ใต้เท้าสวีกลัวซูจิ่งสิงลงมือต่อ ไม่กล้าเสแสร้งแกล้งทำอีก ลากกล่องออกมาอย่างว่าง่ายกู้หว่านเยว่รีบเปิดกล่องออก ตกตะลึงเหม่อลอยในทันใดมองเห็นภายในใส่เครื่องทองและตั๋วเงินเต็มๆ หนึ่งกล่องใหญ่ประเมินภาพรวมดูแล้ว ตั๋วเงินเหล่านี้มีนับหนึ่งแสนตำลึงเลยทีเดียวกู้หว่านเยว่กวาดเงินทั้งหมดจนเกลี้ยงอย่างไม่เกรงใจ นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันก่อนหน้านี้ สายตาตกลงบนตัวขุนนางชั่วสวีนางไม่คิดปล่อยอีกฝ่ายไปเช่นนี้“ท่านพี่ ท่านอุดปากเขาไว้ ใช้เชือกมัดให้ดี พวกเราไปตลาดสดกัน”“อือ อืออืออือ!” ใต้เท้าสวีอุทานออกมาอย่างตกตะลึงสองคนนี้ไร้คุณธรรม!ได้เงินแล้วถึงขั้นไม่ปล่อยเขาไป!“จะทำเช่นไรกับนาง?” ซูจิ่งสิงชี้ไปทางนางหลิวที่กำลังนอนหมดสติบนตียง ขมวดคิ้วแน่น“ไม่ต้องสนใจนาง” นางหลิวทำผิดพลาดชวนให้คนดูแคลน กระนั้นก็เป็นหญิงต้องเลี้ยงดูลูกคนหนึ่ง กู้หว่านเยว่ไม่อยากสร้างความลำบากให้นางทั้งสองคนอุดปากใต้เท้าสวีเอาไว้ มัดตัวแน่นหนา ขนไปที่ตลาดสดหาเสาไม้ที่ใจกลางตลาดสด กู้หว่านเยว่หยิบเชือกแข็งแรงออกมาหนึ่งเส้น มัดใต้เท้าสวีกับเสาไม้“ท่านยังมีคำใดต้องการพูดอีกหรือไม่” กู้หว่านเยว่
“คืนนี้ข้าไม่นอนแล้ว จะอยู่เฝ้าเจ้าที่ข้างเตียงนี่ล่ะ”“ทำเช่นนั้นไม่ได้ หากไม่นอนจะเหนื่อยมากเพียงใด ท่านมานอนพร้อมข้าเถอะ” กู้หว่านเยว่เปลื้องเสื้อคลุมตัวนอกออก มักคิดว่าเอวนางหนาขึ้นกว่าก่อนไม่น้อยนางคงมิได้ตั้งครรภ์จริงหรอกกระมัง?เพียงความคิดนี้โผล่ขึ้นมา กู้หว่านเยว่ก็ส่ายหน้าแล้วครั้งเดียวเท่านั้น ไฉนเลยจะยิงร้อยครั้งถูกร้อยครั้งได้ จะต้องเป็นเพราะระยะนี้เจริญอาหารเกินไปแน่นอน“ข้าพิงขอบเตียงนอนก็แล้วกัน” ซูจิ่งสิงไม่กล้าพูดว่าเขาขึ้นเตียงนอนแล้วกลับเหนื่อยยิ่งกว่า ต้องเกร็งเครียดร่างกายตลอดทั้งคืน“ก็ได้” กู้หว่านเยว่จู๋ปาก มิได้ลูบกล้ามท้อง เสียใจจริงเชียวเช้าวันต่อมา เพียงทั้งสองออกจากห้องก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างอารมณ์ดีของคนทางด้านล่างแล้ว“ได้ยินแล้วหรือไม่ ใต้เท้าสวีสวีเสี้ยนเฉิงแห่งจวนผู้ว่าการอำเภอถึงขั้นถูกคนแก้ผ้าล่อนจ้อน โยนทิ้งไว้ที่ตลาดสด!”“น่าตื่นเต้นเพียงนี้เชียวรึ? รีบไปดูเร็วเข้า”คนในโรงเตี๊ยมวิ่งไปที่ตลาดสดบรรยากาศยามค่ำคืนของเจดีย์หนิงกู่หนาวเหน็บ อุณหภูมิติดลบนับสิบกว่าองศาขุนนางชั่วสวีนอนหมดสติอยู่บนพื้น กลายเป็นน้ำแข็งย้อย หูสองข้างเองก็ถู
“ข้าชี้แนะเจ้าให้รีบไปเร็วหน่อย ช้ากว่านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ทันการ” กู้หว่านเยว่เอ่ยเตือนอย่างหวังดี“เจ้าหมายความว่ากระไร?”หัวหน้าหมู่บ้านเฉินเห็นใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของกู้หว่านเยว่ เกิดลางสังหรณ์บางอย่างขึ้นภายในใจ รีบขับลาเทียมเกวียนเข้าเมืองเพียงเข้ามาก็ได้ยินข่าวลือไปทั่วว่าเกิดเรื่องขึ้นกับใต้เท้าสวีแล้ว“ตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”สีหน้าหัวหน้าหมู่บ้านเฉินตกตะลึงว้าวุ่น รีบขับรถมาจนถึงประตูเรือนสกุลสวีผลลัพธ์คือทั่วทั้งสกุลสวีเละเป็นโจ๊กหนึ่งหม้อ ไม่มีใครสนใจพวกเขาแล้วยังเป็นขอทานหน้าประตูบอกพวกเขาอย่างหวังดี เมื่อคืนถึงขั้นมีคนร้ายสองคนบุกเข้าจวนสกุลสวี!ไม่เพียงปล้นสมบัติทั้งหมดของสกุลสวี ยังจับใต้เท้าสวีแก้ผ้าล่อนจ้อนไปทิ้งไว้ที่ตลาดสดใต้เท้าสวีถูกแช่แข็งตลอดคืน ร่างกายม่วงคล้ำ หมดสติไม่รู้สึกตัวบัดนี้หมอมีชื่อเสียงสิบกว่าคนกำลังร่วมมือกันช่วยเหลือ ก็แค่อาการถูกความเย็นจัดของใต้เท้าสวีหนักมากเกินไป ต่อให้ช่วยชีวิตกลับมาได้ ก็ไม่ต่างอันใดจากคนพิการ“ข้าว่านะ จวนสวีจบสิ้นแล้วล่ะ” ขอทานกลับดูมีความสุขในคราวเคราะห์ของผู้อื่นหัวหน้าหมู่บ้านเฉินสองพ่อ
ต้นไม้ใหญ่เฉกเช่นใต้เท้าสวีล้มลงไปแล้ว เขาต้องคิดหาหนทางรับมือกับคนต่างถิ่นกลุ่มนี้ให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข นั่นเป็นไปไม่ได้!คนหัวแข็งอย่างกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง ภายภาคหน้ามีเพียงกดขี่ข่มเหงเขาแล้วแต่ไหนแต่ไรมาหัวหน้าหมู่บ้านเฉินเป็นผู้เดียวที่มีสิทธิ์ออกความเห็นภายในหมู่บ้านสือหานแห่งนี้ ไฉนเลยจะสามารถอดทนได้?!แววตาหัวหน้าหมู่บ้านเฉินมืดมน ทันใดนั้นเกิดความคิดชั่วร้ายอย่างหนึ่งขึ้นภายในสมองอีกด้านหนึ่งกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงขับรถม้ากลับมาถึงหมู่บ้านสือหานแล้วก่อนเข้าหมู่บ้าน กู้หว่านเยว่ตั้งใจหยิบอาหารปรุงสุกดีแล้วออกจากมิติวิเศษโดยเฉพาะ จากนั้นวางลงบนรถม้าเพียงซูจิ่นเอ๋อร์และคนอื่นออกมาก็มองเห็นของกินบนรถม้าทั้งสองคัน กลิ่นอาหารหอมฉุยชำแรกจมูก ทันใดนั้นอุทานออกมาอย่างตกตะลึง“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกท่านไปซื้อของในเมืองมาอีกแล้วหรือ? มิหนำซ้ำยังซื้อกลับมามากเพียงนี้อีกด้วย!”“พวกเราอยู่ไกลจากเมืองตู้เปียน ซื้อมาหน่อยก็ไม่ต้องไปบ่อยๆ แล้ว”“จื่อชิงเสี่ยวอันเสี่ยวหรง มาขนอาหาร” กู้หว่านเยว่ตะโกนเรียกสองสามคนนั้นออกมาทั้งสามคนรีบวิ่งออกมาจากภายใน แม้แต่หลี่อวิ๋นอว
ขณะผ่านเข้ามิติวิเศษ กู้หว่านเยว่ใช้เข็มเงินทำให้นางหยางเข้าสู่ห้วงนิทราต่อมาเปิดการใช้งานเครื่องมือของหอแห่งโอสถ ตรวจร่างกายอย่างเต็มรูปแบบหลังตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว กู้หว่านเยว่พบว่าภายในสมองของนางหยางถึงขั้นมีลิ่มเลือดหนึ่งก้อนใหญ่เว้นเสียแต่สิ่งนี้ ร่างกายก็ไม่มีปัญหาอื่นดูท่าแล้วสาเหตุที่ทำให้นางโง่งมก็เพราะลิ่มเลือดนี้กู้หว่านเยว่พาคนออกจากมิติวิเศษ“หว่านเยว่ ท่านแม่เป็นเช่นไร?” ซูจิ่งสิงขยับขึ้นมารับนางหยางไว้ วางลงบนเตียงเตาเบาๆ“ท่านแม่ไม่เป็นไร ลิ่มเลือดนั้นไม่สามารถผ่าตัดออกมาได้ ทำได้เพียงกินยาละลายเท่านั้น”ซูจิ่งสิงไม่เข้าใจว่าผ่าตัดมีความหมายเยี่ยงไร แต่เห็นว่ามิใช่เวลาสมควรถาม ดังนั้นจึงเอ่ยปาก“ต้องกินยาอะไร?”พูดถึงเรื่องนี้ กู้หว่านเยว่เผยสีหน้าขมปร่า “ยาชนิดนี้หายากมาก”“เจ้าพูด”ขอเพียงสามารถรักษานางหยางให้หายดีได้ ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดเขาก็ยอม“หญ้าทารกกำสรวล” ยาสมุนไพรชนิดนี้ล้ำค่าราคาแพงมาก ต่อให้เป็นกู้หว่านเยว่ก็ทำได้เพียงอ่านผ่านตำราโบราณเท่านั้นบนแพลตฟอร์มซื้อขายมีแต่สมุนไพรพบเห็นได้ทั่วไปเหล่านั้นหากหาสมุนไพรไม่พบ เช่นนั้นลิ่มเลือดภาย
“ชาวบ้านมิใช่พูดว่าเด็กที่ตายภายในหมู่บ้านล้วนไม่สามารถฝังได้ นี่ถึงใช้หญ้าห่อพวกเขาและโยนทิ้งที่หลังเขา ใช่หรือไม่ว่า...”“เสียงร้องไห้เสียดหูล้วนเป็นเสียงของเด็กที่ตายไปแล้วเหล่านั้น?”“อ๊าอ๊าอ๊า!” สองสามคนเดาไร้สาระมากขึ้นเรื่อยๆ กอดกันร้องตะโกนโวยวายดังลั่นซูจิ่งสิงรังเกียจจนเบือนหน้าหนี ไม่มองอีกดวงตากู้กว่านเยว่กลับทอประกาย ดึงซูจิ่งสิงมาที่ฝั่งหนึ่ง “ท่านพี่ ท่านจำเรื่องที่พวกเราเพิ่งพูดกันได้หรือไม่ เสียงของหญ้าทารกกำสรวลคล้ายเสียงร้องไห้ของเด็กมาก”“เจ้ากำลังจะบอกว่าเสียงร้องไห้ที่พวกเขาได้ยินเป็นเสียงของหญ้าทารกกำสรวลรึ?”“ตอนนี้ข้ายังไม่กล้ายืนยัน คืนนี้พวกเราอย่านอนเลย ลองฟังดูว่ามีเสียงร้องไห้หรือไม่”ฤดูหนาวฟ้ามืดเร็ว เพียงอาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าก็มืดสนิท ภายในอากาศยังมีเกล็ดหิมะลอยละล่องเด็กสองสามคนนอนตัวสั่นๆ บนเตียงเตา สายตากวาดมองทุกสารทิศตกดึกเสียงเด็กร้องไห้ก็เริ่มดังออกมาเป็นห้วงๆซูจิ่นเอ๋อร์ตกใจมุดศีรษะเข้าใต้ผ้าห่ม“พี่หญิงจิ่นเอ๋อร์ พวกเราอยากนอนกับท่าน” หลี่เฉินอันและเสี่ยวหรงกอดผ้าห่มย้ายไปอยู่ฝั่งข้างนางหยาง“คนขี้ขลาด” เมี่ยชิงหว่านเติบโตในภูเข
“ไม่รู้”กู้หว่านเยว่กวาดตามองรอบกายแวบหนึ่ง สายตาตกลงบนสมุนไพรสีเขียวมรกตสองต้นที่ใต้หน้าผา“อาจเกี่ยวข้องกับสมุนไพรนี้” กู้หว่านเยว่ดึงสมุนไพรหนึ่งนั้นออกมาผ่านถุงมือรูม่านตาหดลงในทันใด“ท่านพี่ท่านรีบมาดูนี่เร็วเข้า สมุนไพรนี้คล้ายหญ้าทารกกำสรวลมาก”“จริงหรือ?” ซูจิ่งสิงก้าวเท้าฉับไวเข้ามาแล้วกู้หว่านเยว่รีบหยิบตำราเกี่ยวข้องกับหญ้าทารกกำสรวลออกมาจากมิติวิเศษ ทั้งสองเปรียบเทียบภาพวาดในตำราใบสีเขียวมรกต ผลกลมสีแดง รากคล้ายใบหน้าเหี่ยวย่นอัปลักษณ์ของผู้ชรา...“ตรงทั้งหมดเลย!” สายตาซูจิ่งสิงสั่นไหว ยื่นมือออกไปต้องการดึงหญ้าทารกกำสรวลลงมา“ระวัง อย่าแตะโดนหญ้าทารกกำสรวลเป็นอันขาด อาจมีพิษ”กู้หว่านเยว่รีบหยิบกล่องหยกออกจากมิติวิเศษ ใส่หญ้าทารกกำสรวลทั้งสองต้นลงไปอย่างระมัดระวังผ่านถุงมือกู้หว่านเยว่หาหญ้าทารกกำสรวลพบแล้วก็ดีใจมากเป็นพิเศษ ยิ้มจนมองไม่เห็นตา“ช่างได้มาโดยไม่เสียแรงโดยแท้ โรคโง่งมของท่านแม่มีทางรักษาแล้ว”ซูจิ่งสิงเองก็อารมณ์ดีไม่น้อย สายตาตกลงบนผู้เฒ่าทั้งสองไม่มองก็ไม่รู้ เพียงมองเห็นก็ตกตะลึงพรึงเพริด“หว่านเยว่ ผู้เฒ่าผมขาวท่านนี้คล้ายเป็นหมอเทวดา
“ขายหน้า ขายหน้าเกินไปแล้ว!”กู้หว่านเยว่มองอย่างแปลกใจ “ท่านร่วมเดินทางกับปรมาจารย์แพทย์ ถึงขั้นไม่รู้ว่าเมือกของหญ้าทารกกำสรวลมีพิษหรือ?”“เขาหลอกข้า!”พริบตาต่อมาหมอเทวดาหวงเบิกตากว้างอย่างโมโห “เขาจงใจให้ข้าแตะหญ้าทารกกำสรวลก่อน ทำให้ข้าโดนพิษ!”แต่เขาไม่ยอมก็ใช้ได้แล้ว ครั้นรู้สึกไม่ชอบมาพากลก็แตะเมือกลงบนตัวปรมาจารย์แพทย์ใครรู้ปรมาจารย์แพทย์รู้เพียงว่าเมือกของหญ้าทารกกำสรวลมีพิษ กลับไม่มียาถอนพิษดังนั้นทั้งสองคนจึงเสียสติไปพร้อมกัน...“พวกท่านทั้งสองยอมตายไปพร้อมกันนี่เอง” มุมปากกู้หว่านเยว่กระตุกริกใครคาดคิดเล่าว่าผู้เฒ่าทั้งสองเอาแต่ใจเหมือนเด็กเพียงนี้หากนางและซูจิ่งสิงไม่มา พวกเขาทั้งสองก็ต้องแข็งตายทั้งเป็นที่ใต้หน้าผานี้แล้ว“ใช่แล้ว หญ้าทารกกำสรวลเล่า?” หมอเทวดาหวงมองพื้นหิมะสีขาวว่างเปล่า“อยู่กับข้าที่นี่ ผู้อาวุโสต้องการหรือ?” โชคดีเด็ดมามากอีกหนึ่งต้น“ข้าต้องการๆ!” ดวงตาหมอเทวดาหวงทอประกาย เจตนาร้ายสายหนึ่งกลับสะท้อนภายในก้นบึ้งของสายตากู้หว่านเยว่คิดว่าตนเองมองผิดไปแล้ว หยิบหญ้าทารกกำสรวลออกมามองเห็นปรมาจารย์แพทย์ไม่อยู่นิ่งเป็นศพอีก ผุดลุกขึ้นมาอ
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป