บทที่ 8
ชายาผู้มากความสามารถ
หลังจากเคาะประตูสามครั้ง ซิ่วอิงก็เอ่ยบอกคนข้างใน
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันเองเพคะ”
“เข้ามาสิ”
ทันทีที่ได้รับอนุญาต หงถงช่วยเปิดประตู
ซิ่วอิงก้าวเข้ามาในห้องทำงาน ในนี้ไม่ได้มีแค่จ้าวเฟยอู๋กับเจิ้งหมิง ยังมีชายอีกสองคน คนหนึ่งอายุราวสามสิบกว่า อีกคนเป็ยชายเข้าวัยกลางคน
“หม่อมฉันเอาของว่างมาให้ท่านอ๋อง…เอ่อ…ท่านอ๋องกำลังคุยธุระกันอยู่หรือ ให้หม่อมฉันออกไปก่อนดีหรือไม่เพคะ”
ตอนพูดประโยคหลัง ซิ่วอิงแสร้งทำสีหน้าลำบากใจ
ชายหนุ่มทั้งสองลุกขึ้นมาประสานมือโค้งศีรษะคารวะหญิงสาว
จากนั้นจ้าวเฟยอู๋ก็แนะนำทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พวกเขาเป็นคนของข้า ทำหน้าที่จัดซื้อวัตถุดิบเข้าคลังเสบียง” จ้าวเฟยอู๋เว้นช่วงครู่หนึ่ง ก่อนจะย้ำว่า “คนของข้าก็คือคนของเจ้า”
คำพูดนั้นแม้จะเรียบง่าย แต่แววตากลับแฝงความลึกล้ำ
คนของเขาก็คือคนของนาง
คำคำนี้ชวนให้หัวใจกระตุกไหวไม่น้อย
หญิงสาวพยายามสงบใจลง ดึงสายตากลับมาจากใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวเฟยอู๋ หันมองทั้งสองคนพร้อมกับตอบ “เพคะ”
“พวกเจ้านั่งลงเถอะ เจ้าก็ด้วย พระชายา”
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ซิ่วอิงนั่งลงตำแหน่งที่ใกล้กับโต๊ะทำงานของจ้าวเฟยอู๋ทันที
จ้าวเฟยอู๋เลิกคิ้วนิดหนึ่ง จากนั้นหันไปบอกตัวแทนจัดซื้อทั้งสองให้เข้าเรื่องกันต่อ
หยวนไห่ หัวหน้าตัวแทนจัดซื้ออายุสี่สิบกว่าปี รายงานจ้าวเฟยอู๋ว่าราคาวัตถุดิบตอนนี้ค่อนข้างสูง สาเหตุเพราะว่าสถานการณ์ที่ไม่สงบสุขของบ้านเมืองในช่วงนี้
พวกเขาไม่เพียงแต่จะหมายถึงความบาดหมางระหว่างแคว้นเฉากับแคว้นอู๋ ยังหมายถึงอาณาจักรตงอวิ๋นที่ขาดองค์จักรพรรดิ
เพราะยังเลือกผู้สืบทอดราชบัลลังก์ไม่ได้ ก็เลยทำให้ข้าวบากหมากแพงหรือ ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
หญิงสาวกระแอมเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
“ขอถามท่านหยวน ปกติแล้ว ท่านซื้อวัตถุดิบจากไหนหรือ”
“เรียนพระชายา ร้านตระกูลหนิงเป็นดั่งเดิมเก่าแก่ คอยจัดหาวัตถุดิบเข้าคลังเสบียงพ่ะย่ะค่ะ ราคาซื้อขายจะผันผวนตามสถานการณ์บ้านเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
“ถึงอย่างนั้น ข้าก็คิดว่าราคานี้แพงไปหน่อย”
“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ว่า...ทางเราไม่มีทางเลือก นอกจากดำเนินการซื้อวัตถุดิบ”
“ทำไมถึงไม่มีทางเลือกหรือ”
“พระชายาคงไม่ทราบ เมืองกัวหลินอยู่ทางใต้สุดของแคว้นอู๋ ฝนฟ้าตกไม่ตรงตามฤดูกาล วัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวได้จึงไม่แน่นอน ปีนี้ฝนทิ้งช่วงนาน ผลผลิตจึงเก็บได้น้อย เหล่าพ่อค้าจึงพากันขึ้นราคาพ่ะย่ะค่ะ”
ซิ่วอิงฟังจบก็พยักหน้าเบาๆ แต่ในใจแอบถามระบบว่า ‘เขาโกหกหรือเปล่า’
[เหมือนจะไม่ได้โกหก]
‘ถ้าอย่างนั้น…’
[พวกเขาอาจถูกพ่อค้าตระกูลหนิงหลอกขาย]
‘มีเหตุผล’
ซิ่วอิงเชื่อระบบ เพราะระบบมีฟังก์ชันจับความรู้สึกจากน้ำเสียง
“ถึงจะเก็บเกี่ยวได้น้อย แต่เมืองกัวหลินไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากรขั้นรุนแรงใช่หรือไม่” หญิงสาวถามหยวนไห่ต่อ
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้น ข้าขอขอบังอาจแนะนำท่านหยวนเล็กน้อย ช่วงที่ฝนทิ้งช่วง เสบียงไม่พอ เหตุใดไม่ใช้วัตถุดิบอื่นมาทดแทน”
“ทดแทนหรือพ่ะย่ะค่ะ!”
สีหน้าของหยวนไห่และผู้ติดตามตะลึงเล็กน้อย
ด้านจ้าวเฟยอู๋เองก็ผุดสีหน้าสนใจ
“ท่านหยวนพอจะทราบหรือไม่ นายกองหูทดลองปลูกพืชผักที่ทุ่งร้างหลังค่าย”
“ทราบพ่ะย่ะค่ะ แต่พืชนายกองหูปลูกในทุ่งร้างล้วนเป็นเผือกกับมันเทศไม่ใช่หรือ ถ้าเป็นสองอย่างนี้ หาซื้อได้ทั่วไป ราคาไม่แพงด้วยพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า...”
หยวนไห่พูดได้แค่นั้นก็เม้มปากเงียบ สีหน้าลำบากใจ
ซิ่วอิงจึงกล่าวต่อประโยคนั้น “เผือกกับมันเทศไม่ค่อยได้รับความนิยมเพราะใช้ปรุงอาหารได้ไม่กี่อย่างใช่หรือไม่”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“ที่ข้าจะพูดก็คือ ตอนนี้นายกองหูกำลังทดลองปลูกธัญพืชอย่างอื่นที่ทนต่อความแห้งแล้งสูง ประมาณสามเดือนพวกท่านรอดูผลงานของเขาได้เลย”
“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้านายกองหูทำสำเร็จ ค่ายทหารนี้...ไม่สิ เมืองกัวหลินก็ไม่ต้องประสบปัญหาซื้อสินค้าแพงๆ แล้ว”
ตัวแทนผู้จัดซื้อทั้งสองพูดด้วยท่าทางตื่นเต้น
“ว่าแต่ ในเมื่อวัตถุดิบที่ตระกูลหนิงหามานั้นมีราคาสูง ทำไมไม่เปลี่ยนที่ซื้อเล่า” ซิ่วอิงเปลี่ยนประเด็น เรื่องนี้ทำให้นางสงสัยมากที่สุด
“เพราะว่าร้านอื่นๆ ราคาไม่หนีกันมากนักพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วพวกเจ้าเคยติดต่อซื้อขายสินค้ากับแคว้นอื่นโดยตรงหรือไม่”
คำถามของซิ่วอิงครั้งนี้ ทำเอาตัวแทนทั้งสองเงียบพักใหญ่ พวกเขาหันมองหน้ากัน สักครู่หนึ่งค่อยหันกลับมาตอบ
“นั่นเป็นหน้าที่ของร้านตระกูลหนิงเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
พอได้ยินคำตอบ ซิ่วอิงอ้าปากเหวอ พูดไม่ออกอยู่เป็นนาที
“มีอะไรหรือ” จ้าวเฟยอู๋ถาม
ซิ่วอิงดึงสติกลับมาแล้วหันไปถามจ้าวเฟยอู๋
“ท่านอ๋องเคยทำการค้ากับแคว้นอื่นหรือไม่”
“แคว้นอู๋ทำการค้ากับแคว้นอื่น แต่ข้าไม่เคยติดต่อโดยตรง ฝ่ายจัดซื้อรับผิดชอบหน้าที่นั้น มีอะไรหรือ”
“ท่านอ๋องงานยุ่ง พระชายาคงทราบใช่หรือไม่” เจิ้งหมิงกล่าวย้ำ
“ข้ารู้ว่าท่านอ๋องงานยุ่ง แต่เงินทองเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องใช้คนที่ไว้ใจได้รับผิดชอบไม่ใช่หรือ สะเพร่าไปหน่อยหรือไม่”
“กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ตัวแทนจัดซื้อทั้งสองคนรีบลงไปคุกเข่าบนพื้น
“ตระกูลหนิงทำการค้ากับพวกเรามาหลายรุ่น อีกอย่าง พ่อค้าเดินทางข้ามพรมแดนซื้อขายสินค้าย่อมสะดวกกว่าการที่พวกเราเดินทางกันเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ” เงียบไปครู่หนึ่ง ซิ่วอิงค่อยกล่าวอีกครั้ง “ที่ข้าบอกว่าสะเพร่า ข้าไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกพวกท่าน ข้าแค่คิดว่าราคาที่ร้านตระกูลหนิงแจ้งมาออกจะแพงไปหน่อย หากเป็นไปได้อยากให้ท่านหยวนจัดตั้งคณะเดินทาง ทำหน้าที่ซื้อขายระหว่างแคว้น ไม่เพียงตรวจสอบราคาตลาดร่วมกับร้านตระกูลหนิง ท่านหยวนอาจซื้อสินค้าราคาถูกกว่าทุกวันนี้ด้วย”
“ก่อตั้งคณะเดินทาง เป็นความคิดที่ดีพ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งหมิงบอก
“กระหม่อมเห็นด้วยกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” หยวนไห่กล่าวเสริม
“พระชายาฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ไม่คิดว่าจะทำการค้าเป็นด้วย” จ้าวเฟยอู๋เยินยอหญิงสาว
ซิ่วอิงยิ้มกลบเกลื่อนเพื่อลบความน่าสงสัย ก่อนจะตอบแบบถ่อมตัวว่า “หม่อมฉันอ่านหนังสือของท่านพ่อมานิดหน่อย เลยพอจะรู้มาบ้างเพคะ ถ้าสินค้าแพงเกินคุณภาพ ก็ควรจะเปรียบเทียบราคากับร้านอื่นก่อนถึงจะทำการตัดสินใจ เรื่องเงินสำหรับหม่อมฉันเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน อีกอย่างหนึ่ง ท่านอ๋องควรหาคนช่วยนายกองหูพัฒนาที่ดินรกร้างหลังค่ายทหาร จัดซื้อเมล็ดพืชผักมาเพิ่ม นายกองหูต้องทำให้เมืองกัวหลินอุดมไปด้วยเสบียงอาหารอย่างแน่นอนเพคะ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
จ้าวเฟยอู๋ยิ้มบาง ทั้งยังรับฟังคำแนะนำของซิ่วอิงอย่างว่าง่าย
ครั้นเห็นสีหน้าของจ้าวเฟยอู๋ ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
ท่านอ๋องเชื่อฟังพระชายาไม่น้อยเลย
อย่างไรก็ตาม สตรีที่ถูกเลี้ยงดูในเรือนอย่างพระชายา ไม่คิดว่าจะรู้เรื่องการค้าด้วย
ช่างเป็นสตรีที่น่าทึ่งเสียจริง!
ณ ตำหนักหมิง ซิ่วอิงกำลังตรวจสอบรายการบัญชีประจำเดือนของจวนอ๋อง อ่านไปได้นิดเดียวก็ต้องนวดขมับเพราะตาจะปิด แถมช่วงนี้เหมือนอ่อนเพลียง่ายด้วย พอเป็นแบบนี้ นางจึงอยากกินอะไรเปรี้ยวๆ อาจช่วยให้ตาสว่างขึ้นก็ได้ ตอนนั้นเอง เสียงของหงถงดังขึ้นที่หน้าประตู “พระชายาเพคะ หม่อมฉันมาแล้วเพคะ” “หงถงจ๋า เจ้ามาช้ามาก รีบมาเร็วๆ” ซิ่วอิงรีบกวักมือเรียกหงถง ครั้นเห็นมะนาวพริกเกลือที่หงถงถือเข้ามาในปากก็น้ำลายสอ ทันทีที่หงถงยื่นจานมะนาวพริกเกลือให้ ซิ่วอิงก็หยิบมะนาวที่หั่นเป็นแว่น โรยด้วยพริกและเกลือ แล้วส่งเข้าปาก รสเปรี้ยวเข็ดฟันทำให้ตาสว่างทันที “อ่า…สดชื่น!” หงถงยิ้มจางๆ ท่าทางของพระชายาไม่ปกติจริงๆ ด้วย เพิ่งคิดอย่างนั้ง หน้าประตูก็มีเสียงของซุยเหลียนกับหมอเจียง เมื่ออนุญาตให้ทั้งสองเข้ามา หมอเจียงวางกล่องยาลง ก่อนจะประสานมือก้มหน้าพร้อมกับกล่าว “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอจับชีพจรพระชายาสักหน่อยได้หรือไม่” “ท่านหมอคิดว่าข้าป่วยงั้นเ
บทที่ 28 บทพิเศษ หลายเดือนต่อมา เข้าสู่ฤดูหนาว ชีวิตคู่ของซิ่วอิงกับจ้าวเฟยอู๋ช่วงนี้ค่อนข้างสงบและเรียบง่าย ชายหนุ่มออกไปทำงานที่นอกจวนตั้งแต่เช้าทุกวัน กลับจวนอีกครั้งก็เป็นช่วงเย็น ส่วนซิ่วอิงจะคอยดูแลความเรียบร้อยในจวน ตอนนี้ตำแหน่งพระชายาของซิ่วอิงมั่นคงมากกว่าเมื่อก่อน เนื่องจากจ้าวเฟยอู๋ได้ประกาศมอบสิทธิ์ขาดในการดูแลจวนให้กับนางด้วยตัวเอง บ่าวไพร่ในจวน นอกจากจะยอมรับซิ่วอิง พวกเขายังให้การเคารพนางด้วยเช่นกัน ความเป็นอยู่ของซิ่วในจวนอ๋องจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล หากจะติดก็คงมีเพียงเรื่องเดียว นั่นก็นั่นคือเรื่องเจ้าตัวเล็กที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเกิด แต่แล้วในวันหนึ่ง… “พี่หงถง คือว่านะ ข้าสงสัยเรื่องอาหารว่างของพระชายาวันนี้ เลยอยากถามพี่สักหน่อย” ในตอนที่หงถงมายกของว่างของพระชายาที่ห้องครัว เสี่ยวหลัวอดสงสัยไม่ได้จึงรั้งหงถงเพื่อจะถาม เสี่ยวหลันคือสาวใช้ที่ซุยเหลียนเลือกให้มาทำงานในตำหนักหมิง คอยดูแลเรื่องอาหารของพระชายาโดยเฉพาะ “อืม เ
บทที่ 27 บทส่งท้าย ผ่านมาอีกหลายสิบวัน กลางฤดูใบไม้ร่วง สายลมเย็นสบาย อากาศสดชื่นกำลังดี ในช่วงนี้ แคว้นอู๋กำลังจัดงานเทศกาลหยวนเซียว แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ทั่วทั้งเมืองหลวงกลับสว่างไสวด้วยโคมไฟนับหมื่นดวง งานเทศกาลมีทั้งหมดสามวัน นับตั้งแต่งานเทศกาลเริ่มขึ้น บนท้องถนนกลางเมืองหลวงก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คน เด็กๆ พากันถือโคมไฟรูปสัตว์ ยิ้มแย้มสนุกสนาน คนหนุ่มสาวเดินเคียงคู่ เที่ยวงานเทศกาลกันหวานชื่น งานเทศกาลวันที่สอง ช่วงหัวค่ำ จ้าวเฟยอู๋พาซิ่วอิงออกมาเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟเช่นกัน ระหว่างเดินชมงานเทศกาล สายตาลึกล้ำของชายหนุ่มมักจะหลุบมองภรรยาสาวที่เดินข้างๆ อยู่เป็นระยะ “งานเทศกาลชมโคมของแคว้นอู๋สวยหรือไม่” จ้าวเฟยอู๋ถามซิ่วอิงด้วยความเอาใจใส่ ซิ่วอิงที่หันซ้ายหันขวา มองความงดงามของโคมไฟที่ห้อยระย้าเต็มสองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ พอถูกสามีถาม นางก็รีบพยักหน้ารัวๆ แล้วตอบอย่างตื่นเต้น “สวยเพคะ สวยมากๆ อยากให้มีงานแบบนี้ทุกคืนเลยเพคะ!” จ้าวเฟยอู๋ได้ฟังอย่างนั
บทที่ 26คลี่คลาย โทษทัณฑ์ที่เจียวจูจะได้รับย่อมหนีไม่พ้นความตาย! ตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ในอกของซิ่วอิงเกิดความสลดและเศร้าใจ แต่ทว่า… หากลองคิดกลับกัน ถ้าการใส่ร้ายของเจียวจูสำเร็จ คนที่ต้องตายย่อมเป็นซิ่วอิง ทันทีที่คิดได้อย่างนั้น ซิ่วอิงขนลุกซู่ ความเห็นใจที่มีต่อเจียวจูพลันมลายหายไปสิ้น ในตอนนั้นเอง เสียงของขุนนางคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา “วางยาในอาหาร สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ยังเป็นความผิดที่พออภัยให้ได้ แต่ขโมยสมบัติของแคว้นอู๋ออกจากห้องลับ เรื่องนี้ยากให้อภัยพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกของใต้เท้าเหอ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความสงบสุขของแคว้นอู๋ ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ โปรดตัดสินโทษของคุณหนูเจียวจูด้วยเถิด” “โปรดตัดสินโทษคุณหนูเจียวจูด้วยเถิด” ขุนนางคนอื่นๆ ต่างประสานเสียงพูดพร้อมเพรียง ซิ่วอิงสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเหล่าขุนนางเต็มไปด้วยความโกรธ ฝ่ายจ้าวเฟยอู๋มุ่นหัวคิ้วพลางกุมขมับด้วยสีหน้าหนักใจ เขาคิดกับเจียวจูไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ แต่ใครจ
บทที่ 25ยอมรับชะตากรรม “ข้าไม่รู้หรอกว่าทำอะไรให้คุณหนูเจียวจูไม่พอใจ ถึงได้มาใส่ร้ายข้าเช่นนี้” ซิ่วอิงพูดกับเจียวจูด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น เจียวจูแค่นเสียงเฮอะ บอกให้ซิ่วอิงมองชายที่ถูกจับมัดให้ชัดๆ ซิ่วอิงทำทีเป็นมองชายที่ถูกมัดซ้ำๆ ก่อนจะพูดกับเจียวจูด้วยสีหน้าเฉยเมย “ให้มองยังไงข้าก็ไม่รู้จักชายคนนี้อยู่ดี ว่าแต่เจ้าเถอะ ไม่ใช่ว่าไปจับชาวบ้านบริสุทธิ์มาแสดงละครตบตาท่านอ๋องหรอกนะ” “อย่าเสแสร้งหน่อยเลย เขาคือคนที่ลอบเข้ามาในตำหนักหมิง รับแผนผังเมืองหลวงของแคว้นอู๋จากมือของเจ้าเองไม่ใช่หรือ” “นอกจากบ่าวในจวน ข้าไม่เห็นจำได้ว่าติดต่อกับคนอื่นด้วย” “เฮอะ!” เจียวจูแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยื่นม้วนกระดาษเก่าๆ ในมือให้จ้าวเฟยอู๋ “ท่านอ๋อง นี่เป็นหลักฐานที่หม่อมฉันค้นเจอในตัวของคนร้าย เชิญตรวจสอบดูก่อนเพคะ” แผนผังเมืองหลวงแคว้นอู๋เป็นของสำคัญ แค่มองแวบเดียวจ้าวเฟยอู๋ก็จำได้แล้วว่าเป็นของจริงปลอม สมบัติชิ้นสำคัญอย่างแผนผังของแคว้น ปกติควรอยู่ในห้องลับ แต่ทำไมถึงอ
บทที่ 24แผนการอันโง่เขลา เข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง คำสั่งทำอ่างเก็บน้ำและสร้างฝายชะลอน้ำถูกส่งไปยังเมืองต่างๆ ในช่วงนี้งานของจ้าวเฟยอู๋ค่อนข้างยุ่ง รถม้าของเขาจะออกจากจวนตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น กลับเข้ามาอีกครั้งก็เป็นตอนที่ทุกคนหลับหมดแล้ว ถึงแม้โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำที่ซิ่วอิงเสนอไปจะคืบหน้าเป็นอย่างมาก แต่กลับได้ใช้เวลาร่วมกับคนที่รักน้อยลง เรื่องนี้ทำให้ซิ่วอิงทรมานหัวใจไม่น้อยเหมือนกัน “เฮ้อ…คิดถึงจัง” ซิ่วอิงทอดถอนหายใจ พร้อมกับพูดความคิดที่อยู่ในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว [นี่ๆ ความคิดของเจ้าเผยออกมาเป็นคำพูดหมดแล้ว] ระบบเอ่ยเตือน ‘หา!?’ ซิ่วอิงสะดุ้ง รีบเลื่อนสายตามองหงถงและองครักษ์ จริงอย่างที่ระบบพูด พวกเขาต่างยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างไม่ปิดบังสีหน้ากันเลยสักคน “พระชายาเพคะ ในเมื่อคิดถึงท่านอ๋องขนาดนี้ ทำไมไม่ไปหาท่านอ๋องเล่า จริงด้วย…เตรียมของอร่อยๆ ไปด้วยก็ดีนะเพคะ” หงถงเสนอ “เดี๋ยวนี้หงถงของข้ากลายเป็นกุนซือความรักไปแล้วหรือ” ซิ่วอิงแกล้งพู