ในขณะที่ทุกคนกำลังไปทำตามหน้าที่ของตน จู่ ๆ พวกทหารพม่าที่ยังคงซุ่มอยู่บริเวณนี้ก็ได้นำกำลังกลับมายังหมู่บ้านนี้อีกครา พวกมันใช้กำลังพลนับห้าสิบปิดล้อมหมู่บ้านเอาไว้ เพราะมีทหารลาดตระเวนได้เห็นว่ายังมีชาวบ้านหลงเหลืออยู่
“แย่แล้วนังคำเอื้อย!!! ไอ้พวกข้าศึกมันล้อมพวกเราเอาไว้รอบหมู่บ้านเลย แล้วพวกเราจะทำเยี่ยงไรกันดีรึ”
แม่ลำดวนเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจครั้นได้เห็นว่าพวกทหารพม่ามันพากันย้อนกลับมา ทุกคนรีบมารวมตัวกันเพื่อฟังทางออกที่จะออกจากสถานที่แห่งนี้
“ไม่มีหนทางอื่นนอกจากตีฝ่าวงล้อมของพวกมันออกไป”
คำเอื้อยบอกถึงหนทางแก้ปัญหาในเพลานี้ของนาง นางไม่หวั่นเกรงหากว่านางต้องตายไปในวันนี้ แต่นางจะไม่มีวันยอมสวามิภักดิ์ต่อพวกกบฏแน่นอน
นายคล้าวเริ่มวางแผนด้วยการที่จะยอมเป็นตัวหลอกล่อพวกมันแล้วให้พวกสตรีหนีออกไปก่อน คำเอื้อยไม่เห็นด้วยเพราะนางจะไม่มีวันยอมทอดทิ้งสหายร่วมรบของนางเป็นอันขาด ทุกคนก็มีความเห็นเช่นเดียวกันกับคำเอื้อย สุดท้ายทางออกเดียวคือฝ่าออกไปแม้จะต้องสิ้นชีพไปในวันนี้ก็ตาม
ทันทีที่นายคล้าวส่งสัญญาณทุกคนก็หยิบดาบซึ่งเป็นอาวุธคู่กายของตนออกมา เพลานี้แม้จะต้องแลกด้วยเลือดเนื้อก็ไม่มีผู้ใดในพวกเขายอมแพ้ต่อศัตรูเบื้องหน้า ทหารพม่าครั้นเห็นว่าพวกที่ยังมีชีวิตรอดถือดาบออกมาจึงพุ่งเข้าไปปะทะทันที
เสียงของคมดาบที่ฟาดฟันกันดังอยู่นานหลายชั่วยาม ทหารฝั่งพม่าล้มตายไม่น้อย แต่แล้วฝั่งของคำเอื้อยก็พลาดพลั้ง เพราะนายคมถูกพวกทหารพม่ารุมฟันเข้าที่กลางหลังและสังหารเขาอย่างไร้ความปรานี
“ไอ้คม!!! พี่คม!!!!”
ทุกคนที่เห็นภาพนั้นต่างพากันตะโกนชื่อของนายคมสหายร่วมรบออกมา คำเอื้อยเจ็บปวดที่พี่ชายร่วมรบถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา นางฟาดฟันทหารพม่าอย่างไร้ความปรานีเช่นกัน คนแล้วคนเล่าที่เข้ามาปะทะกับนางก็มีอันต้องล้มตายไป
“พี่ลำดวนกับพี่เสือรีบพากันหลบหนีออกไปก่อน รีบไปส่งข่าวให้แก่หมู่บ้านของพวกเราว่าพวกข้าศึกคงจะอยู่อีกไม่ไกลจากแล้ว”
คำเอื้อยร้องบอกสหายร่วมรบของนาง นางลำดวนกับนายเสือมองหน้ากันด้วยความลังเล แต่แล้วทั้งคู่ก็ตัดสินใจฝ่าวงล้อมออกไปตามที่คำเอื้อยบอก เพื่อรีบไปแจ้งข่าวให้พวกชาวบ้านบางระกำได้เตรียมตัว
“พวกเอ็งระวังตัวด้วย อยู่รอดปลอดภัยกลับไปกินปิ้งไก่ด้วยกัน” นายเสือบอกสหายร่วมรบทุกคนก่อนที่จะรีบพาลำดวนฝ่าวงล้อมออกไป
คำเอื้อยมองตามพี่สาวและพี่ชายร่วมรบทั้งสองไปด้วยแววตาที่แสนเศร้า ไม่รู้ว่านางและพวกพี่ๆ ที่ช่วยกันต่อสู้กับพวกข้าศึกในเพลานี้จะอยู่รอดกลับไปกินปิ้งไก่กับพี่น้องที่หมู่บ้านบางระกำอีกไหม
แต่หากนางจะต้องสิ้นชีพไปในวันนี้นางก็จะไม่เสียใจ เพียงแค่เสียดายที่ไม่ได้ร่ำลาทุกคนที่รอพวกนางอยู่ คนที่เหลืออยู่ช่วยกันป้องกันพวกทหารพม่าให้แก่ทั้งสอง จนนางลำดวนและนายเสือสามารถฝ่าวงล้อมหนีออกไปได้
“ถึงวันนี้ข้าจะตายเป็นผีอยู่ที่นี่ข้าก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเสียดายแล้วล่ะพี่คล้าว ไอ้อ้น”
ในขณะที่ฟาดฟันพวกทหารพม่าที่พุ่งเข้ามาหาตน หลังของคำเอื้องชนเข้ากับหลังของคล้าว พี่ชายร่วมรบนางจึงได้กล่าวออกมา
“เพื่อแผ่นดินสยามนี้แล้ว...ข้าสละชีวานี้ให้ได้” นายอ้นตะโกนออกมาเสียงดัง คำเอื้อยพยักหน้าทั้งน้ำตาที่ได้ยินเยี่ยงนั้น
“จงภูมิใจเสียเถิดที่พวกเอ็งได้หลั่งเลือดเพื่อแผ่นดินสยามของเรา”
คล้าวบอกเพียงเท่านั้นก็พุ่งกายออกไปปะทะฝีดาบกับพวกทหารพม่าอย่างองอาจ คำเอื้องเองก็ไม่ต่างกัน
โลหิตของพวกทหารข้าศึกหลั่งรินลงบนแผ่นดินสยามคนแล้วคนเล่า แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟนั้นไม่ผิดนัก เพราะสหายร่วมรบของคำเอื้อยถูกฟาดฟันจนชีวาวายร่วงหล่นลงผืนแผ่นดินสยามไปทีละคน จนเพลานี้เหลือเพียงแค่นาง นายคล้าว และนายอ้นที่ยังคงยืนหยัดกัดฟันสู้อยู่แม้จะได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย
ภายในใจของคำเอื้องนางนั้นยังคงเป็นห่วงสหายร่วมรบทั้งสองที่ตีฝ่าวงล้อมของพวกทหารพม่าออกไปเพื่อส่งข่าวให้แก่หมู่บ้านบางระกำ นางได้แต่หวังให้ทั้งสองคนไปถึงที่หมู่บ้านอย่างแคล้วคลาดปลอดภัย เสียงของการปะทะกันดังขึ้นอีกไม่นานนักเสียงนั้นก็สงบลง ร่างของวีรสตรีและวีรบุรุษแห่งแดนสยามนอนจมกองโลหิตอยู่บนผืนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยศพของทหารที่ถูกฆ่าตายไปนับสามสิบ ชาวบ้านเพียงแปดคน แต่ทว่ากลับฟาดฟันทหารพม่าไปเกือบหมดกองให้ตายตกไปตามกัน
จากวันนี้ไปไม่มีอีกแล้ว คำเอื้อยสตรีหาญกล้าแห่งบ้านบางระกำ ไม่มีอีกแล้วคำเอื้อยสตรีที่เป็นแบบอย่างให้แก่เหล่าสตรีลุกขึ้นมาจับดาบช่วยบุรุษต่อสู้กับพวกข้าศึกที่มารุกรานผืนแผ่นดินเกิด นางสิ้นใจไปด้วยความภาคภูมิ แม้นจะไม่มีโอกาสได้เห็นอนาคตภายภาคหน้าของแผ่นดินสยามอีกก็ตาม ความดีของนางแม้ลูกหลานจะไม่ได้รับรู้ แต่นางเองนั้นรู้แก่ใจดี ว่านางได้ทำหน้าที่ตอบแทนคุณแผ่นดินเกิด… ตายไปก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว
ณ หมู่บ้านซานฉี เมืองถิงฮวา แคว้นเจียงโจว“ขนมจ้า…. แวะมาชิมแวะมาอุดหนุนกันก่อนสิจ๊ะ ขนมของยายข้านั้นรสหวานอร่อยหาผู้ใดในเมืองนี้เทียบเคียงมิได้เลยเจ้าค่ะ” เสียงเล็กกำลังร้องเรียกลูกค้าที่กำลังเดินเลือกซื้อสินค้าในตลาดซานฉี ให้แวะเวียนมาซื้อขนมหวานในร้านเล็กๆ ของท่านยายเด็กหญิงวัยสิบปีที่กำพร้าทั้งบิดามารดาตั้งแต่นางยังเยาว์วัย นางอาศัยอยู่กับยายที่มีอาชีพทำขนมขายในตลาดเมืองถิงฮวา แม้จะอยู่กันเพียงสองยายหลาน ซุนฉีก็ไม่เคยปล่อยให้หลานสาวเพียงคนเดียวอย่างชิงเหมยอดอยาก แม้นว่านางยังเยาว์วัยแต่ก็รู้ความนัก คอยช่วยเหลือผู้เป็นยายขายขนมทุกวัน“เหมยเอ๋อร์… มาดื่มน้ำสักนิดเถิดลูก เสียงของเจ้าแหบแห้งหมดแล้ว”ซุนฉีบอกหลานสาวเพียงคนเดียว ชิงเหมยหันกลับไปมองใบหน้าของท่านยายแล้วส่งยิ้มให้ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปภายในร้านขนม มือเล็กหยิบถ้วยน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหายลูกค้าเริ่มแวะเวียนกันเข้ามาเลือกซื้อขนมของซุนฉีที่มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนมเซาปิ่ง ขนมกุ้ยฮวา และหมั่นโถวอุ่นร้อน ร้านของซุนฉีแม้จะเป็นร้านเล็กๆ แต่ก็เป็นที่รู้จักของชาวบ้านซานฉีแห่งนี้ ลูกค้าหลายคนต่างรู้สึกเอ็นดูสงสารหลานสาวของนาง
หมอสวีหันกลับไปมองเด็กหญิงผู้น่าสงสารที่นอนหายใจแผ่วเบาอยู่บนเตียง ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของนางแล้ว ว่านางจะพ้นวิบากกรรมในครานี้ไปได้หรือไม่ เพราะเขาเองก็จนปัญญาที่จะรักษานาง ที่เขาทำได้แค่เพียงต้มยาให้แก่นางเพื่อรักษาสัญญาณชีพของนางเอาไว้เพียงเท่านั้นหนึ่งคืนกับการนอนที่โรงหมอของท่านหมอสวี ซุนฉีจึงขอพาหลานสาวกลับไปพักที่เรือนของนาง ร่างเล็กถูกเคลื่อนย้ายไปยังเรือนหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดมากนัก ชาวบ้านฉีซานต่างมองมาที่สองยายหลานด้วยแววตาเวทนา บ้างก็ตำหนิญาติฝั่งบิดาของชิงเหมยที่ทอดทิ้งหลานแท้ๆ ให้มาตกระกำลำบากกับสตรีที่เป็นแม่หม้ายตั้งแต่ยังสาวเช่นนางซุนฉี แม้นางจะขยันขันแข็งแต่ก็มิอาจทำให้ชีวิตของหลานสาวดีขึ้นได้“วันนี้ยายจะทำน้ำแกงที่เจ้าชอบ ตื่นขึ้นมาเถิดหลานยาย เจ้านอนไปสองวันหนึ่งคืนแล้วหนา” มือหยาบกร้านที่ทำงานหนักมาตั้งแต่ยังสาวกุมมือเล็กของหลานสาววัยเจ็ดปีเอาไว้พลางกล่าวออกมาทั้งน้ำตา“เคราะห์กรรมอันใดกัน เหตุใดถึงได้เลือกเจ้า เหตุใดถึงมิไปเลือกพวกคนใจดำตระกูลซิ่ว”ซุนฉีพึมพำออกมาทั้งน้ำตา หากโชคชะตาจะเลือกผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เหตุใดถึงมิใช่พวกฝั่งพ่อของหลานสาว เหตุใดถึงให
หลังจากหลานสาวตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับไปถึงสามคืน ซุนฉีก็ได้ไปตามท่านหมอสวีให้กลับมาช่วยตรวจดูอาการของชิงเหมยอีกครา คำเอื้อยที่เพิ่งได้กลับมาเกิดใหม่ยังคงไม่อาจปรับตนให้เข้ากับชีวิตใหม่ได้ แม้นภาพในอดีตของเด็กหญิงจะวนเวียนเข้ามาภายในห้วงนึกคิดของนาง ราวกับได้รับรู้ทุกเหตุการณ์ที่เจ้าของร่างประสบพบเจอมาตั้งแต่เกิดเหตุใดเด็กหญิงผู้นี้ถึงช่างอาภัพและน่าสงสารยิ่งนัก เทียบกับชีวิตของนางในชาติภพก่อนแล้ว ชีวิตของเด็กหญิงนั้นช่างโชคร้ายกว่านางยิ่งนัก ทั้งสูญเสียบิดาที่เป็นขุนนางไปในสนามรบ และสูญเสียมารดาไปตั้งแต่นางเยาว์วัย ตระกูลของบิดาก็ทอดทิ้งทำให้นางต้องมาอาศัยอยู่กับท่านยายที่เป็นเพียงแม่ค้าขายขนมในตลาด ถูกเด็กๆ วัยเดียวกันที่เป็นลูกหลานของขุนนางกับพวกเศรษฐีกลั่นแกล้งรังแก“เหมยเอ๋อร์… ไหนขอลุงตรวจดูอาการของเจ้าเสียหน่อยเถิด…”เด็กหญิงนอนมองผู้ที่นางรู้มาจากท่านยายว่าเขาเป็นท่านหมอที่รักษาให้แก่นางอีกทั้งยังเป็นสหายเก่าของท่านยาย เรียวแขนเล็กยื่นออกไปให้เขาจับชีพจรที่ข้อมือของนาง ใบหน้าที่มีร่องรอยตามวัยเผยรอยยิ้มออกมา“อาการของนางเป็นเช่นไรบ้างท่านหมอสวี” ซุนฉีเอ่ยถามอาการของหลานสาวด้วย
สามวันต่อมาร้านขายขนมของซุนฉีในวันนี้นั้นดูจะมีลูกค้ามาอุดหนุนมากกว่าทุกวัน เป็นเพราะเด็กหญิงที่กำลังป่าวร้องเชิญชวนลูกค้าให้เข้ามาเลือกซื้อขนมที่ร้าน ผู้ใดผ่านมาเห็นนางเข้าก็รู้สึกเอ็นดู เด็กที่ขยันขันแข็งเช่นนี้เหตุใดถึงได้มีชีวิตที่อาภัพยิ่งนัก ยิ่งหลังจากที่ได้รับรู้เรื่องที่ว่าเด็กหญิงผู้อาภัพต้องล้มป่วยและนอนหลับไปนานถึงสามคืนทุกคนจึงพร้อมใจกันมาอุดหนุนขนมของซุนฉีเพราะอยากช่วยเหลือนาง ซุนฉีเป็นคนดีและมีน้ำใจ ยามที่นางลำบากจึงไม่มีผู้ใดในตลาดเมินเฉยต่อนางครั้นเห็นว่าซาลาเปากับเกี๊ยวใกล้จะหมด สองยายหลานจึงช่วยกันลงมือปั้นแป้งอย่างเคย แต่สิ่งที่ทำให้ซุนฉีรู้สึกประหลาดใจนั่นก็คือฝีมือการปั้นแป้งของหลานสาวนั้นเปลี่ยนไป ดูเชื่องช้าลงจากที่เคยและดูเละเทะไม่จับก้อนเช่นก่อนหน้า หรือการล้มป่วยลงจะทำให้หลานสาวของนางลืมเลือนการปั้นแป้งไปเสียแล้ว“เหมยเอ๋อร์… ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะช่วยยายปั้นแป้งได้ไวกว่านี้อีกหนา หากเจ้ายังรู้สึกไม่ค่อยดีกลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนดีหรือไม่ อีกไม่นานก็ยามโหย่วแล้ว" ซุนฉีกล่าวออกมาชิงเหมยจึงชะงักมือพลางมองก้อนแป้งตรงหน้าของนางกับของท่านยายมันช่างแตกต่
หนึ่งเดือนพ้นผ่านเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงวัยสิบปีกำลังเชิญชวนลูกค้าที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาหน้าร้านขนมของท่านยายให้แวะอุดหนุนขนมของพวก ลูกค้าหลายคนนึกเอ็นดูเด็กหญิงที่ขยันขันแข็ง จึงแวะเวียนเข้าไปซื้อขนมของซุนฉีติดไม้ติดมือกลับไป แต่ก็มีลูกค้าประจำอยู่หลายคนที่แวะเวียนมาอุดหนุนเพราะชื่นชอบในรสชาติของขนมร้านซุนฉี“ข้าขอซื้อซาลาเปากับเซาปิงอย่างละห้า”เสียงของลูกค้าประจำดังขึ้นมาทำให้ชิงเหมยหันไปมอง ครั้นได้เห็นว่าเป็นผู้ใดนางจึงคำนับเขา ครั้นคุณชายหนุ่มพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้ นางจึงหันกลับไปสนใจเรียกลูกค้าที่กำลังเดินผ่านหน้าร้านของท่านยายต่อ คุณชายรองสกุลเฉียวยิ้มน้อยๆ ออกมาก่อนที่น้ำเสียงที่คุ้นเคยจะดังขึ้นเบื้องหน้า“มาแต่เช้าเลยหรือเจ้าค่ะคุณชาย”“วันนี้ขายดีหรือไม่” เด็กหนุ่มถามผู้ที่ทักทายเขาออกมา“วันนี้ขายดียิ่งนักเจ้าค่ะ คงจะเป็นเพราะเหมยเอ๋อร์หนึ่งเดือนมานี้นางขยันขันแข็งเรียกลูกค้าเข้าร้านมาเรื่อยๆ นี่ข้าน้อยกับนางก็ปั้นแป้งทำซาลาเปากันไปสามรอบแล้วเจ้าค่ะ”ซุนฉีมองไปยังร่างเล็กที่อยู่หน้าร้านก่อนที่จะหันมาคีบซาลาเปาและขนมเซาปิงใส่ปิ่นโตไม้ที่บ่าวรับใช้คนสนิทคุณชายสกุลเฉียว
“ที่เขาบอกว่าเจ้าสลบไปสามคืนแล้วตื่นมาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนนี่คงไม่ใช่เรื่องโป้ปดสินะ” คุณหนูสกุลชิวเอ่ยถามออกมา“ข้าน้อยมิได้เปลี่ยนไปหรอกเจ้าค่ะคุณหนู เพียงแต่ข้าน้อยได้เติบโตขึ้นเท่านั้นเอง” คำตอบของชิงเหมยเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี“คิกๆๆ เติบโตอันใดกัน เจ้าก็วัยเดียวกับพวกข้าที่ต้องเล่นสนุกสิ โอ้…ใช่สิ เจ้าดูอวบอ้วนขึ้นนะชิงเหมย หรือว่าเจ้ากินเยอะจนยายของเจ้าต้องบังคับให้เจ้าทำงานตอบแทนนาง”“ก็คงจะเป็นเช่นนั้นแหละเจ้าค่ะ นี่ก็ถึงยามที่ข้าน้อยต้องถึงเรือนแล้ว แต่ว่าข้าน้อยยังคงอยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนหนาเจ้าคะ ข้าน้อยยังมีงานที่ต้องทำ”ซุนเหมยคร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับเด็กๆ เหล่านี้ นางคำนับลาบรรดาคุณชายและคุณหนูผู้สูงศักดิ์ก่อนที่นางจะรีบสาวเท้าก้าวเดินไปตามเส้นทางกลับเรือนของท่านยายโดยที่ไม่ได้รั้งรอฟังคำอนุญาตจากเด็กๆ เหล่านี้อีก เด็กทุกคนมองตามนางไปด้วยสายตางุนงงและรู้สึกไม่สนุกด้วยที่เด็กหญิงที่เคยเป็นเด็กอ่อนแอยอมให้พวกตนรังแก วันนี้กลับไม่เกรงกลัวพวกตนเช่นทุกครา“ไม่สนุกเลย หาคนใหม่มาเล่นด้วยเถิด” คุณชายสกุลเฟยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย“นั่
เสียงตีฆ้องร้องบอกยามเหม่าดังขึ้น ปลุกให้ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสิบปีลุกขึ้นจากที่นอน เสียงนกที่ร้องเรียกพวกพ้องให้ออกไปหากินดังก้องไปทั่วท้องนภาแม้ว่าแสงจันทรายังไม่ลาลับไปก็ตาม ผู้คนต่างก็ตื่นนอนหุงหาอาหารกันเฉกเช่นทุกวัน วันนี้เป็นวันสำคัญของชิงเหมย เพราะเป็นวันที่สำนักศึกษาหวุนซีจะเปิดรับศิษย์ที่สามารถผ่านการทดสอบของสำนักศึกษา ชิงเหมยนั้นเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเพราะไม่อยากที่จะพลาดโอกาสในปีนี้ไป“อาบน้ำแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วออกมากินข้าวเถิดเหมยเอ๋อร์…”น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนของท่านยายที่ดังมาจากด้านนอกทำให้ชิงเหมยยิ้มกว้างออกมา ท่านยายของนางนั้นช่างดีต่อนางยิ่งนัก ถึงแม้นจะไม่มีบิดามารดานางกลับไม่รู้สึกว่าตนเองโหยหาความรักเลย“เจ้าค่ะท่านยาย” ชิงเหมยที่กำลังแต่งกายด้วยอาภรณ์ชุดใหม่ที่ท่านยายเป็นผู้ตัดเย็บให้นางเพื่อไปสอบในวันนี้ตอบกลับทันทีไม่ถึงหนึ่งเค่อเด็กหญิงในชุดฮั่นฝูสีฟ้าอ่อนก็เดินออกมาจากห้องนอน โต๊ะอาหารกลางเรือนมีอาหารสามถึงสี่อย่างวางอยู่บนโต๊ะ ทั้งผัดผัก เกี๊ยวผัก และไก่สับหน่อไม้ฉีก ซุนฉีตักข้าวให้หลานสาวก่อนที่นางจะตักให้ตนเองเช่นกัน สองยายหลานนั่งกินมื้อเช้าร่วมกัน ก
แต่ลำดับที่สิบทำให้ทุกคนประหลาดใจไม่น้อย เพราะผู้ที่สอบได้ลำดับที่สิบคือชิงเหมย หลานสาวเพียงคนเดียวของซุนฉี แม่ค้าขายขนมในตลาดเมืองซานฉีที่เป็นที่รู้จักว่าทำขนมได้รสเลิศ แม้ฐานะของซุนฉีจะไม่ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่นางก็ไม่เคยปล่อยให้หลานสาวได้อดอยาก ภาพที่เห็นจนชินตาของชาวบ้านซานฉีก็คือภาพที่ชิงเหมยช่วยยายของนางขายขนมที่ร้าน และเป็นผู้ลงมือปั้นซาลาเปาเองกับมือ“ท่านยาย… ข้าสอบได้ลำดับที่สิบเจ้าค่ะ ข้าได้เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาหวุนซีแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพราะความตื้นตันใจที่ความพยายามของนางไม่สูญเปล่า“หลานยาย… ยายภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”ซุนฉีกล่าวออกมาทั้งน้ำตาครั้นได้ยินหลานเดินมาบอกลำดับที่นางสอบได้ในครานี้ แม้นนางจะไม่คาดหวังว่าหลานจะสอบได้ลำดับดีๆ แต่พอได้ยินว่าหลานสาวสอบติดอันดับสิบก็ทำให้นางรู้สึกยินดีจนเก็บน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ สองยายหลานสวมกอดกันด้วยความดีใจ“ข้ายินดีกับเจ้าด้วยเหมยเอ๋อร์” หนึ่งในแม่ค้าที่พาบุตรหลานมาสอบเข้าที่สำนักศึกษาแห่งนี้กล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มยินดี“ขอบน้ำใจท่านน้าซุ่ยหรูเจ้าค่ะ”“สอบได้ลำดับที่สิบนี่มิใช่เรื่องง่ายๆ เลย
นั่นเป็นเพราะชิงเหมยได้รับความช่วยเหลือจากหลิ่วหริ่ง ยามใดที่นางออกจากเรือนไป หลิ่วหริ่งก็จะเข้ามาอยู่ภายในเรือนและท่องบทกวี ให้พวกที่แอบฟ้งอยู่ด้านนอกได้ยินแทนตัวนาง ถึงแม้นการทำเช่นนี้จะเป็นเรื่องที่ดุเหมือนจะยุ่งยาก แต่ชิงเหมยกลับรู้สึกสนุกและเหมือนว่านางได้ออกกำลัง คนพวกนี้นั้นช่วยให้ชีวิตของนางในแต่ละวันนั้นไม่น่าเบื่อ“ข้าว่าพวกเราจ้างคนในหมู่บ้านให้คอยจับตาดูนางแล้วส่งข่าวให้พวกเรารู้จะดีกว่า พวกเราเสียเวลากับนางมานานเกินไปแล้ว ข้าเบื่อเต็มทีที่ต้องคอยจับตาดูเด็กเช่นนาง”“จะดีรึ หากท่านใต้เท้ารู้เข้ามีหวังพวกเรานี่แหละที่จะถูกจัดการเสียก่อน”“นางก็เป็นเพียงแค่เด็ก หากนางจะไปเยือนเมืองถิงฮวา เจ้าคิดว่านางจะรอจนป่านนี้งั้นรึ”ครั้นต่างคนต่างเห็นด้วยกับอีกฝ่าย ทั้งสองจึงได้จ้างให้พวกชาวบ้านที่เห็นแก่เงิน ให้คอยจับตาดูชิงเหมยแทนพวกตน หากคราใดที่เด็กหญิงออกจากหมู่บ้านซานฉีค่อยส่งสารให้พวกตนได้รับทราบ ชาวบ้านผู้นั้นเห็นว่าเป็นงานที่ได้เงินง่ายๆ จึงยินยอมที่จะเป็นผู้ที่คอยจับตาดูชิงเหมยแทน แม้จะรู้สึกประหลาดใจว่าเพราะเหตุใดถึงได้เกรงว่าชิงเหมยจะออกจากหมู่บ้าน แต่เขาก็ไม่สนใจเพราะหน้าท
หลังจากนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องที่เยว่อู๋ชางไปจับกุมพวกพ่อค้าทาสมา สองหนุ่มสาวก็ได้ถามไถ่เรื่องราวที่ผ่านมาของกันและกัน เพราะคราแรกที่ได้กลับมาพบกันนั้น เขากับนางไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันมากนัก และที่เยว่อู๋ชางเดินทางมาหาชิงเหมยที่หมู่บ้านซานฉีในยามนี้ มิได้มีเพียงแค่ความสงสัยในตัวของเด็กสาว แต่ทว่าเขามาหานางด้วยความคะนึงหาและห่วงใยนางด้วยเช่นกัน“อืม… พี่ว่าจะถามเจ้า เรื่องคนของลุงเจ้าน่ะ เขาเรียกคนเหล่านั้นกลับไปหรือยัง” เพราะก่อนเขาเข้าเมืองหลวง เขารู้ว่าลุงของชิงเหมยส่งลูกน้องให้มาคอยจับตาดูนางเอาไว้“กลับไปตั้งแต่สามเดือนแรกแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยยิ้มออกมาพลางเล่าไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนสองปีก่อนชิงเหมยครั้นได้รับสารจากพี่ชายจากเมืองถิงฮวาที่ส่งมาบอกนาง ว่าท่านลุงของนางส่งคนให้มาคอยติดตามนาง เพื่อตัดความรำคาญใจเพราะผ่านมานานหลายเดือน ลูกน้องของท่านลุงทั้งสองก็ยังคงคอยติดตามนางอยู่ลับๆ อยู่มาวันหนึ่งชิงเหมยจึงแสร้งออกจากเรือนไปที่ลานกว้างท้ายหมู่บ้านซานฉี ทุกย่างก้าวของนางมีคนของผู้เป็นลุงคอยแอบติดตามนางไป แต่แล้วคนเหล่านั้นก็ต้องคลาดสายตาจากนาง เพราะนางแอบหนีกลับเรือนโดย
ชิงเหมยได้ฟังเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง เพราะแถบชายแดนของเมืองถิงฮวาที่อยู่ติดกับชายแดนของเมืองถิงซานั้นอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านซานฉียิ่งนัก นางจึงมิอาจเดินทางไปให้ความช่วยเหลือสตรีและเด็กที่ถูกพาไปขายยังแถบนั้นได้“ข้ารู้เจ้าค่ะ ว่าแคว้นเจียงโจวนั้นเลิกทาสมาตั้งแต่ข้าอายุเพียงสิบสองปีแล้ว” ชิงเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งความตื่นตระหนก“ครานี้พี่พลาดเองที่มิอาจจับกุมผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้ แต่ก็ยังดีที่ได้ช่วยเหลือสตรีนับสิบเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่พวกมันจะทำการซื้อขายกัน”เขาเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้ชิงเหมยฟังพลางสังเกตสีหน้าของนาง ชิงเหมยรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนั้น ทว่านางกลับปกปิดสีหน้าเอาไว้ได้อย่างมิดชิดจนเยว่อู๋ชางเองก็มิอาจมองเห็นความผิดปกติได้“ข้าว่า…ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องเป็นขุนนางในเมืองถิงฮวาของเราเป็นแน่เจ้าค่ะ"ชิงเหมยกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ แต่ทว่านางกลับไม่ยอมบอกความจริงเรื่องที่นางคอยขัดขวางการทำงานของพวกพ่อค้าทาสที่เข้ามาซื้อขายทาสลับๆ ในหมู่บ้านซานฉีและหมู่บ้านใกล้เคียง นางยังไม่พร้อมที่จะบอกความจริงนี้ให้เขารู้“เหตุใดเจ้าถึงได้ดูมั่นใจนักล่ะ”“ข้าเคยได้ยินพวกพ่อค
“ท่านยายเจ้าคะ หลานขอไปหลังร้านสักครู่นะเจ้าคะ” ชิงเหมยบอกท่านยายของนางที่กำลังพูดคุยกับลูกค้าตรงหน้า จนไม่ทันได้สังเกตว่าลูกค้าหนุ่มผู้นั้นแอบส่งสารลับให้แก่หลานสาว“อืม… ไปเถิดเหมยเอ๋อร์ เสร็จแล้วรีบกลับมาล่ะ”ซุนฉีบอกหลานสาวก่อนที่จะหันไปสนใจลูกค้าตรงหน้าต่อ ชิงเหมยได้โอกาสจึงรีบเดินไปหลังร้านแล้วแกะกระดาษที่ถูกพับมาจนเหลือแผ่นเล็ก นางคลี่ออกดูก็พบว่าเป็นลายมือของพี่ชาง นางจดจำลายมือของเขาได้ดี‘ชิงเอ๋อร์… พี่รอเจ้าอยู่ที่ลานกว้างหลังหมู่บ้านที่เราพบเจอกันคราแรก ได้โปรดออกมาพบพี่สักนิดเถิด… พี่ชางของเจ้า’ดวงหน้างามแดงระเรื่อทันทีที่อ่านเนื้อความในสารนี้จบ ไม่รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้เขาหายไปที่ใดมา นางรู้ว่าเขามีหน้าที่จะต้องทำ เพียงแค่นางไม่รู้ว่างานที่เขากำลังกระทำอยู่นั้นอันตรายหรือไม่เท่านั้นเอง ชิงเหมยคิดหาทางที่จะออกไปพบกับเยว่อู๋ชางโดยที่จำเป็นต้องโป้ปดท่านยายของนางอีกครา นั่งคิดแผนการเพียงกะพริบตาเดียวนางก็คิดได้“ท่านยายเจ้าคะ หลานขออนุญาตกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ รูัสึกว่าท้องไส้ยามนี้ไม่ค่อยจะดีเลย” ชิงเหมยเดินมากระซิบบอกท่านยายของนางที่กำลังขายขนมให้แก่ลูกค้า ที่ยามนี้บางต
การเข้าจับกุมกลุ่มพ่อค้าทาสของหน่วยมือปราบในครานี้ถือว่าล้มเหลว เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังและพวกหัวหน้าสามารถหลบหนีไปได้ทั้งหมด พวกที่จับมาได้ก็เป็นเพียงแค่พวกที่รับจ้างขนสินค้าให้เท่านั้น แต่การเข้าจับกุมในครานี้ก็พอจะได้รู้เบาะแสว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังยามนี้เขาได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ขวา ซึ่งถูกลูกธนูของมือปราบหนุ่มเฉียดไปในระหว่างที่กำลังหลบหนี“แล้วเราจะเอาเช่นไรกับเรื่องนี้ดีขอรับ”“หน้าที่ต่อจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลต้าถิงเสีย เพราะเรามิอาจเข้าไปก้าวก่ายได้”เยว่อู๋ชางกล่าวออกมาก่อนที่เขาจะขึ้นไปนั่งบนหลังม้า จิ้นซู่เองก็รีบไปขึ้นม้าของตนเช่นกัน เพราะดูเหมือนว่าคุณชายรองต้องการจะไปที่ใดสักที่“พวกเจ้าที่เหลือ…กลับไปพักผ่อนกันที่สำนักก่อนเถิด”“แล้วท่านหัวหน้าจะไปที่ใดหรือขอรับ” เสียงของลูกน้องเอ่ยถามขึ้น“ข้ามีเรื่องสงสัย จึงอยากจะไปเยือนหมู่บ้านซานฉีเสียหน่อย” เพราะเรื่องที่พวกหัวหน้ากลุ่มค้าทาสคุยกัน ทำให้เขานึกสงสัยในตัวของชิงเหมยขึ้นมา จึงอยากจะไปถามไถ่นางด้วยตนเอง“ขอรับ” ครั้นลูกน้องรับคำ หัวหน้ามือปราบหนุ่มก็ควบม้าออกจากหน้าศาลต้าตงไปทันทีลูกน้องที่เหลือมองตามอย่างรู้ใ
“พามาได้เพียงเท่านี้เองรึ”เสียงของชายที่อีกฝ่ายเรียกอย่างนอบน้อมว่าท่านใต้เท้าถามดังออกมายามที่เขามองไปยังเหล่าสตรีที่อยู่ขบวนสุดท้าย“ขอรับ!! ไม่กี่เดือนก่อนพวกลูกน้องของข้าน้อยพลาดท่าให้กับสตรีนิรนามจนถูกฆ่าตายไปหลายคน ถึงบัดนี้ข้าน้อยก็ยังมิอาจรู้ตัวตนของนาง ข้าน้อยเกรงว่าถ้าพาสตรีมามากกว่านี้ สตรีผู้นั้นจะออกมาชิงสตรีเหล่านี้ไปอีกน่ะขอรับ”“สตรี!!! สตรีแน่รึ ข้าไม่อยากจะเชื่อ ว่าแคว้นเจียงโจวของเราจะมีสตรีที่มีความสามารถซ่อนอยู่”“เรื่องจริงนะขอรับ เพราะลูกน้องของข้าน้อยได้เขียนสารบอกเอาไว้ก่อนที่พวกมันจะถูกสังหารว่า มีสตรีลึกลับคอยขัดขวางงานของพวกเรา นางมีฝีมือที่ร้ายกาจยิ่งนัก ร่างกายผอมเพรียวดูบอบบาง แต่ว่าพละกำลังของนางสามารถทำให้คนของข้าน้อยที่ไปทำงานในวันนั้นตายไปทั้งหมด”ผู้ที่แอบฟังอยู่ครั้นได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับใจเต้นแรงทันที เพราะเขานึกไปถึงบุปผางามแห่งหมู่บ้านซานฉี ที่ยามนี้เติบโตมาเป็นสาววัยแรกแย้มที่น่าทะนุถนอมเสียแล้ว เขาจากนางมาหลังจากได้พบกันวันนั้นโดยไม่ได้บอกข่าวก็เกือบสิบสี่วันแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้นางจะเป็นเช่นไรเขาได้แต่แอบหวังว่าสตรีที่พวกผู้กระทำผิดกลุ่มนี้
เสียงแมลงหวีดร้องในยามดึกสงัดภายในป่าใหญ่ของเมืองถิงฮวา ติดกับเขตชายแดนเมืองถิงซา ยามนี้มิได้มีเพียงแค่เสียงของเหล่าแมลงและนกกลางคืนเท่านั้น ที่กำลังส่งเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งป่า ทว่ากลับมีเสียงตะโกนโหวกเวกโวยวายของคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังช่วยกันขนสัมภาระ และควบคุมสตรีกลุ่มหนึ่ง เพื่อที่จะพาข้ามแดนไปขายให้แก่เศรษฐีและขุนนางของเมืองถิงซา“เห้ย!!! รีบๆ เดินเข้าสิวะ ชักช้าอยู่ได้ ข้าอยากกลับไปดื่มสุราที่หอชิวชุนแล้ว” เสียงของหนึ่งในบุรุษร่างโตที่ควบคุมเหล่าสตรีวัยแรกแย้มนับสิบตะโกนลั่นออกมา“พะ…พวกเราไม่อยากไป ปล่อยพวกเรามิได้หรือเจ้าคะ” เสียงของเด็กสาวผู้หนึ่งร้องอ้อนวอนออกมา“โอ้…. ช่างใจกล้าน่าดู”มือหนาหยาบกร้านเชยคางมนของสตรีตัวเล็กสูงเพียงแค่อกของเขา แล้วทำท่าจะโน้มใบหน้าเข้าไปหานาง เพื่อที่จะสัมผัสใบหน้าของนางด้วยริมฝีปากของตน แต่แล้วเด็กสาววัยแรกแย้มกลับถ่มน้ำลายออกมาใส่หน้าของตนอย่างไม่หวาดกลัว“ถุ้ย!!!”ชายร่างโตผงะพลางยกมือขึ้นมาปาดน้ำลายของสตรีตรงหน้าออกจากใบหน้า พลางหัวเราะออกมาราวกับคนสิ้นสติ“ฮ่าๆๆๆ ดี กล้าดี” ก่อนที่ชายผู้นั้นจะยกฝ่ามือหนาฟาดลงไปบนใบหน้านวลของสตรีวัยแรกแย้มที่
เพียงแค่นี้ชีวิตของนางก็เหมือนได้เกิดใหม่แล้ว ชิงเหมยเข้าไปสวมกอดเพื่อปลอบประโลมหญิงวัยกลางคน เด็กชายเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปสวมกอดสตรีทั้งสองด้วยเช่นกัน กว่าที่ท่านยายซิ่วอิงจะหยุดร้องไห้ได้เวลาก็ล่วงเลยไปนานนับหนึ่งก้านธูป“ท่านยาย ห่าวเอ๋อร์ เห็นทีข้าคงต้องขอตัวไปเยือนเรือนอื่นก่อนล่ะ เพราะยามเว่ยข้าต้องรีบกลับเรือน” ชิงเหมยรีบเอ่ยขอตัวเพราะรู้ว่านางรั้งอยู่ที่นี่มาได้สักพักใหญ่แล้ว“อ้อ… อืม เจ้าไปเถิดเหมยเอ๋อร์… อ้อ!! โปรดรอสักประเดี๋ยวเถิด ห่าวเอ๋อร์…เจ้าช่วยเข้าไปหยิบพู่ประดับดาบ ที่ยายทำไว้มาให้แม่นางชิงเหมยหน่อยเถิด” ซิ่วอิงบอกหลานชายตัวน้อย ซีห่าวรีบวิ่งเข้าไปภายในเรือนทันที ก่อนที่จะกลับออกมาพร้อมกับพู่ประดับดาบสีแดง“มันอาจจะดูเป็นเพียงพู่ธรรมดา แต่ว่าข้าตั้งใจสวดภาวนาให้เจ้าปลอดภัยทุกคราที่เจ้ากวัดแกว่งดาบเพื่อช่วยเหลือผู้คน”“ขอบน้ำใจท่านยายซิ่วอิงเจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอลาก่อนนะเจ้าคะ มาเยือนคราหน้าข้าจะนำขนมของท่านยายของข้ามาฝากพวกท่านด้วย” ชิงเหมยกล่าวลาหญิงวัยกลางคน ซิ่วอิงพยักหน้า“ขอให้เจ้าโชคดี เดินทางปลอดภัย”“พี่ไปก่อนหนาห่าวเอ๋อร์ เป็นเด็กดี ตั้งใจศึกษาและเชื่
หลังจากนั่งพูดคุยกันอยู่นานเกือบครึ่งชั่วยาม ชิงเหมยจึงขอตัวไปเยี่ยมเหล่าสตรีและเด็กๆ ที่นางเคยให้ความช่วยเหลือมา จวีจูหรานไม่ได้รั้งเด็กสาวเอาไว้ แต่ก็ไม่ลืมบอกให้ชิงเหมยกลับมากินข้าวมื้อกลางวันด้วยกันก่อนที่จะกลับไปหมู่บ้านซานฉี ชิงเหมยไม่ปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่าย เพราะจนถึงยามนี้ ท่านพี่หญิงจวีและผู้ติดตามของนาง ก็ยังคิดว่าชิงเหมยเป็นผู้มีพระคุณของพวกตนมิเสื่อมคลาย“พี่ซินจี๋ เจ้าตัวเล็กหลับแล้วหรือจ๊ะ”ร่างเล็กสูงเพรียวเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าเรือนพักหลังแรกพลางร้องถามผู้ที่อยู่ในเรือน เจ้าของเรือนหลังนี้ เป็นสตรีที่ชิงเหมยได้เข้าให้ความช่วยเหลือมาจากพ่อค้าทาส เพราะสามีตายไปก่อนที่จะรู้ว่านางมีครรภ์ ครอบครัวของสามีก็เอาแต่กล่าวโทษ ว่านางดูแลสามีไม่ดี จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตาย คนพวกนั้นโกรธเคืองนาง จึงขายนางให้กับพ่อค้าทาส โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่านางกำลังมีครรภ์“เพิ่งจะหลับไปก่อนหน้านี้เองจ้ะเหมยเอ๋อร์”สตรีวัยสิบแปดปีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ ชิงเหมยจึงลดระดับเสียงของนางลง เพื่อให้รบกวนเด็กทารกที่เพิ่งจะนอนหลับไปก่อนหน้า“ข้าขอเข้าไปดูนางได้หรือไม่”“จะมิได้ได้เ