เขาอ้อนวอนน้ำมูกน้ำตาไหล “จอมยุทธทั้งสองท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย พวกเราไม่ได้ตั้งใจพวกท่านอยากได้อะไรข้าล้วนมอบให้ท่านขอร้องพวกท่านปล่อยพวกเราไปเถอะ”ยามอยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ไม่ว่าใครก็ไม่มีความคิดต่อต้านเถียนจี้คนนี้เองก็คร่ำหวอดอยู่ในยุทธภพมานาน ยามเพิ่งเริ่มต่อสู้ก็มองออก ความสามารถของสามีภรรยาคู่นี้อยู่เหนือเขาหากยังสู้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องถูกถีบลงถ้ำแน่“ภรรยาของเจ้ายังอยู่ข้างล่างนะ”กู้หว่านเยว่แสยะยิ้ม“สามีใจร้ายยิ่งนัก ถึงขั้นไม่ลงไปอยู่เป็นเพื่อนนาง?”สีหน้าถังจี้เผือดซีด กู้หว่านเยว่ไม่มอบโอกาสให้เขาตอบสนองได้ทันท่วงที สะบัดแส้ออกไป พันรอบตัวเขา โยนลงถ้ำไปแล้วซูจิ่งสิงเองก็ทำแบบเดียวกัน ถีบคนเหล่านั้นลงถ้ำขณะทั้งสองคนกำลังต่อสู้อยู่ข้างบน ระบบเองก็สำรวจถ้ำเรียบร้อยแล้ว“นายหญิง ข้างล่างมีสุสานใต้ดิน มีสุสานใต้ดินจริงๆ”เสียงของระบบตื่นเต้นอย่างมาก“ภายในสุสานใต้ดินยังมีสมบัติไม่น้อยซ่อนอยู่ หากนายหญิงสามารถเก็บสมบัติเหล่านี้ได้ มิติก็จะอัปเกรดสูงขึ้น”กู้หว่านเยว่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ของระบบ ภายในดวงตาทั้งสองข้างเร่าร้อนขึ้นมาในทันใดนางไ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยเถอะ”กัวเสี่ยวม่านกลับวาสนาดี แม้ว่านางเป็นคนแรกที่ถูกถีบลงมา แต่ตอนนี้นางถึงขั้นยังไม่ตาย“ท่านพี่ ขอร้องท่านช่วยข้าด้วย”กัวเสี่ยวม่านเดินโซเซ หันมองทางเถียนจี้พลางร้องขอความช่วยเหลือ คิดว่าดีร้ายอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากัน ภายใต้สถานการณ์อันตรายเช่นนี้ น่าจะเพียงพอให้ช่วยนางสักครั้งแต่ใครคิดเล่าว่าเถียนจี้กลับหันหน้า ถีบนางแรงๆ หนึ่งทีกัวเสี่ยวม่านถูกถีบจนล้มลงกับพื้น“ทำไม?”นางเบิกตาทั้งสองข้างอย่างเหลือจะเชื่อ“ล้วนมาถึงตอนนี้แล้ว หากสามารถเอาชีวิตรอดได้ก็ย่อมต้องเอาชีวิตรอด”เถียนจี้ตะโกนอย่างไม่ลังเล“เดิมทีสามีภรรยาก็เป็นนกในป่าเดียวกัน ยามภัยมาต่างพากันบินหนี หรือว่าเจ้าไม่เคยได้ยินกระนั้น?”เขาคล้ายไม่ใส่ใจความเป็นตายของกัวเสี่ยวม่าน คิดใช้นางเติมกระเพาะของอสรพิษมีเขาทะเลทรายให้เต็มก่อน ไม่แน่ว่าเขายังสามารถหนีรอดออกไปได้“ท่าน ท่านไม่รู้สึกผิดต่อข้าหรือ?”สายตากัวเสี่ยวม่านสั่นสะท้าน คิดไม่ถึงเลยว่าเถียนจี้ถึงขั้นทำกับนางเช่นนี้“ข้าทำเพื่อท่านมากถึงเพียงนั้น ทุกครั้งล้วนไปหลอกทำร้ายคนแทนท่าน”กัวเสี่ยวม่านโมโหกระอักเลือด“หากไม่ใช่ข้า เดิ
กัวเสี่ยวม่านตะโกนเสียงดัง ดีใจน้ำตาไหล “ทางฝั่งนั้นมีประตูหิน พวกเรารอดแล้ว!”“มีประตูหินๆ พวกเรารีบหนีเข้าไปเถอะ”เถียนหมั่งอุ้มกัวเสี่ยวม่าน หลบเข้าไปภายในประตูหินอย่างทุลักทุเล“ช่วยพวกเราด้วย”“ให้พวกเราเข้าไปด้วยเถอะ”ผู้อยู่ใต้อาณัติยังมีชีวิตรอดอีกสองคนร้องตะโกน กัวเสี่ยวม่านเห็นอสรพิษมีเขาทะเลทรายเลื้อยมาทางนี้แล้ว ร้องตะโกนด้วยความตกใจ“เร็วเข้า ปิดประตูหิน”เถียนหมั่งไม่ใส่ใจความเป็นตายของผู้อื่นอยู่แล้ว เขายังจงใจดันหินหลายก้อนไว้ข้างหลังประตูหิน“ซือซือ”เสียงของอสรพิษขนาดมหึมาดังขึ้นนอกประตู ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงร้องโอดครวญของผู้อยู่ใต้อาณัติก็ดังขึ้นเถียนหมั่งจับจ้องร่างอรชรของกัวเสี่ยวม่าน ทันใดนั้นกอดนางไว้“ไม่เป็นไรแล้ว พี่สะใภ้”เขาฉวยโอกาสนี้จุมพิตบนใบหูของกัวเสี่ยวม่าน“พวกเราปลอดภัยแล้ว”“อย่าทำเช่นนี้” กัวเสี่ยวม่านผลักออกอย่างอึดอัด “ข้าเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของท่าน”“พี่ใหญ่ตายไปแล้ว”เถียนหมั่งจับจ้องเรือนร่างของกัวเสี่ยวม่าน สวรรค์รู้ดี เขารอวันนี้มานานมากเพียงใด“เสี่ยวม่าน พี่ใหญ่ไม่มีค่าพอให้ท่านรักษาตัวดุจหยกเพื่อเขา ภายภาคหน้าให้ข้าดูแลท่านดี
เถียนหมั่งพูดขู่เสียงเรียบ กัวเสี่ยวม่านเห็นจิตสังหารภายในก้นบึ้งของสายตาเขา หัวใจก็สั่นสะท้านสมเป็นพี่น้องกัน ล้วนพึ่งพาอาศัยไม่ได้นางคลี่ยิ้มออกมา“ข้าย่อมต้องไปกับท่าน”ฉวยโอกาสตอนที่เถียนหมั่งไม่สนใจ กัวเสี่ยวม่านดึงปิ่นปักผมลงมา แทงเข้าทางหลังศีรษะของเขาเมื่อครู่ทั้งสองคนเพิ่งโอบกอดกัน ครั้นได้เห็นสมบัติกองนี้ จากแสดงละครกลับกลายเป็นต่อสู้แล้วกู้หว่านเยว่รับชมสถานการณ์ภายนอกผ่านหน้าจอภายในมิติ จูงซูจิ่งสิงมารับชมละครฉากสนุกด้วยกัน“ท่านพี่ ท่านว่าใครจะชนะ?”กู้หว่านเยว่กัดแตงโม ดูอย่างสนอกสนใจซูจิ่งสิงมองอยู่สองหน นิ้วชี้ไปที่กัวเสี่ยวม่าน“นาง บนตัวนางมีความอำมหิตแฝงอยู่”เพิ่งพูดถ้อยคำนี้จบ ปิ่นปักผมในมือกัวเสี่ยวม่านก็แทงเข้าที่อกของเถียนหมั่ง“ท่าน...”เถียนหมั่งคิดไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าลงมือ“สมบัติเหล่านี้เป็นของข้าแล้ว” กัวเสี่ยวม่านลำพองใจมาก ดึงปิ่นปักผมออกอย่างไร้เยื่อใยเถียนหมั่งเจ็บปวดล้มลงกับพื้น “ท่าน อำมหิตยิ่งนัก ข้าเพียงล้อท่านเล่นเท่านั้น”“ข้ามิได้ล้อเจ้าเล่น”กัวเสี่ยวม่านเลื่อนสายตา เดิมทีนางก็ไม่ชอบเถียนหมั่งอยู่แล้ว ย่อมลงมือโดยไร้แรงกด
กัวเสี่ยวม่านล้มลงบนพื้น ตายตาไม่หลับกู้หว่านเยว่หมุนตัวไปทางขวาหันปากกระบอกปืนดำมืด เล็งเข้าที่เถียนหมั่ง ยิงเขาทีหนึ่งมั่นใจว่าทั้งคู่ตายแล้ว นางจึงเลื่อนสายตามองกองสมบัติเบื้องหน้า“นี่คล้ายสมบัติที่หญิงคนหนึ่งนำมาวางไว้ที่นี่”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิด มองเครื่องประดับเต็มตู้ ก็รู้ได้ว่าเจ้าของถ้ำนี้รักความงามมากเพียงใด“หีบและตู้ล้วนเต็มไปด้วยฝุ่น มองออกว่าไม่มีคนมาอย่างน้อยหลายสิบปีแล้ว”ซูจิ่งสิงวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน“ดังนั้น สมบัติเหล่านี้น่าจะไม่มีเจ้าของน้องหญิงสามารถเอาไปอย่างสบายใจได้”“พรืด!”กู้หว่านเยว่หัวเราะเบาๆ ค้นพบอย่างกะทันหัน“ท่านพี่ ข้าพบว่าทุกครั้งยามท่านพบสมบัติ ล้วนไม่เกิดความคิดอยากได้”ดวงตานางใกล้จะเปล่งประกายอยู่รอมร่อดีหรือไม่ ชายคนนี้กลับสุขุมถึงเพียงนี้ซูจิ่งสิงพูดยิ้มๆ “เงินเป็นของนอกกาย”ดีดีดีหากคนอื่นพูดถ้อยคำนี้ กู้หว่านเยว่ย่อมไม่เชื่อ แต่นี่กลับหลุดออกจากปากซูจิ่งสิงทันใดนั้นนางเชื่อแล้วสามีของนางไม่ชอบทั้งเงินทั้งอำนาจ เป็นสุภาพบุรุษผู้เที่ยงธรรมคนหนึ่ง“เอ๋ ที่นี่มีหนังสือหนึ่งเล่มด้วยล่ะ”กู้หว่านเยว่พบบันทึกหนึ่ง
มิติอัปเกรดอีกครั้งแล้ว“เอ๋?”จู่ๆ กู้หว่านเยว่ก็พบความชุลมุนวุ่นวายที่มุมหนึ่ง คล้ายเสี่ยวไป๋กำลังก่อความวุ่นวาย“ท่านพี่ ข้าเข้าไปดูก่อน”นางบอกกล่าวซูจิ่งสิงหลังเสี่ยวไป๋ถูกรับเข้ามิติก็เชื่อฟังมาโดยตลอด ไม่เคยมีช่วงเวลากระวนกระวายเช่นนี้มาก่อน“ได้ ข้ารอเจ้าข้างนอก”ซูจิ่งสิงพยักหน้า กู้หว่านเยว่รีบเข้ามิติ“เสี่ยวไป๋ เจ้าเป็นอะไรไป พบเรื่องอะไรงั้นหรือ?”เสี่ยวไป๋บิดตัวไปมาบนพื้น สายตาหันมองไปยังทิศทางหนึ่งกู้หว่านเยว่สังเกตเห็นว่าเสี่ยวไป๋คล้ายอยากออกไป“เจ้าอยากไปจากที่นี่หรือ?”นางถามหยั่งเชิง ดวงตาเสี่ยวไป๋ทอประกายดูท่าแล้วงูยักษ์สีขาวตัวนี้อยากไปจากมิติจริงเสียด้วย กู้หว่านเยว่เอ็นดูสัตว์เลี้ยงภายในมิติมาโดยตลอด โบกมือพาเสี่ยวไป๋ออกมาปรากฏว่าเพียงเสี่ยวไป๋ออกมาก็เลื้อยออกไปภายนอกอย่างบ้าคลั่ง ความเร็วนั้นทำให้กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงตกตะลึงพรึงเพริด“นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”ซูจิ่งสิงเอ่ยถามอย่างตกตะลึงเขาเข้ามิติของกู้หว่านเยว่อยู่บ่อยครั้ง ย่อมรู้ว่าเสี่ยวไป๋คืองูยักษ์ที่กู้หว่านเยว่เลี้ยงไว้ภายในมิติ“ข้าเองก็ไม่รู้ เมื่อครู่ข้าพบว่ามันมีท่าทีกระวนกร
“เจ้าเด็กคนนี้ ใช่อสรพิษมีเขาทะเลทรายยักษ์ที่เพิ่งผ่านศึกใหญ่มากระนั้น?”กู้หว่านเยว่จิ้มศีรษะเสี่ยวไป๋เบาๆ ทีหนึ่ง เจ้าเด็กคนนี้เผยท่าทีไร้พิษสงออกมาอีกครั้ง“ไป ไปพักในมิติดีๆ เถอะ”กู้หว่านเยว่ให้เสี่ยวไป๋เข้าไปพักผ่อนภายในมิติ จากนั้นมาหยุดต่อหน้าอสรพิษมีเขาทะเลทรายอสรพิษมีเขาตัวนี้ยาวราวห้าถึงหกเมตร“เป็นอสรพิษมีเขาที่ใหญ่มากตัวหนึ่ง”แววตากู้หว่านเยว่สั่นไหว หยิบกริชเล่มหนึ่งออกจากมิติ“น้องหญิง จะทำอันใดหรือ?”“ถุงน้ำดีและหนังของอสรพิษมีเขาล้วนเป็นยาชั้นดียังมีพิษภายในฟันของมันนั้นอีก รีดออกมาแล้วสามารถทำเป็นยาพิษได้”กู้หว่านเยว่อธิบายยิ้มๆ“งูใหญ่ถึงเพียงนี้อายุน่าจะราวร้อยปี จะพลาดไปไม่ได้”ซูจิ่งสิงพยักหน้า เขาเองก็เคยได้ยินมาก่อนว่าอสรพิษสามารถนำมาทำยาได้“เช่นนั้นให้ข้าช่วยเจ้าเถอะ”อสรพิษตัวใหญ่ถึงเพียงนี้ อาศัยเพียงกู้หว่านเยว่จัดการคนเดียว ก็ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการถึงยามใด ซูจิ่งสิงเป็นฝ่ายหยิบกริชออกมา ช่วยอยู่ที่ฝั่งหนึ่งทั้งสองคนทำเสียจนเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดพราวเต็มศีรษะถลกหนังงู ขูดถุงน้ำดี ถอดฟันใช้เวลาราวหนึ่งกว่าชั่วยาม นี่ถึงจัดการอสรพิษมีเขาเรีย
เพียงประโยคเดียวก็ปลุกคนตื่นจากฝันถ้อยวาจานี้ของลั่วยางทำให้เกาเจี้ยนใจเย็นลง“เจ้าพูดได้ไม่ผิด แต่หรือจะให้ข้านิ่งดูดายกระนั้น?”ลั่วยางใคร่ครวญเล็กน้อย“ท่านเข้าไปเพียงคนเดียวย่อมไม่ได้ เอาเช่นนี้เถอะ ตอนนี้ท่านกลับเมืองไปขอกำลังเสริมก่อน ข้าจะรอท่านที่นี่”แววตานางสุขุมเยือกเย็น ความประหลาดใจภายในสายตาเกาเจี้ยนชัดเจนมากยิ่งขึ้น“เจ้าพูดถูก ถึงตอนนั้นพวกเราใช้พลุสัญญาณสื่อสารกัน หากพวกเขาออกมาแล้ว เจ้าก็ปล่อยพลุสัญญาณ”ทั้งสองปรึกษากันจบ เกาเจี้ยนเตรียมออกเดินทาง ทันใดนั้นสายตาชิงเหลียนทอประกาย“พวกท่านรีบดู นั่นใช่นายท่านและฮูหยินหรือไม่?”เมื่อครู่ขณะทั้งสองคนปรึกษากัน ชิงเหลียนมิได้เอ่ยปากอยู่ตลอดนางเชื่อว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจะต้องกลับออกมา“นายท่านและฮูหยินกลับมาได้ไม่ผิดไปดังคาด”ชิงเหลียนยิ้มพลางเข้าไปต้อนรับ สายตาเกาเจี้ยนและลั่วยางทอประกาย“ดีดีดี พวกเจ้านับว่ากลับมาแล้ว”“บังเอิญพบเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย จึงเสียเวลาไปบ้าง โชคดีฟ้ายังไม่มืด”กู้หว่านเยว่อธิบายยิ้มๆ สายตาตกลงบนตัวเกาเจี้ยน“ตอนอยู่ไกลๆ ได้ยินพวกเจ้าคล้ายกำลังเถียงกัน”เกาเจี้ยนลูบศีรษะอย
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้