กู้หว่านเยว่ส่งเสียงเอะอะโวยวาย ดูแล้วเหมือนสตรีไร้สมองคนหนึ่ง คนชุดดำจึงไม่ใส่ใจนางอีกต่อไป ผลักนางเข้าไปขังไว้ในห้อง“เฝ้าไว้ให้ดี อย่าให้คนข้างในหนีไปได้” คนชุดดำสั่งการจบ ก็มีทหารยามสองคนเข้ามาล็อกประตู แล้วยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูคนละฝั่ง“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป...” กู้หว่านเยว่แสร้งทำเป็นทุบประตู เมื่อเห็นว่าคนชุดดำด้านนอกเดินไปไกลแล้ว นางจึงเริ่มสำรวจห้องที่อยู่ตรงหน้าเป็นไปตามที่นางคาดไว้ สถานที่แห่งนี้เดิมทีน่าจะเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนต่างถิ่นกลุ่มนี้น่าจะเข้ามายึดครองหมู่บ้านนี้ แล้วใช้หมู่บ้านนี้เป็นฐานที่มั่น ดูจากร่องรอยในห้องแล้ว พวกเขาน่าจะมาถึงได้ไม่นานเพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้คนในหมู่บ้านนี้หายไปไหนกันหมด หรือว่าจะถูกคนกลุ่มนี้จัดการไปแล้ว?กู้หว่านเยว่ใช้เทเลพอร์ต ออกจากห้องมายังนอกหมู่บ้าน แล้วหยิบพลุสัญญาณที่ใช้ติดต่อกับซูจิ่งสิงออกมา ยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา ซูจิ่งสิงก็ขี่ม้ามาถึง“น้องหญิง เป็นอย่างไรบ้าง?”“เจอฐานที่มั่นของพวกเขาแล้ว อยู่ในหมู่บ้านนี้เอง แต่ข้ายังไม่ได้เริ่มสำรวจ ไม่รู้ว่าทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดหรือไม่” กู้หว่านเยว่บอกตามค
เมื่อครู่ในรถม้า กู้หว่านเยว่ได้สบตากับซูจิ่งสิงแล้วการออกตามหาร่องรอยของกลุ่มกบฏเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย สู้ใช้แผนซ้อนแผน แสร้งทำเป็นถูกพวกเขาจับตัวเป็นเชลย เพื่อตามหาแหล่งกบดานของพวกเขาจะดีกว่าเมื่อหาแหล่งกบดานของพวกเขาเจอแล้ว ค่อยยิงพลุสัญญาณออกไป ถึงตอนนั้นซูจิ่งสิงก็จะนำคนมาสมทบเองกู้หว่านเยว่สังเกตสถานการณ์รอบด้านไปพลาง จดจำเส้นทางไว้ในใจเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น นางจึงซ่อนตัวอยู่ในกระสอบป่าน ไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย“ระวังตัวกันหน่อย ฐานะของหญิงผู้นี้ไม่ธรรมดา พาตัวนางกลับไป ให้หัวหน้าเป็นผู้ตัดสิน”คนชุดดำที่แบกกู้หว่านเยว่อยู่เอ่ยสั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม“ขอรับ” คนชุดดำคนอื่น ๆ ต่างขานรับ แล้วเร่งความเร็วในการเดินทางและคำพูดของคนกลุ่มนี้ก็ทำให้กู้หว่านเยว่วางใจได้อย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของนางไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว กู้หว่านเยว่รู้สึกว่านางถูกพาเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง“หมู่บ้านนี้อยู่ห่างจากด่านเซียวเพียงหนึ่งวันเดินทาง ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังวางแผนการชั่วร้ายอะไรบางอย่างอยู่ในหมู่บ้านนี้”กู้หว่
ทันทีที่สิ้นเสียง ลูกธนูแหลมคมลูกหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากนอกหน้าต่างรถม้าซูจิ่งสิงตาไว มือไว เขาดึงกู้หว่านเยว่และจ้านจ้านให้หมอบลงพร้อมกัน จึงรอดพ้นจากคมธนูดอกนั้นไปได้แววตาของกู้หว่านเยว่เย็นเยียบลงเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าร่องรอยของพวกเราจะถูกเปิดเผยแล้ว” ยังไม่ทันถึงด่านเซียว มือสังหารก็ล้อมเข้ามาเสียแล้ว“ท่านพี่ระวังหน่อย บนลูกธนูนั่นมีสีเขียวคล้ำ มันอาบยาพิษ” ซูจิ่งสิงพยักหน้า “เจ้ากับลูกอยู่ในรถม้าไปก่อน ข้าจะออกไปดูว่าผู้ใดมันบังอาจถึงเพียงนี้”กู้หว่านเยว่กอดจ้านจ้านไว้แน่นภายในอ้อมแขน พลางหยิบเบาะรองนั่งนุ่ม ๆ มาคลุมร่างของจ้านจ้านไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาถูกลูกธนูที่ยิงสะเปะสะปะเข้ามาทำร้าย“จ้านจ้านไม่ต้องกลัวนะ มีแม่อยู่ตรงนี้” กู้หว่านเยว่ปลอบโยนเสียงเบาไม่คาดคิดว่าเด็กน้อยจ้านจ้านจะใจกล้ายิ่งนัก “ท่านแม่วางใจเถิด จ้านจ้านไม่กลัว ท่านพ่อจัดการคนเลวพวกนั้นได้อยู่แล้ว”“เด็กดี!”ความภาคภูมิใจแวบขึ้นมาในใจของกู้หว่านเยว่ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังขึ้นจากนอกรถม้าจริง ๆ ครู่ต่อมา ก็มีคนชุดดำคนหนึ่งเข้ามาใกล้รถม้าและพุ่งเข้าโจมตีกู้หว่านเยว่แต่ยังไม่ทันที่คนชุ
จูจิ้งเหวินราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต รีบคุกเข่าลงต่อหน้าก่วนเหยียน “ใต้เท้าก่วน โปรดฟังข้าน้อยสักคำ เรื่องการติดสินบนนั้นข้าน้อยบริสุทธิ์จริง ๆ ใต้เท้าโปรดให้โอกาสข้าน้อยอีกครั้ง!”ก่วนเหยียนถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความโมโห ตอนที่เขาเพิ่งได้รับเงินสินบนจากจูจิ้งเหวิน เขาก็ยังไม่กล้ายืนยันแน่ชัด เกรงว่าจะใส่ร้ายบัณฑิตผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นจึงได้ส่งคนไปสืบสวนเป็นพิเศษ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจูจิ้งเหวินผู้นี้จะเป็นผู้กระทำผิดจนเป็นนิสัย แม้กระทั่งผู้อำนวยการสำนักศึกษาก็เคยถูกเขาติดสินบนมาแล้ว หลักฐานแต่ละชิ้นล้วนวางอยู่ตรงหน้า เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะใส่ร้ายจูจิ้งเหวิน แต่ตอนนี้จูจิ้งเหวินกลับยังมีหน้ามาร้องขอความเป็นธรรม เขาชักอยากจะเห็นแล้วว่าคนผู้นี้ยังมีอะไรจะพูดอีกก่วนเหยียนจึงเอ่ยถาม “ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าบริสุทธิ์ หรือว่าข้าใส่ร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ?”จูจิ้งเหวินรีบคุกเข่า “ใต้เท้าสายตาเฉียบแหลม ย่อมไม่ใส่ร้ายข้าน้อยเป็นแน่ เพียงแต่ว่าข้าน้อยบริสุทธิ์จริง ๆ เรื่องนี้เป็นฝีมือของซ่งอวิ้น อดีตภรรยาของข้าน้อยที่แอบทำลับหลังข้า ข้าไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย”ก่วนเหยียนหรี่ตาลงจูจิ้งเหวินก
ชิงเหลียนพอจะจำคนผู้นี้ได้ “ก็คือผู้ว่าการอำเภอเซียงหยางที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งคนนั้น ได้ยินมาว่าเขาอายุสามสิบแล้วแต่ยังไม่แต่งงานเลย แต่ว่าวันที่ข้าไปรับเอกสารราชการก็เหลือบมองแวบหนึ่ง หน้าตาก็ไม่เลวเลยเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่เริ่มสนใจขึ้นมา “คนผู้นี้ชื่ออะไรหรือ?”“ดูเหมือนจะสกุลก่วนเจ้าค่ะ”ซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเรียบ “ก่วนเหยียน เป็นทั่นฮวาในสมัยที่มู่หรงถิงยังดำรงตำแหน่ง คนผู้นี้เป็นคนซื่อตรง เกลียดชังพวกประจบสอพลอผู้มีอำนาจที่สุด จึงได้ล่วงเกินคนในแวดวงขุนนางไปไม่น้อย แม้จะมีความสามารถ แต่ก็ไม่ได้รับการส่งเสริม ตอนนี้จึงยังเป็นได้เพียงผู้ว่าการอำเภอ”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “มิน่าเล่า เขาถึงได้รังเกียจการติดสินบนของจูจิ้งเหวิน”ขณะที่สองสามีภรรยากำลังคุยเรื่องซุบซิบกันเพลิน ๆ พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า หลังจากที่พวกเขาจากมาได้ไม่นาน จูจิ้งเหวินก็ได้ไปหาห่าวเจินเจินถึงที่จริง ๆ “เจินเจิน ถือว่าเห็นแก่ความเป็นสามีภรรยาของเราเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ข้ามันหน้ามืดตามัวเอง นับจากนี้ไป เจ้ากับข้าจะกลับมาคืนดีกัน ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้าเสียใจอีก จะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”เพียงไม่กี่วันที่ไ
กู้หว่านเยว่เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของซูจิ่งสิง ก็รู้ได้ทันทีว่าในจดหมายลับต้องมีเรื่องสำคัญบางอย่างเป็นแน่“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับด่านเซียวหรือ?”“อีกสิบวัน พวกเขาจะรวมตัวกันนอกเมืองด่านเซียว เพื่อสังหารหมู่ชาวบ้าน”ซูจิ่งสิงยื่นจดหมายลับให้กู้หว่านเยว่“พวกเขาไม่ใช่คนต่างเผ่า แต่เป็นพรรคพวกที่ยังหลงเหลืออยู่ของมู่หรงถิง”กู้หว่านเยว่พลันเข้าใจในทันที มิน่าเล่าทางชายแดนถึงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ที่แท้ก็เป็นพรรคพวกของมู่หรงถิง“มู่หรงถิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มานานกว่ายี่สิบปีแม้ว่าเขาจะถูกลงโทษไปแล้ว แต่การที่ยังมีกลุ่มผู้ติดตามหลงเหลืออยู่ก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เผาจดหมายลับทิ้ง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เหลือร่องรอยใด ๆ “ท่านพี่ ท่านคิดจะทำอย่างไร?”มู่หรงถิงคือศัตรูผู้สังหารบิดามารดาของซูจิ่งสิง ซูจิ่งสิงจึงเกลียดชังมู่หรงถิงเข้ากระดูกดำ แต่สำหรับพรรคพวกที่หลงเหลืออยู่นั้น เขากลับใช้วิธีลงโทษสถานเบาชีวิตผู้คนบริสุทธิ์ เขาก็ไม่ต้องการที่จะฆ่าล้างบางน่าเสียดายที่พรรคพวกเหล่านี้กลับไม่ใช่คนฉลาด ไม่รู้จักล่าถอยไปใช้ชีวิตอย่างสงบสันโดษในป่าเขา แต่กลับมารวมตัวกันเพื่อก่อกบฏอย่าง