Share

ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง
ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง
Author: เฟยเทียน / เงาจันทราสีหมึก / กัญญ์ญาภัค

บทที่ 1

ท่ามกลางไอเย็นระลอกแรกของฤดูหนาวที่คืบคลานเข้าปกคลุมมหานครปักกิ่ง ท้องถนนยามค่ำคืนกลับคึกคักมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด แสงไฟนีออนหลากสีจากร้านรวง สาดส่องตัดกับความมืดมิดของรัตติกาล

ทั่วทุกหนทุกแห่งล้วนมีเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะของฝูงชน ทั้งหนุ่มสาวในวัยนักศึกษา คนทำงานในชุด สูทเรียบร้อย หรือแม้แต่ครอบครัวที่จูงมือกันออกมาเดินเล่น

พวกเขาหรือเธอเหล่านี้ต่างมุ่งหน้าไปยังจัตุรัสใจกลางเมือง ที่ซึ่งแสงไฟจากต้นคริสต์มาสขนาดมหึมากำลังส่องประกายระยิบระยับเชื้อเชิญผู้คนให้มาชื่นชมเทศกาลแห่งความสุขที่กำลังจะมาเยือนในอีกไม่กี่อึดใจ

หานซูอวี้ที่เพิ่งก้าวเท้าออกจากประตูโรงแรมหรู สถานที่จัดงานเลี้ยงหลังการประชุมวิชาการทางการแพทย์ประจำปีหยุดยืนนิ่งอยู่ริมทางเท้าปล่อยให้สายลมเย็นเฉียบปะทะใบหน้า

ดวงตาคู่สวยทอดมองภาพผู้คนเหล่านั้นด้วยแววตาเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ในใจพลันรู้สึกถึงความอ้างว้างที่จับขั้วหัวใจ แม้รอบกายจะเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองก็ตาม

ความเย็นยะเยือกเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนเธอต้องกระชับเสื้อโค้ทตัวหนาให้แน่นขึ้น ทันใดนั้นเองเกล็ดสีขาวละเอียดอ่อนก็เริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าสีน้ำหมึกที่แผ่กว้างอยู่เบื้องบน

"หิมะแรกของปี" เธอพึมพำเสียงเบาก่อนจะยื่นฝ่ามือขาวซีดที่มองเห็นร่องรอยความหยาบกร้านจากการทำงานหนักตั้งแต่ยังเด็กก่อนจะได้มาเป็นแพทย์เทคนิคในโรงพยาบาลซือฝู่ออกไปรองรับปุยหิมะอย่างเผลอไผล

สัมผัสเย็นเยียบที่แตะลงบนผิวทำให้ความคิดของหานซูอวี้ล่องลอยไปไกล...หวนระลึกถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของมารดาผู้ล่วงลับ

"ถ้าอธิษฐานกับหิมะแรก...มันจะเป็นจริงได้ไหมนะ" เสียงแผ่วเบาหลุดจากริมฝีปากบาง หญิงสาวในวัยสามสิบสองปีที่ยังคงสถานะโสดหลับตาลงปล่อยให้ความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ลึกสุดใจเอ่อล้นออกมา

"หากเรื่องย้อนเวลามีอยู่จริงบนโลกใบนี้...ฉันขอโอกาสได้กลับไปได้ไหม...กลับไปในตอนที่แม่ของฉัน...ยังมีชีวิตอยู่"

แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเหลวไหลแต่เศษเสี้ยวแห่งความหวังเล็ก ๆ ก็ยังคงอยากจะลองดูสักครั้ง ในระหว่างที่เธอกำลังจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นั้น

"เมี๊ยว..."

เสียงร้องเล็กแหลมของลูกแมวดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงจอแจรอบด้านไม่ไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่เท่าใดนัก หานซูอวี้ลืมตาขึ้นทันที สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เธอหันไปมองตามต้นเสียง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้หัวใจของเธอกระตุกวูบ!

ลูกแมวสีขาวตัวเล็กกระจ้อยร่อยกำลังยืนตัวสั่นงันงกอยู่กลางถนนใหญ่ที่พลุกพล่าน แสงไฟจากรถยนต์ที่วิ่งสวนไปมาสาดส่องร่างเล็ก ๆ นั้นเป็นระยะ ดวงตากลมโตของมันเบิกกว้างอย่างหวาดผวาและสิ้นหวัง

ถึงแม้เธอจะไม่ใช่คนรักสัตว์ชนิดที่ต้องเข้าไปคลอเคลียเล่นด้วยทุกตัว แต่ภาพลูกแมวน้อยที่กำลังจะเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายอยู่ตรงหน้าก็ทำให้หานซูอวี้ไม่อาจทนดูอยู่เฉยได้

ไวเท่าความคิด! ร่างของหญิงสาวก็ทะยานออกไปจากริมทางเท้ามุ่งตรงไปยังลูกแมวตัวนั้นทันที หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นและหวาดเสียว

ทว่า...เธอกลับคำนวณความเร็วของรถยนต์คันหนึ่งที่กำลังพุ่งตรงมาผิดพลาดไป! ใครเลยจะคาดคิด...แพทย์เทคนิคผู้ขยันขันแข็งจากโรงพยาบาลซือฝู่ ชีวิตของเธอกำลังจะจบสิ้นลงในสภาพเช่นนี้ แต่ในห้วงสุดท้ายของความคิด

มันก็ดีเหมือนกัน... แม่คะ...หนูกำลังจะไปหาแม่แล้วนะคะ...

เอี๊ยดดดดด! โครม!!!

เสียงเบรกแหลมยาวเสียดแทงแก้วหู ตามด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนรอบข้างดังระงม ร่างของหานซูอวี้ถูกกระแทกเข้ากับมวลแข็งกระด้างอย่างรุนแรงจนตัวลอยขึ้นจากพื้นถนน ก่อนจะร่วงหล่นลงมากระแทกซ้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง

โลกทั้งใบหมุนคว้าง ความเจ็บปวดมหาศาลแล่นปราดไปทั่วทุกเส้นประสาท ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มด้านชา...แล้วดับวูบลง...

ในขณะที่สติสัมปชัญญะกำลังจะเลือนหายไปจนหมดสิ้น ท่ามกลางเสียงหวีดร้องและโกลาหลรอบกาย หูของหญิงสาว กลับจับได้ถึงน้ำเสียงทุ้มลึกแฝงความห่วงใยสายหนึ่งที่ดังขึ้นไม่ไกล...

"คุณครับ! อย่าหลับนะครับ! อดทนไว้นะครับ!"

น้ำเสียงนั้น...มันช่างเป็นความอบอุ่นอ่อนโยนที่เธอโหยหาและไม่เคยได้รับมานานแสนนาน...นับตั้งแต่แม่ผู้เป็นที่รักจากไป...

เปลือกตาของเธอหนักอึ้งเกินกว่าจะปรือขึ้นมองเจ้าของเสียง ทว่าในใจกลับรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง...ขอบคุณสำหรับความปรารถนาดีเล็ก ๆ ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต...ก่อนที่ม่านรัตติกาลอันมืดมิดและหนาวเหน็บ...จะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างไปชั่วนิรันดร์

"แก! นังอ้วน นังอัปลักษณ์! เลี้ยงลูกยังไง ฉันใช้งานนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เป็นลม ไม่ได้เรื่องทั้งแม่ทั้งลูก" เสียงด่าทออย่างรุนแรง ดังขึ้นปลุกให้หานซูอวี้ที่กำลังปิดเปลือกตาอยู่ได้ยิน

คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันมุ่น ฉันไม่ใช่ว่าโดนรถชนหรอกหรือ แล้วทำไมถึงไม่เจ็บเลยล่ะ เอ๊ะ! ไม่สิ เสียงที่กำลังด่าทอกับเสียงร้องไห้ที่ดังอยู่ข้างหูทำไมถึงชัดเจนหนัก ในขณะที่หานซูอวี้กำลังสับสนเธอก็ได้ยินน้ำเสียงคล้ายเด็กสายหนึ่งดังขึ้นในหัว ของตน

ทำการเชื่อมต่อกับเจ้าของร่างเรียบร้อย หานซูอวี้รู้สึกมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ยังไม่ทันที่เธอจะทันได้ถามไถ่กับเสียงที่ได้ยินหัวของเธอก็เกิดอาการปวดอย่างมาก ปวดชนิดที่ว่าเธอถึงกับลืมตาโพลงและต้องเอามือกุมมันไว้ทั้งสองข้างพร้อมกับกรีดร้องออกมา

ซึ่งการกระทำของเธอได้ทำให้หญิงสาวอายุไม่น่าจะเกินสามสิบเอ็ดปี แต่ว่าด้วยรูปลักษณ์อ้วนฉุไม่ดูแลตัวเองจึงทำให้เธอดูแก่กว่าวัยเป็นอย่างมากถึงกับตกใจระคนเป็นห่วง

ส่วนผู้ชายที่กำลังด่าทอก็ชะงักการกระทำของตนไปเพียงเล็กน้อย ก่อนจะปาขวดเหล้าที่อยู่ในมือมาทางเธอสองแม่ลูกด้วยความเร็ว ซึ่งคนเป็นแม่กำลังเอาแขนโอบลูกสาวของตนเพื่อหวังปกป้อง

ฉับพลันในเวลาเดียวกันนั้นเอง หานซูอวี้ก็ลืมตาขึ้น เด็กหญิงยื่นมือไปจับขวดเหล้านั้นเอาไว้ได้ทันอย่างน่าเหลือเชื่อ ก่อนที่เธอจะส่งมันกลับคืนไปยังผู้เป็นเจ้าของ เสียง "เพล้ง!" ดังขึ้น เศษแก้วแตกกระจายเฉียดปลายเท้าของชายคนนั้นซึ่งเป็นพ่อของเธอไปเพียงนิดเดียว

"นังเด็กบ้า! นังเด็กอกตัญญู คอยดูฉันจะตีแกให้ตาย" ชายคนนั้นตะเบ็งเสียงดังพลางหยิบไม้กวาดแข็งพุ่งตรงมาทางเด็กหญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของแม่ผู้ที่ยังเรียบเรียงความคิดในสิ่งที่เห็นอยู่ในหัวไม่กระจ่าง

" แม่ลุก!" เธอพูดพลางดึงแขนของมารดาให้พ้นจากด้ามไม้กวาดแข็งที่กำลังจะฟาดลงมา

วินาทีนั้นสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดจากประสบการณ์ในอดีตชาติผุดขึ้นมาในหัวของหานซูอวี้อย่างรวดเร็ว! ร่างกายเล็ก ๆ ของเด็กหญิงอายุสิบสามปีอาจจะยังอ่อนแอแต่จิตใจและความคิดของเธอคือหญิงสาววัยสามสิบสองที่ผ่านโลกมาแล้ว

"หนีเร็วค่ะแม่!" เธอตะโกนสุดเสียง มือเล็ก ๆ แต่กำแขน ผู้เป็นแม่ไว้แน่นออกแรงลากจูงร่างอวบอ้วนที่ยังคงตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกให้ถอยห่างจากรัศมีการทำร้ายของผู้เป็นพ่อ

"จะหนีไปไหน นังพวกตัวปัญหา!" เสียงหานจินตะคอกตามหลังมาอย่างเดือดดาล พร้อมกับเงื้อไม้กวาดไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ

บ้านหลังเล็กแคบที่เคยเป็นเหมือนกรงขังบัดนี้กลับดูเหมือนมีทางหนีรอดน้อยเต็มที หานซูอวี้เหลือบมองไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมกริบประเมินทุกสิ่งอย่างที่พอจะใช้เป็นอาวุธหรือเครื่องถ่วงเวลาได้

"ไปทางประตูหลังค่ะแม่!" เธอตัดสินใจเลือกเส้นทางที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด แม้จะต้องผ่านห้องครัวที่รกเรื้อก็ตาม

เมื่อเห็นพ่อวิ่งกระชั้นเข้ามามือของหานซูอวี้ก็คว้าได้ตะกร้าหวายใส่ผักที่วางอยู่บนโต๊ะค่อนข้างเก่าปาใส่หน้าพ่ออย่างไม่ลังเล!

"โอ๊ย! นังเด็กเปรต!" หานจินร้องลั่นเซถอยหลังไปเล็กน้อย เปิดโอกาสให้สองแม่ลูกวิ่งเข้าห้องครัวได้สำเร็จ

แต่เขาก็ยังไม่ย่อท้อ ก่อนจะตามเข้ามาอย่างรวดเร็วในครัวมีข้าวของวางระเกะระกะ ทั้งหม้อ ไห จาน ชาม หานซูอวี้ไม่รอช้าคว้าอะไรได้ก็ปาใส่พ่อเป็นว่าเล่น เสียงข้าวของแตกกระจายดังเพล้งพล้าง! สลับกับเสียงด่าทออย่างเกรี้ยวกราดของคนเป็นพ่อที่ไม่เคยทำหน้าที่พ่อเลยสักครั้งเท่าที่เธอจำความได้

"ระวังค่ะแม่!" หานซูอวี้ทั้งปัดป้อง ทั้งผลักดันแม่ให้เคลื่อนตัวไปยังประตูหลังที่ใกล้เข้ามาทุกที หลิวซินผู้เป็นแม่ แม้จะยังหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่เมื่อเห็นความเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งของลูกสาว เธอก็พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีหมายจะปกป้องลูกเช่นกัน ก่อนที่เธอจะหยิบมีดปังตออันใหญ่มาถือไว้ในมือเป็นมั่นเหมาะ

"หากวันนี้แกทำอะไรเราสองคนแม่ลูกอีกล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน" น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวจน หานจินรู้สึกหนาวสันหลัง

หานจินมองมีดปังตอในมือหลิวซินสลับกับใบหน้าแน่วแน่ของภรรยาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาของเขาฉายความตื่นตะลึงระคนไม่อยากเชื่อ ผู้หญิงที่เคยยอมก้มหัวให้เขาทุกอย่าง วันนี้กลับกล้าลุกขึ้นมาต่อกร!

ชายหนุ่มทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสบถออกมาอย่างหัวเสีย แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะเสี่ยงเข้าปะทะกับคนที่ไม่กลัวตายอีกต่อไป เขาโยนไม้กวาดในมือทิ้งอย่างกระแทกกระทั้น แล้วเดินกระทืบเท้าปึงปังออกจากบ้านไป ทิ้งท้ายด้วยคำอาฆาตที่ฟังไม่ได้ศัพท์

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   บทที่ 322

    กลับมายังปัจจุบัน "ในตอนนั้นแม่เล่าว่า...เธอยิ้มออกมาทั้งน้ำตาทีเดียวค่ะ ให้กับคำพูดของเพื่อนรักที่ตัวเองก็ท้องแก่ใกล้จะคลอดแต่ก็ยังมาเยี่ยมตัวเอง และหลังจากนั้นแม่บุญธรรมก็มักจะนำสิ่งของรวมถึงเงินเท่าที่หล่อนจะแบ่งได้มาให้ฉันอยู่ตลอด จนกระทั่งเธอมีลูกคนที่สองและฉันเริ่มโตขึ้นและแม่หาเงิ

  • ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   บทที่ 321

    หลายปีผ่านไป...หลังจากที่เปลวไฟแห่งโศกนาฏกรรมได้มอดดับลง และบาดแผลทั้งหมดได้รับการเยียวยาด้วยกาลเวลาและมิตรภาพภายในเรือนสี่ประสานในบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์ที่แสนจะสงบสุข... เสียงหัวเราะของเด็กแฝดชายหญิงที่ได้เติบโตขึ้นมากกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวน...คือบทเพลงที่ไพเราะที่สุดของบ้านหลังนี้และในวั

  • ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   บทที่ 320

    "หวงจิง! ดูหวังเฉียง! เขามีแผลไฟไหม้รุนแรง!" "อู๋ถิง! ดูจ้าวลี่! ระวังเรื่องบาดเจ็บที่ศีรษะและกระดูกสันหลัง!" ทั้งหวงจิงและอู๋ถิงทำงานกันอย่างคล่องแคล่วแม้ว่าจะตกตะลึงกับอาการของเพื่อน ทว่ามือของพวกเขาก็ทำงานไม่หยุด หลังตัดชุดดับเพลิงที่เสียหายออกและประเมินบาดแผลรวมถึงเปิดเส้นเลือดให้สาร

  • ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   บทที่ 319

    "ทุกคน! สวมหน้ากากป้องกันสารพิษ! ห้ามถอดออกเด็ดขาด!" เสียงที่เด็ดขาดของเกาซูอวี้ดังขึ้นเป็นคำสั่งแรก...เธอรู้ดีว่าควันที่มองเห็นตรงหน้านั้น...เต็มไปด้วยสารเคมีอันตราย ทีมแพทย์ภาคสนามทั้งหมดรีบสวมหน้ากากป้องกันอย่างรวดเร็ว...ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งตัวเข้าไปในความโกลาหลเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยภ

  • ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   บทที่ 318

    หวงจิงและอู๋ถิงมองหน้ากัน...ก่อนจะพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง...ซึ่งพวกเขาคือผู้ที่เหมาะสมมากที่สุด "ฉันจะไป" "ฉันไปด้วย" และในตอนนี้การตัดสินใจที่กล้าหาญเป็นอย่างมาก...ได้เกิดขึ้นแล้วโดยที่พวกเขาทั้งหมดไม่ได้รู้เลยว่า...การรวมตัวกันครั้งนี้จะเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับสหายของพวกเขาต้องเผชิญ

  • ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   บทที่ 317

    กลางดึกสงัดของกรุงปักกิ่ง...ท่ามกลางการหลับใหลของผู้คน ฉับพลันในวินาทีนั้นได้มีเสียงสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดดังขึ้นกึกก้อง...ทำลายความเงียบของสถานีดับเพลิงในเขตชานเมือง หวังเฉียงกับจ้าวลี่...สองสหายนักดับเพลิง...กระโจนออกจากเตียงพักผ่อน...แล้วรูดเสาลงมายังชั้นล่างด้วยความเร็วสูงสุดพวกเข

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status