บทที่ 4
ถึงจะเป็นระบบฝึกหัด แต่เลเวลตันนะจ๊ะ!
นับตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในร่างหวังซิ่วอิง ชีวิตประจำวันของนางคือกินกับนอน แล้วก็เดินเตร่ๆ อยู่แค่รอบๆ เรือน
ซิ่วอิงใช้ชีวิตซ้ำซากจำเจแบบนี้มา 3 วันแล้ว เบื่อหน่ายเอามากๆ
“ยาของท่านหมอซานดีจริงๆ เพคะ แผลบนหน้าผากของพระชายาใกล้จะหายเป็นปกติแล้วเพคะ” หงถงพูดด้วยสีหน้าเบิกบาน พร้อมกับทายาให้ซิ่วอิงไปด้วย
“นั่นสินะ” ซิ่วอิงตอบ
ไม่เพียงแต่ไม่ต้องพันแผลรอบหน้าผาก ซิ่วอิงไม่ต้องทนดื่มรสขมแล้ว ถึงเป็นยุคที่ล้าหลัง แต่สมุนไพรนับว่าคุณภาพสูง
“วันนี้จะออกไปเดินเล่นข้างนอกหรือไม่เพคะ” หงถงเอ่ยถาม
ซิ่วอิงครุ่นคิด ขณะกำลังขยับปากจะตอบ จู่ๆ ประตูก็ถูกผลักเปิดจากด้านนอกอย่างรุนแรง
ปัง!
หัวหน้าหญิงรับใช้เฉินเหนียงก้าวอาดๆ เข้ามายืนเท้าสะเอวตรงหน้า
หงถงลุกขึ้นพรวด สีหน้าแตกตื่น
“หัวหน้าเฉิน ทำไมถึง…”
หงถงยังพูดไม่ทันจบดี ก็ถูกเฉินเหนียงผลักจนซวนเซไปด้านข้าง
“ข้าจะพูดกับพระชายา เจ้าอย่ามายืนขวาง”
“อ๊ะ!”
“ร่างกายของพระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
“ก็ดี”
ซิ่วอิงตอบส่งๆ สายตาไม่มองเฉินเหนียงแม้แต่น้อย
ครั้นเห็นท่าทางเย็นชาของหญิงสาว ในใจของเฉินเหนียงพลันเดือดดาล แต่เพราะฐานะของตนต่ำกว่า ต่อให้โกรธจัดขนาดไหน ก็ทำได้แค่ยืนกัดฟันกรอดๆ
“ความหมายก็คือพระชายาหายดีแล้วใช่หรือไม่”
ซิ่วอิงไม่ตอบ แต่ถามกลับ
“นี่ หัวหน้าเฉิน เจ้ารับใช้ท่านอ๋องมากี่ปีแล้ว”
เฉินเหนียงย่นคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี “ยี่สิบกว่าปีเพคะ”
“เวลายี่สิบกว่าปีเจ้าไม่ได้เรียนรู้เรื่องมารยาทเลยหรือ”
“อะไรนะเพคะ?” เฉินเหนียงโกรธจนหน้าชาเหมือนถูกตบ
“ข้าจะไม่พูดซ้ำ ออกไป แล้วเข้ามาใหม่”
ซิ่วอิงชี้นิ้วไปทางประตู น้ำเสียงเด็ดขาดจริงจัง
สองมือของเฉินเหนียงกำแน่นด้วยความไม่พอใจ ถึงอย่างนั้นก็สะบัดร่างอวบอ้วน หมุนกายเดินออกจากห้อง
ผ่านไปสักครู่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก…
“หม่อมฉันเฉินเหนียง ขออนุญาตเข้าไปนะเพคะ”
“อืม”
อันที่จริง ซิ่วอิงจะแกล้งไม่ตอบก็ได้ แต่เพราะอยากรู้ว่าหัวหน้าหญิงรับใช้มาที่นี่ด้วยธุระอะไร ทั้งที่ไม่เคยมาเหยียบที่นี่เลยนับตั้งแต่ที่ซิ่วอิงฟื้น
“ว่ามาสิ”
“พ่อครัวที่ทำอาหารเลี้ยงเหล่านายกองป่วยกะทันหัน ที่ห้องครัวคนไม่พอ หากพระชายาหายป่วยแล้ว หม่อมฉันอยากจะรบกวนพระชายาให้มาช่วยดูแลห้องครัวเพคะ”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ! ร่างกายของพระชายามีค่า จะให้เข้าครัวได้อย่างไร หัวหน้าเฉิน ท่านควรไปเรียนท่านอ๋องไม่ใช่หรือ” หงถงร้องอย่างตื่นตระหนก
ทว่า…
“ได้สิ” ซิ่วอิงตอบรับทันที
“พระชายา!?”
“ข้ากำลังเบื่ออยู่พอดี อยากยืดเส้นยืดสายบ้าง แล้ว...ต้องทำอาหารเลี้ยงนายกองกี่นาย”
ท้ายประโยค ซิ่วอิงหันไปถามเฉินเหนียง
เฉินเหนียงอ้าเหวอเพราะไม่คิดว่าซิ่วอิงจะรับปากเร็วเพียงนี้
สักครู่หนึ่ง เฉินเหนียงตั้งสติได้ ตอบพร้อมกับยิ้มเยาะในใจ
“ประมาณห้าสิบนายเพคะ”
“เวลาล่ะ”
“ไม่เกินยามอิ่ว(17.00-18.59 น.) อาหารต้องขึ้นโต๊ะแล้วเพคะ”
“เข้าใจแล้ว แค่นี้ใช่ไหม”
“เพคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไสหัวไปได้แล้ว”
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
เฉินเหนียงเก็บความเดือดดาลเอาไว้ภายใต้ท่าทางที่สำรวม ประสานมือบนเอวพร้อมกับย่อกายคำนับ
ซิ่วอิงไม่ได้ยอมตอบตกลงเพราะความโอหัง อย่างที่บอก นั่งๆ นอนๆ มันน่าเบื่อ ก็แค่อยากยืดเส้นยืดสายเท่านั้นเอง
“พระชายา โปรดไตร่ตรองอีกครั้งเถอะเพคะ” หงถงพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ถึงอย่างนั้น ซิ่วอิงกลับยิ้มให้หงถงแล้วว่า “หงถง ต้องรบกวนเจ้านำทางข้าไปที่ห้องครัวแล้ว”
น้ำเสียงนั้นช่างหนักแน่นยิ่งนัก หงถงไม่กล้าปฏิเสธ จึงตอบรับออกไปด้วยความจนใจ
“เพคะ พระชายา”
…..
…..
จากนั้นไม่นาน ซิ่วอิงกับหงถงก็มาถึงห้องครัว
นอกจากซิ่วอิงกับหงถง ในห้องครัวก็ไม่มีคนอื่นอยู่เลย
ไม่ว่าคนงานในค่ายทหารจะน้อยขนาดไหน ก็คงไม่ถึงกับร้างไร้ผู้คนขนาดนี้
ดังนั้นซิ่วอิงจึงตระหนักได้ ว่าเป็นแผนของเฉินเหนียง
‘หวังซิ่วอิง’ คุณหนูคนที่สามของจวนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฉา ยังไงก็ไม่เคยทำงานต่ำต้อยแบบนี้เป็นแน่
แต่ว่า ‘ซิ่วอิง’ คนนี้เติบโตมาในบ้านเด็กกำพร้า ทำงานลำบากมานักต่อนัก ห้องครัวนี้ก็แค่ครัวธรรมดา ไม่ได้อันตรายแม้แต่นิดเดียว
“ก็คิดเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้”
พูดจบ ซิ่วอิงก็ถลกแขนเสื้อก้าวเข้ามาในห้องครัวด้วยท่าทีเฉยเมย
“พระชายาจะลงมือทำอาหารเองจริงหรือเพคะ” หงถงเอ่ยถามความกังวล
“รับปากไปแล้วนี่นา อีกอย่าง ข้าไม่อยากปล่อยให้เหล่านายกองที่ไม่รู้เรื่องอะไรต้องรอด้วยความหิว”
“ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันจะออกไปตามคนมาช่วยนะเพคะ”
ทันทีที่ซิ่วอิงพยักหน้า หงถงก็รีบวิ่งออกจากห้องครัวไปหาคนมาช่วย
ซิ่วอิงมองวัตถุดิบทั้งหมดที่อยู่ในครัว ข้าวสาร มันเทศ เผือก หมูติดมัน หมูแดดเดียวแล้วก็ไข่ไก่
ทางด้านตะกร้าผัก ผักส่วนใหญ่เป็นกระหล่ำกับแครอท
“วัตถุดิบค่อนข้างจำกัดเลยนะเนี่ย…ทำอะไรดีนะ” ซิ่วอิงพึมพำพร้อมกับใช้ความคิด
แต่…จะว่าไปแล้ว เวลาแบบนี้หากอิงจากนิยายหลายๆ เรื่อง ตอนที่ผู้ย้อนเวลาตกระกำลำบาก ตัวช่วยจะปรากฏออกมาสินะ
ถึงจะคิดว่าเรื่องตลกที่มีแค่ในนิยาย แต่ซิ่วอิงกลับอยากลองดู
หญิงสาวมองซ้ายมองขวา ดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบดู จากนั้นก็กางมือไปข้างหน้า ขยับปากส่งเสียง
“ระบบ จงออกมา”
“….”
เงียบกริบ
ไม่มีหน้าต่างสถานะ ไม่มีเสียงเตือนของระบบ
ซิ่วอิงหัวเราะอย่างเขินๆ พร้อมกับลดมือลง
วินาทีต่อมา หญิงสาวทรุดตัวลงไปนั่งยองๆ ยกสองมือปิดหน้าที่ร้อนฉ่า
“ฮะฮะฮะ ไม่ใช่นิยายสักหน่อย จะมีของแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า!”
หลังจากระงับความอับอายแล้ว หญิงสาวลุกขึ้นยืน เตรียมตัวจะไปหุงข้าว แต่ในตอนนั้นเอง…
[หาว~]
ในสมองของซิ่วอิงราวกับถูกคลื่นไฟฟ้าช็อต จากนั้นเสียงโมโนโทนที่ไม่ระบุเพศก็ดังขึ้นในหัว
[กว่าจะเรียกฉันออกมาได้ ปล่อยให้รอตั้งหลายวันเลยนะ!]
ดวงตาคู่สวยของซิ่วอิงกะพริบปริบๆ ด้วยความงุนงง ทั้งยังมองรอบๆ ห้องครัวเพื่อหาเจ้าของเสียง
[ฉันอยู่ในหัวของเธอ ยังไงก็หาไม่เจอหรอกจ๊ะ]
“เอ๊ะ!? ในหัว…”
ซิ่วอิงยกสองมือกุมศีรษะตัวเอง
เมื่อนางลดมือลง นางถามเจ้าของเสียงนั้นอย่างลังเล
“เจ้าคือระบบหรือ!?”
[ใช่เลย~ ฉันคือระบบประจำวิญญาณผู้กลับมาเกิดใหม่ แต่อย่าคาดหวังนักล่ะ เพราะฉันเป็นแค่ระบบฝึกหัด]
ซิ่วอิงใช้เวลาเป็นนาทีกว่าจะทำความเข้าใจ ก่อนจะตอบกลับไปว่า “เข้าใจแล้ว ระบบจริงๆ ด้วยสินะ”
แม้จะเป็นระบบฝึกหัด ขอแค่มีตัวช่วย ย่อมดีกว่าไม่มีเลย
[เอ…เออ…ขอปรับเปลี่ยนภาษาแป๊บนึงนะ]
ระบบว่ามาอย่างนั้น ก่อนจะเงียบหายไปสักพักใหญ่
[กลับมาแล้วจ๊า~ ก่อนอื่นต้องอธิบายการใช้งานก่อน อารมณ์คล้ายกับมีที่ปรึกษาส่วนตัว รู้ทุกอย่าง แต่ไม่ชำนาญสักทาง แล้วก็ ระบบอย่างข้าสามารถพูดคุยแก้เบื่อได้]
“วิเศษไปเลย!”
สำหรับซิ่วอิงที่ไม่สนิทกับใครนอกจากหงถง แค่มีเพื่อนคุยแก้เบื่อก็วิเศษมากแล้ว
[จริงเหรอ ว่าแต่ เจ้าดูเหมือนกำลังแย่อยู่เลยนะ]
“กำลังคิดว่าจะใช้วัตถุดิบที่อยู่บนโต๊ะทำอะไรดีน่ะ”
พอพูดแบบนั้นออกไป ระบบก็ทวนชื่อวัตถุดิบที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นทำการ [ค้นหาสูตรอาหาร]
ไม่ถึงหนึ่งนาที เสียงของระบบก็ดังในหัวซิ่วอีกครั้ง
[ข้าวอบเผือกใส่หมู ซุปมันเทศ ผัดผัดรวมมิตร!]
ซิ่วอิงยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ ตกลงว่าจะทำสองอย่างนี้
จากนั้น ระบบก็ส่งข้อมูลและสูตรอาหารเข้าสมองของนางโดยตรง ด้านความคล่องแคล่วในการทำอาหาร เป็นทักษะที่ติดตัวมาจากชาติที่แล้ว เลยไม่น่าเป็นห่วง
[ตู้เก็บของที่อยู่ด้านหลังของครัวมีเม็ดแปะก๊วยกับเห็ดหอม ถึงจะเก่าไปหน่อย แต่ถ้าล้างน้ำดีๆ ก็ใช้ได้นะ]
“เข้าใจแล้ว”
ซิ่วอิงเดินไปหยิบของดังกล่าวมาแช่น้ำ
ในตอนนั้นเอง หงถงกลับมาที่ห้องครัวพร้อมกับทหารชั้นผู้น้อย 2 นาย
เมื่อเห็นว่าพระชายาเริ่มลงมือทำอาหารแล้ว ซิ่วอิงก็รีบเข้ามาช่วย พร้อมกับนายทหารชั้นผู้น้อยที่พามาด้วย
ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ในที่สุด อาหารก็ยกขึ้นโต๊ะทันเวลา
ถึงจะเป็นมื้ออาหารที่เรียบง่ายแค่ 3 อย่าง แต่เหล่านายกองล้วนชมว่าอร่อยไม่ขาดปาก
ซิ่วอิงที่ได้รับคำชมยิ้มปลื้มปริ่ม
เหนืออื่นใด ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับ ‘ระบบ’
บทที่ 21จับหนู (2) “ดะ เดี๋ยวนะเพคะ นี่มัน...หมายความว่ายังไงเพคะ พระชายา!?” ใบหน้าของซุยเหลียนเต็มไปด้วยความสงสัยขณะถามซิ่วอิง “ไม่นานนี้ข้ากับหงถงเห็น ‘หนู’ แอบเข้ามาในตำหนักหมิง กลัวว่าข้าวของมีค่าในตำหนักจะถูกหนูตัวนั้นลักขโมยหรือทำให้เสียหาย เลยให้หงถงตรวจดูให้ทั่ว ถึงจะจับหนูไม่ได้ แต่กลับเจอกระดาษพวกนี้ซ่อนเต็มห้อง” ซิ่วอิงอธิบาย ซุยเหลียนไม่ได้โง่ ย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของพระชายา หนูตัวนั้นคงเป็นใครสักคนในที่นี้ ระหว่างที่ซุยเหลียนรับยันต์มาดู เจียวจูก็แค่นเสียงหัวเราะออกมา “พี่สะใภ้พูดตลกเสียจริง ท่านกำลังจะบอกว่าหนูตัวนั้นแอบเอายันต์พวกนี้มาซ่อนในตำหนักหมิงหรือเจ้าคะ สัตว์เดรัจฉานจะทำแบบนั้นได้หรือ” “นั่นสินะ สัตว์ทำแบบนั้นไม่ได้ แต่สาวใช้ของเจ้าทำได้นี่เนอะ” ขณะพูด ใบหน้าของซิ่วอิงประดับรอยยิ้มบางๆ แต่สายตากดดันอย่างมาก ทำเอาสาวใช้ที่ยืนหลับหลังเจียวจูถึงกับตื่นกลัวตัวสั่น “สาวใช้ของข้า เกี่ยวอะไรด้วยเจ้าคะ” เจียวจูย้อนถาม “ดูที่มือของนาง เดี๋ยวก็ร
บทที่ 20จับหนู (1) ย้อนกลับมาที่ซิ่วอิง หญิงสาวรู้เห็นทุกอย่าง ตั้งแต่สาวใช้ของเรือนเจียวจูแอบทำลับๆ ล่อๆ ในตำหนักหมิง ทั้งยังแอบย่องเข้ามาในห้องนอนใหญ่ ถึงไม่รู้ว่าสาวใช้คนนั้นกำลังทำอะไร แต่ซิ่วอิงก็ปล่อยเลยตามเลย ไม่ได้เปิดโปงในทันที เพราะอยากรู้ว่าเจียวจูวางแผนจะทำอะไรกันแน่ ทันทีที่สาวใช้คนนั้นออกจากตำหนักหมิงไปแล้ว ซิ่วอิงกับหงถงก็ก้าวออกมาจากห้องห้องหนึ่งที่อยู่ติดกับห้องนอนใหญ่ “หงถง เจ้าตรวจดูให้ทั่วห้อง ดูสิว่ามีของหายหรือไม่” “เพคะ” เมื่อรับคำสั่งแล้ว หงถงก็ค้นหาทั่วห้องนอน แน่นอนว่า ของมีค่าของพระชายากับท่านอ๋องไม่ได้หาย แต่กลับเจอยันต์หน้าตาแปลกประหลาดถูกซ่อนไว้ใต้หมอนกับใต้เตียง “พระชายาเพคะ หม่อมฉันเจอยันต์หน้าตาประหลาด” หงถงพูดจบก็ยื่นกระดาษสีเหลืองที่เขียนด้วยอักขระยึกๆ ยือๆ หนำซ้ำ หมึกบนกระดาษยังมีรอยเปื้อน เหมือนว่าน้ำหมึกยังไม่ทันแห้งดีก็ถูกพับเก็บเสียแล้ว “ยันต์หรือ?” ซิ่วอิงรับยันต์เหล่านั้นมาดู ไม่รู้ว่
บทที่ 19เจียวจูลงมือแล้ว! ภาพของจ้าวเฟยอู๋อุ้มซิ่วอิงกลับตำหนักฝังอยู่ในหัวของเจียวจูตลอดคืน ทำให้นางนอนไม่หลับ เมื่อเย็นวาน หลังจากที่เจียวจูไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยง นางก็สั่งบ่าวคนหนึ่งคอยสอดส่องว่างานเลี้ยงจะเลิกเมื่อใด ผ่านยามไฮ่ (21.00 - 22.59 น.) มาแล้ว งานเลี้ยงก็ยังไม่เลิก เหตุนี้เอง เจียวจูจึงมายังเรือนรับรองด้วยตัวเอง ตอนมาถึง เป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นจ้าวเฟยอู๋อุ้มซิ่วอิงออกจากเรือนรับรอง จ้าวอ๋องมองหญิงสาวในอ้อมแขนด้วยแววตาหยาดเยิ้มในขณะที่พากลับตำหนักหนิง ภาพนั้นทำเอาดวงตาของเจียวจูแดงก่ำ สองมือกำแน่น ทั้งเจ็บใจทั้งรู้สึกอิจฉา เจียวจูหลงรักจ้าวเฟยอู๋ตั้งแต่เข้าสู่วัยแรกรุ่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บุตรชายตระกูลขุนนางมากมายส่งเทียบมาสู่ขอ นางจะปฏิเสธกลับไปทั้งหมด ด้วยหวังใจว่าจะได้ครองรักกับจ้าวอ๋อง แต่ว่า จ้าวเฟยอู๋กลับไม่เคยมองนางในฐานะหญิงสาว ในทางกลับกัน เขาคิดกับนางแค่เพียงน้องสาวเท่านั้น เจียวจูจึงทำได้แค่แอบรักจ้าวเฟยอู๋ต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับคิดเข้าข้า
บทที่ 18ผู้ชายคุณภาพสูง! งานเลี้ยงเลิกประมาณ 23.00 น. ตอนกลับมายังตำหนักหมิง ซิ่งอิงเมาแอ๋ แถมยังถูกจ้าวเฟยอู๋อุ้มกลับมา “ถึงแล้ว” จ้าวเฟยอู๋บอกเสียงนุ่มนวล สายตาที่มองหญิงสาวในอ้อมแขนทั้งลึกล้ำทั้งเอ็นดู “อืม” แม้ซิ่วอิงจะตอบรับอย่างนั้น แต่สองแขนของนางกลับคล้องรอบลำคอแกร่งไม่ยอมปล่อย มิหนำซ้ำ ดวงตาคู่สวยยังเอาแต่จ้องมองใบหน้าของจ้าวเฟยอู๋อย่างไม่ละสายตา “เป็นอะไรไป” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย ซิ่งอิงส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ เห็นท่าทางของหญิงสาวแบบนั้น ทำให้ชายหนุ่มอยากรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ เขาจึงถามนางออกไปตรงๆ “เป็นอะไรไป ไม่พอใจอะไรในตัวข้าหรือ” “ท่านเป็นคนที่หล่อมาก!” ทันทีที่ซิ่วอิงโพล่งออกมา ทำเอาจ้าวเฟยอู๋ถึงกับเบิกตาเล็กน้อย ไม่เพียงแค่นั้น หญิงสาวยังกล่าวต่อไปอีก “ท่านทั้งสุขุม ทั้งนิสัยดี ร่างกายสูงกำยำและสมส่วน จัดอยู่ในกลุ่มผู้ชายคุณภาพสูง ไม่แปลกหรอกที่จะมีผู้หญิงมากมายหลงใหล” ได้ยินเช่นนั้น ด
บทที่ 17สร้างความประทับใจ เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาในงานเลี้ยง นายทหารยศขุนพลและเหล่าขุนนางต่างลุกขึ้นยืน ทำความเคารพอย่างให้เกียรติ มิหนำซ้ำ สายตาที่มองซิ่วอิงให้ความเคารพและเลื่อมใส ชัดเจนว่าทุกคนไม่ได้มีอคติใดๆ กับหญิงสาว ซิ่วอิงรอยยิ้มเป็นเชิงตอบรับ แล้วนั่งลงเคียงข้างจ้าวเฟยอู๋ บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด แม้จะเป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่หน้าตาดูน่าทาน ผัดเต้าหู้รสเผ็ด น้ำแกงปลา ไก่ผัดสมุนไพร ผัดผักดองใส่ไข่ แม้ที่นี่จะเป็นจวนจ้าวอ๋อง แต่ประมุขของจวนก็ไม่กินหรูอยู่แพง อาหารทุกอย่างใช้วัตถุดิบธรรมดาที่หาได้ง่าย เพราะว่าจ้าวเฟยอู๋รู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากของชาวบ้าน ขณะที่ซิ่วอิงกำลังจะหยิบตะเกียบ ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งลุกขึ้นยืน พร้อมยกจอกสุราแล้วหันมาพูดกับหญิงสาว “กระหม่อมนามว่าซุนอี้ ดูแลคลังเสบียงภายในเมืองหลวง ได้ยินว่าพระชายาช่วยคลี่คลายปัญหาเรื่องขาดแคลนอาหารที่เมืองกัวหลิน สุราจอกนี้ กระหม่อมขอคารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำของขุนนางอาวุโสท่านนั้น ซิ่วอิงหันมองจ้าวเฟยอู๋อย่างขอความเห็น
บทที่ 16สตรีที่น่ากลัว จ้าวเฟยอู๋กลับมาที่ตำหนักหมิงในตอนเย็น หลังจากล้างเนื้อล้างตัวและเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ชายหนุ่มก็มานั่งโต๊ะกินข้าว “ได้ยินว่าเจ้าสั่งให้เจียวจูคัดลอกกฎระเบียบ 100 จบ?” “เพคะ” ซิ่วอิงตอบหน้าตาเฉย ทั้งยังคีบหมูสามชั้นใส่ถ้วยข้าว “ก็แค่เล่นเกมกันสนุกๆ อีกอย่าง เจียวจูเป็นคนตั้งกฎขึ้นมาเองว่า ‘คนแพ้ต้องฟังคำสั่งของคนชนะ’ ” “อย่างนี้เอง” จ้าวเฟยอู๋บอก “น่าสนุกใช่ไหมเพคะ” จ้าวเฟยอู๋ตอบว่า “อืม” จากนั้นก็นั่งกินข้าวต่ออย่างเงียบเฉียบ ซิ่วอิงเองก็พูดเรื่องของเจียวจูอีก ประเดี๋ยวจะหมดอร่อย หญิงสาวคีบกับข้าวให้จ้าวอ๋องอย่างเอาใจ ทั้งยังเปลี่ยนมาคุยเรื่องรสชาติของอาหาร อันที่จริง ตอนบ่ายวันนี้ เจียวจูวิ่งโร่มาหาจ้าวเฟยอู๋ถึงห้องหนังสือ ฟ้องเรื่องที่ซิ่วอิงสั่งให้ตนคัดลอกกฎระเบียบ 100 จบ จ้าวเฟยอู๋ไม่ได้โง่ คิดว่าสิ่งที่ซิ่วอิงทำไปนั้นต้องมีเหตุผล อีกอย่างหนึ่ง เขาสงสัยมานานแล้วว่าคนอยู่เบื้องหลังเฉินเหนียงก็คือเจียวจู