตอบรับสั้นๆ ว่า 'อืม' สายตาไม่ขยับไปจากกองเอกสาร

            หญิงสาวหุบยิ้มลง ชะโงกมองเอกสารบนโต๊ะแวบหนึ่ง ก่อนจะลอบสังเกตชายหนุ่ม

            ใบหน้าของจ้าวเฟยอู๋คมคายหล่อเหลา ราวกับถูกสลักด้วยช่างแกะสลักฝีมือขั้นเทพ คิ้วหนาเฉียงขึ้นเหมือนกระบี่ ดวงตาลึกล้ำ จมูกโด่ง ริมฝีปากบางได้รูป ร่างกายกำยำ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกน่าหลงใหล อายุของจ้าวเฟยอู๋น่าจะยี่สิบกว่าๆ เท่านั้น

            คิดจบ ซิ่วอิงกระแอมทำคอให้โล่ง ชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ตัวที่ตั้งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของจ้าวอ๋อง 

            “หม่อมฉันขอนั่งตรงนั้นได้หรือไม่เพคะ”

            จ้าวอ๋องเหลือบตาขึ้นมองซิ่วอิงแวบหนึ่งแล้วมองเก้าอี้ ก่อนจะบอก “เชิญ”

            แม้น้ำเสียงของจ้าวเฟยอู๋ให้รู้สึกถึงความเย็นชา แต่ซิ่วอิงคิดว่าก็เข้ากับบุคลิกนิ่งๆ ของเขาดี

            หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างมิตร แต่ไม่ดูประจบมากเกินไป

            จ้าวเฟยอู๋อึ้งไปชั่วขณะเมื่อเห็นรอยยิ้มของซิ่วอิง เพียงครู่ เขาก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัย

            “มีธุระอะไร”

            “หม่อมฉันเข้าประเด็นเลยนะเพคะ”

            “ว่ามา”

            “หม่อมฉันมาเพราะต้องการให้ท่านอ๋องทรงอภัยให้เพคะ”

            “หา?”

            “ในคืนเข้าหอ หม่อมฉันทำตัวหยาบคายใส่ท่านอ๋อง นั่นก็เพราะว่าหม่อมฉันมาจากต่างถิ่น ทั้งหวาดกลัวและทำตัวไม่ถูก เลยแข็งกระด้างใส่พระองค์”

            หญิงสาวแกล้งตีหน้าเศร้า บทพูดก็จำมาจากละครที่เพิ่งฉาย

            ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นพลันกลั้นใจ ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น

            “คืนเข้าหอ เจ้าบอกว่าไม่เต็มใจ”

            “เพคะ?” นางพยักหน้ารับฟัง

            เขาพูดต่อ “เจ้าคร่ำครวญว่าจะตายให้ได้ แล้วก็วิ่งเอาหัวชนเสา หยุดหายใจไปพักหนึ่ง”

            นั่นคือหวังซิ่วอิงคนเก่า ไม่ใช่ซิ่วอิงที่ต้องการอยู่ในโลกนี้อย่างสันติสุขเสียหน่อย 

            แต่นางก็พูดเหตุผลนั้นออกมาไม่ได้ เพราะตนเข้ามาสวมร่างนี้แล้ว

            “เพราะว่า...ตอนนั้นหม่อมฉันหวาดกลัวจนไม่ใคร่ครวญให้ดี เพราะงั้นหม่อมฉันถึงมาที่นี่เพื่อให้ท่านอ๋องอภัยให้ยังไงเพคะ”

            “….”

            เขาทำหน้าไม่เชื่อ

            “ท่านอ๋องคงสงสัยในคำพูดของหม่อมฉัน แต่ว่า…เพราะผ่านความตายมาก่อน หม่อมฉันเลยคิดได้เพคะ”

            “คิดได้หรือ”

            “เดิมทีหม่อมฉันเป็นคนรักบ้านเกิด ถึงขั้นยอมตายดีกว่าถูกส่งมาต่างแคว้น ท่านพ่อรู้นิสัยของหม่อมฉัน แต่ก็ยังส่งหม่อมฉันมาแต่งงานกับท่านอ๋อง แทนที่จะเป็นพี่รอง บางที ท่านพ่ออาจรู้ว่าหม่อมฉันจะต้องฆ่าตัวตาย และใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างก่อสงครามอีกเป็นแน่”

            ในยุคที่เน้นการสู้รบเป็นหลัก ข้ออ้างนิดเดียวก็ทำให้เกิดสงครามได้แล้ว

            เกาอ๋องอยากขยายอาณาเขตเลยหาข้ออ้างโจมตีแคว้นอู๋มาตลอด ครั้งนี้คงใช้นางเป็นหมาก

            จ้าวเฟยอู๋ย่นหัวคิ้วเมื่อตระหนักได้

            ซิ่วอิงพูดต่อ “ท่านอ๋องไม่สังเกตหรือเพคะ ท่านพ่อส่งหม่อมฉันมา แต่ไม่ให้สาวใช้มาด้วยสักคน ฐานะของหม่อมฉันตอนนี้คือหมากที่ถูกใช้แล้วทิ้ง ที่จะพูดก็คือ ตอนนี้พวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้วเพคะ”

            หากคิดตามคำพูดของนางก็เห็นว่าจริง

            หวังเฝิงนำของมีค่าและเจ้าสาวมาส่งถึงมือจ้าวเฟยอู๋ แต่ตอนกลับ ฝ่ายนั้นไม่ได้ทิ้งใครไว้สักคน ยกเว้นเพียงเจ้าสาว 

            ตอนนั้นจ้าวเฟยอู๋คิดว่าดีแล้ว หากหวังเฝิงทิ้งคนของตัวเองไว้ที่นี่ คงอดคิดไม่ได้ว่าคนเหล่านั้นเป็นสายลับ 

            ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง...

            คิดจบ จ้าวเฟยอู๋ก็ตอบกลับสั้นๆ ว่า “เข้าใจแล้ว”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ชายาเชลยผู้เฉิดฉายกับระบบฝึกหัด(เลเวลตัน!)   บทที่ 29 บทพิเศษ

    ณ ตำหนักหมิง ซิ่วอิงกำลังตรวจสอบรายการบัญชีประจำเดือนของจวนอ๋อง อ่านไปได้นิดเดียวก็ต้องนวดขมับเพราะตาจะปิด แถมช่วงนี้เหมือนอ่อนเพลียง่ายด้วย พอเป็นแบบนี้ นางจึงอยากกินอะไรเปรี้ยวๆ อาจช่วยให้ตาสว่างขึ้นก็ได้ ตอนนั้นเอง เสียงของหงถงดังขึ้นที่หน้าประตู “พระชายาเพคะ หม่อมฉันมาแล้วเพคะ” “หงถงจ๋า เจ้ามาช้ามาก รีบมาเร็วๆ” ซิ่วอิงรีบกวักมือเรียกหงถง ครั้นเห็นมะนาวพริกเกลือที่หงถงถือเข้ามาในปากก็น้ำลายสอ ทันทีที่หงถงยื่นจานมะนาวพริกเกลือให้ ซิ่วอิงก็หยิบมะนาวที่หั่นเป็นแว่น โรยด้วยพริกและเกลือ แล้วส่งเข้าปาก รสเปรี้ยวเข็ดฟันทำให้ตาสว่างทันที “อ่า…สดชื่น!” หงถงยิ้มจางๆ ท่าทางของพระชายาไม่ปกติจริงๆ ด้วย เพิ่งคิดอย่างนั้ง หน้าประตูก็มีเสียงของซุยเหลียนกับหมอเจียง เมื่ออนุญาตให้ทั้งสองเข้ามา หมอเจียงวางกล่องยาลง ก่อนจะประสานมือก้มหน้าพร้อมกับกล่าว “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอจับชีพจรพระชายาสักหน่อยได้หรือไม่” “ท่านหมอคิดว่าข้าป่วยงั้นเ

  • ชายาเชลยผู้เฉิดฉายกับระบบฝึกหัด(เลเวลตัน!)   บทที่ 28 บทพิเศษ

    บทที่ 28 บทพิเศษ หลายเดือนต่อมา เข้าสู่ฤดูหนาว ชีวิตคู่ของซิ่วอิงกับจ้าวเฟยอู๋ช่วงนี้ค่อนข้างสงบและเรียบง่าย ชายหนุ่มออกไปทำงานที่นอกจวนตั้งแต่เช้าทุกวัน กลับจวนอีกครั้งก็เป็นช่วงเย็น ส่วนซิ่วอิงจะคอยดูแลความเรียบร้อยในจวน ตอนนี้ตำแหน่งพระชายาของซิ่วอิงมั่นคงมากกว่าเมื่อก่อน เนื่องจากจ้าวเฟยอู๋ได้ประกาศมอบสิทธิ์ขาดในการดูแลจวนให้กับนางด้วยตัวเอง บ่าวไพร่ในจวน นอกจากจะยอมรับซิ่วอิง พวกเขายังให้การเคารพนางด้วยเช่นกัน ความเป็นอยู่ของซิ่วในจวนอ๋องจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล หากจะติดก็คงมีเพียงเรื่องเดียว นั่นก็นั่นคือเรื่องเจ้าตัวเล็กที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเกิด แต่แล้วในวันหนึ่ง… “พี่หงถง คือว่านะ ข้าสงสัยเรื่องอาหารว่างของพระชายาวันนี้ เลยอยากถามพี่สักหน่อย” ในตอนที่หงถงมายกของว่างของพระชายาที่ห้องครัว เสี่ยวหลัวอดสงสัยไม่ได้จึงรั้งหงถงเพื่อจะถาม เสี่ยวหลันคือสาวใช้ที่ซุยเหลียนเลือกให้มาทำงานในตำหนักหมิง คอยดูแลเรื่องอาหารของพระชายาโดยเฉพาะ “อืม เ

  • ชายาเชลยผู้เฉิดฉายกับระบบฝึกหัด(เลเวลตัน!)   บทที่ 27 บทส่งท้าย

    บทที่ 27 บทส่งท้าย ผ่านมาอีกหลายสิบวัน กลางฤดูใบไม้ร่วง สายลมเย็นสบาย อากาศสดชื่นกำลังดี ในช่วงนี้ แคว้นอู๋กำลังจัดงานเทศกาลหยวนเซียว แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ทั่วทั้งเมืองหลวงกลับสว่างไสวด้วยโคมไฟนับหมื่นดวง งานเทศกาลมีทั้งหมดสามวัน นับตั้งแต่งานเทศกาลเริ่มขึ้น บนท้องถนนกลางเมืองหลวงก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คน เด็กๆ พากันถือโคมไฟรูปสัตว์ ยิ้มแย้มสนุกสนาน คนหนุ่มสาวเดินเคียงคู่ เที่ยวงานเทศกาลกันหวานชื่น งานเทศกาลวันที่สอง ช่วงหัวค่ำ จ้าวเฟยอู๋พาซิ่วอิงออกมาเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟเช่นกัน ระหว่างเดินชมงานเทศกาล สายตาลึกล้ำของชายหนุ่มมักจะหลุบมองภรรยาสาวที่เดินข้างๆ อยู่เป็นระยะ “งานเทศกาลชมโคมของแคว้นอู๋สวยหรือไม่” จ้าวเฟยอู๋ถามซิ่วอิงด้วยความเอาใจใส่ ซิ่วอิงที่หันซ้ายหันขวา มองความงดงามของโคมไฟที่ห้อยระย้าเต็มสองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ พอถูกสามีถาม นางก็รีบพยักหน้ารัวๆ แล้วตอบอย่างตื่นเต้น “สวยเพคะ สวยมากๆ อยากให้มีงานแบบนี้ทุกคืนเลยเพคะ!” จ้าวเฟยอู๋ได้ฟังอย่างนั

  • ชายาเชลยผู้เฉิดฉายกับระบบฝึกหัด(เลเวลตัน!)   บทที่ 26 คลี่คลาย

    บทที่ 26คลี่คลาย โทษทัณฑ์ที่เจียวจูจะได้รับย่อมหนีไม่พ้นความตาย! ตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ในอกของซิ่วอิงเกิดความสลดและเศร้าใจ แต่ทว่า… หากลองคิดกลับกัน ถ้าการใส่ร้ายของเจียวจูสำเร็จ คนที่ต้องตายย่อมเป็นซิ่วอิง ทันทีที่คิดได้อย่างนั้น ซิ่วอิงขนลุกซู่ ความเห็นใจที่มีต่อเจียวจูพลันมลายหายไปสิ้น ในตอนนั้นเอง เสียงของขุนนางคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา “วางยาในอาหาร สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ยังเป็นความผิดที่พออภัยให้ได้ แต่ขโมยสมบัติของแคว้นอู๋ออกจากห้องลับ เรื่องนี้ยากให้อภัยพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกของใต้เท้าเหอ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความสงบสุขของแคว้นอู๋ ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ โปรดตัดสินโทษของคุณหนูเจียวจูด้วยเถิด” “โปรดตัดสินโทษคุณหนูเจียวจูด้วยเถิด” ขุนนางคนอื่นๆ ต่างประสานเสียงพูดพร้อมเพรียง ซิ่วอิงสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเหล่าขุนนางเต็มไปด้วยความโกรธ ฝ่ายจ้าวเฟยอู๋มุ่นหัวคิ้วพลางกุมขมับด้วยสีหน้าหนักใจ เขาคิดกับเจียวจูไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ แต่ใครจ

  • ชายาเชลยผู้เฉิดฉายกับระบบฝึกหัด(เลเวลตัน!)   บทที่ 25 ยอมรับชะตากรรม

    บทที่ 25ยอมรับชะตากรรม “ข้าไม่รู้หรอกว่าทำอะไรให้คุณหนูเจียวจูไม่พอใจ ถึงได้มาใส่ร้ายข้าเช่นนี้” ซิ่วอิงพูดกับเจียวจูด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น เจียวจูแค่นเสียงเฮอะ บอกให้ซิ่วอิงมองชายที่ถูกจับมัดให้ชัดๆ ซิ่วอิงทำทีเป็นมองชายที่ถูกมัดซ้ำๆ ก่อนจะพูดกับเจียวจูด้วยสีหน้าเฉยเมย “ให้มองยังไงข้าก็ไม่รู้จักชายคนนี้อยู่ดี ว่าแต่เจ้าเถอะ ไม่ใช่ว่าไปจับชาวบ้านบริสุทธิ์มาแสดงละครตบตาท่านอ๋องหรอกนะ” “อย่าเสแสร้งหน่อยเลย เขาคือคนที่ลอบเข้ามาในตำหนักหมิง รับแผนผังเมืองหลวงของแคว้นอู๋จากมือของเจ้าเองไม่ใช่หรือ” “นอกจากบ่าวในจวน ข้าไม่เห็นจำได้ว่าติดต่อกับคนอื่นด้วย” “เฮอะ!” เจียวจูแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยื่นม้วนกระดาษเก่าๆ ในมือให้จ้าวเฟยอู๋ “ท่านอ๋อง นี่เป็นหลักฐานที่หม่อมฉันค้นเจอในตัวของคนร้าย เชิญตรวจสอบดูก่อนเพคะ” แผนผังเมืองหลวงแคว้นอู๋เป็นของสำคัญ แค่มองแวบเดียวจ้าวเฟยอู๋ก็จำได้แล้วว่าเป็นของจริงปลอม สมบัติชิ้นสำคัญอย่างแผนผังของแคว้น ปกติควรอยู่ในห้องลับ แต่ทำไมถึงอ

  • ชายาเชลยผู้เฉิดฉายกับระบบฝึกหัด(เลเวลตัน!)   บทที่ 24 แผนการอันโง่เขลา

    บทที่ 24แผนการอันโง่เขลา เข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง คำสั่งทำอ่างเก็บน้ำและสร้างฝายชะลอน้ำถูกส่งไปยังเมืองต่างๆ ในช่วงนี้งานของจ้าวเฟยอู๋ค่อนข้างยุ่ง รถม้าของเขาจะออกจากจวนตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น กลับเข้ามาอีกครั้งก็เป็นตอนที่ทุกคนหลับหมดแล้ว ถึงแม้โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำที่ซิ่วอิงเสนอไปจะคืบหน้าเป็นอย่างมาก แต่กลับได้ใช้เวลาร่วมกับคนที่รักน้อยลง เรื่องนี้ทำให้ซิ่วอิงทรมานหัวใจไม่น้อยเหมือนกัน “เฮ้อ…คิดถึงจัง” ซิ่วอิงทอดถอนหายใจ พร้อมกับพูดความคิดที่อยู่ในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว [นี่ๆ ความคิดของเจ้าเผยออกมาเป็นคำพูดหมดแล้ว] ระบบเอ่ยเตือน ‘หา!?’ ซิ่วอิงสะดุ้ง รีบเลื่อนสายตามองหงถงและองครักษ์ จริงอย่างที่ระบบพูด พวกเขาต่างยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างไม่ปิดบังสีหน้ากันเลยสักคน “พระชายาเพคะ ในเมื่อคิดถึงท่านอ๋องขนาดนี้ ทำไมไม่ไปหาท่านอ๋องเล่า จริงด้วย…เตรียมของอร่อยๆ ไปด้วยก็ดีนะเพคะ” หงถงเสนอ “เดี๋ยวนี้หงถงของข้ากลายเป็นกุนซือความรักไปแล้วหรือ” ซิ่วอิงแกล้งพู

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status