บทที่ 6
ร่วมห้องกับสามีครั้งแรก
ยามนี้ ซิ่วอิงกับหงถงนั่งรถม้าที่นายหูเตรียมไว้มายังแปลงผักที่อยู่หลังค่าย องครักษ์ทั้ง 5 ควบม้าประกบซ้ายขวา
เมื่อมาถึงสวนปลูกผักที่นายกองหูเป็นคนรับผิดชอบ ซิ่วอิงมองด้วยสายตาตะลึง เนื่องจากที่นี่กินพื้นที่ขนาดกว้างขวาง
“ไม่อยากเชื่อเลยว่านายกองหูจะปลูกทั้งหมดนี้คนเดียว”
นายกองหูยิ้มด้วยความปลื้มใจ
แม้ว่าพืชที่ปลูกส่วนใหญ่จะมีเพียงมันเทศกับเผือก แต่เพราะมีแปลงผักนี้ ค่ายทหารเมืองกัวหลินจึงไม่ขาดแคลนเสบียง
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ดินแบบนี้พอจะปลูกผักอย่างอื่นได้หรือไม่ กระหม่อมอยากให้เหล่าทหารได้กินอาหารหลากหลาย และอยากช่วยท่านอ๋องประหยัดต้นทุนซื้อเสบียง”
ก่อนหน้านี้ นางกับนายกองหูมีโอกาสคุยกัน เลยรู้ว่ามันเทศกับเผือกเป็นผลผลิตที่ของค่ายทหาร
ด้วยความสนใจ ซิ่วอิงจึงขอมาดู
“ข้าเองก็มีความรู้ตื้นเขิน อาจแนะนำท่านได้ไม่มากนัก ที่แนะนำได้คงเป็นให้ท่านลองปลูกพืชตระกูลถั่วหรือไม่ก็พวกฟักทองกับข้าวโพด”
“ถั่วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ พืชที่ข้าบอกไปทนความแห้งแล้งได้ดี หนำซ้ำยังมีสารอาหารครบ เอามาปรุงอาหารก็อร่อยมากด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” นายกองหูยิ้มแย้มเมื่อได้รับคำแนะนำดีๆ
ซิ่วอิงยังแนะนำวิธีการปลูก
แน่นอนว่า วิธีเหล่านี้นางรู้มาจากระบบอีกทีหนึ่ง
หลังจากเสร็จธุระกับนายกองหูแล้ว ซิ่วอิงกับหงถงก็เดินเล่นแถวนั้นต่ออีกหน่อย
[นี่]
ระบบเรียกซิ่วอิง
‘อะไรหรือ’
[ถ้าตานี่ปลูกธัญพืชสำเร็จ คะแนนความชอบของเจ้าต้องเพิ่มขึ้นมากแน่ๆ]
‘นั่นสินะ ฮะๆ’
ซิ่วอิงยิ้มให้ในใจ แม้ว่าความจริงจะไม่ได้คาดหวังอะไรแบบนั้น
[ยังไงก็เถอะ เดินเล่นต่ออีกหน่อยค่อยกลับแล้วกัน]
‘อืม’
.....
.....
เมื่อมีกิจกรรมให้ทำ เผลอแป๊บเดียวพระอาทิตย์ก็ตกดิน
พอตกค่ำ หญิงสาวหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา อ่านไปได้ไม่กี่หน้านางก็รู้สึกง่วง
หญิงสาววางหนังสือลงบนโต๊ะ ปีนกลับขึ้นเตียง หงถงที่คอยปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเข้ามาทำท่าจะดับเทียน
แต่ทว่า…
ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักอึ้งของใครบางคนหยุดลงที่หน้าประตู
สองนายบ่าวชะงักร่างอย่างระมัดระวัง สายตาจดจ้องที่บานประตู
เรือนหลักแห่งนี้แม้มีทหารผลัดกันมาเฝ้ายาม แต่พวกเขาล้วนถูกจำกัดอยู่แค่หน้าประตูข้างนอก
ดังนั้น พอมีผู้มาเยือนโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ทั้งซิ่วอิงทั้งหงถงจึงเกิดความตระหนก
หลายวินาทีผ่านไป ในที่สุดประตูก็ถูกผลักให้เปิดออก พอรู้ตัวตนของผู้เข้ามา สองนายบ่าวต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เป็นท่านอ๋องหรอกหรือ”
หญิงสาวพึมพำ ทว่าสิ้นคำพูดนั้นไม่นาน ซิ่วอิงก็ย่นหัวคิ้ว สายตาจ้องมองจ้าวเฟยอู๋อย่างสงสัย
แล้ว…เขามาที่นี่ในเวลานี้ทำไม!?
จ้าวเฟยอู๋ก้าวเข้ามาในห้องไม่พูดไม่จา
ซิ่วอิงมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าระแวดระวัง
จ้าวเฟยอู๋ไม่เพียงสั่งให้หงถงออกไป เขายังถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วเอาไปแขวนบนราวด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ
ตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้รับใช้พระชายา หงถงก็ติดตามซิ่วอิงตลอดเวลา นางจะมีเวลาเป็นของตัวเองก็ต่อเมื่อพระชายาเข้านอน
ตลอดหลายวันมานี้ หงถงไม่เคยเห็นท่านอ๋องกลับมานอนที่ห้องสักครั้ง
ครั้นพอเห็นท่านอ๋องกลับมาที่ห้อง สมองของหงถงเหมือนหยุดทำงานชั่วขณะ พอถูกสั่งให้ออกจากห้อง นางจึงเงอะงะ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองพระชายาด้วยความลังเล
เห็นอย่างนั้น ซิ่วอิงจึงบอกหงถงว่า “เจ้าออกไปเถอะ”
“เพ…เพคะ”
นั่นสินะ แม้ตอนแรกท่านอ๋องกับพระชายาจะมีเรื่องบาดหมางกัน แต่ทั้งคู่ก็เป็นสามีภรรยา อยู่ร่วมห้องกันก็ถูกแล้ว
เมื่อหงถงออกจากห้องได้สักพักหนึ่ง จ้าวเฟยอู๋ก็เปลี่ยนมาสวมชุดตัวกลางสีขาวเรียบร้อย
ถึงอย่างนั้น ซิ่วอิงยังคงมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าสงสัย
“อยากพูดอะไรหรือ” ชายหนุ่มถามด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
“ท่านอ๋องจะนอนที่นี่หรือเพคะ”
“พระชายาคิดว่ายังไงล่ะ” จ้าวเฟยอู๋ไม่ได้ตอบ แต่ถามถามกลับ
“เท่าที่เห็น คงเป็นเช่นนั้น” ซิ่วอิงตอบพลางยิ้มอย่างแห้งแล้ง
เมื่อเห็นสีหน้าที่เหมือนตื่นเต้น แต่ไม่ได้หวาดกลัวของหญิงสาว มุมปากของจ้าวเฟยอู๋ก็กระดกเป็นรอยยิ้ม
“ไม่นอนแล้วหรือ”
จ้าวเฟยอู๋ไม่พูดเปล่า ยังจับข้อมือของนางเบาๆ
“เอ๊ะ เอ่อ…” ซิ่วอิงอึ้งมองข้อมือที่ถูกจับหลายวินาที ก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “นอนเพคะ”
อย่าบอกนะว่า…เขาจะ…เขาจะ…
[ใช่! เขาต้องการสานสัมพันธ์กับเจ้า]
ขณะที่ซิ่วอิงคิดอย่างตื่นเต้นปน ระบบก็ส่งเสียงในหัว แถมคำนั้นยังทำให้ซิ่วอิงตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม
[ตอบรับความคาดหวังของเขา ฐานะพระชายาของเจ้าจะได้มั่นคงยิ่งๆ ขึ้น]
‘ถึงพูดอย่างนั้นก็เถอะ…’
[เพื่อไม่เป็นการรบกวนความสุขความสำราญของเจ้า งั้น…ขอปิดระบบก่อนน๊า~]
ซิ่วอิงยังไม่ทันได้ห้าม เสียง ‘ปิ๊บ’ สั้นๆ ก็ดังขึ้นทีหนึ่ง
จากนั้น ไม่ว่านางจะเรียกระบบสักกี่ครั้งก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
ปิดระบบเองก็ได้ด้วยหรือ สุดยอดจริงๆ
แล้ว…นางจะทำยังไงกับสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนนี้ต่อ
“ท่านอ๋อง”
ซิ่วอิงเรียกชายหนุ่มพร้อมกับขยับเข้าไปนอนฝั่งใน
จ้าวเฟยอู๋ก็เอนกายลงนอนข้างๆ
แม้ซิ่วอิงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนกับสถานการณ์ที่ล่อแหลม แต่ใช่ว่าจะไม่ประสีประสากับเรื่องอย่างว่า
ในชาติก่อน ซิ่วอิงเคยคบหาดูใจกับแฟนหนุ่มถึงขั้นมีความสัมพันธ์ทางกาย แต่ทุกครั้งที่ร่วมหลับนอน มักจะรู้สึกประหม่าเสมอ
กับจ้าวเฟยอู๋ยิ่งแล้วใหญ่
จ้าวเฟยอู๋ทั้งหนุ่มทั้งหล่อ ร่างกายสูงกำยำเพราะเป็นนักรบ ถึงชุดที่สวมในยุคนี้จะปิดบังร่างกายมิดชิด แต่ดูก็รู้ว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยหมัดกล้าม คนแบบนี้มักจะฮึดถึกทน
อีกอย่างหนึ่ง ยามที่ผู้หญิงจับกลุ่มคุยเล่นกัน ไม่ได้มีแค่เรื่องแฟชั่นหรืออวดแฟน บางครั้งก็คุยเรื่องใต้สะดือเหมือนกับพวกผู้ชาย ครั้งหนึ่งเพื่อนในกลุ่มจู่ๆ ก็โพล่งออกมาว่า ‘หากอยากรู้ว่าไซส์อวัยวะของแฟนใหญ่หรือเล็กให้สังเกตที่นิ้วโป้ง!’
สมมุติว่าผู้ชายคนนั้นนิ้วโป้งเล็กเรียว ไอ้นั่นก็จะเล็กเรียว หากนิ้วโป้งอวบสั้น ไอ้นั่นก็จะอวบสั้น
แม้เรื่องนี้ไม่มีการยืนยันที่แน่นอน แต่เพื่อนในกลุ่มที่เจนสนามบอกว่า 80% มักเป็นแบบนั้น
ซิ่วอิงเหลือบมองนิ้วโป้งของจ้าวเฟยอู๋ นิ้วโป้งของเขายาวหนา ไม่ถึงกับอวบ หากก็ใหญ่สมส่วน
คิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาคู่สวยหลุบมองต่ำทันที
งั้นก็แสดงว่าของเขาใหญ่ยาว เป็นผู้ชายคุณภาพสูง!
พอเห็นซิ่วอิงกำลังมองประเมินส่วนนั้น จ้าวเฟยอู๋กระแอมขึ้นมาทีหนึ่ง
หญิงสาวดึงสายตากลับมา
“เอ่อ…คือ…จริงอยู่ที่หม่อมฉันบอกว่าหากท่านอ๋องต้องการ หม่อมฉันก็ไม่ขัด แต่นี่เป็นครั้งแรก ช่วยเบามือหน่อยนะเพคะ”
ซิ่วอิงหมายถึง เป็นครั้งแรกที่พบเจอของใหญ่ละนะ
เมื่อพูดจบ ความเงียบโรยตัวลงมา
หลายชั่วอึดใจ จ้าวเฟยอู๋พ่นเสียงหัวเราะออกมาดังพรืด…!
“อะไรหรือเพคะ” ซิ่วอิงกะพริบตาถามด้วยความงุนงง
“เจ้าคิดไปถึงไหน”
“ไม่ใช่หรือเพคะ?”
เขากลับมานอนที่ห้อง ไม่ใช่ต้องการเรื่องนั้นหรอกหรือ
จ้าวเฟยอู๋ยิ้มบนมุมปากเบาๆ ก่อนจะบอกว่า “นอนได้แล้ว”
ว่าจบ เขาก็ดับเทียนแล้วล้มตัวลงนอน
ช่างเป็นสุภาพบุรุษ
เลื่อมใส เลื่อมใส!
หญิงสาวคิดอย่างชื่นชม พร้อมกันนั้น หัวใจก็สั่นไหว
ณ ตำหนักหมิง ซิ่วอิงกำลังตรวจสอบรายการบัญชีประจำเดือนของจวนอ๋อง อ่านไปได้นิดเดียวก็ต้องนวดขมับเพราะตาจะปิด แถมช่วงนี้เหมือนอ่อนเพลียง่ายด้วย พอเป็นแบบนี้ นางจึงอยากกินอะไรเปรี้ยวๆ อาจช่วยให้ตาสว่างขึ้นก็ได้ ตอนนั้นเอง เสียงของหงถงดังขึ้นที่หน้าประตู “พระชายาเพคะ หม่อมฉันมาแล้วเพคะ” “หงถงจ๋า เจ้ามาช้ามาก รีบมาเร็วๆ” ซิ่วอิงรีบกวักมือเรียกหงถง ครั้นเห็นมะนาวพริกเกลือที่หงถงถือเข้ามาในปากก็น้ำลายสอ ทันทีที่หงถงยื่นจานมะนาวพริกเกลือให้ ซิ่วอิงก็หยิบมะนาวที่หั่นเป็นแว่น โรยด้วยพริกและเกลือ แล้วส่งเข้าปาก รสเปรี้ยวเข็ดฟันทำให้ตาสว่างทันที “อ่า…สดชื่น!” หงถงยิ้มจางๆ ท่าทางของพระชายาไม่ปกติจริงๆ ด้วย เพิ่งคิดอย่างนั้ง หน้าประตูก็มีเสียงของซุยเหลียนกับหมอเจียง เมื่ออนุญาตให้ทั้งสองเข้ามา หมอเจียงวางกล่องยาลง ก่อนจะประสานมือก้มหน้าพร้อมกับกล่าว “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอจับชีพจรพระชายาสักหน่อยได้หรือไม่” “ท่านหมอคิดว่าข้าป่วยงั้นเ
บทที่ 28 บทพิเศษ หลายเดือนต่อมา เข้าสู่ฤดูหนาว ชีวิตคู่ของซิ่วอิงกับจ้าวเฟยอู๋ช่วงนี้ค่อนข้างสงบและเรียบง่าย ชายหนุ่มออกไปทำงานที่นอกจวนตั้งแต่เช้าทุกวัน กลับจวนอีกครั้งก็เป็นช่วงเย็น ส่วนซิ่วอิงจะคอยดูแลความเรียบร้อยในจวน ตอนนี้ตำแหน่งพระชายาของซิ่วอิงมั่นคงมากกว่าเมื่อก่อน เนื่องจากจ้าวเฟยอู๋ได้ประกาศมอบสิทธิ์ขาดในการดูแลจวนให้กับนางด้วยตัวเอง บ่าวไพร่ในจวน นอกจากจะยอมรับซิ่วอิง พวกเขายังให้การเคารพนางด้วยเช่นกัน ความเป็นอยู่ของซิ่วในจวนอ๋องจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล หากจะติดก็คงมีเพียงเรื่องเดียว นั่นก็นั่นคือเรื่องเจ้าตัวเล็กที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเกิด แต่แล้วในวันหนึ่ง… “พี่หงถง คือว่านะ ข้าสงสัยเรื่องอาหารว่างของพระชายาวันนี้ เลยอยากถามพี่สักหน่อย” ในตอนที่หงถงมายกของว่างของพระชายาที่ห้องครัว เสี่ยวหลัวอดสงสัยไม่ได้จึงรั้งหงถงเพื่อจะถาม เสี่ยวหลันคือสาวใช้ที่ซุยเหลียนเลือกให้มาทำงานในตำหนักหมิง คอยดูแลเรื่องอาหารของพระชายาโดยเฉพาะ “อืม เ
บทที่ 27 บทส่งท้าย ผ่านมาอีกหลายสิบวัน กลางฤดูใบไม้ร่วง สายลมเย็นสบาย อากาศสดชื่นกำลังดี ในช่วงนี้ แคว้นอู๋กำลังจัดงานเทศกาลหยวนเซียว แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ทั่วทั้งเมืองหลวงกลับสว่างไสวด้วยโคมไฟนับหมื่นดวง งานเทศกาลมีทั้งหมดสามวัน นับตั้งแต่งานเทศกาลเริ่มขึ้น บนท้องถนนกลางเมืองหลวงก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คน เด็กๆ พากันถือโคมไฟรูปสัตว์ ยิ้มแย้มสนุกสนาน คนหนุ่มสาวเดินเคียงคู่ เที่ยวงานเทศกาลกันหวานชื่น งานเทศกาลวันที่สอง ช่วงหัวค่ำ จ้าวเฟยอู๋พาซิ่วอิงออกมาเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟเช่นกัน ระหว่างเดินชมงานเทศกาล สายตาลึกล้ำของชายหนุ่มมักจะหลุบมองภรรยาสาวที่เดินข้างๆ อยู่เป็นระยะ “งานเทศกาลชมโคมของแคว้นอู๋สวยหรือไม่” จ้าวเฟยอู๋ถามซิ่วอิงด้วยความเอาใจใส่ ซิ่วอิงที่หันซ้ายหันขวา มองความงดงามของโคมไฟที่ห้อยระย้าเต็มสองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ พอถูกสามีถาม นางก็รีบพยักหน้ารัวๆ แล้วตอบอย่างตื่นเต้น “สวยเพคะ สวยมากๆ อยากให้มีงานแบบนี้ทุกคืนเลยเพคะ!” จ้าวเฟยอู๋ได้ฟังอย่างนั
บทที่ 26คลี่คลาย โทษทัณฑ์ที่เจียวจูจะได้รับย่อมหนีไม่พ้นความตาย! ตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ในอกของซิ่วอิงเกิดความสลดและเศร้าใจ แต่ทว่า… หากลองคิดกลับกัน ถ้าการใส่ร้ายของเจียวจูสำเร็จ คนที่ต้องตายย่อมเป็นซิ่วอิง ทันทีที่คิดได้อย่างนั้น ซิ่วอิงขนลุกซู่ ความเห็นใจที่มีต่อเจียวจูพลันมลายหายไปสิ้น ในตอนนั้นเอง เสียงของขุนนางคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา “วางยาในอาหาร สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ยังเป็นความผิดที่พออภัยให้ได้ แต่ขโมยสมบัติของแคว้นอู๋ออกจากห้องลับ เรื่องนี้ยากให้อภัยพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกของใต้เท้าเหอ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความสงบสุขของแคว้นอู๋ ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ โปรดตัดสินโทษของคุณหนูเจียวจูด้วยเถิด” “โปรดตัดสินโทษคุณหนูเจียวจูด้วยเถิด” ขุนนางคนอื่นๆ ต่างประสานเสียงพูดพร้อมเพรียง ซิ่วอิงสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเหล่าขุนนางเต็มไปด้วยความโกรธ ฝ่ายจ้าวเฟยอู๋มุ่นหัวคิ้วพลางกุมขมับด้วยสีหน้าหนักใจ เขาคิดกับเจียวจูไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ แต่ใครจ
บทที่ 25ยอมรับชะตากรรม “ข้าไม่รู้หรอกว่าทำอะไรให้คุณหนูเจียวจูไม่พอใจ ถึงได้มาใส่ร้ายข้าเช่นนี้” ซิ่วอิงพูดกับเจียวจูด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น เจียวจูแค่นเสียงเฮอะ บอกให้ซิ่วอิงมองชายที่ถูกจับมัดให้ชัดๆ ซิ่วอิงทำทีเป็นมองชายที่ถูกมัดซ้ำๆ ก่อนจะพูดกับเจียวจูด้วยสีหน้าเฉยเมย “ให้มองยังไงข้าก็ไม่รู้จักชายคนนี้อยู่ดี ว่าแต่เจ้าเถอะ ไม่ใช่ว่าไปจับชาวบ้านบริสุทธิ์มาแสดงละครตบตาท่านอ๋องหรอกนะ” “อย่าเสแสร้งหน่อยเลย เขาคือคนที่ลอบเข้ามาในตำหนักหมิง รับแผนผังเมืองหลวงของแคว้นอู๋จากมือของเจ้าเองไม่ใช่หรือ” “นอกจากบ่าวในจวน ข้าไม่เห็นจำได้ว่าติดต่อกับคนอื่นด้วย” “เฮอะ!” เจียวจูแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยื่นม้วนกระดาษเก่าๆ ในมือให้จ้าวเฟยอู๋ “ท่านอ๋อง นี่เป็นหลักฐานที่หม่อมฉันค้นเจอในตัวของคนร้าย เชิญตรวจสอบดูก่อนเพคะ” แผนผังเมืองหลวงแคว้นอู๋เป็นของสำคัญ แค่มองแวบเดียวจ้าวเฟยอู๋ก็จำได้แล้วว่าเป็นของจริงปลอม สมบัติชิ้นสำคัญอย่างแผนผังของแคว้น ปกติควรอยู่ในห้องลับ แต่ทำไมถึงอ
บทที่ 24แผนการอันโง่เขลา เข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง คำสั่งทำอ่างเก็บน้ำและสร้างฝายชะลอน้ำถูกส่งไปยังเมืองต่างๆ ในช่วงนี้งานของจ้าวเฟยอู๋ค่อนข้างยุ่ง รถม้าของเขาจะออกจากจวนตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น กลับเข้ามาอีกครั้งก็เป็นตอนที่ทุกคนหลับหมดแล้ว ถึงแม้โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำที่ซิ่วอิงเสนอไปจะคืบหน้าเป็นอย่างมาก แต่กลับได้ใช้เวลาร่วมกับคนที่รักน้อยลง เรื่องนี้ทำให้ซิ่วอิงทรมานหัวใจไม่น้อยเหมือนกัน “เฮ้อ…คิดถึงจัง” ซิ่วอิงทอดถอนหายใจ พร้อมกับพูดความคิดที่อยู่ในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว [นี่ๆ ความคิดของเจ้าเผยออกมาเป็นคำพูดหมดแล้ว] ระบบเอ่ยเตือน ‘หา!?’ ซิ่วอิงสะดุ้ง รีบเลื่อนสายตามองหงถงและองครักษ์ จริงอย่างที่ระบบพูด พวกเขาต่างยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างไม่ปิดบังสีหน้ากันเลยสักคน “พระชายาเพคะ ในเมื่อคิดถึงท่านอ๋องขนาดนี้ ทำไมไม่ไปหาท่านอ๋องเล่า จริงด้วย…เตรียมของอร่อยๆ ไปด้วยก็ดีนะเพคะ” หงถงเสนอ “เดี๋ยวนี้หงถงของข้ากลายเป็นกุนซือความรักไปแล้วหรือ” ซิ่วอิงแกล้งพู