บทที่ 6
ร่วมห้องกับสามีครั้งแรก
ยามนี้ ซิ่วอิงกับหงถงนั่งรถม้าที่นายหูเตรียมไว้มายังแปลงผักที่อยู่หลังค่าย องครักษ์ทั้ง 5 ควบม้าประกบซ้ายขวา
เมื่อมาถึงสวนปลูกผักที่นายกองหูเป็นคนรับผิดชอบ ซิ่วอิงมองด้วยสายตาตะลึง เนื่องจากที่นี่กินพื้นที่ขนาดกว้างขวาง
“ไม่อยากเชื่อเลยว่านายกองหูจะปลูกทั้งหมดนี้คนเดียว”
นายกองหูยิ้มด้วยความปลื้มใจ
แม้ว่าพืชที่ปลูกส่วนใหญ่จะมีเพียงมันเทศกับเผือก แต่เพราะมีแปลงผักนี้ ค่ายทหารเมืองกัวหลินจึงไม่ขาดแคลนเสบียง
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ดินแบบนี้พอจะปลูกผักอย่างอื่นได้หรือไม่ กระหม่อมอยากให้เหล่าทหารได้กินอาหารหลากหลาย และอยากช่วยท่านอ๋องประหยัดต้นทุนซื้อเสบียง”
ก่อนหน้านี้ นางกับนายกองหูมีโอกาสคุยกัน เลยรู้ว่ามันเทศกับเผือกเป็นผลผลิตที่ของค่ายทหาร
ด้วยความสนใจ ซิ่วอิงจึงขอมาดู
“ข้าเองก็มีความรู้ตื้นเขิน อาจแนะนำท่านได้ไม่มากนัก ที่แนะนำได้คงเป็นให้ท่านลองปลูกพืชตระกูลถั่วหรือไม่ก็พวกฟักทองกับข้าวโพด”
“ถั่วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ พืชที่ข้าบอกไปทนความแห้งแล้งได้ดี หนำซ้ำยังมีสารอาหารครบ เอามาปรุงอาหารก็อร่อยมากด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” นายกองหูยิ้มแย้มเมื่อได้รับคำแนะนำดีๆ
ซิ่วอิงยังแนะนำวิธีการปลูก
แน่นอนว่า วิธีเหล่านี้นางรู้มาจากระบบอีกทีหนึ่ง
หลังจากเสร็จธุระกับนายกองหูแล้ว ซิ่วอิงกับหงถงก็เดินเล่นแถวนั้นต่ออีกหน่อย
[นี่]
ระบบเรียกซิ่วอิง
‘อะไรหรือ’
[ถ้าตานี่ปลูกธัญพืชสำเร็จ คะแนนความชอบของเจ้าต้องเพิ่มขึ้นมากแน่ๆ]
‘นั่นสินะ ฮะๆ’
ซิ่วอิงยิ้มให้ในใจ แม้ว่าความจริงจะไม่ได้คาดหวังอะไรแบบนั้น
[ยังไงก็เถอะ เดินเล่นต่ออีกหน่อยค่อยกลับแล้วกัน]
‘อืม’
.....
.....
เมื่อมีกิจกรรมให้ทำ เผลอแป๊บเดียวพระอาทิตย์ก็ตกดิน
พอตกค่ำ หญิงสาวหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา อ่านไปได้ไม่กี่หน้านางก็รู้สึกง่วง
หญิงสาววางหนังสือลงบนโต๊ะ ปีนกลับขึ้นเตียง หงถงที่คอยปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเข้ามาทำท่าจะดับเทียน
แต่ทว่า…
ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักอึ้งของใครบางคนหยุดลงที่หน้าประตู
สองนายบ่าวชะงักร่างอย่างระมัดระวัง สายตาจดจ้องที่บานประตู
เรือนหลักแห่งนี้แม้มีทหารผลัดกันมาเฝ้ายาม แต่พวกเขาล้วนถูกจำกัดอยู่แค่หน้าประตูข้างนอก
ดังนั้น พอมีผู้มาเยือนโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ทั้งซิ่วอิงทั้งหงถงจึงเกิดความตระหนก
หลายวินาทีผ่านไป ในที่สุดประตูก็ถูกผลักให้เปิดออก พอรู้ตัวตนของผู้เข้ามา สองนายบ่าวต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เป็นท่านอ๋องหรอกหรือ”
หญิงสาวพึมพำ ทว่าสิ้นคำพูดนั้นไม่นาน ซิ่วอิงก็ย่นหัวคิ้ว สายตาจ้องมองจ้าวเฟยอู๋อย่างสงสัย
แล้ว…เขามาที่นี่ในเวลานี้ทำไม!?
จ้าวเฟยอู๋ก้าวเข้ามาในห้องไม่พูดไม่จา
ซิ่วอิงมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าระแวดระวัง
จ้าวเฟยอู๋ไม่เพียงสั่งให้หงถงออกไป เขายังถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วเอาไปแขวนบนราวด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ
ตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้รับใช้พระชายา หงถงก็ติดตามซิ่วอิงตลอดเวลา นางจะมีเวลาเป็นของตัวเองก็ต่อเมื่อพระชายาเข้านอน
ตลอดหลายวันมานี้ หงถงไม่เคยเห็นท่านอ๋องกลับมานอนที่ห้องสักครั้ง
ครั้นพอเห็นท่านอ๋องกลับมาที่ห้อง สมองของหงถงเหมือนหยุดทำงานชั่วขณะ พอถูกสั่งให้ออกจากห้อง นางจึงเงอะงะ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองพระชายาด้วยความลังเล
เห็นอย่างนั้น ซิ่วอิงจึงบอกหงถงว่า “เจ้าออกไปเถอะ”
“เพ…เพคะ”
นั่นสินะ แม้ตอนแรกท่านอ๋องกับพระชายาจะมีเรื่องบาดหมางกัน แต่ทั้งคู่ก็เป็นสามีภรรยา อยู่ร่วมห้องกันก็ถูกแล้ว
เมื่อหงถงออกจากห้องได้สักพักหนึ่ง จ้าวเฟยอู๋ก็เปลี่ยนมาสวมชุดตัวกลางสีขาวเรียบร้อย
ถึงอย่างนั้น ซิ่วอิงยังคงมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าสงสัย
“อยากพูดอะไรหรือ” ชายหนุ่มถามด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
“ท่านอ๋องจะนอนที่นี่หรือเพคะ”
“พระชายาคิดว่ายังไงล่ะ” จ้าวเฟยอู๋ไม่ได้ตอบ แต่ถามถามกลับ
“เท่าที่เห็น คงเป็นเช่นนั้น” ซิ่วอิงตอบพลางยิ้มอย่างแห้งแล้ง
เมื่อเห็นสีหน้าที่เหมือนตื่นเต้น แต่ไม่ได้หวาดกลัวของหญิงสาว มุมปากของจ้าวเฟยอู๋ก็กระดกเป็นรอยยิ้ม
“ไม่นอนแล้วหรือ”
จ้าวเฟยอู๋ไม่พูดเปล่า ยังจับข้อมือของนางเบาๆ
“เอ๊ะ เอ่อ…” ซิ่วอิงอึ้งมองข้อมือที่ถูกจับหลายวินาที ก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “นอนเพคะ”
อย่าบอกนะว่า…เขาจะ…เขาจะ…
[ใช่! เขาต้องการสานสัมพันธ์กับเจ้า]
ขณะที่ซิ่วอิงคิดอย่างตื่นเต้นปน ระบบก็ส่งเสียงในหัว แถมคำนั้นยังทำให้ซิ่วอิงตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม
[ตอบรับความคาดหวังของเขา ฐานะพระชายาของเจ้าจะได้มั่นคงยิ่งๆ ขึ้น]
‘ถึงพูดอย่างนั้นก็เถอะ…’
[เพื่อไม่เป็นการรบกวนความสุขความสำราญของเจ้า งั้น…ขอปิดระบบก่อนน๊า~]
ซิ่วอิงยังไม่ทันได้ห้าม เสียง ‘ปิ๊บ’ สั้นๆ ก็ดังขึ้นทีหนึ่ง
จากนั้น ไม่ว่านางจะเรียกระบบสักกี่ครั้งก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
ปิดระบบเองก็ได้ด้วยหรือ สุดยอดจริงๆ
แล้ว…นางจะทำยังไงกับสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนนี้ต่อ
“ท่านอ๋อง”
ซิ่วอิงเรียกชายหนุ่มพร้อมกับขยับเข้าไปนอนฝั่งใน
จ้าวเฟยอู๋ก็เอนกายลงนอนข้างๆ
แม้ซิ่วอิงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนกับสถานการณ์ที่ล่อแหลม แต่ใช่ว่าจะไม่ประสีประสากับเรื่องอย่างว่า
ในชาติก่อน ซิ่วอิงเคยคบหาดูใจกับแฟนหนุ่มถึงขั้นมีความสัมพันธ์ทางกาย แต่ทุกครั้งที่ร่วมหลับนอน มักจะรู้สึกประหม่าเสมอ
กับจ้าวเฟยอู๋ยิ่งแล้วใหญ่
จ้าวเฟยอู๋ทั้งหนุ่มทั้งหล่อ ร่างกายสูงกำยำเพราะเป็นนักรบ ถึงชุดที่สวมในยุคนี้จะปิดบังร่างกายมิดชิด แต่ดูก็รู้ว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยหมัดกล้าม คนแบบนี้มักจะฮึดถึกทน
อีกอย่างหนึ่ง ยามที่ผู้หญิงจับกลุ่มคุยเล่นกัน ไม่ได้มีแค่เรื่องแฟชั่นหรืออวดแฟน บางครั้งก็คุยเรื่องใต้สะดือเหมือนกับพวกผู้ชาย ครั้งหนึ่งเพื่อนในกลุ่มจู่ๆ ก็โพล่งออกมาว่า ‘หากอยากรู้ว่าไซส์อวัยวะของแฟนใหญ่หรือเล็กให้สังเกตที่นิ้วโป้ง!’
สมมุติว่าผู้ชายคนนั้นนิ้วโป้งเล็กเรียว ไอ้นั่นก็จะเล็กเรียว หากนิ้วโป้งอวบสั้น ไอ้นั่นก็จะอวบสั้น
แม้เรื่องนี้ไม่มีการยืนยันที่แน่นอน แต่เพื่อนในกลุ่มที่เจนสนามบอกว่า 80% มักเป็นแบบนั้น
ซิ่วอิงเหลือบมองนิ้วโป้งของจ้าวเฟยอู๋ นิ้วโป้งของเขายาวหนา ไม่ถึงกับอวบ หากก็ใหญ่สมส่วน
คิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาคู่สวยหลุบมองต่ำทันที
งั้นก็แสดงว่าของเขาใหญ่ยาว เป็นผู้ชายคุณภาพสูง!
พอเห็นซิ่วอิงกำลังมองประเมินส่วนนั้น จ้าวเฟยอู๋กระแอมขึ้นมาทีหนึ่ง
หญิงสาวดึงสายตากลับมา
“เอ่อ…คือ…จริงอยู่ที่หม่อมฉันบอกว่าหากท่านอ๋องต้องการ หม่อมฉันก็ไม่ขัด แต่นี่เป็นครั้งแรก ช่วยเบามือหน่อยนะเพคะ”
ซิ่วอิงหมายถึง เป็นครั้งแรกที่พบเจอของใหญ่ละนะ
เมื่อพูดจบ ความเงียบโรยตัวลงมา
หลายชั่วอึดใจ จ้าวเฟยอู๋พ่นเสียงหัวเราะออกมาดังพรืด…!
“อะไรหรือเพคะ” ซิ่วอิงกะพริบตาถามด้วยความงุนงง
“เจ้าคิดไปถึงไหน”
“ไม่ใช่หรือเพคะ?”
เขากลับมานอนที่ห้อง ไม่ใช่ต้องการเรื่องนั้นหรอกหรือ
จ้าวเฟยอู๋ยิ้มบนมุมปากเบาๆ ก่อนจะบอกว่า “นอนได้แล้ว”
ว่าจบ เขาก็ดับเทียนแล้วล้มตัวลงนอน
ช่างเป็นสุภาพบุรุษ
เลื่อมใส เลื่อมใส!
หญิงสาวคิดอย่างชื่นชม พร้อมกันนั้น หัวใจก็สั่นไหว
บทที่ 21จับหนู (2) “ดะ เดี๋ยวนะเพคะ นี่มัน...หมายความว่ายังไงเพคะ พระชายา!?” ใบหน้าของซุยเหลียนเต็มไปด้วยความสงสัยขณะถามซิ่วอิง “ไม่นานนี้ข้ากับหงถงเห็น ‘หนู’ แอบเข้ามาในตำหนักหมิง กลัวว่าข้าวของมีค่าในตำหนักจะถูกหนูตัวนั้นลักขโมยหรือทำให้เสียหาย เลยให้หงถงตรวจดูให้ทั่ว ถึงจะจับหนูไม่ได้ แต่กลับเจอกระดาษพวกนี้ซ่อนเต็มห้อง” ซิ่วอิงอธิบาย ซุยเหลียนไม่ได้โง่ ย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของพระชายา หนูตัวนั้นคงเป็นใครสักคนในที่นี้ ระหว่างที่ซุยเหลียนรับยันต์มาดู เจียวจูก็แค่นเสียงหัวเราะออกมา “พี่สะใภ้พูดตลกเสียจริง ท่านกำลังจะบอกว่าหนูตัวนั้นแอบเอายันต์พวกนี้มาซ่อนในตำหนักหมิงหรือเจ้าคะ สัตว์เดรัจฉานจะทำแบบนั้นได้หรือ” “นั่นสินะ สัตว์ทำแบบนั้นไม่ได้ แต่สาวใช้ของเจ้าทำได้นี่เนอะ” ขณะพูด ใบหน้าของซิ่วอิงประดับรอยยิ้มบางๆ แต่สายตากดดันอย่างมาก ทำเอาสาวใช้ที่ยืนหลับหลังเจียวจูถึงกับตื่นกลัวตัวสั่น “สาวใช้ของข้า เกี่ยวอะไรด้วยเจ้าคะ” เจียวจูย้อนถาม “ดูที่มือของนาง เดี๋ยวก็ร
บทที่ 20จับหนู (1) ย้อนกลับมาที่ซิ่วอิง หญิงสาวรู้เห็นทุกอย่าง ตั้งแต่สาวใช้ของเรือนเจียวจูแอบทำลับๆ ล่อๆ ในตำหนักหมิง ทั้งยังแอบย่องเข้ามาในห้องนอนใหญ่ ถึงไม่รู้ว่าสาวใช้คนนั้นกำลังทำอะไร แต่ซิ่วอิงก็ปล่อยเลยตามเลย ไม่ได้เปิดโปงในทันที เพราะอยากรู้ว่าเจียวจูวางแผนจะทำอะไรกันแน่ ทันทีที่สาวใช้คนนั้นออกจากตำหนักหมิงไปแล้ว ซิ่วอิงกับหงถงก็ก้าวออกมาจากห้องห้องหนึ่งที่อยู่ติดกับห้องนอนใหญ่ “หงถง เจ้าตรวจดูให้ทั่วห้อง ดูสิว่ามีของหายหรือไม่” “เพคะ” เมื่อรับคำสั่งแล้ว หงถงก็ค้นหาทั่วห้องนอน แน่นอนว่า ของมีค่าของพระชายากับท่านอ๋องไม่ได้หาย แต่กลับเจอยันต์หน้าตาแปลกประหลาดถูกซ่อนไว้ใต้หมอนกับใต้เตียง “พระชายาเพคะ หม่อมฉันเจอยันต์หน้าตาประหลาด” หงถงพูดจบก็ยื่นกระดาษสีเหลืองที่เขียนด้วยอักขระยึกๆ ยือๆ หนำซ้ำ หมึกบนกระดาษยังมีรอยเปื้อน เหมือนว่าน้ำหมึกยังไม่ทันแห้งดีก็ถูกพับเก็บเสียแล้ว “ยันต์หรือ?” ซิ่วอิงรับยันต์เหล่านั้นมาดู ไม่รู้ว่
บทที่ 19เจียวจูลงมือแล้ว! ภาพของจ้าวเฟยอู๋อุ้มซิ่วอิงกลับตำหนักฝังอยู่ในหัวของเจียวจูตลอดคืน ทำให้นางนอนไม่หลับ เมื่อเย็นวาน หลังจากที่เจียวจูไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยง นางก็สั่งบ่าวคนหนึ่งคอยสอดส่องว่างานเลี้ยงจะเลิกเมื่อใด ผ่านยามไฮ่ (21.00 - 22.59 น.) มาแล้ว งานเลี้ยงก็ยังไม่เลิก เหตุนี้เอง เจียวจูจึงมายังเรือนรับรองด้วยตัวเอง ตอนมาถึง เป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นจ้าวเฟยอู๋อุ้มซิ่วอิงออกจากเรือนรับรอง จ้าวอ๋องมองหญิงสาวในอ้อมแขนด้วยแววตาหยาดเยิ้มในขณะที่พากลับตำหนักหนิง ภาพนั้นทำเอาดวงตาของเจียวจูแดงก่ำ สองมือกำแน่น ทั้งเจ็บใจทั้งรู้สึกอิจฉา เจียวจูหลงรักจ้าวเฟยอู๋ตั้งแต่เข้าสู่วัยแรกรุ่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บุตรชายตระกูลขุนนางมากมายส่งเทียบมาสู่ขอ นางจะปฏิเสธกลับไปทั้งหมด ด้วยหวังใจว่าจะได้ครองรักกับจ้าวอ๋อง แต่ว่า จ้าวเฟยอู๋กลับไม่เคยมองนางในฐานะหญิงสาว ในทางกลับกัน เขาคิดกับนางแค่เพียงน้องสาวเท่านั้น เจียวจูจึงทำได้แค่แอบรักจ้าวเฟยอู๋ต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับคิดเข้าข้า
บทที่ 18ผู้ชายคุณภาพสูง! งานเลี้ยงเลิกประมาณ 23.00 น. ตอนกลับมายังตำหนักหมิง ซิ่งอิงเมาแอ๋ แถมยังถูกจ้าวเฟยอู๋อุ้มกลับมา “ถึงแล้ว” จ้าวเฟยอู๋บอกเสียงนุ่มนวล สายตาที่มองหญิงสาวในอ้อมแขนทั้งลึกล้ำทั้งเอ็นดู “อืม” แม้ซิ่วอิงจะตอบรับอย่างนั้น แต่สองแขนของนางกลับคล้องรอบลำคอแกร่งไม่ยอมปล่อย มิหนำซ้ำ ดวงตาคู่สวยยังเอาแต่จ้องมองใบหน้าของจ้าวเฟยอู๋อย่างไม่ละสายตา “เป็นอะไรไป” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย ซิ่งอิงส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ เห็นท่าทางของหญิงสาวแบบนั้น ทำให้ชายหนุ่มอยากรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ เขาจึงถามนางออกไปตรงๆ “เป็นอะไรไป ไม่พอใจอะไรในตัวข้าหรือ” “ท่านเป็นคนที่หล่อมาก!” ทันทีที่ซิ่วอิงโพล่งออกมา ทำเอาจ้าวเฟยอู๋ถึงกับเบิกตาเล็กน้อย ไม่เพียงแค่นั้น หญิงสาวยังกล่าวต่อไปอีก “ท่านทั้งสุขุม ทั้งนิสัยดี ร่างกายสูงกำยำและสมส่วน จัดอยู่ในกลุ่มผู้ชายคุณภาพสูง ไม่แปลกหรอกที่จะมีผู้หญิงมากมายหลงใหล” ได้ยินเช่นนั้น ด
บทที่ 17สร้างความประทับใจ เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาในงานเลี้ยง นายทหารยศขุนพลและเหล่าขุนนางต่างลุกขึ้นยืน ทำความเคารพอย่างให้เกียรติ มิหนำซ้ำ สายตาที่มองซิ่วอิงให้ความเคารพและเลื่อมใส ชัดเจนว่าทุกคนไม่ได้มีอคติใดๆ กับหญิงสาว ซิ่วอิงรอยยิ้มเป็นเชิงตอบรับ แล้วนั่งลงเคียงข้างจ้าวเฟยอู๋ บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด แม้จะเป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่หน้าตาดูน่าทาน ผัดเต้าหู้รสเผ็ด น้ำแกงปลา ไก่ผัดสมุนไพร ผัดผักดองใส่ไข่ แม้ที่นี่จะเป็นจวนจ้าวอ๋อง แต่ประมุขของจวนก็ไม่กินหรูอยู่แพง อาหารทุกอย่างใช้วัตถุดิบธรรมดาที่หาได้ง่าย เพราะว่าจ้าวเฟยอู๋รู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากของชาวบ้าน ขณะที่ซิ่วอิงกำลังจะหยิบตะเกียบ ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งลุกขึ้นยืน พร้อมยกจอกสุราแล้วหันมาพูดกับหญิงสาว “กระหม่อมนามว่าซุนอี้ ดูแลคลังเสบียงภายในเมืองหลวง ได้ยินว่าพระชายาช่วยคลี่คลายปัญหาเรื่องขาดแคลนอาหารที่เมืองกัวหลิน สุราจอกนี้ กระหม่อมขอคารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำของขุนนางอาวุโสท่านนั้น ซิ่วอิงหันมองจ้าวเฟยอู๋อย่างขอความเห็น
บทที่ 16สตรีที่น่ากลัว จ้าวเฟยอู๋กลับมาที่ตำหนักหมิงในตอนเย็น หลังจากล้างเนื้อล้างตัวและเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ชายหนุ่มก็มานั่งโต๊ะกินข้าว “ได้ยินว่าเจ้าสั่งให้เจียวจูคัดลอกกฎระเบียบ 100 จบ?” “เพคะ” ซิ่วอิงตอบหน้าตาเฉย ทั้งยังคีบหมูสามชั้นใส่ถ้วยข้าว “ก็แค่เล่นเกมกันสนุกๆ อีกอย่าง เจียวจูเป็นคนตั้งกฎขึ้นมาเองว่า ‘คนแพ้ต้องฟังคำสั่งของคนชนะ’ ” “อย่างนี้เอง” จ้าวเฟยอู๋บอก “น่าสนุกใช่ไหมเพคะ” จ้าวเฟยอู๋ตอบว่า “อืม” จากนั้นก็นั่งกินข้าวต่ออย่างเงียบเฉียบ ซิ่วอิงเองก็พูดเรื่องของเจียวจูอีก ประเดี๋ยวจะหมดอร่อย หญิงสาวคีบกับข้าวให้จ้าวอ๋องอย่างเอาใจ ทั้งยังเปลี่ยนมาคุยเรื่องรสชาติของอาหาร อันที่จริง ตอนบ่ายวันนี้ เจียวจูวิ่งโร่มาหาจ้าวเฟยอู๋ถึงห้องหนังสือ ฟ้องเรื่องที่ซิ่วอิงสั่งให้ตนคัดลอกกฎระเบียบ 100 จบ จ้าวเฟยอู๋ไม่ได้โง่ คิดว่าสิ่งที่ซิ่วอิงทำไปนั้นต้องมีเหตุผล อีกอย่างหนึ่ง เขาสงสัยมานานแล้วว่าคนอยู่เบื้องหลังเฉินเหนียงก็คือเจียวจู